เจ้าสาวร้อยเล่ห์ – ตอนที่ 63 พิธีแต่งงานใหญ่ (2)

ราวกับวิญญาณบินออกจากท้องนภา เยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำตามคำสั่งของแม่สื่อโดยไม่รู้ตัว ทำพิธีกรรมต่างๆ สำเร็จราบรื่น ท่ามกลางเสียงหัวเราะครื้นเครง เสียงแสดงความยินดี เสียงอวยพรเซ็งแซ่แว่วมาในหู เสียงประทัดในระยะไกลดังขึ้นตลอดเวลาไม่ได้ขาดจังหวะ ถึงแม้เสียงจะดังอยู่ในโสตประสาท แต่เหมือนอยู่ไกลถึงสุดหล้าฟ้าเขียว เยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นเพียงหุ่นเชิดที่มีเลือดเนื้อ ในที่สุดก็ถูกส่งเข้าไปในห้องเจ้าสาว

เสียงหัวเราะสนุกสนานในหูลดลง มีเสียงที่คุ้นเคยอีกสองเสียง นั่นคือหลิงหลงกับจิงอิ๋ง เยี่ยนมี่เอ๋อร์คิดด้วยความงุนงง เหตุใดพวกนางถึงมาที่นี่ด้วย? ที่นี่คือที่ไหน?

“รีบเปิดผ้าคลุมหน้าสิ! เราอยากเห็นเจ้าสาว!” ใครบางคนตะโกนเอ็ดตะโร คล้อยหลังก็มีเสียงล้อเลียนดังขึ้นเป็นชุด

เจ้าสาว? เจ้าสาวอยู่ไหน? จู่ๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา นางไม่ใช่เจ้าสาวหรือ? ทันใดนั้นนางก็เย็นยะเยือกไปทั้งตัว แม่สื่อที่จับมือนางอยู่ก็ตกใจเสียขวัญ แต่มองไม่เห็นสีหน้าของเจ้าสาวผ่านผ้าคลุมหน้าจึงรีบพูดว่า “เชิญเจ้าบ่าวยกผ้าคลุมหน้าขึ้นด้วย”

ด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่นบนใบหน้าของซั่งกวนเจวี๋ย เขารับไม้จากมือของแม่สื่อ แล้วค่อยๆ ยกผ้าคลุมหน้าสีแดงขึ้นท่ามกลางเสียงเรียกร้องของกลุ่มผู้มาร่วมงานมงคล เผยให้เห็นดวงหน้าที่สวยงามสะคราญ ซึ่งเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนและอ่อนหวาน แต่ทำไมซั่งกวนเจวี๋ยกลับรู้สึกว่าเป็นเพียงหน้ากากเท่านั้นเอง

เริ่มแล้วหรือยัง? หัวใจของเยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกหดหู่ รอยยิ้มบนใบหน้าหม่นหมอง เมื่อเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองไปทางเจ้าบ่าวซั่งกวนเจวี๋ยที่อยู่ตรงหน้านาง…

เขานั่นเอง! จะเป็นเขาได้อย่างไร? เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดูเหมือนจะถูกอัสนีบาตฟาดเปรี้ยง นางตะลึงงัน ทุกอย่างรอบตัวอันตรธานไป เห็นเพียงบุรุษตรงหน้านี้เท่านั้น ไม่นานมานี้ นางเจ็บปวดรวดร้าวใจเพราะต้องทำใจจะลืมผู้ชายคนนั้น ครั้นแล้วใบหน้าอันหล่อของเขาก็ขยายใหญ่ขึ้นในทันใด รู้สึกถึงจุมพิตประทับใบหน้าของนางประหนึ่งแมลงปอบินระน้ำกระเซ็น และก็ได้ยินเสียงของเขาไอเบาๆ เตือนอยู่ข้างหู

ซั่งกวนเจวี๋ยมองเห็นนางอย่างชัดเจน…เจ้าสาวที่อยู่ตรงหน้าก็งดงามยิ่งนัก แต่ท่าทีอกสั่นขวัญแขวนเล็กน้อย รอยยิ้มบนใบหน้าก็คล้ายสวมหน้ากากไว้ ในแววตาไม่มีความสดใสแม้แต่น้อย เมื่อเข้าไปอยู่ใกล้ ใบหน้าก็เย็นชาเสมือนรูปสลักไม้ คล้ายหญิงงามที่แต่งหน้าด้วยประติมากรรมน้ำแข็ง ในใจจึงค่อนข้างไม่พอใจเล็กน้อย แต่ใบหน้ายังแสดงให้เห็นว่าปลื้มปีติยินดีอย่างสนิทใจ เมื่อได้ยินฝูงชนโห่ร้อง ก็จูบเยี่ยนมี่เอ๋อร์เบาๆ ตามคำกระเซ้าเย้าแหย่ ทว่าเสียงแค่นหัวเราะหึอย่างเย็นชาคล้ายไม่พอใจกลับลอยไปถึงหูของนาง ทำให้นางตื่นขึ้นโดยเร็วพลัน

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถึงได้มีสติฟื้นคืน เมื่อซั่งกวนเจวี๋ยถอยไปข้างหลังเล็กน้อย ร่างกายก็ค่อยๆ อุ่นขึ้น แต่ใบหน้ากลับร้อนผ่าวขึ้นอย่างคุมไม่อยู่ ท่าทางที่เดิมทีคล้ายกับหน้ากากก็เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นทันตา นัยน์ตาเจือความขวยเขินระคนสุขใจ และมุมปากก็เชิดขึ้นอย่างมิอาจควบคุมได้ ยามนี้ภาพของคนทั้งร่างคล้ายถูกโยนลงไปในโถน้ำผึ้ง แล้วดึงออกมาอีกครั้ง แผ่กำจายกลิ่นหอมหวานชื่นละมุนละไม…

ซั่งกวนเจวี๋ยไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาง ไฉนท่าทีถึงเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างกะทันหันเช่นนี้ แต่กลับพอใจกับอาการแปรแปรวนของนางยิ่ง ร่างที่เขยิบใกล้เข้ามาในคราแรกตอนนี้ถอยไปด้านหลัง ทว่ามีเพื่อนเจ้าบ่าวที่เจตนาไม่ดีสองสามคนแกล้งวางมือไว้ข้างหลังเขา หากเขาหยัดกายขึ้นจะต้องชนฝ่ามือนั้นแน่นอน พวกเขาจะออกแรงผลักให้เขาล้มไปหาเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่อยู่ข้างหน้าเป็นแน่ เขาหยุดกึกเล็กน้อย ประคับประคองท่าทางที่ดูเก้ๆ กังๆ ไว้ให้ถึงที่สุด ซึ่งคนในห้องล้วนรอดูอยู่ว่าเขาจะตอบโต้อย่างไร…

เยี่ยนมี่เอ๋อร์สังเกตเห็นความลำบากใจของซั่งกวนเจวี๋ยเช่นกัน จึงเผยใบหน้าอ่อนหวานขึ้น ยื่นมือออกไปจับมือขวาของซั่งกวนเจวี๋ย แล้วถอยหลังไปสามก้าว ซั่งกวนเจวี๋ยตามไปก้าวหนึ่ง จากนั้นหมุนตัวไปยืนเคียงข้างกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ รู้สึกได้ถึงฝ่ามือน้อยๆ ของนางค่อยๆ ผละมือของตนออก แสดงความเคารพอย่างสุภาพเรียบร้อยโดยไม่ได้เอ่ยคำใด

“ไม่เลว! ไม่เลว!” หวงฝู่หลินจี้กล่าวชื่นชมยกใหญ่ แต่ก่อนเขาเพียงแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมท่านป้าจะต้องให้ญาติผู้น้องแต่งงานกับผู้หญิงที่มาจากตระกูลค้าขาย ทว่าตอนนี้กลับรู้สึกว่า ครั้งนี้สายตาของท่านป้าค่อนข้างดีเลยทีเดียว!

“เจ้าคนพวกนิสัยไม่ดีพวกนี้นี่! อยากจะเห็นพี่ชายพี่และสะใภ้ของข้าอับอายสินะ!” จิงอิ๋งกระโดดขึ้นอย่างมีความสุข

แล้ววิ่งไปหาเยี่ยนมี่เอ๋อร์โไม่ได้คิดว่าเหมาะสมหรือไม่ ก็จับแขนขวาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ด้วยใบหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องและภาคภูมิใจ

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่งสายตาเล็กน้อย มองจิงอิ๋งแวบหนึ่ง จิงอิ๋งที่ไม่มีสัมมาคารวะมาตลอดก็ได้แต่หัวเราะเจื่อนอย่างเก้อเขิน ยืนตัวตรงแหน็ว ตอนนี้ผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูอ่อนโยนกลับทำให้ทุกคนที่รู้จักนางเกิดหวาดกลัวขึ้นมาเสียดื้อๆ

“เอาล่ะๆ! ให้พี่สะใภ้ใหญ่ ภรรยาและบรรดาคุณหนูคุยกันเถิด เหล่าสุภาพบุรุษออกไปให้หมด!” แม่สื่อยิ้มและเริ่มไล่คน นั่นคือตระกูลซั่งกวน ไม่เช่นนั้นจะทำให้มีผู้ชายมากมายตามเข้ามากระเซ้าเย้าแหย่

“รีบออกไป! รีบออกไป!” จิงอิ๋งอดกระโดดโลดเต้นไม่ได้ และสิ่งที่ทำให้ทุกคนหัวเราะเสียงหลงก็คือไม่นึกว่านางจะไล่ซั่งกวนเจวี๋ย ส่วนหลิงหลงก็เงียบกริบ แล้วยืนขึ้นสกัดซั่งกวนเจวี๋ยทันที ไม่พูดไม่จา แต่มองไปที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ด้วยรอยยิ้มอันแสนหวานอย่างนึกชื่นชม

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ใจอ่อนยวบ ดึงมือของหลิงหลงแล้วตบเบาๆ หลังจากที่ผู้ชายทุกคนออกไป นางก็พูดอย่างสุภาพนุ่มนวลว่า “ทุกท่านเชิญร่วมดื่มชากันสักหน่อย”

ห้องหอตั้งอยู่ในเรือนหลักของเรือนมีคู่ เป็นเรือนสามชั้น ชั้นหนึ่งมีห้องนั่งเล่นซึ่งใหญ่กว่าเรือนดอกไม้ของตระกูลเยี่ยนมาก ที่นั่งหลักมีเก้าอี้บุผ้านุ่ม สิ่งที่ทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ประหลาดใจคือโต๊ะน้ำชาทำจากต้นสนที่แกะสลักรูปนกกระเรียนกับทัศนียภาพขุนเขาและแม่น้ำ จื่ออวิ๋นที่หายไปหลังจากชงชาให้นางเมื่อเช้านี้ก็นั่งอยู่หลังโต๊ะน้ำชาและต้มน้ำพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า

จิงอิ๋งวิ่งไปหาเยี่ยนมี่เอ๋อร์อีกครั้ง ดึงเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไปนั่งบนเก้าอี้บุผ้านุ่ม แล้วยิ้มพรายพูดว่า “พี่สะใภ้ ข้าจะแนะนำให้ท่านรู้จัก พวกนางเหล่านี้ล้วนเป็นพี่สะใภ้และพี่น้องที่สนิทที่สุดจากแต่ละตระกูล พวกนางมาหาเจ้าโดยเฉพาะ”

“ขอบคุณทุกท่านมาก!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์อมยิ้ม ยืนขึ้นอีกครั้ง ทำความเคารพทุกคน แล้วแผ่ความสัมพันธ์ที่อบอุ่นออกมา

“จิงอิ๋งพูดตลอดว่าพี่สะใภ้สวยราวกับเทพธิดา เมื่อมาเห็นในวันนี้ เป็นจริงสมคำร่ำลือ!” หญิงสาวในชุดไข่มุกสีแดงใบหน้ามีเสน่ห์และน่ารักกล่าวว่า “งดงามยิ่งกว่าเยวี่ยเจียวหนูที่ข้าเคยได้เห็นครั้งที่แล้วเสียอีก นางสวยจนนึกว่าตกมาจากสวรรค์เลยล่ะ!”

“เฮ้! ทั่วป๋าฉินซิน เจ้ารู้ไหมว่าเจ้าพูดอะไรอยู่?” จิงอิ๋งกระโดดขึ้นด้วยใบหน้าขึ้งโกรธ เยวี่ยเจียวหนูเป็นหญิงคณิกาที่มีชื่อเสียงเลื่องลือที่สุดในลี่โจว โด่งดังจากการเต้นรำ ดึงดูดชายหนุ่มรูปงามได้ไม่น้อย แม้จะบอกว่ารู้รักษาตัวรอด แต่มาจากสำนักนางโลม การใช้นางมาเทียบกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นการดูถูกอย่างเห็นได้ชัด

“จิงอิ๋ง พูดเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? คุณหนูทั่วป๋าเป็นแขกจากแดนไกล เจ้าจะเสียมารยาทเยี่ยงนี้ได้เช่นไร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หุบยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ยังไม่ขอโทษคุณหนูทั่วป๋าอีก”

“แต่ว่า…” จิงอิ๋งเดือดดาลถึงขีดสุด จะอธิบายกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ แต่เมื่อเห็นสายตานิ่งเรียบของเยี่ยนมี่เอ๋อร์จึงเข้าใจทันทีว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ต้องมีเล่ห์เหลี่ยมรับมือเป็นแน่ ถึงอย่างนั้นก็ยังมองทั่วป๋าฉินซินอย่างไม่ไม่เต็มใจอยู่บ้าง ค่อยพูดว่า “ก็ได้! ข้าไม่นึกว่าพี่สะใภ้จะว่า ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าข้าผิด ที่จริงข้าไม่ควรตะโกนลั่นเช่นนั้น ไม่งั้นจะกระทบบรรยากาศงานรื่นเริงเสียหมด”

ผู้คนในที่แห่งนี้ขำพรืดออกมา เพราะต่างรู้จักนิสัยของจิงอิ๋งไม่มากก็น้อย จนไม่คาดคิดว่าจิงอิ๋งจะเชื่อฟังขนาดนี้ แต่สิ่งที่ตลกกว่านั้นคือนางยังปากแข็งทื่อ แต่ด้วยเสียงหัวเราะเช่นนี้ บรรยากาศก็ดีขึ้นมาก

“พี่สะใภ้ใหญ่ นั่นคือคุณหนูสี่จากตระกูลทั่วป๋า อายุน้อยกว่าข้าหนึ่งปีพอดี” หลิงหลงแนะนำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้จักอย่างรู้ความ “ทางซ้ายของนางคือพี่สะใภ้คนโตของตระกูลทั่วป๋า เป็นภรรยาของลูกผู้พี่ฉินหลิ่ง ทางด้านขวาคือทั่วป๋าฉินอินเป็นลูกผู้พี่คนที่สามของตระกูลทั่วป๋า มีอายุเท่ากับข้า”

“สวัสดีทุกท่าน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มเล็กน้อยอย่างสุภาพอ่อนโยน

“และนี่คือหวงฝู่อวี๋หลิงลูกผู้น้องของตระกูลหวงฝู่ อายุพอๆ กับจิงอิ๋ง แต่เป็นคนอ่อนโยนและสุภาพ ชอบอ่านบทกวีไม่เหมือนจิงอิ๋งเด็กทโมนคนนี้” หลิงหลงพูดต่อ นางค่อนข้างสนิทกับหวงฝู่อวี๋หลิง

“คารวะพี่สะใภ้!” หวงฝู่อวี๋หลิงเป็นคนนุ่มนวลจริงๆ ค่อนข้างละเอียดอ่อน แม้แต่เสียงพูดก็เผยให้เห็นถึงสัมผัสที่ละเมียดละไม

“ข้างนางผู้นั้นคือพี่สะใภ้คนโตของตระกูลหวงฝู่เรา นางเกิดในตระกูลหลี่ของเมืองลั่วหยาง นางมีฝีมือวาดภาพเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และแม้แต่พี่รองหลี่ลั่วเผยก็ยังสอนนางมากับมือ!” คำพูดของหลิงหลงทำให้หลี่ฉยงอวี่ยิ้มบางๆ เกิดความภาคภูมิใจเล็กน้อย

“ยังมีข้าด้วยนะ!” เด็กน้อยข้างๆ หวงฝู่อวี๋หลิงร้องขึ้นแล้วพูดว่า “ข้าชื่อหวงฝู่อวี๋จวิน ปีนี้อายุสิบเอ็ดปี พี่สะใภ้ท่านสวยมากจริงๆ โตขึ้นข้าจะสวยเหมือนท่าน!”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์อดยิ้มไม่ได้ เพราะเด็กน้อยน่าเอ็นดูมากจึงตอบกลับอย่างรวดเร็วว่า “ย่อมได้อยู่แล้ว ตอนนี้เจ้าก็ดูสวยมาก โตขึ้นจะสวยยิ่งกว่านี้”

“ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน!” หวงฝู่อวี๋จวินกล่าวอย่างมั่นใจ จากนั้นรอยยิ้มที่ประจบประแจงก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าแล้วพูดว่า “พี่สะใภ้ ผ้าเช็ดหน้าปักผืนนั้นของพี่จิงอิ๋งสวยมาก ให้ข้าด้วยได้ไหม…อื้อ!” ทว่าถูกหวงฝู่อวี๋หลิงปิดปากน้อยๆ ของนางไว้

“อวี๋หลิง ไม่เป็นไร!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มพลางชำเลืองมองจื่อหลัวแวบหนึ่ง จื่อหลัวหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาทันที เป็นผ้าไหมสีขาวสะอาดปักผีเสื้อคู่หนึ่ง แล้วห้อยชายเป็นเชือกถักสีเขียวอ่อนไว้ข้างใต้ จื่อหลัวให้ผ้าเช็ดหน้ากับหวงฝู่อวี๋จวิน เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ถึงเอ่ยถาม “ชอบหรือไม่?”

“ชอบเจ้าค่ะ ขอบคุณพี่สะใภ้!” หวงฝู่อวี๋จวินยิ้มอย่างมีความสุข พยักหน้าระรัว

หลิงหลงถือโอกาสแนะนำคนอื่นๆ ในบ้านอีกครั้ง เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้าทักทายด้วยรอยยิ้ม คนในบ้านส่วนใหญ่มาจากตระกูลใหญ่ทั้งแปด มีเพียงเยี่ยนมี่เอ๋อร์เองกับหยางหานยวนสะใภ้ใหญ่ตระกูลมู่หรง เมิ่งฉี่ซวี่สะใภ้ใหญ่ตระกูลหวังและหวังเหมยเสียนสะใภ้ใหญ่ตระกูลชุยเท่านั้นที่แต่งงานกันแล้วและมาจากตระกูลอื่น บรรดาคุณหนูล้วนเป็นบุตรสาวจากภรรยาเอกซึ่งเป็นที่โปรดปรานของครอบครัว

“ได้ยินจิงอิ๋งบอกว่าพี่สะใภ้เย็บปักถักร้อยได้ดี ดูท่าจะเก่งจริงๆ ไม่ทราบว่าจะเทียบกับสินค้าจากตรอกซูเยวี่ยนในลี่โจวได้ไหม?” หลังจากพูดไม่ถึงสองสามคำ ทั่วป๋าฉินซินก็เริ่มสับสนเล็กน้อย และทั้งสองคนรอบตัวก็ไม่ได้หยุดนาง

“เย็บปักถักร้อยเป็นเพียงการฆ่าเวลาเท่านั้นเอง” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “แต่ข้าอยากรู้เรื่องหนึ่ง ลูกผู้น้องฉินซินเพิ่งเอ่ยถึงเยวี่ยเจียวหนูที่ทำให้เจ้าประหลาดใจเพราะสวยจนนึกว่าตกมาจากสวรรค์นั้น นางเป็นคุณหนูจากตระกูลใด?”

“พี่สะใภ้…” จิงอิ๋งกระวนกระวายใจ พี่สะใภ้ไม่รู้หรือว่าการเปรียบเทียบของทั่วป๋าฉินซินเป็นการจงใจดูหมิ่น?

“จิงอิ๋งรู้หรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดูสงสัย สายตาใสซื่อและบริสุทธิ์

“ไม่รู้เลย ข้าอยากกินขนม ให้จื่อหลัวไปเอาให้ข้าทีเถอะ!” พอจิงอิ๋งเห็นแววตาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ก็มีปฏิกิริยาทันที ยิ่งสายตาของพี่สะใภ้ไร้เดียงสามากเท่าใด นางก็ยิ่งคิดในใจมากขึ้นเท่านั้น แล้วเปลี่ยนเป็นพูดคุยเรื่องอื่นไปโดยทันที

จื่อหลัวยิ้มทันทีก็เอาอาหารว่างมาวางตรงหน้าจิงอิ๋งพร้อมกับเซียงชุ่ย แน่นอนว่ามีอาหารว่างวางต่อหน้าคนอื่นด้วย

“พี่สะใภ้ไม่รู้หรือ?” ทั่วป๋าฉินซินวางเล่ห์เพทุบายได้สำเร็จแล้วพูดว่า “เยวี่ยเจียวหนูเป็นหญิงคณิกาที่มีชื่อเสียงที่สุดใน ลี่โจว นางถนัดเต้น ‘ระบำเอวอ่อนช้อย’ ไม่รู้ว่ามีกี่คนแล้วที่ชอบนางเพราะดูนางร้องระบำ”

“หญิงนางโลมหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์สบประมาทในใจ แต่สีหน้าประหลาดใจจนซีดเผือดแทบจะเป็นลม ไม่ได้มองทั่วป๋าฉินซิน แต่จับจ้องจิงอิ๋งกับหลิงหลง แล้วพูดอย่างเคร่งเครียดว่า “พวกเจ้าก็เคยเห็นผู้หญิงคนนั้นด้วยหรือ?”

“พี่สะใภ้…” หลิงหลงพูดอย่างกังวล “เหตุใดเราต้องไปดูผู้หญิงที่ไม่เป็นโล้เป็นพายพรรค์นั้น ที่เต้นรำอยู่ในสำนักนางโลม ทำไมเราต้องไปที่ที่ไม่สะอาดเช่นนั้น!”

“จิงอิ๋ง แล้วเจ้าล่ะ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์จ้องเขม็งจิงอิ๋งที่ไม่พูดอะไรสักคำ เมื่อเด็กหญิงตัวน้อยได้ยินคำพูดของหลิงหลง ก็เข้าใจทันทีว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์คิดอะไรอยู่ จึงส่ายศีรษะราวกับตีกลองป๋องแป๋ง แล้วพูดอย่างเด็ดขาดว่า “ข้าไม่เคยไปที่อย่างว่านั่น! และไม่เคยเห็นผู้หญิงคนนั้นด้วย!”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถอนหายใจด้วยความโล่งอก มองผู้หญิงสามคนของตระกูลทั่วป๋าที่มีสีหน้าเขียวปั๊ดอย่างกะทันหัน แล้วฉีกยิ้มพูดว่า “ลูกผู้น้องฉินซิน คราวหลังโปรดอย่าพูดถึงคนเช่นนั้นอีก เจ้าเป็นคุณหนูที่ยังไม่ได้ออกเหย้าออกเรือน หากไปที่นั่นจริงมันออกจะ…”

“ข้ายังไม่เคยไป!” ทั่วป๋าฉินซินใจเต้นไม่เป็นส่ำ นางเพียงแค่ได้ยินมาเท่านั้นเอง

“ข้ารู้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผงกศีรษะอย่างอ่อนแรงเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “เราเชื่อว่าเจ้าจะไม่ไป”

“พี่สะใภ้…” หลิงหลงมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ดูเหมือนจะตกใจ จากนั้นก็หมดเรี่ยวหมดแรงเล็กน้อยและตื่นตระหนก จื่อหลัวช่วยพยุงเยี่ยนมี่เอ๋อร์นอนลงทันที กล่าวขอโทษอย่างมากว่า “ภรรยาทุกท่าน คุณหนู วันนี้สะใภ้ใหญ่ไม่ได้พักผ่อนมาตลอดจึงอ่อนแรงเช่นนี้ ขออภัยที่ไม่ได้กล่าวทักทายทุกคนเจ้าค่ะ!”

เหล่าสตรีสูงศักดิ์มองหน้ากันไปมา หลี่ฉยงอวี่จึงพูดกลั้วหัวเราะว่า “ทุกคนล้วนเป็นคนกันเอง ก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจเกินไป ให้น้องสะใภ้ไปพักผ่อนให้สบาย เราจะไปดูว่าบรรดาท่านแม่ทางนั้นทำอะไรกันอยู่”

“จริงด้วย!” ชุยอวี่เฟยคุณหนูสามตระกูลชุยยิ้มพลางรับลูกพูดว่า “ข้าอยากไปดูว่าแม่และอาหญิงพูดถึงเราแย่ขนาดนั้นหรือไม่!”

“อวี่เฟยเจ้าบอกป้าชุยด้วย ข้าขอเฝ้าพี่สะใภ้ก่อน” หลิงหลงมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างเป็นห่วงแวบหนึ่ง ตัดสินใจไม่จากไป

“ไม่เป็นไร ให้พวกเราไปเองเถอะ” หวงฝู่อวี๋หลิงยิ้ม แล้วกลุ่มคนก็ออกจากเรือนไร้เดี่ยวด้วยความคิดที่ติดอยู่ในใจ

“คุณหนู พวกนางไปกันหมดแล้วเจ้าค่ะ” หลังจากรอให้เงาร่างของพวกนางคนสุดท้ายหายไป ลู่หลัวก็เข้ามาอย่างไม่พอใจมากนักแล้วพูดว่า “พวกนางเดินจากไปกลุ่มละสองสามคน บางทีอาจจะไปหาครอบครัวของตัวเองเจ้าค่ะ”

“ทั่วป๋าฉินซินกล่าวมากเกินไปเสียจริง!” จิงอิ๋งกล่าวอย่างมีโทสะ “พี่สะใภ้ ทำไมเจ้าไม่ให้ข้าดุนาง?”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ลุกขึ้นนั่งอย่างผ่อนคลายแล้วพูดด้วยท่าทีเรียบเฉยว่า “ดุนางหรือ? นั่นจะทำให้คนพูดว่าเจ้าไร้การอบรม จริงๆ แล้วอาจใช้ผู้หญิงทำนองนั้นมาเปรียบเทียบกับข้าก็ได้ ดูตอนนี้สิ พวกนางมุ่งเน้นไปที่ทั่วป๋าฉินซิน จะบอกว่านางไปมั่วอยู่ในแหล่งนางโลม ไม่รักนวลสงวนตัว พูดจาไร้สมอง ไม่มีหัวคิด สำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุล ข้าเป็นแค่เหยื่อเท่านั้นเอง”

“พี่สะใภ้ยังยอดเยี่ยมจริงเชียว!” หลิงหลงหัวเราะคิกคักและยกยอ

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มจางๆ พลางกล่าวว่า “เพียงแต่ เราต้องการพักผ่อนจริงๆ เมื่องานเลี้ยงเริ่มขึ้น ข้าจะออกไปพบแขกผู้มีเกียรติ พวกเจ้าก็เช่นเดียวกัน”

“แต่ว่า…” จิงอิ๋งพูดพร้อมยิ้มแป้นว่า “ข้าอยากไปดูว่าทั่วป๋าฉินซินจะโดนดุอันใดหรือไม่…”

“เจ้าเงียบสักพักก็ได้” หลิงหลงถลึงตาจ้องมองนาง ครั้นก็ขำพรืด แล้วพูดว่า “ข้าอยากเห็นเหมือนกัน แต่ไม่อยากไปแล้ว ไหนๆ พวกนางก็อยู่ตระกูลซั่งกวน มีเรื่องอะไรน่าสนุกก็ซ่อนไม่มิดหรอก พักผ่อนเสียหน่อยเถิด”

———————————-

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

‘ข้าจะมีความสุขให้ได้ แม้ชีวิตนี้จะมีไฟแค้นสุมในใจมากเพียงใดก็ตาม!’ ‘เยี่ยนมี่เอ๋อร์’ คุณหนูห้าแห่งตระกูลพ่อค้าได้สาบานไว้กับท่านป้าสุดที่รัก ชีวิตของนางจะพบความสุขได้เยี่ยงไรเมื่อต้องลด ละ เลิกการแก้แค้น ทั้งยังต้องถูกคลุมถุงชนแต่งงานกับคุณชาย ‘ซั่งกวนเจวี๋ย’ ผู้ยิ่งใหญ่ในยุทธภพนี้ เช่นนี้แล้ว รักแรกพบระหว่างนางกับคุณชายขลุ่ยถึงคราวต้องจบก่อนที่ยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ! งานนี้จึงต้องมีแผนการล่มวิวาห์ ทว่ากลับต้องพลิกเป็นแผนการรักมัดใจผู้เป็นว่าที่สามี เมื่อคุณชายคนนี้กับคุณชายขลุ่ยคนนั้น คือ คนเดียวกัน! แต่ไฉนข้างกายเขากลับมีผู้หญิงคอยจับจ้องอยู่มากมาย? แต่ไม่เป็นไร เจ้าสาวอย่างนางจะใช้มารยาที่มีปราบชายเจ้าชู้ให้อยู่หมัด มัดใจเขาไว้กับนางแต่เพียงผู้เดียว ส่วนหญิงสาวเหล่านั้นน่ะหรือ… ‘จงใช้เสน่ห์ที่มีอยู่ให้เต็มที่เถิด ก่อนจะต้องอกแตกตายด้วยฝีมือข้า!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset