เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 100 ใจดำเกินไป

“คุณย่าทำแบบนี้ไม่ใจดำไปหรอครับ”
“เฉิน นี่แกเป็นอะไรไป?” คุณหญิงมองสำรวจไปที่หลานตัวเองเหมือนเขาเป็นคนที่เพิ่งรู้จักคนแปลกหน้า “ใจดำ? แต่ก่อนแกไม่เคยพูดอย่างนี้เลย แม้แต่ความเมตตาก็ไม่เคยเห็นบนตัวแก นี่แกเป็นอะไรกันแน่?ทำไมช่วงนี้เหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน?”
แต่ก่อนท่านจะจัดการเรื่องอะไรหรือจะจัดการใครสักคน เขาไม่เคยถามถึงเลยนอกจากผู้หญิงนามสกุลจูที่เขาไม่เชื่อฟังท่าน เรื่องอื่นท่านสามารถตัดสินใจเองได้เลย
แต่หลังจากที่เขาแต่งงานกับคุณหนูตระกูลไป๋ก็เปลี่ยนเป็นคนละคนไปเลย แถมตอนนี้ยังมีความเมตตาเกิดขึ้นด้วย
ไม่เพียงแต่คุณหญิงที่สับสนสงสัย หนานกงเฉินเองก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงเป็นอย่างนี้ เป็นเพราะผลกระทบจากผู้หญิงตรงหน้าคนนี้หรอ เขาคิดว่าอย่างนั้น
ถ้าไม่ใช่เขาเปลี่ยนไป เขาคงไม่แหกกฎตกลงให้เธอคลอดลูกหรอก แล้วยังมาเป็นห่วงว่าเธอจะเป็นอะไรไปอีก?
“นี่แกจะรับปากหรือเปล่า” คุณหญิงเร่งถามขึ้น
“ได้ ผมรับปาก” หนานกงเฉินพยักหน้า “คุณย่าไว้ใจเถอะครับผมจะตั้งใจไปหาผู้หญิงคนนั้นให้เจอ”
“ขอให้เป็นอย่างงั้น” คุณหญิงพูด “แต่เพื่อความมั่นใจ?ฉันจะช่วยหาอีกแรง”
หนานกงเฉินนิ่งเงียบไปหลายวิ สุดท้ายก็พยักหน้าตกลง
พอหนานกงเฉินกลับมาถึงชั้นสอง ก็เห็นไป๋มู่ชิงกำลังยืนรอเขาอยู่หน้าห้อง
เธอเพิ่งอาบน้ำเสร็จแล้วใส่ชุดนอนตัวใหญ่อยู่ เส้นผมที่ยังแห้งไม่สนิทพาดไว้ที่บ่าเธอ ดูไปช่างน่าหลงไหลเหลือเกิน
เมื่อกี้เธอเอาแต่แนบหูฟังอยู่ข้างประตู พอได้ยินเสียงฝีก้าวของหนานกงเฉินก็รีบเดินออกมารอ จนลืมใส่ลงเท้า
หนานกงเฉินไม่ต้องถามก็เข้าใจดีว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
“คุณย่าให้คุณรับปากอะไรท่าน?” เธอมองไปที่เขาด้วยสีหน้ากังวลใจ
“ไม่มีอะไร” หนานกงเฉินตอบสั้นๆ เขาคิดว่าไม่จำเป็นต้องบอกเธอ
ถึงแม้ไป๋มู่ชิงอยากรู้มากแต่เธอก็ดูออกว่าหนานกงเฉินไม่อยากบอกเธอเพื่อที่จะไม่ให้เขาหงุดหงิดเธอเลยยอมแพ้ที่จะถาม
หนานกงเฉินบิดลูกบิดประตูออกแล้วหันไปมองไป๋มู่ชิงที่ยังยืนอยู่ที่เดิมแล้วถามขึ้นว่า “ระหว่างฐานะคุณหญิงน้อยตระกูลหนานกงกับลูกถ้า เลือกได้หนึ่งอย่าง คุณจะเลือกอะไร?”
ไป๋มู่ชิงประหลาดใจไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “นี่เป็นเงื่อนไขของคุณย่าเหรอ?”
“คุณตอบผมมาก็พอฉัน”
“ฉัน……เลือกลูก” ไป๋มู่ชิงตอบอย่างไม่ต้องคิดเลย
ที่หนานกงเฉินถามอย่างนี้ก็เพราะมีตัวเลือกแบบนี้วางอยู่ต่อหน้าเขา เขาคาดเดาได้ว่าคุณหญิงก็อาจจะให้เธอเลือกเหมือนกัน ถ้าจะคลอดลูกก็ต้องออกไปจากตระกูลหนานกงซะ!
ถ้าเป็นอย่างนั้น เธอคงจะเลือกที่ไสหัวออกจากบ้านหนานกงนี้ไป
ยังไม่พูดถึงความแค้นระหว่างเธอกับหนานกงเฉิน ถึงจะทำเพื่อลูก เธอก็ไม่มีทางเสียสละลูกตัวเองเพื่อความรู้หรูหราในชีวิตของเธอหรอก ไม่งั้นเธอคงเสียใจไปตลอดชีวิตแน่
แต่คำตอบของเธอทำให้สีหน้าของหนานกงเฉินเปลี่ยนไป รู้สึกเหมือนโดนดูถูก
เขาเดินก้าวไปข้างหน้าแล้วใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้จับคางเธอขึ้น “ในใจคุณ ลูกสำคัญกว่าผมงั้นหรอ?”
คำตอบนี้ชัดเจนอยู่แล้ว เธอให้ความสำคัญลูกมากกว่า ถึงแม้วันนี้เขาจะช่วยเธอไว้แล้วให้โอกาสชีวิตเด็กคนนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถลบล้างความจริงที่เขาฆ่าคุณย่าของเธอได้
เธอดิ้นรนพักหนึ่ง แต่ก็ดิ้นไม่หลุดนิ้วมือเขายังเงยหน้ามองเขาอยู่อย่างนั้น เธอเลยเอ่ยขึ้นว่าถ้าฉันเลือกคุณลูกฉันก็จะต้องตาย แต่ถ้าฉันเลือกลูกคุณก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้”
เธอคิดว่าเหตุผลนี้สมเหตุสมผลมากจนเขาหาที่ติไม่ได้
“นี่เป็นสิ่งที่คุณเลือก ถ้าถึงเวลาคุณอย่าเสียใจแล้วกัน” หนานกงเฉินปล่อยตัวเธอสักทีแล้วหันหลังเดินเข้าห้องตัวเองไป
‘ปัง’ ปิดประตูเสียงดังใส่เธอ
ไป๋มู่ชิงยืนนิ่งมองประตูไม้อยู่อย่างนั้น ผ่านไปครู่หนึ่งค่อยดึงสติกลับมาแล้วสูดหายใจเข้าจากนั้นก็หันหลังเดินกลับเข้าห้องตัวเอง
ไปดูเหมือนว่าคุณหญิงไม่อยากได้ลูกคนนี้จริงๆเลยให้ทางเลือกที่เลือกยากขนาดนี้ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอควรจะทำยังไงต่อ จะบอกเรื่องนี้กับแม่ลูกตระกูลไป๋ยังไง
ถ้าพวกเธอรู้ถึงความคิดของคุณหญิง คงจะบังคับให้เธอทำแท้งแน่นอน
หลังจากผ่านเหตุการณ์ที่วุ่นวาย ชีวิตก็กลับสู่โหมดปกติ
แต่พอต้องเผชิญหน้ากับคุณหญิงก็รู้สึกได้ว่าท่าทางของท่านเปลี่ยนไป ไม่ถึงขั้นทารุณเธอแต่คำทักทายก็ดูเย็นชาไปกว่าเดิมมาก
แต่ท่าทางของคุณหญิงแบบนี้กลับทำให้ไป๋มู่ชิงรู้สึกสบายใจเพราะว่านี่เป็นนิสัยที่แท้จริงของท่านที่เข้มงวดแถมเย็นชาด้วย
เธอเองก็สงสัย.ท่าทางเย่อหยิ่งแถมเยือกเย็นของเขาคงมาจากคุณหญิงแน่ เพราะเขาโตมาในสภาพแวดล้อมแบบนั้น
ขณะที่กำลังทานข้าวเช้าคุณหญิงพูดกับไป๋มู่ชิงด้วยสีหน้านิ่งเฉยว่า “ในเมื่อเธอดื้อดึงจะคลอดเด็กคนนี้ออกมา ไม่ว่าเขาจะปกติหรือไม่เธอก็ต้องดูแลเขาให้ดี ฉันเหนื่อยกับเฉินมาแล้วครึ่งชีวิต ฉันก็แก่แล้วคงไม่มีกำลังที่จะไปดูแลเขาอีก”
“คุณย่าคะ หนูจะใช้ชีวิตของหนูในการดูแลเขา” ไป๋มู่ชิงพูดตอบ
“ใช้ชีวิตของตัวเอง” คุณหญิงยิ้มอย่างข่มขืนไม่ ไม่มีอะไรที่แน่นอน เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะสามารถอยู่กับเด็กคนนี้ได้นานแค่ไหน
ไป๋มู่ชิงไม่เข้าใจว่าท่านหมายความว่ายังไงเลยไม่รู้ว่าจะพูดตอบยังไงต่อ
ไป๋มู่ชิงหันไปมองหนานกงเฉินก็เห็นว่าสีหน้าเขานิ่งเฉยเหมือนกัน
เธอนึกถึงภาพเหตุการณ์คืนก่อนที่หนานกงเฉินให้เธอตัดสินใจ ที่คุณหญิงแสดงสีหน้าแบบนี้อาจจะเพราะว่าไม่แน่ใจว่าเธอจะสามารถอยู่ในบ้านตระกูลหนานกงนี้ได้อีกนานแค่ไหน?
ด้วยสถานการณ์ตอนนี้เธอก็คิดอะไรไกลไม่ได้คงต้องก้าวไปดูไปก่อน
หลังจากที่ทานอาหารเช้าเสร็จ ก่อนหนานกงเฉินออกไปก็หันมาบอกกับไป๋มู่ชิงว่า “คืนนี้จะทานข้าวข้างนอก เดี๋ยวฉันให้คนขับรถกลับมารับเธอ”
“กับใครคะ?” เธอถามอย่างสงสัย
หนานกงเฉินมองไปที่เธอ “นอกจากผมแล้วคุณอยากทานกับใคร”
ไป๋มู่ชิงมองตาขวางใส่เขา ในใจกำลังคิดว่าจะปฏิเสธยังไงดี
“พี่สะใภ้โดนพี่ชายรังแกขนาดนี้” ผู่เหลียนเหยามองไปที่มั้งสองแล้วหลุดยิ้มออกมา
“ใช่เหรอ เดี๋ยวผมจะลองรังแกคุณบ้าง ดูซี้ว่าจะทำตัวน่ารักเหมือนพี่สะใภ้หรือเปล่า” เซิ่งเคอโอบไหล่ของผู่เหลียนเหยาไว้ ขณะพูดก็เอนตัวไปจูบแก้มเธอด้วย
ผู่เหลียนเหยาจ้องเขาไป “นายกล้าเหรอ? ฉันไม่ได้รังแกง่ายเหมือนพี่สะใภ้หรอก”
“รู้ว่าเธอไม่ยอมง่ายๆหรอก” เซิ่งเคอดันตัวเธอเดินไปที่รถ “ไปกันเถอะ เดี๋ยวผมไปส่งที่โรงพยาบาล คืนนี้เราก็กินข้าวนอกบ้านกันเถอะ”
“ได้ ฉันอยากกินชาบู”
“ได้ครับ เอาเผ็ดๆหอมๆเลย”
ทั้งสองคุยเล่นกันแล้วขึ้นรถไปแล้วโบกมือให้หนานกงเฉินกับไป๋มู่ชิงก่อนจะขับรถออกไปประตูใหญ่บ้านหนานกง
มองพวกเขาออกไปไกลแล้ว หนานกงเฉินก็มองสำรวจไป๋มู่ชิงแล้วถามว่า “ทำไม? ไม่อยากไป?”
ถึงแม้เขาจะยอมตกลงให้เธอคลอดลูกออกมาแต่เขาก็รู้สึกได้นอกจากตอนนั้นที่เธอแสดงความตื้นตันขอบคุณเขา นอกจากนั้นก็มีแต่ความห่างเหินกับหลบหน้าเขา
เขาไม่เข้าใจทำไมเธอถึงเป็นอย่างนี้ แต่ทางเดียวที่เป็นไปได้คงเพราะว่าเธอกลัวว่าเขาจะบังคับให้เธอทำแท้งอีก ผู่เหลียนเหยาพูดถูก เขาขู่จนเธอเกือบจะเป็นเอ๋ออยู่แล้ว
ถึงแม้แต่ก่อนเขาจะไม่ค่อยดีกับเธอ แต่เธอก็ไม่เคยทำตัวห่างเหินแบบนี้กับเขา แถมยังโต้เถียงเขา สร้างความรำคาญให้เขาแล้วยังงี่เง่าใส่เขาอีก
อาจจะเป็นเพราะว่าตัวเองเลือดเย็นเกินไปจนเธอตกใจเป็นเอ๋อไปแล้ว
ความห่างเหินแบบนี้ทำให้เขาไม่พอใจมาก เขาคิดว่าในเมื่อตกลงให้เธอคลอดลูกคนนี้แล้ว ความแค้นระหว่างกันก็จะลดลงไปได้ ก็ไม่ต้องทำสงครามเย็นแบบนี้อีก เพราะแบบนี้เขาเลยพูดขึ้นว่าคืนนี้จะรับเธอไปทานข้าวด้วยกัน
แต่ว่า การถอยยอมของเขา ความหวังดีของเขากลับถูกเหยียบย่ำ
“ขอโทษนะคะ วันนี้ฉันนัดกินข้าวกับเสียวเหม่ยไว้แล้ว”เธอพูด
สุดท้ายก็ปฏิเสธเขา! ดีมาก!
หนานกงเฉินกัดฟันพูดแล้วพยักหน้า “ทานให้อร่อยครับ”
พูดจบเขาก็เดินตรงไปที่รถจากนั้นก็หายออกจากสายตาเธอ
ไป๋มู่ชิงก็ไม่ได้ยืนอยู่ที่ประตูนานมากก็หันหลังเดินกลับห้องไปแล้วเปลี่ยนชุดตัวใหญ่โคร่งๆมาใส่
แต่ก่อนเอาแต่หลบๆซ่อนๆเธอเลยไม่กล้าซื้อชุดคนท้องมาใส่เลยไม่มีสักชุดที่ใส่แล้วรู้สึกสบายตัว แต่ตอนนี้สามารถใส่ได้แล้ว แถมยังมีชุดเด็กที่ครั้งก่อนที่หนานกงเฉินบังคับให้เธอซื้ออีก
ถึงแม้จะไม่อยากออกไป แต่ยังไงก็ต้องไปพูดคุยกับคนตระกูลไป๋ให้เคลียร์ แล้วกี่วันนี้ซูวยาหยงก็เร่งเธอแล้วหลายครั้งแล้ว
หลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จ ไป๋มู่ชิงก็ออกบ้านไป
ก็ยังคงเป็นร้านกาแฟ แล้วเธอจองห้องส่วนตัวไว้เพราะเธอไม่เชื่อใจสองแม่ลูกนั้น
ไป๋มู่ชิงเปิดประตูกระจกของร้านกาแฟเพิ่งก้าวเข้าไปก็มีเงาที่คุ้นเคยเดินออกมา เธอพยายามขยับตัวหันข้างไปคิดว่าจะหลบสายตาของคนคนนั้นได้
“คุณหนูไป๋ บังเอิญจังเลยนะคะ” ถึงแม้เธอพยายามจะหลบหลีกแต่ก็หลบไม่ทันสายตาของเลขาเหยียน เมื่อเธอทักทายอย่างมีมารยาทขนาดนี้ไป๋มู่ชิงเลยหันกลับไปยิ้มกับเธอ “บังเอิญจังเลยค่ะ”
“ฉันมาพบลูกค้าค่ะ” ในมือเลขาเหยียนมีแฟ้มเอกสารอยู่ มองไปที่เธอเหมือนเธออยากจะพูดอะไรบางอย่าง
ไป๋มู่ชิงเดาได้ว่าเธออาจจะอยากอธิบายเรื่องครั้งก่อนแต่เธอไม่มีอารมณ์ฟังเลยยิ้มกับเธอแล้วเอ่ยว่า “ฉันนัดเพื่อนไว้ เข้าไปก่อนนะคะ”
“ค่ะ……ไว้เจอกันค่ะ” เลขาเหยียนพยักหน้าตอบรับแล้วเดินออกจากร้านกาแฟไป
เมื่อไป๋มู่ชิงเดินเข้าไปในห้อง ไป๋ยิ่งอันก็รีบพูดขึ้นอย่างเสียดสีว่า “หยิ่งยโสนัก ทุกครั้งเราก็ต้องรอเธอ”
ไป๋มู่ชิงยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาแล้วพูดอย่างเยาะเย้ยว่า “ไม่ใช่ว่าฉันมาสายหรอก แต่พวกคุณรีบร้อนแล้วมาเช้าต่างหาก”
ก็ใช่ ในใจพวกเขาตอนนี้คงร้อนรนมากคงกลัวว่าเธอจะหน้าด้านแตกหักกับพวกเขาไม่นับญาติแล้วดื้อดึงอยู่ในบ้านตระกูลหนานกงไม่ยอมออกไป
“พอแล้ว นั่งลงเถอะ” ซูวยาหยงเคยเห็นภาพที่เธอหัวดื้อจนไม่คิดชีวิต ก็เลยรู้ว่าเธอไม่ได้รังแกง่ายขนาดนั้นแล้วท่าทางที่มีต่อเธอก็เปลี่ยนไปบ้าง
ไป๋มู่ชิงไม่ได้นั่งลงแต่มองกวาดพวกเขาแล้วพูดว่า “ฉันไม่รู้หรอกว่าแผนการต่อไปของพวกเธอจะเป็นอะไร•แต่ฉันขอเตือนไว้นะ พวกคุณไม่จำเป็นต้องคิดหาวิธีบังคับให้ฉันทำแท้งหรอกเพราะมันเป็นเรื่องที่หนานกงเฉินก็บังคับไม่ได้ พวกคุณก็ยิ่งไม่ต้องคิดที่จะลอง”
เรื่องนี้ซูวยาหยงก็คิดถึงแล้วเลยเตือนไป๋ยิ่งอันว่าอย่าพูดบังคับให้เธอทำแท้ง ไม่งั้นเธอคงเป็นบ้าอีก
“หึ เด็กผิดปกติคนนึง ฉันจะรอดูว่าแกจะทำอะไรออกมาได้บ้าง” ไป๋ยิ่งอันพูดอย่างไม่แยแส
ไป๋มู่ชิงเริ่มโมโห “นี่เป็นลูกของฉัน•คุณให้เกียรติเขาด้วย”
“เด็กคนนี้ยังไงฉันก็ต้องมาช่วยเธอเลี้ยง หรือว่าเธอจะคิดว่าฉันจะเลี้ยงเขาเหมือนลูกในใส้หรอ? ฉันบอกแกไว้เลยนะ แกจัดการเขาตอนนี้ยังดีกว่า?มไม่งั้นรอเขาคลอด เขาก็จะโดนคนรอบข้างรังแกแล้วโดนแม่เลี้ยงอย่างฉันทารุณด้วย!”
“แก……!” ไป๋มู่ชิงโมโหจนพูดอะไรไม่ออก
ใช่สิ ทำไมเธอคิดไม่ถึงนะ? ไป๋ยิ่งอันจะดูแลลูกเธอดีดีได้ยังไง? ถ้าอีกหน่อยลูกของเธอถูกเลี้ยงดูด้วยตระกูลหนานกง สักวันคงโดนแม่เลี้ยงทารุณจนตาย
เมื่อซูวยาหยงเห็นว่าไป๋มู่ชิงโดนกระตุ้นต่อมอารมณ์ เลยยื่นมือไปดึงชายเสื้อไป๋ยิ่งอันไว้ “พอแล้ว ลูกอย่าขู่เธอเลย”
พูดจบก็มองตาขวางใส่เธอแล้วพูดกับว่าไป๋มู่ชิง “แกอย่าฟังที่ยิ่งอันพูดเลย ยังไงนี่ก็เป็นสายเลือดของตระกูลหนานกง ในความดูแลของคุณหญิงเธอก็ไม่กล้าทำอะไรเด็กหรอก”
ไป๋มู่ชิงหลับตาลงแล้วสูดหายใจเข้า “พูดมาเลยดีกว่า ต่อไปพวกเธอคิดจะทำอะไร”
“ในเมื่อเธอดื้อดึงจะคลอดเด็กคนเดียวมาก็ต้องรอให้เด็กคลอดแล้วค่อยสลับตัว ค่อยทำตามแผนเดิม” ซูวยาหยงจ้องมองไปที่เธอแล้วพูดว่า “แต่ว่าครั้งนี้อย่าให้มีอะไรผิดพลาด ไม่งั้น…… ฉันไม่ใช่แค่ขู่แกแน่ ทุกคนมีจำกัดเข้าใจไหม?”
ไป๋มู่ชิงไม่พูดอะไรแล้วซูวยาหยงเอ่ยต่อว่า “แกบอกว่าแกอยากเก็บเด็กคนนี้ไว้ ฉันยอมถอยก้าวแล้วทำตามแก แต่แกก็อย่าได้คืบจะเอาศอก ควรจะรู้จักพอด้วย”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ไป๋มู่ชิงถึงอ้าปากพูดว่า “ไว้ใจได้ ครั้งนี้ไม่มีอะไรผิดพลาดแน่นอน”
“อีกอย่าง อยู่ดีดีก็สลับตัวกันหนานกงเฉินคงสังเกตความผิดปกติได้ เพราะฉะนั้นถึงเวลาแกก็หาข้ออ้างแล้วออกจากบ้านไปสักเดือนสองเดือน รอเด็กคลอดแล้วค่อยบอกพวกเขา”
“ได้” ไป๋มู่ชิงพยักหน้าตอบรับ
เธอไม่กล้าคิดสถานการณ์นั้นเลย เธอแอบคลอดเด็กออกมาแล้วให้ผู้หญิงที่จิตใจอำมหิตอย่างไป๋ยิ่งอันเลี้ยงดูแล้วค่อยอุ้มกลับไปให้คนตระกูลหนานกง ถ้าอารมณ์ดีอาจจะดีกับเด็กหน่อย แต่ถึงเวลาอารมณ์ไม่ดีล่ะ……
แล้วเธอล่ะ? ก็ต้องหลบซ่อนตัวเอาไว้พร้อมกับความเจ็บปวดที่ถูกแยกออกจากลูก
ถ้าเป็นอย่างนั้น เธอจะมีชีวิตรอดได้ยังไง?
อยู่ๆตัวเธอก็สั่นอย่างไม่รู้ตัวจากนั้นก็รีบดึงเสื้อเข้ามาให้แน่นแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวกลับก่อน”
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง” ซูวยาหยงใช้คางยื่นไปทางนิ้วมือขวาของเธอ “ระหว่างนี้ก็คิดหาวิธีถอดแหวนออกมาให้ได้”
ถึงแม้เธอจะจ้างคนทำแหวนเพชรที่เหมือนเป๊ะขึ้นมาอีกอัน ถึงมองด้วยสายตาเปล่าก็แยกไม่ออกอยู่ดี แต่ถ้าเป็นไปได้ถอดออกมาจะดีที่สุด
ไป๋มู่ชิงพยักหน้ารับ “ฉันจะพยายาม”
ก่อนเดินออกไป ไป๋มู่ชิงคิดไปคิดมาสุดท้ายก็ย้ำเตือนกับเขาอีกว่า “คุณหญิงหนานกงเป็นคนที่หัวแข็งมาก ถ้าคุณหนูไป๋เข้าไปแล้วอาจจะใช้ชีวิตไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิดไว้……”
“แกไม่ต้องมาพูดให้ฉันกลัว!” ไป๋ยิ่งอันไม่รอให้เธอพูดจบก็พูดแทรกขึ้น
เธอไม่เชื่อหรอกผู้หญิงบ้านนอกอย่างไป๋มู่ชิงยังใช้ชีวิตในบ้านหนานกงได้ดีขนาดนั้น แถมยังได้ใจของหนานกงเฉินมาด้วย แต่เธอเป็นถึงหนูสูงส่ง ทำไมจะอยู่ไม่ได้?
ภาพเหตุการณ์บนสะพานที่สนามบินที่หนานกงเฉินจูบไป๋มู่ชิง จนวันนี้เธอก็ไม่ลืม
เมื่อโดนเธอเถียงกลับอย่างนี้ ไป๋มู่ชิงก็ขี้เกียจที่จะสนใจเธออีกแล้วเดินออกจากห้องไป
แต่ไป๋มู่ชิงไม่ได้เดินออกจากร้านกาแฟแต่กลับเดินไปยังอีกห้องหนึ่ง เธอเคาะประตูแล้วจากนั้นก็เดินเข้าไป
ในห้องเหยาเหม่ยกับซูเจี้ยกำลังพูดคุยหัวเราะอะไรสักอย่างแต่พอเห็นเธอเดินเข้าไป ซูเจี้ยก็รีบหลบสายตาแล้วเก็บรอยยิ้มบนใบหน้ากลับไป
เหยาเหม่ยมองไปที่ไป๋มู่ชิงที่เปิดประตูเข้ามาแล้วเอ่ยถามว่า “ไหนบอกว่าจะมีคนมาอีกล่ะ? ไหนล่ะ?”
“พวกเขากลับไปแล้ว” ไป๋มู่ชิงเดินไปนั่งลงข้างตัวเหยาเหม่ยพร้อมพูดว่า “ครั้งก่อนยังไม่ได้ขอบคุณเธอดีดีเลย”
ซูเจี้ยยังก้มหน้าแล้วใช้หลอดคนน้ำผลไม้ในแก้วแล้วพูดเสียงปกติว่า “ครั้งก่อนเธอขอบคุณแล้ว มีอะไรก็พูดมาตรงตรงเถอะ”
เธอเงยหน้าขึ้น “ครั้งนี้อยากให้ฉันช่วยทำอะไรอีกล่ะ?”
“นี่เสี่ยวเจี้ย เมื่อกี้มู่ชิงก็พูดในโทรศัพท์แล้วว่าวันนี้มาก็เพื่อขอบคุณเธอนะทแล้วสั่งสอนฉันมไม่ใช่จะให้เธอช่วยอะไรหรอก”
“ใช่หรอ?” ซูเจี้ยขยับมุมปากขึ้นแบบเยาะเย้ย
ไป๋มู่ชิงมองไปที่เธอแล้วถอนหายใจเบาๆ “เหมือนจะเป็นอย่างนี้จริงๆ ทุกครั้งที่หาตัวเธอมาก็เพราะมีจุดประสงค์แต่ว่าครั้งนี้ฉันแค่อยากขอบคุณเธอจริงๆไม่ได้มีอะไรอย่างอื่นเลย”
“ช่างเถอะ ยังไงฉันก็ชินแล้วที่เธอเอาแต่ขอร้องให้ช่วยครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกัน” ซูเจี้ยพูดอย่างไม่แยแสแล้วยักไหล่
ไป๋มู่ชิงหัวเราะขึ้นแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
เหยาเหม่ยมองกวาดไปที่ทั้งสองแล้วดึงแขนให้เธอหันมา?”พอแล้ว ถึงตาฉันแล้ว เธอด่าฉันเถอะตีฉันก็ได้ ฉันมันไม่ใช่คน ฉันปากโป้ง ถ้าเธอไม่ตบฉันฉันคงทำใจไม่ได้”
“ถ้าฉันตบเธอแล้วมีประโยชน์ ฉันคงจะอยากชกเธอให้สลบไปพูด” ไป๋มู่ชิงพูดอย่างหงุดหงิด
“ห๋า?”
“ห๋าอะไร? ไม่สมควรหรอ?”
“ขอโทษ” เหยาเหม่ยพยายามเอาอกเอาใจเธอแล้วจับแขนเธอไว้ “ก็เป็นเพราะเลขาเหยียนนั่นถ้า เธอไม่ขู่ฉันแล้วยังพูดถึงความดีที่เขาเคยทำให้เธออีก ว่าเขาเป็นห่วงเธอมากแค่ไหนใส่ใจเธอมากแค่ไหน ยังบอกว่าคืนนั้นเขาขับรถออกไปหาเธอคนเดียวที่ริมแม่น้ำด้วย
“จะบ้าหรอ!” คำพูดนี้ไม่ได้ออกจากปากของไป๋มู่ชิงแต่เป็นคนตรงข้ามอย่างซูเจี้ยต่างหาก
ทั้งสองที่นั่งอยู่ข้างข้างตกใจแล้วมองไปที่เธอ
ซูเจี้ยวางแก้วผลไม้ลงที่โต๊ะ “ถ้าเขาดีขนาดนั้นจริง ทำไมจะเก็บเด็กไว้ไม่ได้? ทำไมต้องใช้วิธีที่สกปรกแบบนี้บังคับให้มู่ชิงทำแท้งด้วย?”
เหยาเหม่ยอ้าปากพูดว่า “ก็ตอนนี้เขาก็ยอมรับแล้วนี่? ไม่งั้นมู่ชิงจะมีอารมณ์มาดื่มกาแฟกับเราได้ยังไง?”
“เธอพูดว่าอะไรนะ?” ซูเจี้ยอึ้งไปแล้วหันไปทางไป๋มู่ชิง “เธอตัดสินใจที่จะคลอดเด็กคนนี้หรอ”
ไป๋มู่ชิงพยักหน้า “ใช่ หนานกงเฉินก็ตกลงแล้ว”
“เธอบ้าหรอ?” ครั้งนี้ซูเจี้ยไม่ได้วางแก้วน้ำลงแต่กลับยันตัวลุกขึ้นมาทันที จนไป๋มู่ชิงกับเหยาเหม่ยตกใจไปอีกรอบ
ซูเจี้ยไม่สนใบหน้าอึ้งประหลาดใจของทั้งสองพร้อมจ้องมองพูดไปที่เธอว่า “เธอจะคลอดลูกเพื่อผู้ชายแบบนี้หรอ? เธอยังเหลือศักดิ์ศรีอยู่หรือเปล่า? เขาทำอะไรกับเธอบ้างเธอไม่รู้หรอ? ถ้าไม่ใช่เขาแก้……” ซูเจี้ยหยุดพูดไปแล้วกัดฟันเปลี่ยนประเด็นว่า “เธอคิดว่าเขาจะหลงรักผู้หญิงคนหนึ่งได้จริงหรอ?เขาจะใส่ใจเธอจริงหรอ? ถ้าเขาดีขนาดนั้นฉันแต่งงานกับเขาไปตั้งนานแล้ว……!”
ซูเจี้ยรีบหุบปากหยุดพูดไปอีกครั้งแล้วกวาดมองสีหน้าที่ตกใจของทั้งสองจากนั้นก็ปรับน้ำเสียงแล้วนั่งกลับไปที่โซฟา
ไป๋มู่ชิงกับเหยาเหม่ยตกใจเพราะคำพูดสุดท้ายของเธอ ผ่านไปครู่หนึ่ง เหยาเหม่ยค่อยถามขึ้นว่า “ฉันเข้าใจนะที่เธอออกหน้าแทนมู่ชิง แต่ว่า ถ้าเขาดีขนาดนั้นเธอก็แต่งงานกับเขาไปแล้วหมายความว่า? ยังไงระหว่างเธอกับหนานกงเฉิน……?”
เธอยิ้มแห้งออกมาแต่ไม่ได้พูดออกไปตรงตรง
ซูเจี้ยมองตาขวางใส่เธอ “ฉันแค่รู้จักเขาดีกว่าพวกเธอ”
สถานการณ์ก็กลับมาเงียบอีกครั้ง แล้วไป๋มู่ชิงพูดขึ้นว่า “ฉันไม่ได้คลอดลูกเพื่อเขา ฉันทำเพื่อตัวเอง”
ซูเจี้ยยิ้มอย่างมีเลศนัย “ฉันคิดว่าเมื่อเธอรู้ว่าลูกในท้องผิดปกติก็จะทำแท้งสักอีก ไม่คิดว่าเธอจึงเป็นคนโง่ดื้อดึงขนาดนี้”
พูดจบเธอก็ยกแก้วน้ำขึ้นกระดกแล้ววางแก้วน้ำบนโต๊ะอย่างแรงแล้วพูดว่า “มีเพื่อนอย่างเธอ ฉันน่ะรู้สึกละอายใจมาก!”
จากนั้นเธอก็ก้าวออกจากห้องนี้แล้วเดินออกไป
ในห้องเงียบสงัดไปคู่หนึ่ง ก่อนที่ทั้งสองถึงหันมามองหน้ากัน
“เธอเป็นอะไรน่ะ?” ไป๋มู่ชิงเอ่ยขึ้นก่อน ไม่ได้ติดต่อกันครึ่งปีเธอเปลี่ยนไปขนาดนี้เลยหรอ?
“แอบชอบสามีเธอ?” เหยาเหม่ยเผลอพูดออกมาจนไป๋มู่ชิงต้องใช้ศอกสะกิดที่แขนแล้วก็ตอบกลับมาว่า “ทำไม? ก็ตอนนี้มีเทรนฮิตว่าเพื่อนสนิทแย่งสามีไม่ใช่หรอ? ก็ปกตินี่”
“ก็เธอแต่งงานกับคุณชายเฉียวแล้วไม่ใช่หรอ? แถมยังหล่อด้วย” ยังไงไป๋มู่ชิงก็ไม่อยากเชื่อว่าระหว่างซูเจี้ยกับหนานกงเฉินจะมีความสัมพันธ์กัน
“ฟังจากที่ฉันพูดหรอ?” เหยาเหม่ยมองเธอด้วยสีหน้าครุ่นคิด “แล้วเธอได้ยินหรือเปล่าล่ะ ที่ฉันบอกว่าคุณชายเป็นผู้ชายที่เจ้าชู้มาก วันวันก็เอาแต่ไปเที่ยวมีผู้หญิงข้างกายเยอะจนเปิดเป็นโรงเรียนได้ แล้วขอถามหน่อยผู้ชายแบบนี้ซูเจี้ยจะชอบได้ยังไง? ถ้าฉันนดูไม่ผิดพวกเขาคงอยู่กันได้ไม่กี่วันก็หย่ากันแล้ว”
ด้วยนิสัยของซูเจี้ย ยังไงก็ต้องหย่าอยู่ดี
พอมาคิดถึงหนานกงเฉินก็ไม่ได้ดีกว่าคุณชายเฉียว ซูเจี้ยก็พูดถูก เธอช่างไร้ศักดิ์ศรีเหลือเกินถึงได้เกิดความรู้สึกดีดีกับผู้ชายแบบนี้
ไป๋มู่ชิงหัวเราะออกมา “พอแล้ว ไม่ว่ายังไงพวกเขาก็ยังเป็นสามีภรรยากันอยู่ แกก็ทำบุญเยอะเยอะเถอะ”
“แค่ในนามเท่านั้น พวกเขาแยกห้องนอนกันตลอด ถ้าเจอชีวิตหลังแต่งงานแบบนี้ก็คงจะปวดหัวแหละ” เหยาเหม่ยพูดจบก็คล้องแขนของไป๋มู่ชิงไว้แล้วพูดยิ้มว่า “เอาล่ะ ไม่พูดถึงพวกเขาแล้ว ไปกันเราไปเดินช้อปปิ้งกัน”

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset