เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 105 ช่วงเวลาแห่งความสุขสุดท้าย

เธอรู้ว่าเขาชอบอยู่คนเดียว แต่เหตุผลหลักๆเลยก็คือเธอต่อต้านที่จะอยู่ห้องเดียวกับเขา อาจจะเป็นเพราะที่นี่เป็นเมืองเหยียนเฉิงเป็นที่ที่ใกล้กับคุณย่าเธอมากที่สุด
แต่ไม่รอให้เธอลังเล หนานกงเฉินก็ดึงแขนเธอแล้วลากเธอเข้าไปในห้องจากนั้นก็ปิดประตูลง
“อยู่นอกบ้าน ก็ควรจะดูแลกันและกันไม่ใช่เหรอ? ถ้าคุณแอบซุกคนไว้ข้างห้องจะทำยังไง?”
ไป๋มู่ชิงหมดคำพูดพร้อมจ้องกลับเขา “หนานกงเฉิน คุณดูสภาพร่างกายฉันตอนนี้แค่จะเลี่ยงสามียังไม่ได้เลย ยังจะซุกคนอีกเหรอ?”
“ใครจะรู้?” หนานกงเฉินปล่อยเธอลงแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ แล้วเปลี่ยนชุดนอนเดินออกมา จากนั้นก็เดินตรงไปนอนลงที่เตียง
หลังจากที่นอนลงแล้วแต่ไป๋มู่ชิงยังนั่งอยู่ที่โซฟาอย่างนั้นเลยเอ่ยขึ้นว่า “คุณไม่ง่วงเหรอ?”
ตื่นแต่เช้าแล้วเดินทางมาทั้งวันขนาดนี้ ไป๋มู่ชิงก็ต้องง่วงสิ เธอลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินเข้าไปล้างตัวในห้องอาบน้ำแล้วเปลี่ยนชุดนอนที่ทางโรงแรมเตรียมไว้
เตียงที่นี่กว้างสองเมตร นอนสองคนโดนที่ไม่เบียดยังได้เลย ไป๋มู่ชิงมองไปที่หนานกงเฉินที่กำลังพักสายตาอยู่ แล้วเดินอ้อมขึ้นไปนั่งอีกฝั่ง
เธอนอนลงข้างขอบเตียง โทรศัพท์ที่หนานกงเฉินวางอยู่บนโต๊ะชาดังขึ้น ดังไปพักหนึ่งก็ไม่เห็นหนานกงเฉินจะขยับตัว ไป๋มู่ชิงเลยลุกไปหยิบโทรศัพท์ให้เขา
แต่หนานกงเฉินกลับเอ่ยขึ้นมา “ไม่ต้อง” พูดจบก็ลุกขึ้นเดินไปทางโต๊ะชา
ไม่รู้ว่าใครโทรหาเขา เหมือนจะนัดกินข้าว ไป๋มู่ชิงได้ยินแค่เขาปฏิเสธคนอื่นอย่างมีมารยาทไป
หนานกงเฉินเดินไปคุยโทรศัพท์ไปทางระเบียง พอเขาเดินไปถึงระเบียงก็คุยจบพอดี เขาเดินกลับมาแต่ไม่ได้เดินอ้อมไปอีกฝั่งแต่กลับดึงผ้าห่มฝั่งไป๋มู่ชิงขึ้นแล้วนอนลงไป
ไป๋มู่ชิงขยับถอยให้เขาอย่างเอือมระอาแล้วหันหลังให้เขานอนหลับไป
หนานกงเฉินนอนลงข้างตัวเธอแล้วเอื้อมมือไปวางลงที่หน้าท้องน้อยเธออย่างเบามือ
นี่เป็นครั้งแรกเลย ไป๋มู่ชิงรู้สึกเกรงตัวไปหมดไม่รู้ว่าเพราะตื่นเต้นหรือกลัวกันแน่
หนานกงเฉินรู้สึกได้ถึงการตอบสนองของเธอเลยยันตัวหันขึ้นถามเธอ “เป็นอะไร? เกรงเหรอ?”
“จะไม่เกรงได้ยังไง?” ไป๋มู่ชิงพูดพึมพำ
“เกรงทำไม? กลัวว่าผมจะลงมือกับเด็กเหรอ?”
ไป๋มู่ชิงไม่ตอบเพราะเธอก็กำลังคิดเหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงเกรง? เป็นเพราะโดนเขาทำจนตกใจ แล้วเก็บซ่อนความกลัวไว้เหรอ?
“ในเมื่อผมตกลงที่จะให้คุณคลอดแล้ว ก็จะไม่ทำอะไรไม่ดีอีก เพราะยังไงเขาก็ลูกผม” หนานกงเฉินวางมือไปที่ท้องน้อยของเธออีกครั้งแล้วเอ่ยข้างหูเธอว่า “ทำตัวสบายๆ ผมไม่ทำร้ายเขาหรอก”
เมื่อในยืนเขาพูดอย่างนี้ไป๋มู่ชิงก็รู้สึกโล่งอกไม่น้อย แต่เมื่อเธอปล่อยตัวสบายๆก็ทำให้หนานกงเฉินไม่พอใจแล้วลงโทษกัดลงไปที่คอเธอ “ในใจคุณ ผมเป็นคนใจดำจริงๆ”
ไป๋มู่ชิงสะดุ้งเฮือกไปเมื่อถูกเขากัดแล้วหันไปพูดว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะคุณขู่บังคับฉันแบบนี้ ฉันจะเกรงได้ยังไง?”
หนานกงเฉินมองไปที่เธอแล้วพยักหน้า “ก็ได้ ผมผิดเอง”
“ก็ต้องเป็นความผิดของคุณสิ” ไป๋มู่ชิงพูดอย่างไม่เก่งใจ “คุณรอก่อน รอเด็กโตแล้วฉันจะบอกการกระทำที่แสนโหดร้ายของคุณให้เขาทั้งหมด ทำให้เขาเกลียดคุณไปตลอดชีวิต”
“คุณกล้าเหรอ!”
“ทำไมฉันจะไม่กล้า?” ขอแค่เธอได้ดูแลเด็กจนโต เธอก็รู้สึกพอใจแล้ว
“นี่เธอกำลังทำให้ครอบครัวแตกแยกนะ” หนานกงเฉินนำมือที่วางอยู่บนท้องน้อยไปที่เอวแล้วจักจี้ขู่เธอไปด้วย “ถ้าอีกหน่อยผมแตกหักกับลูก ผมจะไม่ปล่อยคุณไว้แน่ ผมจะทำให้คุณชดใช้อย่างสาสม แถมจะ……”
ไป๋มู่ชิงถูกเขาจักจี้จนรู้สึกแย่แล้วดันมือเขาออกแล้วพูดขึ้นอย่างรีบร้อนว่า “หนานกงเฉิน คุณอย่าทำฉัน ตอนนี้ฉันไม่สะดวก……!”
“ก็เลือกเวลานี้ที่คุณไม่สะดวกนี่ไง คุณก็จะหนีไม่ได้”
“นาย……โรคจิต!”
“ใครให้คุณยั่วผมล่ะ?” หนานกงเฉินพูดจบก็แกล้งเธอต่อ แล้วโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาพอดีเขาเลยต้องไปหยิบโทรศัพท์จากหัวเตียงมากดรับสาย
ก็ยังคงเป็นบทสนทนาที่ดูมีมารยาทเหินห่าง มองไปด้านข้างอันเย็นชาของเขาช่างต่างกับหนานกงเฉินที่กอดแกล้งเธอเมื่อหนึ่งนาทีก่อนอย่างสิ้นเชิง
แค่พูดไม่กี่คำ ไป๋มู่ชิงได้ยินว่า “ขอโทษนะครับคุณโจว ผมมากับภรรยา ตกดึกมาจะทานข้าวกับเธอ……ไม่ครับ……เธอขี้อายน่ะครับ ไม่ชอบทานข้าวกับคนแปลกหน้า……ขอบคุณครับ……สวัสดีครับ”
หลังจากที่หนานกงเฉินวางสายไปเขาก็ปิดเครื่องด้วยเลย
“ยุ่งเหรอ?” ไป๋มู่ชิงหันมาใช้แขนยันหัวไว้แล้วเอ่ยถามขึ้น
“เปล่า แค่นักธุรกิจที่อยากถือโอกาสนัดกินข้าว” หนานกงเฉินวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ
“ทำไมคุณไม่ตอบตกลงล่ะ?”
“ก็บอกไปแล้วหนิ จะอยู่กับภรรยา”
“พูดได้น่าฟังจริงๆ ทั้งๆที่ตัวเองไม่อยากไป ยังเอาฉันมาอ้างแล้วปฏิเสธเขาอีก” เธอไม่เชื่อหรอกว่าหนานกงเฉินจะปฏิเสธโอกาสแบบนี้เพื่อเธอ นี่ไม่สมกับเขาเลย
“งั้นคุณหมายความว่าไม่ต้องการให้ผมอยู่ด้วย?” หนานกงเฉินทอดมองมาพร้อมเลิกคิ้ว
ไป๋มู่ชิงจ้องตอบเขา “ฉันยังไงก็ได้”
“ผมหลงตัวเองอีกแล้วสิ” หนานกงเฉินรู้สึกถูกทำร้ายความรู้สึก แต่เขาก็ชินแล้วกับเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของผู้หญิงคนนี้ เลยไม่ได้พูดต่อแต่กอดเธอเข้ามาในอ้อมกอดเหมือนเดิมพร้อมลูบไปที่ท้องน้อยของเธออย่างเบามือ “เพื่อลูก ผมทนได้”
เขาทน เขาทนกับความเหินห่างของเธอ เขาทนกับสายตาที่เคืองแค้นของเธอ อาจจะไม่ใช่เพราะลูกทั้งหมด อาจจะเพราะความรู้สึกในใจด้วย
ความรู้สึกที่เขามีให้เธอ เยอะจนเขาไม่สามารถควบคุมได้แล้ว เป็นผู้หญิงคนแรกที่นอกจากจูจูที่ทำให้ใจเขาเต้นแรงได้!
ไป๋มู่ชิงก็ยิ้มอย่างขมขื่นในใจ เพื่อลูก เธอก็ทนเหมือนกัน!
หลังจากที่นอนกลางวันตื่นมาก็สี่โมงแล้ว หนานกงเฉินตื่นก่อน เขายกข้อมือขึ้นมาดูเวลาแล้วก้มมองไป๋มู่ชิงที่อยู่ในอ้อมกอดเห็นว่าเธอยังหลับอยู่เลยพูดยิ้มๆว่า “คุณแน่ใจเหรอว่าจะนอนต่อไปแบบนี้?”
ไป๋มู่ชิงหมอนที่แขนเขาอย่างงัวเงีย พอได้ยินก็พูดขึ้นก็ยกมือขึ้นขยี้ตาแล้วค่อยๆชินกับสภาพแวดล้อมล้อมๆ “ไปกินข้าวได้หรือยัง? ฉันหิวแล้ว”
เมื่อตื่นขึ้นมา สิ่งเดียวที่เธอรู้สึกเลยก็คือหิว
“ตอนนี้เพิ่งสี่โมงเอง ยังอีกนานกว่าจะถึงเวลาอาหารเย็น” หนานกงเฉินเอ่ยไปพร้อมคิดไปด้วย “เหมือนตอนเที่ยงคุณจะกินไปไม่น้อยนะ”
ไป๋มู่ชิงรู้สึกเกรงใจขึ้นมาเพราะตอนเที่ยงเธอก็กินเยอะกว่าเขาแต่นี่เพิ่งสี่โมงก็หิวแล้ว มันก็ดูยังไงๆอยู่ แต่เพื่อที่จะได้ไม่เสียหน้าเธอก็แสร้งพูดอย่างมีเหตุผลพร้อมมองไปที่เขา “คุณชายหนานกง ถึงคุณจะไม่เคยดูแลคนท้อง คุณก็น่าจะรู้ว่าคนท้องต้องกินเพื่อคนสองคน ฉันคิดว่าฉันเป็นคนท้องที่กินน้อยที่สุดแล้วนะ”
หนานกงเฉินมองไปที่เธออย่างขบขัน “ใจเย็นๆ ผมไม่ได้จะห้ามคุณกิน ลุกขึ้นเถอะ เราไปดื่มชาบ่ายกัน”
“ไปกินที่ถนนของกินไหม” ไป๋มู่ชิงจงใจถามแล้วมองไปที่เขา
พอได้ยินว่าถนนของกิน สีหน้าของหนานกงเฉินก็หมองลงมา เขาไม่อยากให้ประวัติศาสตร์มืดมนนี้ซ้ำรอยแน่!
เมื่อสังเกตุเห็นว่าไป๋มู่ชิงกำลังกลั้นหัวเราะอยู่ เขาก็รู้เลยว่าผู้หญิงคนนี้ตั้งใจแกล้งเขาเลยตอบให้ได้ดั่งใจเธอว่า “ใช่ ไปถนนของกินกัน”
“แน่ใจ?” ไป๋มู่ชิงยิ้มได้ใจ
“ก็ดูว่าคุณจะใจดำหรือเปล่า” หนานกงเฉินโยนคำถามไปให้เธอ
ไป๋มู่ชิงนิ่งคิดไป เขาหมายความว่าเธอจะทำใจให้เขาไปกินหรือเปล่า พูดจากใจจริง เธอก็ทำไม่ได้หรอก เรื่องชาบูกี่วันก่อนที่โดนกฎตระกูลลงโทษ เธอไม่อยากกลับไปรับโทษของกฎตระกูลอีก
“ช่างเถอะ” เธอพูด
หนานกงเฉินมองเห็นสีหน้าที่ผิดหวังของเธอแล้วพูดขึ้นว่า “งั้นผมไปกับคุณ คุณกินคนเดียว?”
“ไม่ต้องดีกว่า” ไป๋มู่ชิงตอบด้วยสีหน้ามุ่งมั่น ถึงยังไงก็ไม่มีสารประโยชน์อะไรกับร่างกายอยู่ดี แถมเธอยังเป็นคนท้องอีก ครั้งก่อนก็ตามใจปากตัวเองไปแล้ว ครั้งนี้ระวังไว้ดีกว่า
“ก็ได้” หนานกงเฉินตบไปที่มือเธอเบาๆ “คนท้องก็ควรกินอาหารที่มีประโยชน์ ลุกขึ้น เดี๋ยวผมเลี้ยงชาบ่ายคุณเอง”
ไม่รอให้ไป๋มู่ชิงตอบ หนานกงเฉินก็ลากเธอออกจากผ้าห่ม “ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็ว”
ทีแรกไป๋มู่ชิงยังอยากนอนต่ออีกนิด แต่ก็ต้องหยุดความคิดนี้ลงเพราะโดนบังคับให้ลุกขึ้น
พอเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วออกจากโรงแรม หนานกงเฉินก็พามาที่ร้านอาหารที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งแล้วสั่งขนมต่างๆให้เธอก่อนแล้วยื่นเมนูไปที่หน้าไป๋มู่ชิง “คุณดูสิว่ายังอยากกินอะไรก็สั่งเลย”
ไป๋มู่ชิงมองไปที่ออเดอร์ที่เขาสั่งแล้วเบิกตากว้าง “เยอะขนาดนี้ คุณเลี้ยงหมูหรอ?”
“ผมรู้สึกว่าเลี้ยงคุณกับเลี้ยงหมูไม่ต่างอะไรกัน” หนานกงเฉินพูดอย่างไม่ปิดบัง
“คุณนั่นแหละหมู” ไป๋มู่ชิงมองตาขวางใส่เขาด้วยความไม่พอใจ เธอไม่ชอบให้คนอื่นว่าเรียกว่าหมู
ตอนเด็กเธอใช้นามสกุลเดียวกับคุณแม่ก็คือจู แล้วตามด้วยเสว เป็นจูเสว เดิมทียังน่าฟังอยู่แต่กลับถูกเพื่อนๆล้อแล้วเรียกว่าเลือดหมูแทน เป็นเพราะเรื่องนี้ทำให้เธอทะเลาะกับเพื่อนๆอยู่หลายครั้ง
จากนั้นคุณแม่พาเธอไปที่บ้านตระกูลไป๋ถึงได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นชื่อตอนนี้ แล้วเธอก็หลุดพ้นจากเสียงล้อกลั่นแกล้งของคนอื่น
“เป็นอะไร? โกรธหรอ?” ไป๋มู่ชิงสังเกตุเห็นสีหน้าที่ไม่พอใจของหนานกงเฉิน เลยคิดในใจว่า อะไรกัน? แค่นี้ก็โกรธหรอ?
“เปล่า” หนานกงเฉินดึงสติกลับมาแล้วพูดว่า “ขนมที่นี่อร่อยไม่แพ้กับที่ถนนของกิน คุณกินเยอะๆได้เลย”
เมื่อกี้นี้เขาแค่นึกถึงภาพความหลังบางอย่าง แต่ก่อนก็เคยมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งพูดแล้วจ้องเขาว่า: นายนั่นแหละหมู
ทำไมท่าทางของทั้งสองถึงได้เหมือนกันขนาดนี้ เหมือนเป็นคนคนเดียวกันเลย
“ถึงจะอร่อยแค่ไหน แต่เยอะขนาดนี้ก็กินไม่หมดหรอก” ไป๋มู่ชิงหันไปพูดกับพนักงานว่า “แค่นี้พอค่ะ ขอบคุณค่ะ”
น้ำชากับขนมก็เสิร์ฟมาอย่างรวดเร็ว วางเต็มโต๊ะไปหมด ไป๋มู่ชิงมองกวาดของกินที่เต็มโต๊ะน้ำลายก็เริ่มไหล
เธอหันมองไปที่หนานกงเฉิน “ทำไมคุณยังไม่กินล่ะ?”
“คุณกินเถอะ” หนานกงเฉินไม่หิว แต่เมื่อเห็นสภาพเธอที่น้ำลายไหลอย่างนั้นก็รู้สึกดีใจ เขามาไม่ผิดที่จริงๆ
“งั้นฉันไม่เกรงใจแล้วนะ” ไป๋มู่ชิงยื่นตะเกียบไปคีบเผือกหวานมากินแล้วพยักหน้าใส่เขา “ใช่ อร่อยมาก คุณก็รีบกินสิ”
หนานกงเฉินหยิบตะเกียบขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ไม่ได้คีบเผือกหวานแตกกลับคีบซี่โครงส้มเขียวใส่จานเธอ “อันนี้ก็อร่อย”
ไป๋มู่ชิงคีบซี่โครงมากินคำนึงว่าพยักหน้า “อร่อยจริง”
“อันนี้เรียกว่าอะไร? ทำไมดูหน้าอร่อยจังเลย” เธอก็คีบจากอีกจานนึงเข้าปาก
“นี่คือลูกชิ้นเอ็นผัดผงกะหรี่” หนานกงเฉินอธิบายอย่างใจเย็น
ไป๋มู่ชิงพยักหน้าให้แล้วก้มกินไปสักพัก “ทำไมคุณไม่กิน? ลดความอ้วน?”
“ลดความอ้วน?” หนานกงเฉินหมดคำพูด “คุณคิดว่าจำเป็นกับผมหรอ?”
“งั้นคุณก็กินสิ ถ้าคุณไม่กินฉันเกรงใจ”
“ลูกชายผมกินแทนผมแล้ว เพราะฉะนั้นคุณไม่ต้องคิดเกรงใจ ” หนานกงเฉินคีบซี่โครงเข้าปากเธอ เพื่อที่เธอจะได้กินได้อย่างเอร็ดอร่อยถึงแม้เขาไม่หิวก็กินตามไปด้วย
หลังจากก้มหน้าก้มตากินไปสักพัก ไป๋มู่ชิงก็อิ่มสักที เธอวางตะเกียบลงด้วยสีหน้าอิ่มอกอิ่มใจแล้วพูดกับหนานกงเฉิน “กินอิ่มมากเลย ดินเนอร์ตอนเย็นก็คงไม่ต้องแล้วแหละ”
“แน่ใจหรอ?” เขาเข้าใจเธอดี ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงเธอก็คงหิวอีกแน่ๆ
“แน่ใจ” ไป๋มู่ชิงพยักหน้า “ตอนเย็นคุณก็ไปทานกับนักธุรกิจพวกนั้นได้แล้ว”
“ทำไม? หลอกใช้งานผมเสร็จก็เขี่ยผมทิ้งเลยหรอ?”
“เปล่าสักหน่อย”
“งั้นคุณก็ควรทานดินเนอร์กับผมสิ?”
“คุณชายคะ ฉันกำลังปล่อยให้คุณเป็นอิสระ คุณไม่รู้สึกหรอ?”
“ถ้าผมอยากเป็นอิสระ คุณห้ามยังไงก็ห้ามไม่อยู่หรอก คุณไม่ต้องกังวลเรื่องนี้” หนานกงเฉินพูดขึ้นอย่างเยาะเย้ย
ไปกินข้าวกับนักธุรกิจพวกนั้นที่เอาแต่ประจบประแจมันน่าเบื่อมาก ไปกินกับนักกินอย่างเธอคงรู้สึกอร่อยกว่า
แค่เขาอยากเป็นอิสระใครก็ห้ามไม่ได้ คำพูดนี้พูดถูกมาก ไป๋มู่ชิงพยักหน้าให้แล้วไม่ได้เถียงกลับเขาอะไร เพียงแค่เรียกพนักงานมาเช็คบิล
พนักงานมองไปที่โต๊ะที่ยังเหลือของกินเยอะแยะ แล้วมองไปทั้งสองเอ่ยขึ้นว่า “ทั้งสองท่านต้องการ……ใส่กล่องกลับหรือเปล่าคะ?”
“ใช่”
“ไม่ต้อง”
ทั้งสองพูดขึ้นพร้อมกัน คนที่พูดว่าใช่ก็คงเป็นคนที่ประหยัดอย่างไป๋มู่ชิง
เพราะว่าหนานกงเฉินสั่งมาเยอะมาก แต่ตัวเองกลับกินแค่นิดเดียว ถึงไป๋มู่ชิงจะกินจุกแค่ไหนก็คงกินไม่หมด บนโต๊ะยังเหลืออาหารกว่าครึ่งที่ยังไม่ได้กิน ถ้าจะโยนทิ้งแบบนี้……แม้แต่พนักงานยังรับไม่ได้ เธอเองก็ทำไม่ได้เหมือนกัน
แต่เมื่อเธอพูดคำว่า’ใช่’ออกมาก็เพิ่งรู้ตัวว่าครั้งนี้เธอไม่ได้มากับเหยาเหม่ย จ้าวเฟยหยางแต่เป็นหนานกงเฉิน
บอสบริษัทหนานกงทั้งคนยังห่อกลับ ถ้าเรื่องนี้คนอื่นรู้คงเอาไปพูดสนุกปากเลยหละสิ?
“สรุปว่า……ต้องการหรือไม่ต้องการคะ” พนักงานถามขึ้นอย่างระมัดระวัง
“ไม่ล่ะกันค่ะ” ไป๋มู่ชิงกลับคำพูด
“เอากลับครับ” หนานกงเฉินเปลี่ยนคำพูดตาม
ทั้งสองก็พูดขึ้นพร้อมกันอีกจนทำให้พนักงานงงไป
ทั้งสองหันมาสบตากันโดยที่ไม่ได้นัดหมายแล้วหนานกงเฉินก็พูดขึ้นว่า “ในเมื่อคุณชอบกิน ก็เอากลับเถอะ”
“ไม่ ไม่เป็นไร” เธอไม่อยากเป็นเพราะตัวเองทำให้หนานกงเฉินขายหน้า
หนานกงเฉินเข้าใจว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ แต่เขาคิดว่าภาพลักษณ์ของคนคนหนึ่งไม่ได้มาจากการที่ห่อของกลับหรือซื้อของลดราคา เขาคงไม่คนนินทาเพราะแค่ห่อกลับแค่นี้หรอก แค่เขาไม่เคยชินกับการห่อกลับบ้านก็เท่านั้น
เมื่อพนักงานกำลังแพ็คอาหาร ไป๋มู่ชิงก็รีบอธิบายว่า “การไม่กินทิ้งขว้างอาหารมันเป็นเรื่องดี แถมยังเยอะขนาดนี้ ถ้าทิ้งไปก็น่าเสียดายคุณว่าไหม?”
หนานกงเฉินกอดอกแล้วเอนพิงเก้าอี้ข้างหลังแล้วทอดมองไปที่เธอ “บางครั้งผมก็สงสัย ว่าคุณเป็นคุณหนูของตระกูลไป๋จริงหรือเปล่า”
คำพูดของเขาทำให้ใจของไป๋มู่ชิงตกวูบ แล้วเงยหน้ามองไปที่เขา เขาหมายความว่ายังไง? เขารู้แล้วหรอว่าฉันว่าเธอแต่งงานกับเขาแทนไป๋ยิ่งอัน?
ไม่ เป็นไปไม่ได้ ไม่งั้นเขาคงไปคิดบัญชีกับตระกูลไป๋แล้ว คงไล่เธอออกจากบ้านไป
เธอแกล้งทำเป็นไม่รู้ “คุณหมายความว่ายังไง? คุณหนูต้องทำตัวฟุ่มเฟือยเหมือนคุณหรอ? ดูหยวนกวยก็เป็นคุณหนูเหมือนกัน เธอก็ยังถ่อมตัวเลยแถมยังหลงรักคนอย่างจ้าวเฟยหยางอีก”
“นี่คุณกำลังหลอกด่าผมหรอ?” หนานกงเฉินรู้สึกไม่พอใจ
“ฉันเปล่า คุณอย่าเข้าใจผิด” หนานกงเฉินรับถุงอาหารที่พนักงานแพ็คเสร็จแล้วลุกขึ้นบอกเขาว่า “ไปกันเถอะ”
ไป๋มู่ชิงนำกล่องอาหารไปวางที่หลังรถแล้วหันมาพูดกับหนานกงเฉิน “ต่อไปเราจะไปที่ไหน”
“แล้วแต่คุณเลย”
ไป๋มู่ชิงคิดไปคิดมา ถนนคนเดินมีความหลังที่ไม่ดี ถนนของกินก็ไม่มีความดึงดูดกับเธอแล้วงั้นก็ไปถนนบูติกแล้วกัน
ทั้งสองมาถึงถนนบูติกที่ใกล้ๆ ยังไงก็เป็นผู้หญิง พอเห็นของอินดี้ต่างๆในถนนนี้ก็รู้สึกตื่นเต้นอยากเข้าไปดูทุกร้านเลย
หนานกงเฉินเดินตามเธออยู่ข้างๆแล้วมองไปที่เธอที่หยิบกิ๊ฟเครื่องประดับต่างๆขึ้นมาลองบนหัวแล้วหันไปถามเขาว่าสวยไหม
เขาดูไปแล้วก็สวยดีแต่ไม่ใช่เครื่องประดับที่ทำอย่างละเอียดมากนัก เขาแค่พยักหน้าแล้วตอบไปว่าสวย
เพราะยังไงก็ไม่ใช่ของมีค่าอะไร แค่เธอมีความสุขก็พอ แล้วอีกอย่างถึงจะเป็นของที่มีค่าเขาก็ไม่สนใจหรอก
พอไป๋มู่ชิงเลือกไปสักพักหนึ่งแล้วหันมาถามเขาว่า “ใช่สิ แต่ก่อนคุณเคยมาที่ถนนนี้หรือเปล่า?”
หนานกงเฉินส่ายหัว “ไม่เคย”
“เป็นไปได้ยังไง ฉันไม่เชื่อหรอก” คุณหนูจูของเขาเป็นคนที่นี่ไม่ใช่หรอ? จะไม่เคยมาที่ถนนบูติกที่มีชื่อเสียงนี้ได้ยังไง?
หนานกงเฉินเหมือนจะเข้าใจความสงสัยของเธอแล้วตอบไปว่า “เธอไม่ชอบของที่นี่หรอก”
ไป๋มู่ชิงมองไปที่เครื่องประดับในตะกร้า “ก็ดูสวยดีนิ”
หนานกงเฉินหัวราะ “ถ้าเอาเครื่องประดับทั้งตะกร้านี้ไปแลกเป็นของชิ้นสองชิ้นที่มีค่า คงจะดูดีกว่านี้ ก็เหมือนเอาเสื้อผ้าทั้งตู้ของเธอไปแลกเสื้อผ้าแบรนด์เนมตัวสองตัว คุณก็จะดูมีรสนิยมขึ้นมาทันที”
สีหน้าของไป๋มู่ชิงเจือไป “เธอพูดอย่างนี้หรอ?”
“ใช่”
ไป๋มู่ชิงมองกลับไปที่เครื่องประดับในตะกร้าแล้วหยิบเครื่องประดับเหล่านั้นแขวนกลับที่เดิม
เมื่อกี้เธอตื่นเต้นเกินไปจนลืมฐานะของตัวเองไป แล้วลืมไปว่าก่อนแต่งงานเธอเป็นคนหนูไป๋ หลังแต่งงานก็เป็นถึงคุณหญิงน้อยตระกูลหนานกง ไม่ว่าจะฐานะไหนก็ไม่ควรทำตัวแบบนี้ ไม่ควรรู้สึกชอบกับเครื่องประดับที่ไม่กี่บาทแบบนี้
ก็ว่าทำไมหนานกงเฉินถึงพูดแบบนี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้ชายที่รวยคนอื่นก็อยากให้ภรรยาของตัวเองแต่งตัวดูดีมีรสนิยมทั้งนั้น
เมื่อหนานกงเฉินเห็นเธอนำเครื่องประดับกลับไปแขวนที่เดิมก็รีบพูดขึ้นว่า “ผมแค่พูดไปอย่างนั้น คุณไม่ต้องใส่ใจหรอก”
“ไม่ ฉันก็จะเป็นผู้หญิงที่ดูดีมีระดับเหมือนกัน” ไป๋มู่ชิงรู้สึกเหมือนแสร้งทำ
“ความดูดีมีระดับไม่ได้มาจากการตกแต่งแค่ครั้งเดียว แต่ต้องเป็นสภาพแวดล้อมการเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็กด้วย” หนานกงเฉินพูดอย่างไม่เกรงใจว่า “กล่องข้างหลังรถของผมพวกนั้นก็ทำให้คุณเป็นแบบนั้นไม่ได้ เพราะฉะนั้น……”
เขาใช้คางชี้ไปที่ตะกร้าในมือเธอ “ซื้อเถอะ ไม่ต้องฝืนใจตัวเอง”
ไป๋มู่ชิงโดนเขาพูดให้ดูแย่กว่าเดิม เธอมองตาขวางใส่เขาอย่างหงุดหงิดแล้วนำเครื่องประดับเหล่านั้นกลับมาในตะกร้า
“มีภรรยาที่ไม่ได้เรื่องแบบนี้ คงลำบากใจมากเลยสิ” เธอพูดกับเขาไป
ไม่สนละ ภรรยาที่ดูดีมีระดับแบบนี้เก็บไว้ให้ไป๋ยิ่งอันเถอะ เพราะยังไงไป๋ยิ่งอันก็เป็นผู้หญิงที่ชอบแต่งตัวอยู่แล้ว เรื่องนี้เธอถนัด
แต่ตอนนี้เธอแค่อยากเป็นตัวของตัวเองที่สุด
หนานกงเฉินดูอยู่ข้างๆก็เผลอยิ้มออกมา
ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เรื่องจริงๆ แต่ทำไม……เขาไม่รู้สึกลำบากใจเลย กลับรู้สึกว่าผู้หญิงนิสัยแบบนี้น่ารักจะตาย
อาจจะเป็นเพราะเจอผู้หญิงที่แสล้งทำตัวเยอะเกินไปเลยเริ่มรู้สึกกับผู้หญิงที่ไม่สนใจภาพลักษณ์อย่างเธอ เหมือนคำพูดที่ว่า กินเนื้อเยอะเกินไปก็อยากจะกินผักบ้าง พอกินผักเยอะเกินไปยังไงก็ต้องอยากกินเนื้อ ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะเริ่มรู้สึกเบื่อนิสัยแบบนี้ของเธอเมื่อไหร่กัน
เดินอ้อมถนนบูติกนี้ไป ข้างหน้าก็จะเป็นบ้านสวนูแล้ว มองไปที่ถนนเส้นที่คุ้นเคยนี้ไป๋มู่ชิงก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา หมดอารมณ์ที่จะเดินเล่นต่ออีก
“เป็นอะไร?” เมื่อหนานกงเฉินรู้สึกถึงสีหน้าของเธอเปลี่ยนแล้วเอ่ยถามเธอ
ไป๋มู่ชิงแอบสูดหายใจเข้าแล้วบอกว่า “ฉันอยากกลับแล้ว”
“ทำไม? เมื่อกี้ยังสนุกอยู่เลย”
“ไม่ทำไม แค่รู้สึกปวดท้องนิดหน่อย” ไป๋มู่ชิงหันหลังเดินกลับไปทางที่เข้ามาก่อน
เมื่อหนานกงเฉินได้ยินว่าเธอปวดท้องก็รีบเดินตามขึ้นไปเป็นห่วง “ทำไมถึงปวดท้องล่ะ? เดี๋ยวผมส่งคุณไปโรงพยาบาล”
“ไม่ต้อง แค่กลับไปนอนก็ดีขึ้นแล้ว”
“คุณแน่ใจหรอ?”
“ใช่” ไป๋มู่ชิงเร่งก้าวเท้าให้เร็วกว่าเดิม ไม่รู้ว่ากำลังเดินหนีบ้านสวนจูหรือว่ากำลังเดินหนีหนานกงเฉินที่เดินตามมา แต่ยังไงก็รู้สึกแค่ว่าอยากหนีไปให้เร็วที่สุด
เธอกินเล่นเที่ยวเล่นมาทั้งวัน เธอลืมเป้าหมายหลักที่มาเมืองเหยียนเฉิงได้ยังไง ลืมการเสียชีวิตของคุณย่าไปอีกแล้ว

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset