เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 102 โรคกำเริบ

หนานกงเฉินล้างมือพร้อมใช้ทิชชูเช็ดหยดน้ำในมือไปด้วยแล้วกลับมายืนต่อหน้าไป๋มู่ชิง เขารู้สึกได้ว่าไป๋มู่ชิงอึดอัดเลยเลิกคิ้วถาม “ไม่ชอบอาหารตะวันตกหรอ?”
“แค่ไม่ชอบทานแบบเว่อวังแบบนี้” ไป๋มู่ชิงพูด
“คุณชายรองตระกูลหลินไม่เคยพาเธอมาหรอ?”
ไป๋มู่ชิงไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆเขาถึงเอ่ยถึงหลินอันหลาน เธอสายหัวไปมา
ความจริงหลินอันหนานเคยพาเธอมาแล้ว ครั้งนั้นเธอก็ขายหน้ามากยังสาดไวน์เลอะเต็มโต๊ะ แต่ถึงแม้ครั้งนั้นจะขายหน้าแต่ก็มีความสุขเพราะว่าหลินอันหนานไม่รู้สึกว่าเธอทำตัวน่าอายแถมยังพูดยิ้มๆอธิบายแทนเธอด้วย
ถ้าไม่ใช่เพราะความผิดพลาดของครั้งก่อนเธอก็คงไม่รู้สึกเกร็งเมื่อต้องมาสถานที่แบบนี้อีก
ที่เธอส่ายหน้าก็เพราะว่าไม่อยากทำให้หนานกงเฉินรู้สึกไม่สบอารมณ์กับเรื่องนี้
“ในเมื่อไม่ชอบงั้น เราก็เปลี่ยนร้านกัน” หนานกงเฉินลุกขึ้นแล้วลากเธอขึ้นด้วย จากนั้นก็เอาเสื้อคุมตัวเธอ
ไป๋มู่ชิงไว้ถูกบังคับให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้พร้อมมองไปที่เขา “ที่นี่จองไว้แล้วไม่ใช่เหรอ?”
“จองแล้วก็ยกเลิกได้”
“แล้วเราไปกินกันที่ไหน” ไป๋มู่ชิงรีบเดินตามเขาออกจากห้องไป
“ไป……” หนานกงเฉินคิดไปคิดมาแล้วหันมามองเธอ “ไปกินชาบูเป็นยังไง?”
“ห๋า?” ไป๋มู่ชิงคิดว่าตัวเองหูฝาด
เขาอยากกินชาบูงั้นหรอ? ไม่เหมือนกับสิ่งที่เขาทำได้เลย
เธอจำได้พี่เหอเคยบอกเกี่ยวกับโรคของเขา นอกจากจะดื่มมากไม่ได้จะสูบมากไม่ได้แล้วก็ไม่ควรทานอาหารที่แคลอรี่เยอะด้วย แต่ชาบูนี่ทั้งทำให้ร้อนในแล้วแคลอรี่ก็เยอะด้วย
ตั้งแต่เด็กเขาไม่เคยแตะชาบูเลย เหตุผลหลักๆก็เพราะด้วยฐานะตำแหน่งของเขาด้วย
“ไม่อยากไป?” หนานกงเฉินคิดลังเล “ก็จริง เมื่อวานคุณเพิ่งกินไป”
“ไม่ ฉันกำลังคิดว่าคุณไม่ควรกินอาหารที่ทำให้ร้อนในแบบนั้น” ไป๋มู่ชิงพูด
เธอไม่กลัวหรอกเพราะว่าร่างกายเธอดีตั้งแต่เด็กไม่ว่าจะของเย็นของร้อนของเผ็ดเปรี้ยวหวานแค่ไหนก็ทำอะไรเธอไม่ได้ แถมชาบูนี้ยังเป็นของชอบของทุกคนด้วย ให้เธอกินติดต่อกันสามวันยังได้เลย
“คนท้องอย่างเธอยังกินได้ ทำไมผมจะกินไม่ได้?” หนานกงเฉินเอ่ยอย่างไม่พอใจ
“ร่างกายฉันแข็งแรงกว่าคุณ อีกอย่าง……คุณไม่กลัวคุณย่ารู้แล้วจะตีคุณเหรอ?”
“ผมโตขนาดนี้แล้วยังกลัวคุณย่าตีอีกเหรอ? แถม……” หนานกงเฉินทอดมองไปที่เธอ “เมื่อคืนคุณยังแอบไปกินเลย งั้นวันนี้ผมก็จะแอบไปกิน”
ไป๋มู่ชิงจ้องมองไปที่เขาแล้วก็นึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่เขาจูบเธอ เขาบอกว่าเขาอยากจะลิ้มลองรสชาติของชาบูว่าเป็นยังไง โตจนอายุจะสามสิบละ เขาไม่รู้งั้นเหรอว่าชาบูรสชาติยังไง น่าเศร้าจริงๆ
ถ้าเขาอยากลองขนาดนั้นก็ไปกับเขาสักครั้งก็ได้
ลิฟต์มาถึงแล้ว ทั้งสองเดินเข้าไปในลิฟต์
ร้านอาหารนี้อยู่ชั้นแปดเมื่อลิฟท์ผ่านชั้นเจ็ดอยู่อยู่ก็มีคนเดินเข้ามาไม่น้อย ไป๋มู่ชิงกลัวว่าตัวเองจะโดนผลักเหมือนครั้งก่อนร่างกายเลยขยับถอยไปเลยหลบอยู่มุมทันที
จากนั้น ร่างกายก็ถูกโอบกอดเข้าไปในอ้อมแขน เธออึ้งไปพร้อมหันไปมองหนานกงเฉิน แต่เขากลับไม่รู้สึกอะไรท่าทางยังดูปกติเหมือนทำทุกวัน
เมื่อลิฟต์จอดที่ชั้นหนึ่ง หนานกงเฉินใช้แขนอีกข้างมาบังตัวเธอไว้แล้วเดินออกไป อย่างที่เห็น เขากลัวเรื่องครั้งก่อนจะซ้ำรอยมากกว่าเธออีก
เมื่อทั้งสองเข้าไปนั่งในรถของหนานกงเฉินแล้ว หนานกงเฉินก็หันมาถาม “เรื่องชาบูคุณชำนาญกว่า คุณว่าไปกินที่ไหนดี”
ไป๋มู่ชิงครุ่นคิด “งั้นเราไปกินร้านเมื่อวานดีกว่า ร้านนั้นมีเมนูน้ำใสแล้วรสชาติก็อร่อยด้วย”
ใบหน้าเธอมีรอยยิ้มสดใสที่ยากจะแสดงออกมา
หนานกงเฉินมองไปที่เธอ เขาจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองไม่ได้เห็นรอยยิ้มแบบนี้บนหน้าเธอนานแค่ไหนแล้ว ดินเนอร์ใต้แสงเทียนในร้านอาหารหรูหราก็ยังเทียบชาบูธรรมดาไม่ได้หรอ?
เมื่อวานไปมู่ชิงกินกับเหยาเหม่ยแล้วก็หยวนกวย ร้านอยู่ใกล้ใกล้ศูนย์วัฒนธรรม ถึงแม้จะไม่ใช่ร้านหรูหราอะไรแต่ก็ตกแต่งดูสวยแถมยังสะอาดด้วย
หนานกงเฉินจอดรถตรงลานจอดรถหน้าร้านแล้วเดินเข้าไปในร้านกับไป๋มู่ชิง ไม่นานเซิ่งเคอกับผู่เหลียนเหยาก็ตามมาด้วย
เซิ่งเคอบังคับรถให้เข้าที่จอดรถ ผู่เหลียนเหยาที่สายตาแหลมก็รีบตบสะกิดที่แขนเขา “รอก่อน”
“ทำไม?” เซิ่งเคอเหยียบเบรกให้รถจอดนิ่ง
ผู่เหลียนเหยาใช้คางชี้ไปทางรถหรูสีดำหน้าที่จอดอยู่หน้าร้านชาบู “นั่นเป็นรถของพี่ชายไม่ใช่หรอ?”
“ใช่ ทำไมพี่ชายถึงอยู่ที่นี่ได้?” เซิ่งเคอก็มองสำรวจรถสีดำคันนั้นตามไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ “นี่เป็นร้านชาบูนะ พี่ชายไม่เคยกินอะไรแบบนี้หรอก แปลกจัง”
“ทำไมเขาไม่กินชาบูล่ะ?”
“หมอบอกว่าเขาทานอาหารที่แคลอรี่เยอะแบบนี้ไม่ได้” เซิ่งเคอยื่นคอมองเข้าไปในร้านแล้วหัวเราะออกมา “ก็ดี จะได้ให้พี่ชายเลี้ยงด้วย”
“ฉันเดาเลยว่าพี่ชายมาที่แบบนี้ต้องมากับพี่สะใภ้แน่ๆ นายยังจะไปเป็นกอขอคออีกหรอ?”
“ทำไมล่ะพวกเขาก็เป็นกอขอคอของเราเหมือนกันไม่ใช่หรอ?”
“ไม่ได้ แค่พี่ชายไอเสียงเดียวฉันยังกลัวเลย มีกอขอคออย่างเขาฉันกินไม่ลงหรอก” ผู่เหลียนเหยาคล้องแขนเขาไว้ “เราไปกินร้านอื่นได้ไหม? เราไปกินกันเองเถอะ”
“ได้สิ แล้วแต่เธอเลย” เซิ่งเคอยิ้มพร้อมยื่นมือไปยีหัวเธอ “เธอยังตามใจฉันเลื่อนมากินวันนี้ได้ ฉันจะไม่กล้าตามใจเธอเปลี่ยนร้านได้ยังไง?”
“ชอบที่นายเข้าใจฉันแบบนี้ที่สุด” ผู่เหลียนเหยาเอนตัวไปซบที่ไหล่เขาด้วยใบหน้ายิ้มมีความสุข
เซิ่งเคอก็ก้มลงไปจูบเธอด้วยความหลงรัก จากนั้นก็กลับรถไปจากที่นี่
หนานกงเฉินมองกวาดไปที่เมนูสุดท้ายก็ให้ไป๋มู่ชิงเป็นคนสั่ง ไป๋มู่ชิงไม่ได้คิดอะไรมากเลยสั่งชุดเซตสำหรับสองคนมา
“ไม่ทราบว่าจะรับเครื่องดื่มหรือว่าเบียร์ดีคะ?” พนักงานถามขึ้นอย่างมีมารยาท
“น้ำผลไม้สองแก้วก็พอ” หนานกงเฉินพูดขึ้น
“เป็นน้ำผลไม้หนึ่งแก้วกับหวังเหล่าจี๋หนึ่งกระป๋องดีกว่า” ไป๋มู่ชิงพูดเสริมอีกว่า “ขอเพิ่มพายเนื้อแกะด้วยค่ะ”
“ได้ค่ะ รอสักครู่นะคะ” พนักงานรับออเดอร์ไป
พนักงานรีบเสิร์ฟผลไม้แก้วกับหวังเหล่าจี๋มา ไป๋มู่ชิงก็ดันหวังเหล่าจี๋ไปที่หนานกงเฉิน แต่หนานกงเฉินปฏิเสธทันที “ผมไม่ชอบดื่มอะไรแบบนี้”
“อันนี้เป็นชาทานคู่กับชาบูอร่อยมาก” ไป๋มู่ชิงยัดเยียดชานี้ให้เขา “ชานี้ดับร้อนในได้ดี”
“แล้วทำไมคุณไม่ดื่ม?” ไป๋มู่ชิงไม่รู้จะตอบยังไง เธอยอมรับได้หรือเปล่าว่าเธอไม่ชอบรสชาติของชานี้เลย?
หลังจากนั้นของที่ไป๋มู่ชิงสั่งไว้ก็เสิร์ฟต่อๆกันมา เธอนำจานที่มีพายเนื้อแกะยื่นไปตรงหน้าของหนานกงเฉิน “พายเนื้อแกะที่นี่อร่อยมากคุณลองกินสิ”
หนานกงเฉินมองไปที่รูปลักภายนอกที่ดูปกติของพายนี้แล้วคีบคำเล็กๆคำนึงกิน รสชาติอร่อยไม่แพ้ภัตตาคารหรูในโรงแรมเลย
“อร่อยไหม?” ไป๋มู่ชิงถามขึ้นด้วยสีหน้าคาดหวัง
“ก็ไม่เลว คุณก็กินสิ” หนานกงเฉินพยักหน้าแล้วคีบไปให้เธอชิ้นหนึ่ง
หลังจากรู้ว่าไป๋มู่ชิงท้อง ทั้งสองก็ไม่เคยกินข้าวด้วยกันแบบนี้เลย วันนี้เป็นมื้อแรกก็ยังถือว่าผ่านไปได้อย่างราบรื่น
หนานกงเฉินที่ทำตามเธอไปอย่างไม่รู้กับของใหม่ๆอย่างนี้ ไป๋มู่ชิงก็ลืมความแค้นไปชั่วขณะ ลืมทั้งอดีตแล้วก็อนาคต พร้อมทุ่มเททั้งกายใจแล้วรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยไปพร้อมกับเขา
เมื่อใกล้ทานเสร็จเธอก็ถามเขาด้วยสีหน้าสงสัย “ลิ้มลองออกมาหรือยัง? ว่าชาบูรสชาติยังไง?”
หนานกงเฉินกำลังใช้ทิชชูเช็ดปากอยู่ก็หยุดลง “ก็ดีกว่าที่ผมคิด” พูดจบเขาก็เบี่ยงตัวมามองเธอ “ทำยังไงดี? ถ้าเกิดผมติดขึ้นมาแล้วอีกหน่อยมากินทุกวันทำยังไงดี?”
“คุณว่าล่ะ?” ไป๋มู่ชิงไม่รู้จะพูดยังไง
“ผมคิดว่าคุณย่าคงตีคุณตาย”
ไป๋มู่ชิงขนลุกซู่ขึ้นมา เธอคิดว่าเป็นไปได้ แต่โดนตีตายดีกว่า อย่าใช้กฎตระกูลกับเธออีกก็พอ!
เมื่อทั้งสองเช็คบิลเสร็จก็เดินออกจากร้านชาบู ไป๋มู่ชิงก็เห็นโพสตอร์นิทรรศการภาพวาดที่ติดอยู่ที่ประตูศูนย์วัฒนธรรมข้างบนนั้นบอกว่ามีนิทรรศการใหม่กำลังจัดแสดงอยู่
เธอหันไปมองหนานกงเฉิน พอดีกับหนานกงเฉินก็หันมาทางเธอ
หนานกงเฉินคิดลังเลก่อนจะเอ่ยว่า “ไปเถอะ เข้าไปดูกัน”
ไป๋มู่ชิงประหลาดใจแล้วหันไปมองเขาอีกรอบ เขาพูดว่าอะไรนะ? เขาจะไปดูนิทรรศการรูปกับเธองั้นหรอ?
เหมือนเขาจะรู้สึกได้ถึงความประหลาดใจของเธอก็เลยพูดเสริมว่า “กินจนอิ่มแล้ว ก็ต้องเดินย่อยสักหน่อย”
ถึงแม้ฟังดูแล้วเขาจะทำเพื่อตัวเองแต่ยังไงไป๋มู่ชิงก็ยังตื้นตันพร้อมกับพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปในศูนย์วัฒนธรรมพร้อมกับเขา
ความจริงเธอมาชมเองพรุ่งนี้ก็ได้แต่เมื่อกี้กินอิ่มจนจุกเล็กน้อยถ้าขึ้นรถไปตอนนี้คงไม่สบายตัวแน่ๆแล้วนิทรรศการก็อยู่ตรงหน้า เข้าไปเดินเล่นสักหน่อยก็ยังดี
ในนิทรรศการก็เปลี่ยนรูปใหม่แล้วตามที่บอก หนานกงเฉินไม่รู้สึกสนใจกับรูปพวกนี้เลยแค่มองผ่านแว๊บเดียว ซึ่งตรงกันข้ามกับไป๋มู่ชิงที่ตั้งใจดูภาพ เมื่อหนานกงเฉินกวาดมองทั้งหมดแล้วออกมา แต่กลับเห็นว่าเธอยังหยุดอยู่โซนแรกอยู่
“ผู้ชายวัยกลางคนที่ทั้งเตี้ยทั้งอ้วนแล้วก็เหมือนลูกบอล ดึงดูดคุณขนาดนี้เลยเหรอ?” หนานกงเฉินเอ่ยขึ้นมา เขาที่เดินออกมาแล้วก็ยังเห็นไป๋มู่ชิงจ้องมองผู้ชายในภาพอย่างไม่ละสายตา ในใจเขาก็รู้สึกแปลกๆ แล้วมองตามเธอไปสักพักก็ไม่เห็นว่าภาพนี้มีตรงไหนที่น่าดึงดูดเลย
“คุณจะเข้าใจอะไร นี่เป็นภาพวาดของจิตรกรหญิงลอเอลล่าที่เธอชอบวาดที่สุดก็คือสามีเธอ วาดตั้งแต่หนุ่มๆจนถึงตอนนี้ คุณดูภาพนี้สิ” ไป๋มู่ชิงเดินเข้าไปไม่กี่ก้าวพร้อมชี้หนึ่งในภาพเหล่านั้น “คุณดูสิ นี่เป็นภาพที่พวกเขาเพิ่งแต่งงานจนตอนนี้ก็เกือบ 20 ปีแล้ว”
ก็จริง ผู้ชายในรูปเป็นคนคนเดียวกับคนเมื่อกี้ซึ่งดูหนุ่มกว่าเยอะเลย แถมหัวก็ไม่ล้านไม่มีพุงด้วย
ไป๋มู่ชิงอธิบายอย่างใจเย็น “เธอรักสามีของเธอมาก คุณดูลายเส้นสิ ดูสีสันสิ เต็มไปด้วยความรักที่เข้มข้นทั้งนั้น แถมยัง……”
“ก็ไม่หล่ออยู่ดี” ผ่านไปคู่หนึ่งหนานกงเฉินก็เอ่ยขึ้น
ไป๋มู่ชิงหมดคำพูดทันทีพร้อมมองพลางใส่เขา คนที่ไม่ได้มีความชอบอะไรบางอย่างร่วมกันมันเป็นแบบนี้นี่เอง!
“ทำไม? ผมพูดผิดอะไร?” หนานกงเฉินแสดงสีหน้าอย่างไร้เดียงสา
ไป๋มู่ชิงมองไปที่เขาแล้วพูดใส่อารมณ์ขึ้นว่า “คุณมันหล่อ แต่คุณจะมีความอดทนที่ให้คนอื่นมานั่งวาดหลายๆชั่วโมงแบบนี้หรอ?”
“ลองดูสิจะได้รู้” หนานกงเฉินพูด
ตามหลักแล้วมันเป็นไปไม่ได้ แต่ว่า……เมื่อได้ยินคำบรรยายของเธอเกี่ยวกับสามีภรรยาคู่นี้ ถ้ามันมหัศจรรย์ขนาดนั้น ถ้าเปลี่ยนมาเป็นเธอที่จับดินสอวาดเขาแทน เขาก็พร้อมที่จะลอง
“จริงเหรอ?” ไป๋มู่ชิงไม่เชื่อว่าเขามีความอดทนนี้
“แน่นอน แต่ผมเกรงว่าถ้าแขวนรูปผมตรงนี้ คนคงเต็มแน่นแน่ๆ”
“คุณวางใจเถอะ ภรรยาของคุณไม่ได้มีชื่อเสียงอย่างลิเอลล่า คงไม่ได้มาโชว์นิทรรศการหรอก” แต่พอคิดๆดูถ้าได้มาแขวนในนิทรรศการจริง คนเต็มแน่นไปหมดแน่ๆ
หนานกงเฉินเป็นผู้ชายที่ลึกลับมีเสน่ห์อยู่แล้ว คนทั้งเมืองต่างก็สงสัยในตัวเขา ถ้านำภาพวาดของเขามาแขวนคงดึงดูดแฟนคลับมาได้ไม่น้อย
หรือถ้า……นำภาพวาดของเขาไปประมูลขายคงได้เงินก้อนโตแน่ๆ
หึ……เธอกำลังคิดอะไรเนี่ย? ทำไมถึงคิดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แบบนี้ ถ้าเอาภาพวาดเขาไปประมูลจริงคงโดนเขาบีบคอตาย
“ดูพอหรือยัง? ในนั้นมีสวยกว่านี้” หนานกงเฉินอีกพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
ไป๋มู่ชิงดึงสติกลับมาพยักหน้าให้แล้วเดินเข้าไปข้างใน
ไป๋มู่ชิงจมอยู่กับภาพวาดมาก กว่าจะดูภาพทั้งหมดเสร็จออกมาก็เห็นหนานกงเฉินนั่งเบื่ออยู่ที่โซฟาห้องรับรอง
เธอหยุดก้าวต่ออย่างเกรงใจ “ไปเถอะ เรากลับกันเถอะ”
“ดูจบละ?” หนานกงเฉินลุกขึ้นจากโซฟาพร้อมยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา
“อื้อ” ไป๋มู่ชิงพยักหน้าให้ ถ้ายังไม่กลับอีกเขาคงปิดประตูไล่แล้ว
ให้เขารอตัวเองนานขนาดนั้นเธอก็รู้สึกผิดแล้วยังแปลกใจด้วย ไม่คิดเลยว่าเขาจะอดทนรอได้ขนาดนี้
เมื่อทั้งสองกลับถึงบ้านคุณหญิงที่นั่งอยู่บนโซฟากำลังลุกจะเดินกลับไปนอน เมื่อเห็นทั้งสองเดินเข้ามาเลยเอ่ยถามว่า “ไปกินอะไรข้างนอกทำไมถึงดึกขนาดนี้?”
ไป๋มู่ชิงกับหนานกงเฉินมองสบตากันแล้วไม่ได้เอ่ยอะไร เธอจะบอกกับคนหญิงได้ยังไงว่าพวกเขาไปกินชาบู
หนานกงเฉินก็ไม่คิดที่จะบอกความจริงเลยตอบไปว่า “แค่กินอะไรรองท้องน่ะครับ”
“จะกินแค่รองท้องได้ยังไง?” คุณหญิงเริ่มพูดสั่งสอนขึ้นอย่างเคยชิน “บอกกับแกกี่รอบแล้วว่าแกไม่เหมือนคนอื่น อย่าไปกินอะไรเรื่อยเปื่อยข้างนอก ถึงจะกินก็ต้องกินในภัตตาคารในโรงแรมดีๆ”
“ครับคุณย่า ผมรู้แล้ว” หนานกงเฉินฟังอะไรพวกนี้จนหูชาแล้วเอ่ยขึ้นว่า “คุณย่ารีบกลับไปพักผ่อนเถอะครับ พวกเราก็จะขึ้นไปนอนแล้ว”
“ได้ อย่าลืมทายยาด้วยล่ะ” คุณหญิงพูดย้ำก่อนจะเข้าไปนอน
ทั้งสองขึ้นไปที่ชั้นสองด้วยกันแล้วแยกย้ายเข้าห้องตัวเองไป
หลังจากไป๋มู่ชิงอาบน้ำเสร็จกำลังจะเข้านอนก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดัง เธอเอ่ยตอบรับ เสี่ยวลวี่ก็ยกถ้วยยาเปิดประตูเข้ามา
“คุณหญิงน้อยคะคุณชายอยู่ที่นี่หรือเปล่าคะ? เพราะเมื่อกี้เคาะประตูแล้วไม่มีเสียงตอบรับค่ะ” เสี่ยวลวี่กวาดมองไปรอบๆแล้วถามขึ้น
ไป๋มู่ชิงมองไปที่ประตูห้องของหนานกงเฉิน “เขาอาจจะกำลังอาบน้ำ เธอวางยาที่นี่ก่อนก็ได้เดี๋ยวฉันยกไปให้เขาเอง”
“งั้นรบกวนคุณหญิงน้อยด้วยนะคะ” เสี่ยวลวี่พูดขอบคุณ
หลังจากที่เสี่ยวลวี่เดินจากไป ไป๋มู่ชิงก็รอไปพักหนึ่งแล้วค่อยยกถ้วยยาเดินไปที่ประตูห้องของหนานกงเฉิน เธอยกมือขึ้นเคาะประตูแล้วไม่มีเสียงตอบรับเลยขึ้นว่า “คุณชายคะคุณอยู่ข้างในหรือเปล่า?”
ไม่นานประตูก็ถูกเปิดออก หนานกงเฉินที่อาบน้ำเสร็จแล้วมองกวาดไปที่เธอเมื่อเห็นถ้วยยาในมือเธอก็มองพลางให้ ถ้ารู้ว่าเธอยกยามาให้เขาก็คงทำเป็นไม่ได้ยินต่อ
ไป๋มู่ชิงสังเกตุเห็นสีหน้าเขาก็รู้เลยว่าเขาตั้งใจ เลยยกถ้วยยาเดินผ่านเขาเข้าไปในห้อง จากนั้นก็วางลงบนหัวเตียงเขาแล้วพูดว่า “ทานยาก่อนเถอะค่ะ”
หนานกงเฉินเดินตามเข้ามาอย่างช้าๆ “วางไว้ก่อน เดี๋ยวผมค่อยกิน”
รอเขากินเอง? มันเป็นไปไม่ได้หรอก
ไป๋มู่ชิงยืนอยู่อย่างนั้นไม่ขยับ หนานกงเฉินรู้ดีว่าเธอหมายความว่าอะไร เลยพูดแหย่ไปว่า “คุณอยากนอนที่ห้องผมเหรอ? ตามสบาย แค่คุณไม่กลัวว่าผมจะควบคุมตัวเองไม่ได้ก็พอ”
ไป๋มู่ชิงก็ต้องกลัวสิ เธอเลยไม่คิดที่จะนอนห้องเขาแล้วพยายามไม่ให้เขาเข้าห้องเธอด้วย เพราะว่าท้องอยู่เรื่องแบบนี้เลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง
“ทานยาก่อนเถอะค่ะ ฉันจะได้เก็บถ้วยออกไปด้วย” เธอเอ่ย
หนานกงเฉินเห็นว่าเธอดื้อด้าน เลยจำใจต้องเดินไปยกถ้วยยาขึ้นกระดกแล้วยื่นถ้วยไปต่อหน้าเธอด้วยอารมณ์หงุดหงิดเล็กน้อย เหมือนเด็กเลย
ไป๋มู่ชิงยื่นน้ำเปล่าในมือไปให้เขา แต่หนานกงเฉินไม่รับแก้วที่เธอยื่นให้ แต่กลับจับคางเธอขึ้นสูงแล้วจุมพิตลงที่ริมฝีปากเธอ
รสชาติของยาขมเต็มปากเธอไปหมด ขมมากจนไม่รู้จะอธิบายยังไง
เธอรู้ดีว่าเขาจงใจจะแกล้งเธอ ยังดีที่เธอยังพอรับมือไหว ความขมนี้ทำอะไรเธอไม่ได้ แต่เธอกลับจูบริมฝีปากเขากลับ “ถ้าคุณย่าโทษมาก็คงเป็นความรับผิดชอบของฉันอีก เพราะฉะนั้นต่อไปของให้คุณรู้ตัวด้วย อีกอย่าง……พูดตามตรง ความขมแค่นี้มันไม่มีอะไรเลย”
“ถ้าคุณทนความขมนี้ได้ ต่อไปก็กินแทนผมสิ” เขาพูด
“ได้ คุณท้องแทนฉันสิ”
“เสียดายที่ผมไม่มีความสามารถนี้” หนานกงเฉินพูดไปพร้อมจะเข้าไปจูบเธออีก แต่ไป๋มู่ชิงกลับเบี่ยงหน้าหนี “คุณชายพักผ่อนเถอะค่ะ”
พูดจบเธอก็ยกถ้วยยาเดินออกจากห้องไป
หนานกงเฉินไม่ได้บังคับเธอ เพราะร่างกายเธอก็ไม่สะดวก ถึงจะนอนด้วยกันเขาก็กลัวจะควบคุมตัวเองไม่ได้
กลางดึก ไป๋มู่ชิงนอนฝัน
เธอฝันว่าเธอกำลังกินชาบูอย่างเอร็ดอร่อยอยู่กับหนานกงเฉิน พอกินไปเรื่อยๆก็เห็นคุณย่า คุณย่าเดินเข้ามาตบหน้าเธอแล้วชี้หน้าร้องไห้กับเธอชอบพูดว่า “เขาเป็นคนที่ทำให้ฉันตาย นี่แกยังนั่งกินข้าวกับเขาอีกแถมยังหัวเราะด้วยกันอีก ทำไมแกอกตัญญูอยู่ขนาดนี้? ทำไมจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย?”
ไป๋มู่ชิงตกใจอึ้งไปแล้วขยับถอยหลังไปเรื่อยๆแต่คุณย่าก็เดินก้าวเข้ามาแล้วพูดกันฟันขู่เธอ “ถ้าแกยังกินข้าวกับศัตรูอีก เราขาดกัน!”
ไป๋มู่ชิงร้องไห้ออกมาพร้อมดึงชายเสื้อคุณย่าไว้แล้วรับปากกับท่านว่าต้องไปจะไม่ทำแบบนี้อีก จะไม่เข้าใกล้หนานกงเฉินอีก
คุณย่ายื่นมีดยัดใส่มือเธอแล้วชี้ไปทางหนานกงเฉิน “งั้นแกก็ฆ่าเขาแล้วแก้แค้นให้ฉัน!”
ไป๋มู่ชิงกุมมีดด้ามเย็นนี่ไว้ในมือ ในใจก็ร้อนลนใจก็เต้นแรงจะทะลุ “ไม่ คุณย่า หนูทำไม่ได้! หนูทำไม่ได้……!”
“หนูทำไม่ได้!”
“ทำไม่ได้ก็ต้องทำ เพราะนี้มันหน้าที่แก!” คุณย่ารดินกดดันเธอเข้ามาเรื่อยๆด้วยสายตาที่เลือดเย็น อาฆาตแล้วพูดขู่ว่า “ถ้าแกไม่ฆ่าเขา ก็ฆ่าฉันซะ แกต้องเลือกมาคนนึง!”
พูดจบคุณย่าก็ยื่นมาจับมีดไว้แล้วเอามีดแทงเข้าไปที่หัวใจ
ด้วยความกลัวไป๋มู่ชิงร้องไห้แล้วหันมีดแทงไปอีกทางหนานกงเฉิน มีดที่แหลมคมนี้ไม่ได้แทงโดนหัวใจหนานกงเฉินแต่เลือดที่หน้าอกหนานกงเฉินก็ไหล่ออกมาทันที
“ไม่นะ!” ไป๋มู่ชิงโอดร้องขึ้นแล้วลุกขึ้นนั่ง
ความมืดในห้องทำให้รู้ว่านี่เป็นความฝัน เธอฝันร้าย!
เธอกลืนน้ำลายอย่างลำบากแล้วใช้นิ้วหยิกแขนตัวเอง ยังดี มันแค่ความฝัน!
เธอยกมือขึ้นเปิดไฟแล้วลุกขึ้นไปดื่มน้ำจากนั้นก็เดินไปที่ระเบียงแล้วเปิดผ้าม่านออก
ลมหนาวในยามค่ำคืนพัดเข้ามาจนเธอหนาวสั่นไป
เธอแค่ไปทานข้าวกับหนานกงเฉินแล้วดูนิทรรศการภาพวาดเอง ถึงขั้นฝันร้ายเลยเหรอ? ทำไมถึงเป็นแบบนี้? หรือว่าคุณย่ากำลังโกรธเธอ?
เธอรู้ว่าคุณย่าไม่อนุญาตให้เธอเข้าใกล้หนานกงเฉินมาก ไม่ควรไปทานข้าวเดินเล่นกับเขาแถมยังท้องลูกของเขาอีก เธออกตัญญูจริงๆ
เมื่อนึกถึงความฝันเมื่อกี้เธอก็ยังรู้สึกเสียวสันหลังอยู่ คุณย่าไม่เพียงแต่ไม่ให้เธอเข้าใกล้ชิดหนานกงเฉิน แถมยังให้เธอฆ่าเขาอีก
ฆ่าเขา……เธอจะทำได้ยังไงกัน!
ไป๋มู่ชิงสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วยืนอยู่ที่ระเบียงดื่มน้ำเข้าไปสองแก้วค่อยสงบสติอารมณ์ได้ แต่เมื่อเธอสงบสติอารมณ์ได้ก็รู้สึกว่าข้างนอกมีอะไรแปลกๆ เหมือนมีเสียงฝีเท้าเดินไปมา แล้วก็เสียงของคุณหญิงที่ร้องขึ้นอย่างรีบรน
เธอเดินไปที่ประตูอย่างสงสัยเลยยินเสียวข้างนอกชัดเจนขึ้น
ในใจก็รู้สึกว่าต้องมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นแน่ๆ เธอรีบเปิดประตูออกไปก็พบว่าในห้องนอนของหนานกงเฉินมีเสียงดังลั่นขึ้นและแน่นอนโรคของหนานกงเฉินกำเริบ
เพราะว่าหนานกงเฉินไม่ชอบแสง ในห้องนอนเลยเปิดแค่โคมไฟสีนวลดวงเดียว หนานกงเฉินที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าซีดขาวแล้วคุณหมอหวงก็กำลังฝังเข็มให้เขา
คุณหญิงที่อยู่ข้างๆน้ำตาไหลเต็มหน้าแล้วพี่เหอพยุงอยู่ แถมทั้งผู่เหลียนเหยา เซิ่งเคอเซิ่งซินก็ถูกดึงดูดมาด้วย
ถึงแม้ห้องของหนานกงเฉินเก็บเสียงได้ดีแต่มีความเคลื่อนไหวขนาดนี้ไป๋มู่ชิงก็ยังไม่ตื่นนี่ไม่สมควรจริงๆ เธอยืนเท้าเปล่าอยู่นอกผู้คนพร้อมมองไปที่หนานกงเฉินที่นอนอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าไม่รู้เรื่อง
เมื่อกี้เธอเพิ่งฝันว่าเธอแทงไปที่หัวใจเขาแล้วตอนนี้โรคเขากลับกำเริบ นี่เหรอที่ว่าความรู้สึกที่สัมผัสกันได้?
หลังจากที่คุณหมอหวงฝังเข็มเสร็จก็หันมาพูดกับคุณหญิงว่า ” เสร็จแล้วครับคุณหญิง พรุ่งนี้เช้าคุณชายก็คงตื่นมา คุณวางใจแล้วไปพักผ่อนเถอะครับ”

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset