เจ้าสาวร้อยเล่ห์ – ตอนที่ 99 วางยาเล็กน้อย

ทั่วป๋าซู่เยวี่ยมองหญิงสาวสามคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าอย่างพอใจ ยิ่งมองก็ยิ่งรื่นหูรื่นตา สือหย่าฉีที่สดใสมีชีวิตชีวา มีนิสัยใจกว้าง อวี้เมิ่งเหยาที่เยือกเย็นทระนงตน ดูสูงส่งดั่งเทพธิดา หวงเซียวเซียงที่สง่างามภูมิฐาน เปิดเผยและมีเมตตา ทุกคนล้วนเป็นหญิงสาวที่หาได้ยากยิ่งในยุทธภพ แม้ว่าจะรูปลักษณ์งดงามไม่เท่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์หญิงคนนั้น แต่ก็ล้วนสะสวยต้องตา มีเอกลักษณ์แตกต่างกันไปเช่นกัน

พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา หากคิดจะหาใบหน้าที่งดงามยิ่งกว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จริงๆ แม้จะไม่กล้ากล่าวว่า ไม่อาจมีใครเทียบได้ แต่ความยากเช่นนั้นก็ได้ก้าวข้ามขีดความสามารถของนางแล้ว สามารถมีลักษณะที่โดดเด่น ไม่ถูกความเปล่งประกายของเยี่ยนมี่เอ๋อร์มาบดบังก็นับว่าใช้ได้มากแล้ว

“พวกเจ้าทั้งสามคนอยู่ที่ตระกูลซั่งกวนตามสบายเถิด พวกเจ้าล้วนเป็นแขกของเจวี๋ยเอ๋อร์ หากว่าบ่าวที่ไม่มีหูมีตาทำบกพร่องอันใด พวกเจ้าอย่าได้เก็บไว้ในใจ ขอเพียงแค่บอกข้า ข้าย่อมจัดการพวกเขาอย่างถึงที่สุดแน่” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยกล่าวยิ้มๆ รอยย่นบนใบหน้านั้นทำให้นางดูคล้ายดอกเบญจมาศที่กำลังเบ่งบาน

“ขอบคุณความเมตตาของฮูหยินใหญ่!” ความคิดในใจของหญิงสาวทั้งสาวล้วนแตกต่างกันไป ทว่ากลับเผยรอยยิ้มขอบคุณอย่างถึงที่สุดกลับไปให้เช่นเดียวกัน

“พวกเจ้าล้วนคล้ายกับดอกไม้ ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องชอบทั้งนั้น ไม่เว้นข้าเช่นกัน” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยหัวเราะชอบใจ “ข้าได้ส่งคนไปเชิญเจวี๋ยเอ๋อร์แล้ว อีกเดี๋ยวเขาก็คงมา พวกเจ้าก็ไม่ได้เจอกันมาตั้งเดือนกว่า ย่อมคิดถึงกันเป็นอย่างมากแน่”

“ใช่แล้ว!” สือหย่าฉีผงกศีรษะอย่างน่าเอ็นดู “หลังจากที่ข้ามาถึงเรือนหิมะสุขใจ ก็ไม่ได้พบหน้าพี่เจวี๋ยเลย คิดถึงเขาเป็นอย่างยิ่ง ก็ไม่รู้ว่าเขาจะคิดถึง…ได้ยินมาว่าภรรยาคนใหม่ของพี่เจวี๋ยงดงามไร้คนเทียบเทียม เป็นคนงามล้ำที่ยากจะพบเห็นในใต้หล้า สามารถแต่งภรรยาที่เพียบพร้อมเช่นนี้ได้ พี่เจวี๋ยต้องดีใจแน่ๆ!”

เมื่อเห็นว่าจู่ๆ นางก็เปลี่ยนประเด็นอย่างร่าเริง ทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็ยิ้มเย็นอยู่ภายในใจ ได้ยินมารึ? เกรงว่าคงจะเสาะหาสารพัดวิธีในการสืบข่าวเสียมากกว่า ท่าทีบนใบหน้าก็ดูไม่ธรรมชาติ จะแสดงละคร ฝีมือยังนับว่าด้อยไปเล็กน้อย

“มี่เอ๋อร์หน้าตางดงามจริงๆ!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยกล่าวยืนยัน จากนั้นก็พบเห็นหญิงสาวทั้งสามประกายความอิจฉาและจริงจังในแววตาอย่างไม่แปลกใจสักนิด นางแสร้งทำเป็นกล่าวยิ้มๆ โดยไม่รู้ตัว “ใจกว้างอ่อนโยน สุขุมเยือกเย็น นับว่าไม่เลว แต่ว่าเสียดาย!”

“เสียดาย? เหตุใดฮูหยินใหญ่จึงกล่าวเช่นนี้ออกมา?” สือหย่าฉีเผยใบหน้าอยากรู้เป็นอย่างมาก ดวงตาวิบวับ เป็นความน่ารักของเด็กสาวอย่างหนึ่ง เพียงแต่ความสงสัยและความตื่นเต้นในแววตาของนางทำให้ทั่วป๋าซู่เยวี่ยรู้ว่าในใจของนางคงจะครุ่นคิดเรื่องไม่ดีอะไรเป็นแน่

“ยังจะมีอะไรได้อีก? ชาติกำเนิดของนาง…เฮ้อ…ล้วนเป็นเพราะว่าเยวี่ยเอ้อในปีนั้นที่บุ่มบ่ามไปชั่วครู่ เอาแต่คิดว่ามารดาของนางเป็นเพื่อนสนิท กลับไม่นึกถึงฐานะของบิดานาง ก็ตัดสินใจพลการให้หมั้นหมายกับเจวี๋ยเอ๋อร์เสียแล้ว…เยวี่ย เอ้อมีฐานะสูงส่ง คำพูดที่กล่าวออกไปแล้ว เก็บกลับคืนมาได้ที่ไหน ไม่เพียงแต่คืนกลับมาไม่ได้ แต่ยังต้องให้คนอื่นรับรู้ทั่วกัน นางให้ความสำคัญกับลูกสะใภ้คนนี้ถึงเพียงนี้…” ทั่วป๋าซูเยวี่ยส่ายหัว “แม้กระทั่งข้าก็แทบเกือบจะเชื่ออย่างนั้น หากไม่ใช่เกิดเรื่องกับตระกูลชุย ทั้งยังถูกหลิงหลงและจิงอิ๋งอาวะวาดจนวุ่นวายไปทั้งจวน ทำให้คนอื่นรับรู้ไปทั่ว ข้าก็ยังจะคิดว่า…”

เห็นใบหน้าที่จนใจทั้งยังรอยยิ้มขมขื่นอย่างเลือนราง ทั้งสามคนก็ล้วนคิดคล้อยตามกัน ความหมายของนางคือคนตระกูลซั่งกวนไม่ได้รู้สึกอะไรมากกับสะใภ้ใหญ่ที่เพิ่งได้ตำแหน่งมาคนนั้น? แม้แต่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็ล้วนติดที่ว่าปีนั้นตัวเองได้เผลอตกปากรับคำงานแต่งหมั้นหมายไป จึงจำต้องทำเป็นเข้าข้างไปอย่างนั้น?

เห็นประกายสายตาของพวกนางที่วาบผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทั่วป๋าซู่เยวี่ยจะยังไม่รู้อีกหรือว่าในใจพวกนางกำลังคิดอะไรอยู่ ลอบดูแคลนอยู่ภายในใจ หญิงสาวยุทธภพก็คือหญิงสาวยุทธภพ ยากที่จะยกขึ้นมาเชิดหน้าชูตา เยี่ยนมี่เอ๋อร์มีชาติกำเนิดจากตระกูลพ่อค้าวาณิช ฐานะไม่สูงส่งพอ แต่พวกนางล่ะ? ล้วนเป็นหญิงสาวต่ำต้อยที่บุกน้ำลุกไฟอยู่ในยุทธภพ จะสูงส่งได้เพียงใดกัน? แม้นจะพูดอีกอย่าง เยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างไรก็ถูกเลี้ยงมาในห้องหับ เป็นหญิงสาวที่รักนวลสงวนตัว ไม่ออกไปแปดเปื้อนกับผู้ใด เพียงแต่ว่านางเป็นอุปสรรคของฉินซิน ตัวเองจึงต้องพยายามคิดวิธีกำจัดนางให้พ้นทาง ทว่าคนพวกนี้เล่า? ออกไปปรากฏตัวในแวดวงต่างๆ เพื่ออะไร ไม่ใช่ว่าเพื่อแต่งเข้าในตระกูลที่มีอำนาจและตำแหน่งหรือไร หลังจากรู้จักเจวี๋ยเอ๋อร์ ก็คล้ายกับเป็นแมวที่ได้กลิ่นคาวปลา จึงได้ไล่ตามมาถึงลี่โจวอย่างหน้าไม่อายเช่นนี้!

“หา?” สือหย่าฉีเบิกตาโตอย่างตกใจ ใช้มือปกปิดปากที่อ้าค้างไว้ แสดงท่าทีราวกับยากจะเชื่อ เรื่องนี้ถูกเจ้านายในตระกูลซั่งกวนไม่กี่คนปกปิดเอาไว้ พวกนางจึงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น

“เป็นเรื่องอะไรที่ทำให้คุณหนูทั้งสองไม่อาจสงบจิตสงบใจได้?” หวงเซียวเซียงกล่าวด้วยความสนใจอย่างยิ่ง “ได้ยินว่าคุณหนูทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อสะใภ้ใหญ่เป็นอย่างมาก คล้ายดั่งเป็นพี่น้องในสายเลือด ไม่อาจเกิดเรื่องเข้าใจผิดอันใดได้หรอกกระมัง!”

“เข้าใจผิด? ยังผิดมากกว่านั้นอีกน่ะสิ!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยส่ายหัวยิ้มขมขื่นอย่างพูดยากอยู่บ้าง แม่นมหนิงที่อยู่ด้านหลังกลับกล่าวอย่างมีอารมณ์ “สะใภ้ใหญ่ไม่ใช่คนที่จะยอมปล่อยใครไปง่ายๆ ตระกูลชุยยอมถอยแล้วถอยอีก เพื่อมิตรภาพของสองตระกูล ทั้งเพื่อให้คุณหนูอวี่เฟยของตระกูลชุยได้สามารถแต่งงานกับคนที่ตัวเองรัก ถึงขนาดยอมให้คุณหนูอวี่เฟยกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมแต่งเข้ามาในตำแหน่งอนุภรรยา แต่สะใภ้ใหญ่ก็ยังไม่ยินยอม ปฏิเสธอย่างถึงที่สุด หากนางเพียงแค่ปฏิเสธก็แล้วไป แต่นี่ยังเป่าหูให้คุณหนูทั้งสองมาก่อเรื่องใหญ่โตอีก ดีที่ยามนั้นเจ้านายของตระกูลชุยไม่กี่ท่านนั้นไม่อยู่ จึงได้ไปโวยวายทางด้านตระกูลหวงฝู่แทน สะใภ้ใหญ่ตระกูลหวงฝู่เพียงแค่ยกยอคุณหนูเฟยอวี่ไม่กี่คำ ก็ถูกจัดการจนอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก มีอะไรให้โกรธแค้นถึงเพียงนั้นเชียว เฮ้อ…”

มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ? หญิงสาวทั้งสามในเวลานี้มีจุดยืนเดียวกันชั่วคราว ต่างก็แลกเปลี่ยนสายตากัน หวงเซียวเซียง กล่าวยิ้มๆ “แม่นมหนิงไม่ใช่ว่าเข้าใจผิดไปหรือเปล่า? ต้องรู้ว่าสะใภ้ใหญ่นั้นถูกเรียกว่า ไร้ผู้ใดเทียบเทียม มีเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้า คนที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ก่อนที่จะแต่งงาน นางได้รับคุณหนูอู๋เข้ามา แต่ไฉนหลังแต่งงานกลับเปลี่ยนเป็นใจแคบดั่งไส้ไก่ได้เล่า?”

“คุณหนูหวงคงไม่เข้าใจ! นี่เรียกว่าวันนั้นกับวันนี้ไม่เหมือนกัน เวลานั้นนางยังไม่ได้เข้าตระกูล ย่อมต้องแสร้งทำเป็นใจกว้างมีเมตตา แต่ยามนี้ นางได้กลายเป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวนแล้ว ย่อมต้องขจัดภัยแฝง เขี่ยคนที่เป็นดั่งศัตรูออกไป!” แม่นมหนิงยิ้มเย็น “ปากเอาแต่พร่ำเรื่องคุณธรรม ข้าว่า ไม่แน่ว่าเป็นอย่างนั้นหรอก! เลี่ยนเยี่ยนเด็กสาวผู้นั้น หลังจากถูกรับเป็นเมียบ่าว แม้แต่ประตูก็ยังไม่ได้ก้าวออกมา ถูกกักขังอยู่แต่ภายในห้อง ให้แม่นมของสะใภ้ใหญ่เอาแต่สั่งสอนกฎระเบียบ หรือนางนั้นเป็นคนที่ไม่มีกฎระเบียบอะไรเลย? ข้าว่า นางยอมให้คุณชายใหญ่มีหญิงสาวคนอื่นไม่ได้มาก…”

“แม่นมหนิง…” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยคิดว่าน่าจะพอเหมาะแล้ว กล่าวตำหนิด้วยใบหน้าที่ไม่พอใจอยู่บ้าง “อย่าลืมแยกแยะฐานะความเหมาะสมด้วย เรื่องของสะใภ้ใหญ่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะเอามาพูดได้”

“เจ้าค่ะ!” แม่นมหนิงได้พูดคำที่อยากพูดไปหมดแล้ว จึงรีบหุบปากถอยกลับไปอยู่ด้านข้าง

“มีเรื่องหนึ่งที่ข้ายังต้องการพูดกับพวกเจ้าให้ชัดเจน!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยมองหญิงสาวทั้งสาม ใบหน้ามีความลำบากใจอยู่บ้าง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความเสียใจอย่างคลุมเครือ

“ฮูหยินใหญ่เชิญกล่าว!” หวงเซียวเซียงเผยยิ้มอย่างนอบน้อม นางนับว่าฟังออก ฮูหยินใหญ่นั้นไม่ชอบใจเยี่ยนมี่เอ๋อร์ แค่คิดก็รู้แล้วว่า คุณหนูสี่ของตระกูลทั่วป๋า ก็มีความคิดอยากจะแต่งเป็นภรรยาของซั่งกวนเจวี๋ยไม่ใช่หรือ? แต่ว่ายามนี้ถูกคนชิงตัดหน้าเสียก่อน ทั่วป๋าซู่เยวี่ยจะพอใจก็บ้าแล้ว นางพูดเยอะถึงเพียงนี้ ทั้งบอกเป็นนัยให้แม่นมหนิงคนข้างกายที่นางไว้ใจมากที่สุดพูดออกมามากขนาดนี้ ก็ไม่ใช่ว่าเพื่อให้ตัวนางทั้งสามมองสะใภ้ใหญ่อย่างเป็นศัตรูหรอกรึ? หรือบางทีอาจจะคิดให้พวกตัวนางนั้นเป็นฝ่ายลงมือเปิดฉากกันก่อน แล้วค่อยให้ทั่วป๋าฉินซินเป็นฝ่ายชุบมือเปิบไป เพียงแต่…

หวงเซียวเซียงเผยยิ้มเย็นอย่างเลือนราง แม้ว่าจะไม่เคยเจอเยี่ยนมี่เอ๋อร์มาก่อน แต่ทั่วป๋าฉินซินคนนั้นกลับนับว่ารู้จัก หญิงสาวที่นิสัยหยิ่งยโสโอหัง โตแต่ตัวสมองไม่พัฒนาตาม คิดว่าชาติกำเนิดตัวเองนั้นสูงส่ง คนทั้งหมดควรจะยกย่องนาง ทำตามนาง คนอย่างนี้จะทำให้พี่เจวี๋ยที่โดดเด่นเหนือผู้คนนั้นชื่นชอบได้หรือ? ไม่รู้ว่าใครจะเป็นฝ่ายหลอกใช้ใครกันแน่!

“เจวี๋ยเอ๋อร์ไม่ได้เป็นคนส่งคนไปรับพวกเจ้ากลับมา!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยเห็นหญิงสาวทั้งสามที่จู่ๆ สีหน้าก็แข็งทื่อ ทั้งแววตาเผยความชิงชัง ในใจก็มีความสุขขึ้นมา ทว่ายังคงรักษาท่าทีเสียใจนั้นไว้อยู่ “ช่วงนี้เจวี๋ยเอ๋อร์ล้วนอยู่กับมี่เอ๋อร์ทุกวัน…เฮ้อ…นี่ก็โทษไม่ได้ มี่เอ๋อร์มีหน้าตางดงาม ไม่ว่าอะไรก็ล้วนเชื่อฟังเจวี๋ยเอ๋อร์ ทั้งยังเป็นช่วงข้าวใหม่ปลามัน ห่างออกจากกันไม่ได้ก็นับเป็นเรื่องปกติ”

“แต่ผู้ที่มากล่าวว่าได้รับคำสั่งของพี่เจวี๋ยให้มารับพวกเรา หากไม่ใช่อย่างนั้น ข้าจะหน้าหนาทั้งยังเข้าตระกูลซั่งกวนมารบกวนความสงบสุขของสามีภรรยาได้อย่างไร…” อวี้เมิ่งเหยาเสียใจจนพูดต่อไม่ออก ท่าทีที่เยือกเย็นยโสนั้นได้ทลายลง ทำให้คนที่เห็นล้วนรู้ว่า นางได้รับความน้อยใจอันใหญ่หลวง แต่แววตาที่ประกายไอสังหารนั้นย่อมหลีกหนีจากทั่วป๋าซู่เยวี่ยที่กำลังให้ความสนใจพวกนางไม่พ้น

หน้าหนา? เจ้ายังรู้ตัวนี่ว่าตัวเองก็เป็นคนหน้าไม่อาย! ทั่วป๋าซู่เยวี่ยเหยียดหยามอย่างถึงที่สุด ทว่าใบหน้ากลับเผยท่าทีสงสาร “เป็นข้าที่ส่งคนไป ทั้งกังวลว่าพวกเจ้าจะมีความน้อยใจอะไร ดังนั้นจึงได้หยิบยืมนามของเจวี๋ยเอ๋อร์ หากพวกเจ้ารู้สึกมีความคับแค้นใจอันใด ก็ระบายมากับหญิงแก่เช่นข้าเถิด อย่าได้ลำบากเก็บไว้กับตนเองเลย”

“ที่แท้พวกข้าก็ถูกลืมนี่เอง…” หวงเซียวเซียงเผยยิ้มขมขื่นอย่างเลือนราง “ความปรารถนาดีของฮูหยินใหญ่ ข้านั้นเข้าใจดี พรุ่งนี้ข้าจะตระเตรียมกระเป๋า เดินทางออกจากตระกูลซั่งกวน ไม่สร้างความลำบากใจให้พี่เจวี๋ย และก็จะไม่ทำให้ผู้อาวุโสในตระกูลซั่งกวนอึดอัดใจด้วย!”

เมื่อเห็นว่านางโกรธแค้นอย่างถึงที่สุด แต่ยังฝืนกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็กล่าวตำหนิ “เด็กคนนี้ เหตุใดฟังยังไม่ทันจบก็พูดเศร้าสร้อยไปก่อนเช่นนี้แล้วล่ะ หากเจวี๋ยเอ๋อร์ไม่มีความรู้สึกดีๆ กับพวกเจ้า ไม่เห็นว่าพวกเจ้าเป็นหญิงสาวคนสนิท เขาจะเชิญพวกเจ้ามาพำนักที่ตระกูลซั่งกวนนานขนาดนี้ได้อย่างไรกัน? ในยุทธภพมีใครบ้างไม่รู้ว่าพวกเจ้าเป็นสาวงามของเจวี๋ยเอ๋อร์เล่า? หากไม่ใช่ว่าเจวี๋ยเอ๋อร์มีความคิดเช่นนี้ หญิงแก่ที่พร้อมจะฝังดินอย่างข้าก็คงไม่ตัดสินใจโดยพลการ รับพวกเจ้ากลับมาหรอก!”

“น้ำใจของฮูหยินใหญ่ ข้าจะจดจำไว้ แต่อย่างไรหากพี่เจวี๋ยมีใจ ก็คง…” หวงเซียวเซียงพูดอย่างขมขื่น ก่อนจะส่ายศีรษะ “อย่างไรก็ช่างเถิด แม้ว่าชาติกำเนิดของเซียวเซียง เรื่องชื่อเสียงตระกูลนั้นจะโดดเด่นเทียบกับตระกูลซั่งกวนไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่ตระกูลที่โกโรโกโส ไม่อาจถึงขนาดไม่สนใจธรรมเนียมความเหมาะสมได้…”

“เจวี๋ยเอ๋อร์นั้นไม่มีทางเลือก!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยยิ้มเย็นในใจ ไปอย่างนั้นรึ! มีเวลาก่อนหน้านี้ไฉนจึงไม่ไป กลับมาพูดเช่นนี้ในยามนี้! ใบหน้ากลับแสดงท่าทีมีเมตตา “ข้านั้นรู้ใจของเจวี๋ยเอ๋อร์ เขาไม่ใช่ว่าไม่อยากรับพวกเจ้ากลับมา แต่ว่า…จิงอิ๋งและ

หลิงหลงถูกเขาส่งไปเซิ่งจิงแล้ว ก็เพื่อไม่ใช่ว่าไม่ให้จิงอิ๋งและหลิงหลงถูกคนหลอกใช้เป็นหอกดาบหรอกหรือ! เพียงแค่ติดที่เยวี่ย เอ้อจะดูไม่ดี ทั้งยังถูกมี่เอ๋อร์เหนี่ยวรั้ง ปลีกตัวมาไม่ได้ จึงไม่อาจเป็นฝ่ายไปรับพวกเจ้ามาเองได้ ทำได้เพียงให้หญิงแก่ที่รู้ใจหลานชายอย่างข้าผู้นี้เป็นฝ่ายออกหน้าให้!”

“ฮูหยินใหญ่ช่างดีเสียจริง!” สือหย่าฉีเผยใบหน้าซาบซึ้งใจ

ทั่วป๋าซู่เยวี่ยหัวเราะลำพองใจ ในขณะที่กำลังจะพูด ก็ได้ยินเสียงของสาวใช้ดังขึ้นมาพอดี “คุณชายใหญ่มาแล้ว

ฮูหยินใหญ่และคุณหนูทั้งสามกำลังรออยู่เลยเจ้าค่ะ!”

“พวกเจ้าดูสิ ไม่ใช่ว่าเขามาแล้วรึ?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยกล่าวหยอกเย้า “ยามปกติเขาก็เอาแต่อ้างนั่นอ้างนี่ไม่ยอมมาหาข้าที่เรือน แต่ยามนี้พอได้ยินว่าพวกเจ้าอยู่ที่นี่ ก็มาเร็วถึงเพียงนี้!”

หญิงสาวทั้งสามล้วนเขินอายจนหน้าแดงก่ำ ดวงตาทั้งสองข้างมองไปที่ประตูห้องโถงอย่างดีใจ รอการปรากฏตัวของซั่งกวนเจวี๋ย…

———————————-

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

‘ข้าจะมีความสุขให้ได้ แม้ชีวิตนี้จะมีไฟแค้นสุมในใจมากเพียงใดก็ตาม!’ ‘เยี่ยนมี่เอ๋อร์’ คุณหนูห้าแห่งตระกูลพ่อค้าได้สาบานไว้กับท่านป้าสุดที่รัก ชีวิตของนางจะพบความสุขได้เยี่ยงไรเมื่อต้องลด ละ เลิกการแก้แค้น ทั้งยังต้องถูกคลุมถุงชนแต่งงานกับคุณชาย ‘ซั่งกวนเจวี๋ย’ ผู้ยิ่งใหญ่ในยุทธภพนี้ เช่นนี้แล้ว รักแรกพบระหว่างนางกับคุณชายขลุ่ยถึงคราวต้องจบก่อนที่ยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ! งานนี้จึงต้องมีแผนการล่มวิวาห์ ทว่ากลับต้องพลิกเป็นแผนการรักมัดใจผู้เป็นว่าที่สามี เมื่อคุณชายคนนี้กับคุณชายขลุ่ยคนนั้น คือ คนเดียวกัน! แต่ไฉนข้างกายเขากลับมีผู้หญิงคอยจับจ้องอยู่มากมาย? แต่ไม่เป็นไร เจ้าสาวอย่างนางจะใช้มารยาที่มีปราบชายเจ้าชู้ให้อยู่หมัด มัดใจเขาไว้กับนางแต่เพียงผู้เดียว ส่วนหญิงสาวเหล่านั้นน่ะหรือ… ‘จงใช้เสน่ห์ที่มีอยู่ให้เต็มที่เถิด ก่อนจะต้องอกแตกตายด้วยฝีมือข้า!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset