เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 103 ทำไมโรคถึงกำเริบ

ถึงแม้เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นบ่อย แต่ทุกครั้งที่คุณหญิงเห็นก็รู้สึกเสียใจ ท่านยกมือขึ้นปาดน้ำตาบนหน้าแล้วพูดอย่างเป็นห่วงว่า “เป็นอะไรไป? โรคไม่กำเริบนานแล้วหนิ ทำไมคืนนี้กลับมากำเริบอีก”
คุณหมอหวงมองไปที่หนานกงเฉินที่นอนอยู่บนเตียงแล้วพูดอย่างลังเลว่า “คือ……ผมก็ไม่แน่ใจ”
“หรือว่าเป็นเพราะอาหารการกินช่วงนี้ของพี่ชายคะ?” ผู่เหลียนเหยาที่ยืนอยู่ข้างๆเอ่ยขึ้นแล้วรีบพูดเสริมว่า “หรือว่าเป็นเพราะชาบูที่พี่ชายกินคืนนี้?”
คำพูดของผู่เหลียนเหยาทำให้ใจของไป๋มู่ชิงตกวูบแล้วต้องหันมองไปที่หนานกงเฉินอีกครั้ง หรือว่าเป็นเพราะชาบูคืนนี้จริงๆ?แค่ชาบูมื้อเดียวมีผลกระทบกับเขาขนาดนี้เลยหรอ?
ความความรู้สึกกลัวแล้วก็ความรู้สึกผิดก็พุ่งขึ้นมาในใจทันทีแต่จะเสียใจตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้วชาบูคุณหญิงขมวดคิ้วแล้วกวาดมองไปที่ทุกคนวันนี้ไปกินชาบูเค้าไปกับใครทุกคนในห้องเงียบไปชั่วขณะรีบยกมือขึ้นปิดปากตัวเองไว้เหมือนรู้สึกว่าตัวเองทำผิด เซิ่งเคอเซิ่งซินมองสบตากันแล้วไม่เอ่ยอะไรออกมา
คุณหญิงเลยหันไปทางผู่เหลียนเหยา “นี่มันเป็นยังไงกันแน่?”
ผู่เหลียนเหยาเก็บมือลงแล้วพูดติดๆขัดๆว่า “คือ……หนูแค่เดามั่วมั่วค่ะ”
“เดามั่วมั่วหรอ?” คุณหญิงใช้สายตาขู่บังคับมองไปทางไป๋มู่ชิง “เธอล่ะ? คืนนี้เธอกินข้าวกับเฉิน พวกเธอกินอะไรกันแน่?”
ไป๋มู่ชิงรับรู้ถึงสายตาที่แหลมคมของคุณหญิงจนต้องสูดหายใจเข้า ถึงจะสัญญากับหนานกงเฉินไว้แล้ว แต่เรื่องเป็นแบบนี้คงปิดบังต่อไม่ได้
เธออ้าปากเอ่ยว่า “คุณย่าคะ คืนนี้คุณชายทานชาบูจริงค่ะ”
“เธอว่าอะไรนะ?” คุณหญิงอุทานขึ้นอย่างโมโหจนเดินไปฟาดไม้เท้าลงบนตัวเธอ: “พี่เหอไม่เคยบอกเธอเหรอว่าเฉินแตะบุหรี่เหล้าของเผ็ดไม่ได้ยิ่งกินชาบูไม่ได้ด้วย?”
ไป๋มู่ชิงตกใจจนเซหลบไปข้างๆ
ไม้เท้าของคุณหญิงไม่ได้ฟาดลงมา เพราะเซิ่งเคอกับผู่เหลียนเหยาห้ามท่านไว้
ผู่เหลียนเหยารีบพูดขึ้นว่า “คุณย่าคะ พี่สะใภ้ท้องอยู่คุณย่าตีไม่ได้นะคะ”
“แค่ท้องจะอะไรหนักหนา? ทำแท้งเลยสิดีที่สุด!” คุณหญิงไม่ได้คาดหวังให้เด็กคนนี้คลอดอยู่แล้ว ก็คงไม่เห็นใจเด็กแล้วให้อภัยกับการกระทำของเธอหรอก
“ใช่ค่ะคุณย่า พี่สะใภ้อาจจะแค่ลืมไป คุณย่าอย่าอารมณ์เสียเลยนะคะ” เซิ่งซืนเดินไปทางไป๋มู่ชิงแล้วยืนบังเธอไว้
“ลืมเหรอ? ดูสิเธอทำให้เฉินจนเป็นยังไง!” คุณหญิงไม่มีทีท่าว่าจะหายโกรธเลยพร้อมชี้ไปที่หนานกงเฉินที่นอนอยู่บนเตียง “เฉินไม่เคยกินอาหารขยะพวกนี้ แต่ทำไมแค่แต่งเธอเข้ามาเขาถึงเปลี่ยนไปล่ะ? จะให้ฉันวางใจแล้วให้เธอดูแลเฉินแทนได้ยังไง?”
ไป๋มู่ชิงรีบยกมือขึ้นปกป้องท้องตัวเองไว้ แล้วหลบหลังเซิ่งซินพร้อมเอ่ยด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “ขอโทษค่ะคุณย่า หนูไม่คิดว่าเรื่องจะรุนแรงขนาดนี้ หนู……”
“ตอนที่โรคเฉินกำเริบเป็นยังไงเธอไม่ใช่ไม่เคยเห็น ทุกครั้งที่กำเริบก็ยิ่งอันตรายขึ้นไปอีก ทุกครั้งสามารถเอาชีวิตเขาไปได้เข้าใจไหม?” คุณหญิงบ่นระบายออกมาแล้วใช้ไม้เท้าชี้ไปที่เธอ “แล้วเธออีก คนท้องอย่างเธอไปกินชาบูได้ยังไง? อยากจะให้เด็กพิการไปกว่านี้เหรอ? เธอ……”
ยิ่งด่าอารมณ์คุณหญิงก็ยิ่งขึ้นจนเกือบจะเป็นลมไป
“คุณย่าใจเย็นๆนะคะ พี่ชายไม่เป็นอะไรแล้วหนิคะ?” ผู่เหลียนเหยาพยุงตัวคุณหญิงไปนั่งที่โซฟา
คุณหญิงเพิ่งนั่งลงก็ยันตัวลุกขึ้นพูดกับไป๋มู่ชิงว่า “ไป เธอไปคุกเข่าที่ห้องโถงบรรพบุรุษจนถึงบ่ายพรุ่งนี้ไป”
เมื่อไป๋มู่ชิงได้ยินคำว่าห้องโถงบรรพบุรุษก็ลนลานขึ้นมาแล้วส่ายหัวว่า “หนูไปไม่ได้ค่ะคุณย่า ให้หนูอยู่ดูแลคุณชายเถอะค่ะ”
ตอนนี้เธอกำลังท้องอยู่ จะไปที่ที่น่ากลัวอย่างนั้นได้ยังไง จะคุกเข่าทั้งวันทั้งคืนได้ยังไง?
เธอรู้ว่าคำขอร้องของตัวเองคงไม่ได้ผล เพราะคุณหญิงไม่เคนฟังคำขอร้องใครเลย สุดท้ายคุณหญิงก็เอ่ยขึ้นมา “ไม่จำเป็น!”
“คุณย่าคะ……!”
“ไสหัวไป!” คุณหญิงรำคาญคำพูดของเธอเลยพูดแทรกขึ้นมา หลังจากที่พูดจบก็ย้ำกับคุณหมอหวงว่าให้ดูแลหนานกงเฉินดีๆจากนั้นก็หันหลังเดินเข้าห้องไป
เมื่อไป๋มู่ชิงเห็นว่าคุณหญิงสั่งขาดแล้วก็ไม่คิดที่จะขอร้องต่อ ดูไปบนเตียงที่หนานกงเฉินนอนนิ่งอยู่ ในใจก็รู้สึกเสียใจ ไม่คิดเลยว่าแค่ชาบูมื้อเดียวจะทำให้เขาเป็นถึงขนาดนี้
ผู่เหลียนเหยาเดินไปต่อหน้าเธอด้วยสีหน้ารู้สึกผิดพร้อมขอโทษ “ขอโทษนะคะพี่สะใภ้ หนูไม่ได้ตั้งใจ หนูแค่อยากให้คุณหมอควงประเมินอาการถูก หนู……”
เธอรู้สึกผิดจนไม่รู้จะพูดยังไงต่อ ไป๋มู่ชิงก็ยิ้มพลางขึ้น “ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้ตั้งใจ ฉันผิดเอง ฉันดูถูกโรคของคุณชายเอง”
“แต่ว่า……” เธอเงยหน้าขึ้นไปมอง “เธอรู้ได้ยังไงว่าฉันกับเฉินไปกินชาบู?”
เธอกับหนานกงเฉินตัดสินใจอย่างกะทันหันเรื่องชาบู พอกลับมาก็แยกย้ายกลับห้อง เธอไม่ได้บอกกับใคร หนานกงเฉินก็ไม่มีทางบอกกับคนอื่นด้วยสิ
เซิ่งเคอรีบเอ่ยขึ้น “เป็นอย่างนี้ครับ คืนนี้ผมกับเหลียนเหยาก็ตกลงจะไปกินชาบูข้างศูนย์วัฒนธรรมเหมือนกัน พอเห็นรถพี่ชายจอดอยู่เลยไม่อยากไปรบกวนพวกพี่”
“ขอโทษนะคะ หนูไม่ได้ตั้งใจจริงๆ” สีหน้าของผู่เหลียนเหยาก็ยังรู้สึกผิดอยู่
ไป๋มู่ชิงยิ้มอย่างขมขื่นก่อนจะมองไปที่หนานกงเฉินแล้วหันหลังเดินออกจากห้องไป
กลับมาที่ห้องโถงบรรพบุรุษนี้อีกครั้ง ไป๋มู่ชิงยังไม่ได้ก้าวเข้ามาก็รู้สึกกลัวแล้ว
หลังจากเกิดเรื่องครั้งก่อนที่เธอแอบเข้ามาในห้องโถงบรรพบุรุษคนใช้ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูก็เฝ้าระวังเธอมากขึ้น ทั้งสองสบตากันแล้วเอ่ยถามขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “คุณหญิงน้อยครั้งก่อนคุณตกใจจนเป็นลมเลยไม่ใช่หรอครับ? ทำไมยังกล้ามาอีก?”
ใบหน้าทั้งสองแสดงสีหน้าเอื้อมระอากับเธอเพราะว่าทำงานมาที่นี่มานาน ไม่เคยเจอใครที่อยากเข้ามาที่นี่มาก่อน เป็นครั้งแรกที่เจอคนอย่างไป๋มู่ชิงที่ไม่เข็ดสักที
ไป๋มู่ชิงมองไปที่สีหน้ากลัวของพวกเขาด้วยความรู้สึกผิด ครั้งก่อนคงทำให้พวกเขาตกใจมากเหมือนกันหละสิ? แถมยังทำให้พวกเขาถูกหนานกงเฉินลงโทษอีก
“พวกเธอวางใจเถอะ ครั้งนี้ฉันถูกลงโทษ ไม่ใช่ตั้งใจเหมือนครั้งก่อน” เธอพูด
ให้ความกล้าเธออีกสักกี่ครั้งเธอก็ไม่กล้าวิ่งเข้ามาในนี้เหมือนครั้งก่อนหรอก
ในห้องโถงนี้ก็มีเทียนไม่กี่เล่มอยู่เหมือนเดิม รอบๆมืดมัวไปหมด เงียบสงัดจนสามารถได้ยินเสียงของเทียนที่กำลังเผาไหม้ได้
ไป๋มู่ชิงจงใจระวังไปทางประตูไม้มุมขวานั่นก็เห็นว่าบนประตูมีกุญแจล็อกอยู่หลายชั้นอาจจะเพราะล็อกเพิ่มขึ้นไปหลังจากครั้งนั้น
ปัญหาก็มาแล้วสิ งั้นเธอสลบไปที่ฟ้องโถข้างหน้าหรือข้างหลังล่ะ? สิ่งที่เธอเห็นทั้งหมดเป็นเรื่องจริงหรือแค่ความฝัน จนตอนนี้เธอยังงงงวยทำความเข้าใจไม่ได้
แต่ตอนนี้เธอไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้แล้วเพราะถ้าเด็กคลอดเมื่อไหร่เธอก็จะจากที่นี่ไป ถึงเวลานั้นเธอกับหนานกงเฉินก็จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก ความลับของตระกูลหนานกงก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีก
เธอหลับตาลงแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็หาเบาะรองมาแล้วคุกเข่าลงไป
ขอให้คืนนี้ไม่มีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นอีก ขอให้คืนนี้ผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว
แต่ว่าไม่ว่าเธอจะภาวนายังไง จะปลอบตัวเองยังไง แต่สภาพแวดล้อมรอบๆที่น่ากลัวนี้ก็ทำให้เธอขนลุกแล้วเหงื่อก็ไหลไม่หยุด
ค่ำคืนที่ยาวนานแล้วเวลาก็ผ่านไปได้อย่างเชื่องช้า ไป๋มู่ชิงเอาแต่นับเวลาถอยหลังจนสุดท้ายก็มีแสงสว่างส่องเข้ามาทางหน้าต่างเล็กน้อย
เธอยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากแล้วถอนหายใจออกหมดท้อง ฟ้าสว่างก็ดี ฟ้าสว่างแล้วเธอก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว
จากแสงสว่างที่ส่องเข้ามาเล็กน้อยนั้น ไป๋มู่ชิงก็ได้มองสำรวจไปที่แผ่นป้ายบูชาเหล่านั้น ทั้งหมดเป็นบรรพบุรุษของตระกูลหนานกง ถ้าพวกท่านมองอยู่บนฟ้า จะคุ้มครองให้ลูกในท้องเธอเป็นเด็กที่แข็งแรงได้หรือเปล่านะ
เธอกุมมือขึ้นทั้งสองข้างแล้วหลับตา อธิฐานต่อบรรพบุรุษของตระกูลหนานกงขอให้พวกท่านคุ้มครองให้เธอได้คลอดเด็กที่แข็งแรงออกมาด้วยเถอะ
ถึงเธอจะไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะทำเพราะเธอหวังอย่างมากว่าอยากให้เด็กคนนี้แข็งแรงอายุยืน
ไป๋มู่ชิงรู้สึกเบาะรองข้างตัวยุบลงไปแล้วตามมาด้วยเงาที่ปรากฏขึ้นข้างตัวเธอ เธอลืมตาขึ้นหันไปมองช้าๆ
เมื่อเห็นว่าหนานกงเฉินคุกเข่าอยู่ข้างตัวเธอ เดิมก็ประหลาดใจไปเล็กน้อยแล้วตามมาด้วยถอนหายใจแล้วถาม “นี่คุณทำอะไร? ฉันตกใจหมด”
“ผมน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรอ?” หนานกงเฉินมองทอดไปที่เหงื่อบนหน้าผากเธอ นี่มันเกินไปหรือเปล่า
“ฉันคิดว่า……” ไป๋มู่ชิงลังเลไปไม่ แล้วไม่ได้พูดอะไรต่อเพราะว่ากฎของตระกูลหนานกงห้ามพูดถึงเรื่องลี้ลับนี้
“คิดว่าผีมาหรอ?” หนานกงเฉินพูดแทนเธอไป มุมปากยิ้มขึ้นด้วยอารมณ์เยาะเย้ย เขารู้ว่าเธอกลัวสถานที่นี้มาก
ไป๋มู่ชิงไม่ได้ตอบคำถามเขาแต่กลับถามเขาว่า “คุณดีขึ้นหรือยัง?”
“ดีขึ้นแล้ว” หนานกงเฉินตอบ
“ทำไมไม่นอนพักอีกสักหน่อยล่ะ?” ถึงเขากลับมาดูเหมือนปกติ มีชีวิตชีวาบ้างแล้ว แต่ว่าแสงในนี้มืดมัวมากเธอเลยมองไม่ชัดว่าสีหน้าเขายังซีดขาวเหมือนเมื่อคืนหรือเปล่า
“นอนไม่หลับ” หนานกงเฉินพูด
เขาไม่ได้บอกเธอที่เขานอนไม่หลับก็เพราะได้ยินคุณหมอหวงบอกว่าเธอถูกลงโทษให้มาที่ห้องโถงบรรพบุรุษนี้ เพราะว่าเขารู้ว่าเธอกลัวที่นี่เลยตามมาด้วย
“ขอโทษนะ” ไป๋มู่ชิงพูดขึ้นด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
หนานกงเฉินหันไปมองที่เธอ “ขอโทษทำไม?”
“ฉันไม่ควรพาคุณไปกินชาบู”
ดินเนอร์ใต้แสงเทียนดีดีไม่กินแต่กลับไปกินชาบูอย่างนั้น ช่างสมองคิดบ้าอะไรอยู่
“ผมอยากลองรสชาติของชาบูเองแล้วผมก็เป็นคนพูดขึ้นมาเองด้วย คนที่ควรจะขอโทษควรจะเป็นผม” เรื่องแค่นี้เขาก็ยังแยกแยะออก
คนที่ควรจะโดนกฎตระกูลทำโทษคือเขา ไม่ใช่เธอ
ไป๋มู่ชิงกวาดมองสำรวจไปที่เขาแล้วพูดขึ้นอย่างเสียดสีว่า “เข้าใจแยกแยะได้แบบนี้เหมือนไม่ใช่คุณเลย”
“ในเมื่อคุณพูดอย่างนี้ งั้นผมก็จะไม่รู้สึกผิดแล้ว กลับไปนอนดีกว่า” หนานกงเฉินพูดพร้อมกับลุกขึ้นจากเบาะรอง ไป๋มู่ชิงรีบดึงเขาแล้วพูดว่า “อย่างเพิ่งไป……”
“ทำไม? กลัวหรอ?” หนานกงเฉินกลับมาคุกเข่าลงบนเบาะเหมือนเดิมแล้วเลิกคิ้วใส่เธอ
ไป๋มู่ชิงไม่ปิดบังความกลัวของตัวเองเลยพร้อมพยักหน้า “ใช่ รอให้ฟ้าสว่างก่อนนี้แล้วคุณค่อยไปได้ไหม?”
เขามาหา ทำให้ใจเธอสงบลงไปแล้วไม่รู้สึกกลัวอีก
ทีแรกหนานกงเฉินแค่คิดที่จะแกล้งเธอ พอได้ยินเธอพูดอย่างนี้ก็แกล้งทำเป็นจำใจยอมแล้วพยานหน้าให้ “ก็ได้ งั้นผมจะคุกเข่าเป็นเพื่อนคุณอีกหน่อย”
“ขอบใจนะ” ไป๋มู่ชิงเป็นห่วงร่างกายของเขาเลยนำเบาะจากอีกข้างมาให้เขาอีกอัน “คุณอย่าคุกเข่าเลย แค่นั่งก็พอแล้ว”
หนานกงเฉินมองอย่างไม่สนใจไปที่เธอ “ไม่ต้อง คุกเข่านี่แหละดีแล้ว”
ไป๋มู่ชิงไม่ได้ห้ามอะไรเขาต่อ แล้วหันกลับมามองทางเดิม
สถานการณ์เงียบไปพักหนึ่ง ไป๋มู่ชิงไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับเขาแล้วถามขึ้นว่า “คุณชายคุณน่าจะไม่เคยโดนกฎตระกูลทำโทษใช่ไหมคะ?”
หนานกงเฉินสายหน้า “ไม่เคย”
เป็นเด็กที่โชคดีจริงๆ
แต่ก็ว่านะ คุณหญิงรักเขาเอ็นดูเขาจนเข้ากระดูกขนาดนั้น จะใจดำทำโทษให้เขามาคุกเข่าที่ห้องโถงนี้ได้ยังไง
แสงสว่างส่องเข้ามาในห้องโถงนี้มากขึ้นจนสามารถมองเห็นป้ายบนนั้นได้ชัดเจน เมื่อกี้ไป๋มู่ชิงดูไปก็รู้สึกสงสัย ตอนนี้หนานกงเฉินอยู่ด้วยแล้วก็ไม่รู้จะคุยอะไรกับเขาเลยชี้ไปทางป้ายสองอันข้างล่างแล้วถามเขาว่า “สองท่านนี้เป็นพ่อแม่คุณหรอ?”
คนนึงนามสกุลหนานกง หนึ่งอีกคนนามสกุลหลิง วางอยู่ที่ชั้นล่างสุดน่าจะเป็นพ่อแม่ของเขา?
หนานกงเฉินมองตามเธอไปที่แผ่นป้าย นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าให้
“พวกท่าน……คงรักกันมาก?” ไป๋มู่ชิงถามต่ออย่างสงสัย
เธอจำที่หนานกงเฉินเคยพูดว่า พ่อของเขาตายตามแม่ของเขาไป น่าจะโดนผลกระทบจากอุบัติเหตุครั้งนั้น
“รักกันมาก” หนานกงเฉินพยักหน้า
ไป๋มู่ชิงรู้สึกได้ถึงน้ำเสียงเขามีความเศร้าเลยพยายามจะเปลี่ยนประเด็นให้บรรยากาศดีขึ้นแล้วพูดต่อ “คุณแม่ของคุณคงเป็นผู้หญิงที่ดีมากๆแน่ๆ”
หนานกงเฉินก็หันหน้ามาอย่างฉับพลันพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ตอนนี้ท่านก็เป็นแม่คุณด้วย”
ไป๋มู่ชิงอึ้งไปจากนั้นก็พยักหน้า “ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะก้าวก่าย”
หนานกงเฉินไม่ได้ตอบอะไรเธอแล้วเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “ท่านเป็นผู้หญิงที่ดีมากจริงๆ ตั้งแต่ที่ผมเคยเจอมา”
เขามีความรู้สึกลึกซึ้งกับแม่เขามากถึงได้พูดออกมาอย่างนี้ อยู่ๆในใจไป๋มู่ชิงก็รู้สึกอ่อนไหวขึ้นมา นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นว่าเขามีความผูกพันกับคนอื่นขนาดนี้นอกจากจูจู
“ตอนที่ท่านจากไปคุณก็ต้องเสียใจมากเลยสิ” ไป๋มู่ชิงถามขึ้นต่อไม่รู้ว่าคิดอะไรถึงถามไปอย่างนั้น แต่ขณะที่เธอถามคำถามนี้ในหัวก็ผัดภาพเหตุการณ์ที่คุณย่าของเธอเสียชีวิตขึ้นมา
ตอนนั้นเธอกำลังเรียนอยู่ที่เมืองซีแล้วอยู่ๆก็ได้รับข่าวที่คุณย่าเสียชีวิต เป็นคุณลุงคุณป้าที่เป็นคนบอกเธอแล้วหลังจากที่ฝังคุณย่าแล้วค่อยบอกเธอ ตอนที่เธอได้ยินข่าวนี้ก็เกือบจะเป็นลมไปในโรงเรียน
“เสียใจมาก ร้องไห้จะเป็นจะตาย” หนานกงเฉินพูดพึมพำออกมาจนทำให้ไป๋มู่ชิงดึงสติตัวเองกลับมา
เธอหันไปมองเขาที่ยิ้มอย่างข่มขืน “คนที่รักที่ใกล้ชิดมากที่สุดจากไป จะไม่เสียใจได้ยังไง?”
“ใช่” หนานกงเฉินพยักหน้าให้ไม่รู้สึกถึงความโกรธแค้นบนใบหน้าของไป๋มู่ชิงเลย
ฟ้าสว่างสักที ข้างนอกห้องโถงก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากนั้นก็เป็นประตูที่ถูกเปิดออกโดยคนใช้แล้วเสียงทักทายขึ้นอย่างมีมารยาท “อรุณสวัสดิ์ครับคุณหญิง”
“เมื่อคืนคุณหญิงน้อยได้คุกเข่าดีๆหรือเปล่า?” คำถามนี้พี่เหรอถามขึ้น
“ครับ คุกเข่าตลอด แต่ว่า……” เขาลังเลไปก่อนจะเอ่ยอย่างระมัดระวัง “คุณชายมาตั้งแต่เช้าเลยครับ”
“รู้แล้ว” พี่เหอเอ่ย
เป็นเพราะพวกท่านไปหาหนานกงเฉินในห้องตั้งแต่เช้าแล้วเห็นว่าเขาไม่อยู่แล้วถามคนรับใช้ ถึงรู้ว่าเขาเดินมาทางห้องโถงบรรพบุรุษเลยรีบตามมาตั้งแต่เช้า
คนรับใช้เปิดประตูห้องโถงออกคุณหญิงก็ก้าวเข้าไป แว็บแรกก็เห็นเลยว่าหนานกงเฉินคุกเข่าอยู่ข้างไป๋มู่ชิง ท่านรีบเดินเข้าไปแล้วรีบเอ่ยตักเตือนขึ้น “เฉิน นี่แกกำลังทำอะไรอยู่? รีบกลับไปพักเดี๋ยวนี้!”
เมื่อเห็นคุณหญิงในใจไป๋มู่ชิงก็สั่นวูบเกรงกลัวไป กับคุณหญิงที่คำพูดเด็ดขาดท่านนี้ เธอเกรงกลัวมาตลอดโดยเฉพาะเวลาที่เธออารมณ์เสียอย่างนี้
เธอรีบหันไปมองหนานกงเฉินแล้วพูดเสียงเบาว่า “คุณชายคะ ถ้าไม่อยากให้ฉันตายก็รีบกลับไปพักผ่อนเถอะค่ะ”
หนานกงเฉินไม่ได้ลุกขึ้นออกจากห้องโถง แต่แค่เงยหน้าขึ้นมองไปที่คุณหญิงแล้วพูดว่า “คุณย่าครับ ยิ่งอันไม่ได้บอกคุณย่าหรือเปล่า เรื่องที่ผมอยากกินชาบูแล้วผมเป็นคนพูดขึ้นเองคุณย่าลงโทษผิดคนแล้วครับ”
ไป๋มู่ชิงหันหน้ามองไปที่เขาอย่างตกใจ นี่เขากำลังช่วยเธอหรอ? เป็นไปได้ยังไง?
คุณหญิงไม่เชื่อคำพูดเขาเลยสักนิดพร้อมเอ่ยด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “โตขนาดนี้แกไม่เคยคิดที่อยากจะกินชาบู ทำไมเมื่อวานถึงอยากไปกินล่ะ?”
“เพราะว่าเมื่อวานตอนเช้าได้ยินเซิ่งเคอกับผู่เหลียนเหยาบอกว่าจะไปกินชา บูเลยอยากจะไปลองครับ” หนานกงเฉินอธิบายอย่างใจเย็น “แล้วอีกอย่างที่โรคกำเริบเมื่อคืนอาจจะไม่ได้เกี่ยวกับชาบูก็ได้”
ถึงแม้คำอธิบายของเขาจะสมเหตุสมผลแต่คุณหญิงก็พูดอย่างไม่พอใจ “ถึงแม้แกจะเอ่ยขึ้นเอง แต่เธอเป็นภรรยาก็ควรรู้ว่าของอะไรกินเข้าไปแล้วไม่ดีต่อร่างกายแก เธอไม่ห้ามแถมยังไปกินด้วย ดูสิว่าเธอไม่ได้ใส่ใจร่างกายแกแค่ไหน”
“คุณย่าครับ ยิ่งอันเธอกำลังท้องอยู่”
“ท้องแล้วยังไง? ท้องแล้วก็สามารถทำเรื่องโง่แบบนี้ได้หรอ?”
“คุณย่า……”
“แกไม่ต้องขอร้องแทนเธออีก ฉันไม่ฟัง”
“คุณย่าเข้าใจผิดแล้วครับ ผมไม่ได้ขอร้องแทนเธอ ผมแค่อยากบอกกับคุณย่าว่า……” สีหน้าหนานกงเฉินเข้มขึ้น “ขอให้ท่านกลับไปเถอะครับ อย่ามารบกวนครอบครัวเราที่กำลังรับโทษเลยครับ”
“แก……” คุณหญิงโมโห “นี่แกจงใจขัดฉันใช่ไหม?”
“เปล่าครับ คนที่อยากกินเป็นผมเอง คนที่เสนอว่าจะไปกินชาบูก็ผมเอง ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะให้แม่ลูกคู่นี้มารับโทษแทนผม” หนานกงเฉินพูดขึ้นด้วยสีหน้าไร้เดียงสา
คุณหญิงโกรธจนกัดฟัน ทำอะไรเขาไม่ได้จริงๆ ท่านทำได้เพียงแต่ใส่อารมณ์ใส่ไป๋มู่ชิงอีกคำว่า “ถ้ายังทำพลาดโง่ๆแบบนี้อีก ฉันไม่ปล่อยเธอไว้แน่”
ไป๋มู่ชิงรีบก้มหน้าลงไป “ทราบแล้วค่ะคุณย่า”
คุณหญิงเดินออกไปอย่างอารมณ์เสีย ในห้องโถงนี้ก็เหลือแค่พวกเขาแค่สองคน
ไป๋มู่ชิงมองไปที่หนานกงเฉินที่ลุกขึ้นยืนจากเบาะรองแล้วพร้อมเอ่ย “ขอบคุณนะ”
ถ้าไม่ใช่เพราะเขา เธอก็คงต้องคุกเข่าจนถึงตอนบ่าย
แต่ผู้ชายที่ดูจริงจังตลอดเวลาอย่างเขา ก็สามารถทำให้คุณหญิงอารมณ์เสียขนาดนี้ได้ คิดไปคิดมาก็น่ารักดี
หนานกงเฉินมองทอดไปที่เธอที่ยังคุกเข่าอยู่ “ทำไม? คุกเข่าสบายขนาดนั้นเลย?”
ไป๋มู่ชิงเพิ่งรู้ตัวแล้วยันตัวลุกขึ้นจากเบาะรอง อาจจะเป็นเพราะคุกเข่านานเกินไปจนทำให้ขาชาทั้งสองข้างขรทำให้ตัวเธอเซไปอีกข้าง
“ระวัง” หนานกงเฉินรีบยื่นมือไปกอดเอวเธอไว้แล้วดึงตัวเธอเข้ามาใกล้
สีหน้าของไป๋มู่ชิงเปลี่ยนไปเมื่อรู้สึกว่าตัวเองปลอดภัยแล้วค่อยโล่งอกแล้วผลักออกจากอ้อมแขนเขา “ขอบใจนะ”
ทั้งๆเป็นเรื่องที่ปกติมากแต่เธอกลับเอาแต่พูดกล่าวขอบคุณ สามีภรรยาคู่นี้ล้มเหลวมากจริงๆ หนานกเฉินเรู้สึกไม่พอใจ “คุณขอบคุณพอหรือยัง?”
ไป๋มู่ชิงไม่รู้จะพูดยังไงต่อ เมื่อเห็นเขากำลังเดินออกไปก็รีบก้าวเดินตามเขาออกจากประตูห้องโถง
นี่เป็นเวลาเช้าตรู่ ภายนอกห้องโถงมีเสียงนกร้องแล้วกลิ่นดอกไม้หอมๆ แสงแดดสีนวลอบอุ่นส่องลงมาจากต้นไม้จนทำให้พื้นผิวกลายเป็นทะเลทอง
ไป๋มู่ชิงยืนอยู่บนบันไดหน้าประตูห้องโถงแล้วกางแขนออกทั้งสองข้างสูดหายใจเข้าลึกๆ แม้แต่อากาศก็ยังหอมขนาดนี้ เป็นครั้งแรกเลยที่เธอเห็นว่าบริเวณนี้ช่างสวยงามช่างน่าหลงใหลเหลือเกิน
ถึงจะเคยมาที่นี่หลายครั้งแต่ก็ชอบไปมายังรีบ ไม่เคยตั้งใจสังเกตเลย จนวันนี้ แค่เธอก้าวออกจากห้องมาก็ถูกวิวข้างนอกดึงดูดทันที
หนานกงเฉินเดินไปกี่ก้าวแล้วรู้ตัวว่าเธอไม่ได้เดินตามมาเลยหันหลังไปมองใบหน้าที่มัวเมาอยู่หน้าประตูห้องโถงของเธอ แล้วเลิกคิ้วถามขึ้น “คิดถึงที่คุกเข่าเมื่อคืนนี้เหรอ?”
“เปล่าสักหน่อย” ไป๋มู่ชิงรีบสายหัวอย่างเกรงกลัว เธอไม่เคยกลัวสถานที่ไหนขนาดนี้มาก่อนจะคิดถึงได้ยังไง
“ฉันแค่รู้สึกว่าวิวที่นี่สวยมาก” เธอพูด
หนานกงเฉินกวาดมองไปรอบๆก็คิดขึ้นได้ว่า “ที่ที่สวยที่สุดในบ้านหนานกงไม่ใช่อยู่ที่นี่”
จริงหรอ?ไม่ใช่ที่นี่? ไป๋มู่ชิงไม่รู้เลยว่ายังมีที่ไหนในบ้านหนานกงสวยกว่านี้อีก เพราะว่าพี่เหอเคยเตือนไว้ ถึงเธอจะออกมาเดินเล่น เธอก็เดินอ้อมบ้านหลักแล้วกลับไปตลอด ไม่เคยไปที่ไหนเลย
เธอรู้ว่าบ้านหนานกงกว้างมาก กว้างจนเดินไม่ทั่ว
“คุณอยากไปดูไหม?” หนานกงเฉินถามขึ้น
“ไม่อยาก” ไป๋มู่ชิงส่ายหน้า
“จริงเหรอ?”
“ฉันไม่อยากโดนกฎตระกูลลงโทษอีก” พี่เหอเคยเตือนว่าเธอห้ามเดินเพ่นพ่านที่ไหน ถ้าถูกจับได้ คืนนี้ก็คงต้องไปที่ห้องโถงอีกแน่ๆ
เธอคิดว่าหนานกงเฉินจะแสดงอารมณ์ท่าทางที่ว่ามีเขาอยู่ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น ไม่คิดเลยว่าเขาแค่ลังเลครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าให้ “พูดมาก็ถูก กลับไปพักผ่อนเถอะ”
ไป๋มู่ชิงไม่รู้จะพูดยังไงต่อก็ก้าวเดินตามเขาไป
เมื่อกี้ได้ยินหนานกงเฉินบอกว่าจะพาเธอไปชมบ้านหนานกง ในใจเธอก็รู้สึกสนใจอยู่เพราะว่าแต่งเข้ามานานขนาดนี้แล้วเธอยังไม่เคยเดินชมรอบฟจริงๆจังๆเลย

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset