เจ้าสาวร้อยเล่ห์ – ตอนที่ 69 ยกน้ำชา (1)

คู่บ่าวสาวคารวะผู้อาวุโสและจัดอยู่ในห้องโถงใหญ่ของเรือนหลัก…สิ่งนี้ยิ่งแสดงให้เห็นว่าทั่วป๋าซู่เยวี่ยไม่มีความ สามารถอะไรจะควบคุมตระกูลซั่งกวน แม้แต่ลูกชายของนางก็ไม่แน่ว่าจะเล่นด้วยกับนาง แต่ถึงอย่างนั้น ทั่วป๋าซู่เยวี่ยทนได้ทั้งนั้น นางแต่งเข้าตระกูลซั่งกวนมานานกว่าสี่สิบปี เกือบจะห้าสิบปีได้ นางจึงคุ้นเคยกับการปฏิบัติเช่นนี้เสียแล้ว และนี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นางไม่ชอบใจหวงฝู่เยวี่ยเอ้อมากขึ้นเรื่อยๆ…เพราะถือสิทธิ์ว่าเป็นคุณหนูเกิดจากตระกูลขุนนาง ได้เพิ่มลูกชายคนโตของภรรยาเอกให้ตระกูลซั่งกวน กลายเป็นนายหญิงของตระกูลซั่งกวน ยังให้กำเนิดผู้สืบทอดแทนสามีได้อย่างราบรื่น แต่หลังจากที่ทั่วป๋าซู่เยวี่ยให้กำเนิดลูกชาย นางก็ได้รับการปฏิบัติอย่างเย็นชา สามีแต่งภรรยารองเข้าบ้าน แต่งอนุภรรยาคนแล้วคนเล่า ซั่งกวนฮ่าวมีน้องชายต่างมารดาสามคน มีน้องสาวต่างมารดาหกคน ส่วนหวงฝู่เยวี่ยเอ้อมีลูกชายคนโต แต่ซั่งกวนฮ่าวยังมีลูกชายลูกสาวนอกสมรสและอนุภรรยาให้นางอีกด้วย ทว่านางก็ยังได้รับความเคารพและเอ็นดูรักใคร่จากสามี แม้แต่ซั่งกวนเจวี๋ยก็เคารพหวงฝู่เยวี่ยเอ้อมากขึ้น ไหนเลยจะเหมือนกับซั่งกวนฮ่าว ที่ภายนอกดูจะนับถือ แต่จริงๆ แล้วเขาไม่ก้าวก่ายเรื่องใหญ่ ไม่ให้เรื่องเล็กรบกวนตัวเอง

ในขณะที่ซั่งกวนเจวี๋ยกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์มาถึงห้องโถงใหญ่ของเรือนหลัก ทั่วป๋าซู่เยวี่ย ซั่งกวนฮ่าวและฮูหยินยังมาไม่ถึง แม่นมหยางที่เคยพบเยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้พาทั้งสองไปพักผ่อนที่ห้องรับแขกในสวนดอกไม้ด้านข้าง แล้วกล่าวด้วยความเคารพว่า “คุณชายใหญ่ สะใภ้ใหญ่ เมื่อฮูหยินใหญ่ นายท่านและฮูหยินมาถึง บ่าวจะเชิญท่านไปคำนับ ตอนนี้ขอให้ทั้งสองพักผ่อนที่นี่ก่อนเจ้าค่ะ!”

“รบกวนแม่นมแล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มอย่างสุภาพ ส่วนจื่อหลัวก็ไม่พลาดโอกาสมอบถุงเงินที่เตรียมมาตั้งนานแล้วให้กับแม่นมสาวใช้ที่รอรับใช้อยู่ข้างๆ ทุกคนก็รับไปด้วยรอยยิ้ม

“ที่นี่คือเรือนที่ท่านพ่อพักอยู่ เรียกว่าเรือนนภากาศ ปกติเรียกว่าเรือนนภา เรือนของท่านแม่เรียกว่าเรือนนภาอิ่มใจ โดยทั่วไปเรียกว่าเรือนนภารอง แต่ท่านแม่ไม่ค่อยอยู่ในเรือนนภารอง ห้องหนังสือของนางทั้งหมดจะอยู่ในเรือนนภารอง” ซั่งกวนเจวี๋ยเล่าคร่าวๆ

เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้าเงียบๆ ดูท่าซั่งกวนฮ่าวและภรรยาจะมีความสัมพันธ์กันดีอย่างไม่ธรรมดา ดังนั้นจึงอาศัยอยู่ในเรือนเดียวกัน เรือนนภารองจึงเป็นเพียงสถานที่ที่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อไว้ต้อนรับแขกผู้หญิง อ่านหนังสือภาพวาด แม้หวงฝู่เยวี่ยเอ้ออยู่ในตระกูลซั่งกวนจะไม่สนใจเรื่องนี้มากนัก แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่ทุกคนในตระกูลซั่งกวนจะกล้าดูหมิ่นนาง

“เดี๋ยวบรรดาพี่ๆ น้องๆ ก็จะมาด้วย เจ้าให้ของขวัญที่เตรียมมากับพวกเขาได้ในตอนนี้ หรือจะรอคารวะผู้ใหญ่เสร็จแล้วพาพวกเขากลับไปรับที่เรือนมีคู่ก็ได้ อีกอย่าง บางครั้งหลิงหลงกับจิงอิ๋งก็ไม่รู้มารยาท ชอบเที่ยวไปเรื่อย เจ้าต้องให้พวกบ่าวไพร่ในเรือนมีคู่ระมัดระวัง ไม่เช่นนั้นจะไม่รู้ว่าพวกนางบุกไปหาเจ้าถึงห้องเมื่อใด” ซั่งกวนเจวี๋ยรู้ว่าพวกนางดูเหมือนจะมีมิตรภาพที่ลึกซึ้ง แต่ก็ยังเอ่ยเตือนอย่างแผ่วเบา ในบางเวลาก็ไม่มีใครอยากเจอคนนอก และเขารู้ดีว่าน้องสาวทั้งสองล้วนเป็นคนที่ไม่สังเกตสีหน้าของคนอื่น

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังพยักหน้าอย่างเงียบเชียบดังเดิม นางก็รู้นิสัยของหลิงหลงกับจิงอิ๋งดีกว่าซั่งกวนเจวี๋ย และรู้ดีว่าควรจะจัดการอย่างไร แต่นางก็ยังดีใจที่ซั่งกวนเจวี๋ยเป็นห่วงเป็นใย…อย่างน้อยก็พิสูจน์ได้ว่าเขาประทับใจนาง ยังเต็มใจจะเริ่มแสดงความหวังดีของตนต่อความรักใคร่ปรองดองและความสุขในอนาคต

ซั่งกวนเจวี๋ยสัมผัสได้ถึงการขอบคุณและพึ่งพาอาศัยกันที่แสดงออกมาจากสายตาและภาษากายของภรรยาตัวน้อย ในขณะนี้ เขารู้สึกพอใจที่ได้ทำหน้าที่ปกป้องในฐานะลูกผู้ชายคนหนึ่ง บางทีอาจจะเป็นเรื่องดีที่มีภรรยาที่ต้องการและพึ่งพาตัวเขา

พวกเขาไม่ได้รอนานนัก ยังเป็นแม่นมหยางที่เดินมาด้วยรอยยิ้มแล้วพูดกับทั้งสองคนว่า “คุณชายใหญ่ สะใภ้ใหญ่ ฮูหยินใหญ่ นายท่านและฮูหยินนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่แล้ว รอสะใภ้ใหญ่ยกน้ำชาคารวะผู้อาวุโสทั้งสามเจ้าค่ะ!”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้า จื่อหลัวช่วยพยุงนางลุกขึ้น ซั่งกวนเจวี๋ยสังเกตอย่างระมัดระวังถึงแม้เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะยังคงมีรอยยิ้มสงบบนใบหน้า แต่ก็มีอาการตกประหม่าเล็กน้อยยวาบผ่านหางตา ไม่มีสาวใช้ประคองมือข้างนั้นที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ จึงมองออกได้จากไหล่ที่แข็งทื่อของนาง มือข้างนั้นต้องจับไว้แน่น เห็นได้ชัดว่ายังหวาดกลัวผู้อาวุโสที่จะพบเจออยู่เล็กน้อย

อาจเพราะผู้ชายมักจะไม่ต้องการเห็นผู้หญิงรู้สึกน้อยใจอะไร หรือเพราะนางเป็นภรรยาของเขาอยู่แล้ว ซั่งกวนเจวี๋ยจึง

เผลอจับมือของเยี่ยนมี่เอ๋อร์…ก็ถูกบีบแน่นจริงๆ ดังคาด รู้สึกเย็นเยียบเล็กน้อย จึงยิ้มให้กำลังใจ แล้วจูงมือพาเยี่ยนมี่เอ๋อร์เดินไปที่ห้องโถงใหญ่อย่างช้าๆ ชำเลืองมองจากหางตาจะเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ยกมุมปากขึ้นอย่างไม่อาจระงับได้ เห็นได้ชัดว่าดวงใจหวานชื่นจนควบคุมไม่ไหว แต่ไม่เห็นเปลือกตาที่หลุบตาลงเล็กน้อยของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่หลบซ่อนแววตาแห่งชัยชนะไว้

ทั่วป๋าซู่เยวี่ยนั่งอยู่ตรงกลางห้องโถง ซั่งกวนฮ่าวกับหวงฝู่เยวี่ยเอ้อนั่งขนาบอยู่ทางซ้ายและขวา เมื่อเห็นทั้งสองเดินจับมือกันเข้ามา บนใบหน้าของทั่วป๋าซู่เยวี่ยฉายแววไม่พอใจเล็กน้อย ในขณะที่ซั่งกวนฮ่าวประหลาดใจอยู่บ้าง มีเพียงหวงฝู่เยวี่ย เอ้อเท่านั้นที่ยิ้มระรื่นขึ้นมาก

ผู้ที่นั่งด้านซ้ายและขวาเป็นชายสามคนและหญิงสามคน คนที่อยู่ใกล้ที่สุดกับซั่งกวนฮ่าวทางด้านซ้ายคือเด็กชายที่อายุเพียงสิบสามสิบสี่ปี เยี่ยนมี่เอ๋อร์จำได้ เคยเห็นตอนที่ยกผ้าคลุมหน้าขึ้นเมื่อวานนี้ ดูจากอายุน่าจะเป็นซั่งกวนอิงน้องชายแท้ๆ ของซั่งกวนเจวี๋ย คนถัดไปเป็นผู้ชายที่มองเผินๆ อาจดูธรรมดา ทว่าเมื่อเพ่งมองก็ดูดีไม่น้อยนั่นน่าจะเป็นซั่งกวนอวี่ไข่ลูกชายของอนุภรรยาหนิง และคนสุดท้ายที่หล่อเหลาเป็นพิเศษและให้ความรู้สึกหยิ่งผยองมากขึ้นคือซั่งกวนอวี่ฮ่าว

ซั่งกวนอิงไม่สามารถซ่อนความคิดได้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความชื่นมื่น เห็นได้ชัดว่ามีความสุขมากที่ได้มีพี่สะใภ้ มองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ด้วยสายตาที่หวังดีและชื่นชม ส่วนซั่งกวนอวี่ไข่ดูเหมือนจะชื่นชอบ แต่แม้จะเป็นเด็กอายุสามขวบก็มองออกว่าเขาไม่พอใจและอิจฉามากแค่ไหน และคนที่ชวนให้น่าขบคิดคือซั่งกวนอวี่ฮ่าวที่มีใบหน้าเปื้อนยิ้ม ทว่าสายตาดูคล้ายจะมาสืบสาวราวเรื่องมากกว่า จู่ๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็หัวใจกระตุกวูบ ดูท่าตระกูลซั่งกวนก็มีสุนัขจิ้งจอกที่ได้ฝึกฝนมาเป็นอย่างดีเช่นกัน

การแสดงออกของซั่งกวนอวี่ไข่ตกอยู่ในสายตาของทุกคน มีเพียงไม่กี่คนที่พบว่าแปลกประหลาดนัก อวี่ไข่คิดเองว่าตนได้ฝังกลบความรู้สึกไว้ในใจแล้ว ทว่านอกจากหลิงหลงที่ไม่ชอบวุ่นวาย จิงอิ๋งที่ไม่มีกุศโลบาย ทุกคนต่างกระจ่างแจ้งอยู่ในใจดีว่าเขาไม่ใช่แค่เห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์โดดเด่นจึงผิดหวังและอิจฉาเท่านั้น…ยังคิดว่าเป็นเพราะหวงฝู่เยวี่ยเอ้อหน้ามืดจึงให้ซั่งกวนเจวี๋ยแต่งงานกับภรรยาที่มาจากตระกูลค้าขาย ซึ่งนั่นจะทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยเสียหน้ายกใหญ่ ทว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้ามีดวงหน้าอ่อนหวาน ท่าทางสุภาพอ่อนโยน ใบหน้างดงาม รูปร่างอรชรชดช้อย ล้วนสวยงามหมดจดและไร้ที่ติอีกด้วย และซั่งกวนเจวี๋ยเป็นลูกชายคนโตจากภรรยาเอกตระกูลซั่งกวน ตราบใดที่ซั่งกวนเจวี๋ยยังมีชีวิตอยู่ จะต้องสืบทอดทรัพย์สมบัติของตระกูลซั่งกวนเป็นแน่! ท้ายที่สุดจะกลายเป็นนายท่านของตระกูลซั่งกวนและแต่งงานกับภรรยาเอกที่มีชาติกำเนิดสูงส่ง เรื่องนั้นสำหรับเขาแล้วเป็นเพียงแค่ส่วนเสริมให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น แต่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถึงแม้จะมีชาติกำเนิดต่ำกว่าเล็กน้อย ทว่ารูปลักษณ์ของนางสามารถชดเชยข้อบกพร่องดังกล่าวได้อย่างสมบูรณ์…ดังนั้นจึงดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้แล้วที่จะแต่งงานกับภรรยาเพื่อเอาชนะนาง

หลิงหลงและจิงอิ๋งมีสีหน้าไม่ต่างกัน ที่ต่างกันคือในดวงตาของหลิงหลงประหลาดใจเล็กน้อยเท่านั้นเอง สำหรับคนที่นั่งถัดไป ซั่งกวนพิงถิง ซึ่งเยี่ยนมี่เอ๋อร์พบเป็นครั้งแรกนั้นคุ้มค่าจะนึกถึง…นัยตาที่เศร้าโศกในงานมงคลนั้นมาจากไหนกัน?

ส่วนคนที่อยู่ต่อจากซั่งกวนผิงถิง ยังมีหญิงวัยกลางคนสามคนในชุดที่แตกต่างกัน น่าจะเป็นอนุภรรยาทั้งสามของซั่งกวนฮ่าว คนหนึ่งแต่งกายด้วยชุดสีเงินแดง มองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ด้วยแววตาเยือกเย็น ใบหน้าเจือความเย่อหยิ่งเล็กน้อย ผู้ที่อยู่ในชุดสีชมพู ใบหน้าดูอ่อนน้อม สายตาที่มองเยี่ยนมี่เอ๋อร์นั้นเรียบเฉยแกมอบอุ่น และอีกคนแต่งกายด้วยสีแดงกุหลาบ มีความชิงชังและเย็นชามากขึ้น เยี่ยนมี่เอ๋อร์จึงรู้สถานะของอนุภรรยาเหล่านี้ทันที

ความคิดในใจประหนึ่งโบยบิน แต่ใบหน้าอ่อนโยน มีความเขินอายและวิตกกังวลจางๆ อยู่ในดวงตา เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดูเหมือนจะเดินอย่างใจเย็น แต่นั่นก็เพื่อให้ซั่งกวนเจวี๋ยที่จับมือนางสัมผัสได้ถึงฝ่าเท้าที่อ่อนยวบของนาง

ซั่งกวนเจวี๋ยรู้สึกสงสารนางยิ่งนัก เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถูกเลี้ยงดูมาในตระกูลกุลสตรีตั้งแต่ยังเด็ก แม้แต่คนนอกก็ไม่ค่อยได้พบเห็น ต่อให้จะมีปฏิภาณไหวพริบ แต่ก็จะประหม่าเล็กน้อยเมื่อมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยเป็นครั้งแรก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่านางแข็งกร้าวกับตระกูลเยี่ยน หากไม่สามารถยืนหยัดในตระกูลซั่งกวนได้ก็อาจจะถูกรังแกอะไรทำนองนั้น นับประสาอะไรกับการล่าถอยหรือจะหาคนมาพูดคุยเพื่อระบายความในใจก็คงไม่มีทาง เมื่อคิดเช่นนี้ในใจ มือข้างนั้นที่กุมมือเรียวงามของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไว้ก็ออกแรงเล็กน้อย เมื่อเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ผินหน้าเล็กน้อยจ้องมองเขา เขาก็ส่งสายตาที่ปลอบโยนและให้กำลังใจกลับไป จากนั้นก็เห็นใบหน้าแดงระเรื่อและดวงตาอันน่าประทับใจของนางโดยไม่คาดคิด

ปฏิสัมพันธ์ระหว่างซั่งกวนเจวี๋ยกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ตกอยู่ในสายตาของทุกคน บางคนกัดฟันด้วยความเกลียดชัง เช่นทั่วป๋าซู่เยวี่ยและอนุภรรยาอู๋ บางคนชอบอกชอบใจ อย่างเช่นหวงฝู่เยวี่ยเอ้อและลูกๆ ของนาง ส่วนคนอื่นๆ ก็รอดูสถานการณ์ อยากรู้ว่าความรักหวานชื่นแบบนี้จะอยู่ได้นานสักแค่ไหน

เยี่ยนมี่เอ๋อร์เดินตามซั่งกวนเจวี๋ย มาอยู่ต่อหน้าทั่วป๋าซู่เยวี่ย คุกเข่าบนเบาะรองที่แม่นมวางไว้ รับถ้วยชาที่จื่อหลัวส่งมา ยกขึ้นสูงเหนือศีรษะแล้วกล่าวด้วยความเคารพว่า “หลานสะใภ้เยี่ยนมี่เอ๋อร์คารวะน้ำชาฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ!”

ในใจทั่วป๋าซู่เยวี่ยโกรธขึ้งแม้ใบหน้าจะเผยความใจดีออกมาให้เห็น แต่กลับไม่รับน้ำชา ยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นเด็กที่หน้าตาสะสวย รู้มารยาท ตอนนี้เจ้าเป็นสะใภ้ของตระกูลซั่งกวนแล้ว ต้องรู้ว่าตระกูลซั่งกวนไม่ใช่คนธรรมดา ลำพังแค่รู้จักตำรับตำราและมีรูปร่างหน้าตาดียังไม่เพียงพอ ต้องเรียนรู้วิธีปฏิบัติตัวกับผู้คน เรียนรู้จะคบหากับเหล่าหญิงชนชั้นสูง พูดจามีหลักการ ดูแลงานบ้านงานเรือนได้ดี อย่าให้คนดูเบาได้”

“หลานสะใภ้น้อมรับคำสอนของฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดอย่างนุ่มนวลและเชื่อฟัง ไม่หงุดหงิดแม้แต่น้อย พลางคิดในใจว่าไม่ใช่ว่านางคิดจะให้ตัวเองถือชาอีกสักพักใช่หรือไม่? เยี่ยนมี่เอ๋อร์แอบหัวเราะเยาะในใจ ไม่ต้องพูดถึงชาถ้วยหนึ่งหรอก ต่อให้เป็นสุราไหใหญ่ นางยังนั่งยองๆ ถือค้างไว้ได้ทั้งวันโดยไม่ต้องขยับ ดูว่าใครจะอดทนได้ดีสินะ แต่ถึงอย่างไรนางก็จะไม่ยอมให้ตัวเองตกเป็นเบี้ยล่างได้!

“พวกเจ้าสองสามีภรรยาต้องรักใคร่กลมเกลียวกัน ต้องมีลูกหลานให้ตระกูลซั่งกวนเร็วๆ หน่อย ให้หญิงชราอย่างข้าได้อุ้มเหลนโดยเร็วที่สุด!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยคุยเสียยกใหญ่ พูดจ้อไม่หยุดว่า “นึกถึงความหลัง ตอนที่ข้าแต่งเข้าตระกูลซั่งกวน…”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์รักษาใบหน้าที่นบนอบและประคองท่าทางยกน้ำชาไว้ตลอด เมื่อทั่วป๋าซู่เยวี่ยจงใจหยุดชั่วคราวก็ถือโอกาสกล่าวสำทับว่า “หลานสะใภ้น้อมรับคำสอนของฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ” โดยไม่แสดงความหงุดหงิดแต่อย่างใด หลิงหลงกับจิง อิ๋งต่างแววตาลุกโชน ขณะที่จะยืนขึ้นพูด ก็ถูกแม่นมที่อยู่ข้างหลังห้ามไว้ แล้วกระซิบข้างหูของพวกนางอย่างเงียบๆ เพื่อให้ทั้งสองคนต้องระงับไฟในใจลง

หวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็แววตาลุกโชนเช่นกัน เพียงแต่นางไม่ได้ทำอะไร นางคาดการณ์มาก่อนแล้วว่าทั่วป๋าซู่เยวี่ยจะวางมาดอย่างนี้ หวงจิ่วก็ได้รายงานอะไรบางอย่างเกี่ยวกับแม่นมเฒ่าที่แต่งหน้าให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์เมื่อวานนี้แล้ว ยิ่งแสดงให้เห็นว่าเจตนาอันโฉดชั่วของแม่นมเฒ่าได้รับคำสั่งจากทั่วป๋าซู่เยวี่ย แม้แต่ทั่วป๋าฉินซินก็ให้สัญญากับแม่นมเฒ่าว่าถ้าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่สามารถทนสายตาผู้คนได้ ก็จะพาแม่นมเฒ่าไปเลี้ยงดูที่ตระกูลทั่วป๋าจนกว่าจะสิ้นบุญ

ส่วนอนุภรรยาหนิงกับอนุภรรยาอู๋ต่างยินดีในความเคราะห์ร้ายของผู้อื่น เมื่อทั่วป๋าซู่เยวี่ยทำเช่นนี้ พวกนางก็รู้สึกสะใจยิ่งนัก เพราะซั่งกวนฮ่าวเคยบอกเอาไว้ว่าจะฝากงานบ้านไว้ให้นางจัดการหลังจากที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์แต่งเข้ามาแล้ว สิ่งนี้ทำให้ทั้งคู่ไม่สบายใจ อนุภรรยาอู๋จึงเกลียดเยี่ยนมี่เอ๋อร์เข้ากระดูกดำยิ่งกว่าเรื่องของอู๋เลี่ยนเยี่ยนเสียด้วยซ้ำ…

ซั่งกวนฮ่าวค่อนข้างพอใจกับปฏิกิริยาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์…การเคารพนอบน้อมเป็นสิ่งจำเป็นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ไม่ได้เกิดมาสูงส่งแต่ฉลาดปราดเปรื่อง หากไม่เชื่อฟัง เมื่อได้รับอำนาจก็จะลืมกำพืดเหมือนวัวลืมตีน แต่…เขาเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์มีเม็ดเหงื่อไหลอาบแก้มและแขนก็สั่นเทาเล็กน้อย ขณะที่ทั่วป๋าซู่เยวี่ยพูดด้วยความคึกคะนอง ถึงรู้สึกว่านางใกล้จะถึงจุดที่ยืนหยัดไม่ไหวแล้ว จึงกระแอมไอเบาๆ…

———————————————–

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

‘ข้าจะมีความสุขให้ได้ แม้ชีวิตนี้จะมีไฟแค้นสุมในใจมากเพียงใดก็ตาม!’ ‘เยี่ยนมี่เอ๋อร์’ คุณหนูห้าแห่งตระกูลพ่อค้าได้สาบานไว้กับท่านป้าสุดที่รัก ชีวิตของนางจะพบความสุขได้เยี่ยงไรเมื่อต้องลด ละ เลิกการแก้แค้น ทั้งยังต้องถูกคลุมถุงชนแต่งงานกับคุณชาย ‘ซั่งกวนเจวี๋ย’ ผู้ยิ่งใหญ่ในยุทธภพนี้ เช่นนี้แล้ว รักแรกพบระหว่างนางกับคุณชายขลุ่ยถึงคราวต้องจบก่อนที่ยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ! งานนี้จึงต้องมีแผนการล่มวิวาห์ ทว่ากลับต้องพลิกเป็นแผนการรักมัดใจผู้เป็นว่าที่สามี เมื่อคุณชายคนนี้กับคุณชายขลุ่ยคนนั้น คือ คนเดียวกัน! แต่ไฉนข้างกายเขากลับมีผู้หญิงคอยจับจ้องอยู่มากมาย? แต่ไม่เป็นไร เจ้าสาวอย่างนางจะใช้มารยาที่มีปราบชายเจ้าชู้ให้อยู่หมัด มัดใจเขาไว้กับนางแต่เพียงผู้เดียว ส่วนหญิงสาวเหล่านั้นน่ะหรือ… ‘จงใช้เสน่ห์ที่มีอยู่ให้เต็มที่เถิด ก่อนจะต้องอกแตกตายด้วยฝีมือข้า!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset