เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 110 ถูกลวนลาม

บนโต๊ะอาหาร ผู่เหลียนเหยามองไปที่นั่งประจำของไป๋มู่ชิงแล้วเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย “ทำไมพี่สะใภ้ไม่ลงมาทานอาหารเช้าคะ?”
“ผมไม่ได้บอกคุณหรอ? ว่าพี่สะใภ้กลับไปดูแลครรภ์ที่บ้านแล้ว” เซิ่งเคอพูด
“ไม่ได้บอกนี่” แล้วผู่เหลียนเหยาก็ยิ้มหัวเราะขึ้น “ดูเหมือนฉันไม่ได้มานานเลยสิ”
คุณหญิงวางแก้วน้ำลงแล้วจ้องไปที่หนานกงเฉิน “ไปตั้งหลายวันแล้วทำไมยังไม่รับเธอกลับมาสักที?”
“คุณย่าครับ เธอรู้สึกสบายใจที่ได้อยู่บ้านตัวเองก็ให้เธออยู่เถอะ” หนานกงเฉินพูดตอบขึ้น
“อะไรกัน เธอเป็นคนหญิงน้อยของตระกูลหนานกงเรา แถมยังท้องอีกจะอยู่บ้านแม่ตลอดได้ยังไง?” คุณหญิงพูดสั่งขึ้นด้วยสีหน้าเข้ม “เพื่อที่คนอื่นจะได้ไม่เอาไปนินทา รีบไปรับเธอกลับมาซะ”
“คุณย่า……” หนานกงเฉินขยับริมฝีปากขึ้นแต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยพูดอะไรออกมา
เซิ่งเคอที่เห็นท่าทางลังเลของหนานกงเฉิน ก็หยิบขนมปังขึ้นหนึ่งแผ่นแล้วลุกจากเก้าอี้แล้วพูดว่า “รีบไปเถอะ เดี๋ยวรถติดอีก”
ผู่เหลียนเหยาก็ลุกขึ้นตามไปแล้วกล่าวลากับคุณหญิงกับหนานกงเฉิน
กี่วันนี้เซิ่งซินอยู่ที่โรงเรียนไม่ได้กลับมา จนตอนนี้บนโต๊ะอาหารเหลือแค่คุณหญิงกับหนานกงเฉิน คุณหญิงวางตะเกียบแล้วมองไปที่หนานกงเฉิน “เฉิน แกเป็นอะไร?ทะเลาะกับยิ่งอันหรอ?”
“ไม่เชิงว่าทะเลาะครับ” หนานกงเฉินยิ้มอย่างแห้งแล้วมองไปทางคุณหญิง “ระหว่างผมกับเธอก็เป็นแบบนี้มาตลอดไม่ใช่หรอครับ อารมณ์ดีก็อยู่ด้วยกันได้ อารมณ์ไม่ดีก็อยู่ของใครของมัน”
เมื่อคุณหญิงได้ยินเขาพูดอย่างนี้ก็ส่ายหัวถอนหายใจ “นี่แหละชีวิตคู่ที่ไม่มีความรัก ก็โทษพวกแกไม่ได้”
“เพราะฉะนั้น ถึงเธอไปก็เป็นเรื่องปกติ”
“หมายความว่ายังไง? เธอไม่คิดที่จะกลับมาแล้วหรอ?” คุณหญิงเอ่ยถามขึ้นอย่างกระทันหัน ถ้าเป็นอย่างนี้จริงท่านก็คงไม่ตอบตกลง
แหวนยังอยู่บนนิ้วเธอแถมยังท้องลูกของตระกูลหนานกงอีก ถึงแม้จะเป็นเด็กที่ผิดปกติ แต่ยังไงก็เป็นของตระกูลหนานกง ไม่อนุญาตให้เธอนำเด็กไปแน่นอน
“ในเมื่อคุณย่าคิดที่จะแยกพวกเราออก ก็แยกตั้งแต่ตอนนี้เลยไม่ดีเหรอครับ แล้วช่วงเวลานี้อะไรที่ควรลืมก็ลืม อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป”
“เฉิน แกบ้าหรอ ถึงแม้เพราะแกจะต้องแยกกันก็ไม่ใช่แยกกันแบบนี้ ถ้าเกิดเธอเอาแหวนกับลูกของตระกูลแล้วหนีไปทำยังไงล่ะ? แกควรจะ……”
“คุณย่า” หนานกงเฉินพูดแทรกขึ้น “คุณย่าไว้ใจเถอะครับ เธอหนีไม่พ้นกำมือของผมหรอก ยังไงลูกกับแหวนก็ต้องกลับมาอยู่แล้ว”
คุณหญิงมองไปที่เขาที่ไม่อยากเอ่ยพูดอะไร ผ่านไปสักครู่ค่อยเอ่ยขึ้นว่า “แกชอบเธอใช่ไหม?”
ถ้าไม่ใช่เขาจะหยุดยั้งท่านให้จัดการผู้หญิงคนนั้นทำไม? กี่คนก่อนหน้าท่านก็เป็นคนจัดการเอง ท่านจะให้พวกเธอไปอยู่ในที่ไกลๆไม่ให้กลับมาเหยียบที่เมืองซีนี้ตลอดชีวิต พวกเธอไม่มีโอกาสรับรู้ความลับของตระกูลหนานกง
ความจริงท่านสามารถใช้วิธีเดียวกันจัดการกับไป๋มู่ชิงได้ แต่ตอนนี้หนานกงเฉินเอนเข้าข้างไป๋มู่ชิงอย่างชัดเจน ถ้าไม่ใช่หลงชอบแล้วจะมีความคิดแบบนี้ได้ยังไง?
“เธอแตกต่างจากผู้หญิงคนอื่นจริงๆ ผมก็รู้สึกชอบเธอนิดหน่อย เพราะฉะนั้นผมต้องการเวลาที่จะจัดการกับความรู้สึกตัวเอง ผมสัญญากับเธอแล้วว่ารอจนถึงเด็กคลอด ถ้าผมยังต้องการเธอก็จะไปรับทั้งแม่ลูกกลับมา แต่ถ้าไม่ต้องการก็……ระหว่างผมกับเธอก็จบไปแบบนี้แหละ”
หนานกงเฉินลังเลไปครู่นึงแล้วสีหน้าก็หม่นหมองลงพร้อมพูดต่อว่า “เพราะฉะนั้นคุณย่าครับ ผมอยากจะขอให้คุณย่าตอบตกลง ถ้าถึงเวลาแล้วผมไม่ต้องการเธอก็ปล่อยให้เธอไปเป็นอิสระ แต่ถ้าผมยังต้องการเธอก็ขอให้คุณย่ายอมรับเธอแล้วให้เธอกลับมาข้างกายผมอีกครั้งด้วย”
“ไม่ใช่……” คุณหญิงลุกขึ้นจากเก้าอี้มาแล้วมองกวาดเขาอย่างไม่สบอารมณ์ “หนานกงเฉิน นี่แกกำลังเอาเปรียบเพราะฉันอายุเยอะแล้วงั้นหรอ? ตอนนั้นเราสัญญาว่ายังไง ฉันตกลงที่จะให้เธอเก็บเด็กในท้องไว้แต่แกก็ต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นทันทีหลังจากที่เด็กคลอด”
“เธอเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ผมรู้สึกด้วยนอกจากจูจู เป็นคนแรกที่ไม่กลัวผม ไม่รังเกียจผมแถมยังยอมทำทุกอย่างเพื่อผมอีก เธอมีความรับผิดชอบมีความกล้า เธอยังไม่ได้รับรักผมเลยก็ยอมเสียสละเพื่อผม เธอถูกลงโทษครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะว่าโรคของผม เพื่อที่จะให้ผมทานยาตัวเองก็ยอมทานยาก่อน จากนั้นก็แอบไปอ้วกที่ห้องน้ำ ผู้หญิงแบบนี้ ถึงผมไม่รักเธอไม่ต้องการเธอ แต่ผมไม่อยากทำร้ายเธอนี่เป็นพื้นฐานของความเป็นคนไม่ใช่หรอครับ?”
คุณหญิงเงียบไปไม่พูดอะไรต่อ
หนานกงเฉินก็เงียบเหมือนกันจากนั้นก็ก้มหน้าอยู่อย่างนั้น
หลายๆเรื่องไม่ใช่เพราะเขาไม่รู้ แต่แค่ทำเป็นไม่รู้ต่างหาก ตอนนั้นที่ไป๋มู่ชิงพยายามอ้วกยาออกมา เขาคิดว่าเธอกลัวว่าตัวเองจะถูกทำร้าย แต่เพิ่งรู้ทีหลังว่าเป็นเพราะเธอท้องเลยกินยามั่วซั่วไม่ได้
ใจเขาแข็งเหมือนหินอยู่แล้ว ถ้าไม่มีอะไรที่น่าดึงดูด เขาจะรู้สึกหวั่นไหวกับเธอได้ยังไง?
“แล้วแกหมายความว่า แกจะไม่แต่งงานกับผู้หญิงที่ถูกลิขิตไว้งั้นหรอ?” ผ่านไปสักครู่คุณหญิงค่อยเอ่ยขึ้น “แกรู้หรือเปล่าว่าฉันตามหามาโดยตลอด ฉันเชื่อว่ายังไงก็ต้องหาเจอ”
“ไม่ต้องหาแล้วครับ” หนานกงเฉินเอ่ยขึ้นอย่างราบรื่น “ถึงแม้จะหาเจอแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไร”
“หมายความว่ายังไง?” ใจของคุณหญิงสั่นวูบไปแล้วจ้องมองไปที่เขา “เธอแต่งงานแล้ว?หรือว่า……ตายแล้ว?”
“เธอ……ตายแล้ว”
“เป็นไปได้ยังไง?” คุณหญิงเอ่ยเสียงเข้ม
“คุณย่าครับ ทุกอย่างบนโลกไม่มีอะไรแน่นอนหรอกครับ”
เขาไม่ได้จงใจจะโกหกคุณหญิง ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้หญิงคนอื่นเขาอาจจะลองคิดดูว่าหลังจากเลิกกับไป๋มู่ชิงแล้วแต่งงานกับเธอ แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนอื่น เป็นจูจูที่เขาเอาแต่ตามหานั่นเอง
จูจูกลัวเขา ไม่อยากแต่งงานกับเขา ถึงแม้ถึงตอนนั้นเขาจะเลิกกับไป๋มู่ชิงอย่างเด็ดขาด เขาก็ไม่มีทางเกี่ยวข้องกับเธอแน่นอน เพราะว่าเขาจะไม่บังคับให้เธอแต่งงานกับตัวเอง ไม่อยากบังคับ
“เป็นไปได้ยังไง……” คุณหญิงเอ่ยขึ้นอย่างเสียใจจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองหนานกงเฉิน “แกกำลังโกหกฉันใช่ไหม? เพราะแกไม่อยากแต่งงานกับเธอเลยโกหกฉันว่าเธอตายไปแล้วใช่ไหม?”
หนานกงเฉินส่ายหัว “ถ้าถึงเวลานั้นผมหย่ากับคุณหนูไป๋แล้ว ผมจะแต่งงานกับใครก็เหมือนกัน ทำไมต้องโกหกคุณย่าด้วย?”
“ใครจะรู้ล่ะ?” คุณหญิงก้มหน้าลงไปอย่างผิดหวัง
หนานกงเฉินก็พูดขึ้นอีกว่า “ถ้าคุณย่าไม่เชื่อก็ตามหาต่อเถอะครับ ผมจะไม่ห้ามคุณย่า” พูดจบเขาก็ลุกจากเก้าอี้ “คุณย่าครับ แค่นี้แหละครับ ผมไปบริษัทก่อนนะครับ”
ขณะที่เด็กๆกำลังนอนหลับกลางวันอยู่ ไป๋มู่ชิงก็เดินออกมาจากบ้านแล้วมาจัดเตรียมอุปกรณ์วาดรูปที่จะใช้ตอนบ่าย
เมื่อจัดของโต๊ะสุดท้ายเสร็จกำลังจะหันหลังกลับไปข้างในก็เกือบชนกับบางคน เธอตกใจไปแล้วเอ่ยอย่างโมโหว่า “นายมาที่นี่ทำไม?”
หลินอันหนานมองไปรอบๆแล้วยิ้มอ่อน “สถานรับเลี้ยงเด็กย้ายมาที่นี่เองหรอ”
“ตอบมาสิ นายมาที่นี่ทำไม?” มุมปากไป๋มู่ชิงก็เลิกขึ้นอย่างเยือกเย็น “ถ้านายจะมาทำให้ฉันแตกหักกับหนานกงเฉิน คงไม่ต้องแล้วล่ะ เพราะตอนนี้ฉันออกมาจากตระกูลหนานกง ตามที่นายหวังแล้ว”
“มู่ชิง ถ้าผมพูดว่าผมมาครั้งนี้ไม่ได้มีจุดประสงค์อะไรคุณจะเชื่อหรือเปล่า?”
“ฉันไม่เชื่อ” ไป๋มู่ชิงพูดย้ำเตือนขึ้นอีกว่า “ฉันหวังว่าคุณจะจำคำพูดของฉันได้ ถึงแม้ฉันจะเลิกกับหนานกงเฉินแล้ว ก็ไม่มีทางกลับไปหาคุณเด็ดขาด เพราะฉะนั้นคุณหยุดเสียเวลากับฉันเถอะ”
เธอรีบแบ่งเขตตัวเองออกจากเขา แต่เขากลับพูดอย่างรำลึกความหลังว่า “ผมจำได้แต่ก่อนเรามาเล่นกับเด็กๆที่สถานรับเลี้ยงเด็กบ่อย จากนั้นก็พาพวกเขาไปกินของอร่อยๆ นี่ก็ผ่านมาครึ่งปีแล้ว ผมก็ไม่ได้มาเล่นกับเด็กๆนานแล้ว”
ไป๋มู่ชิงหมดคำพูดแล้วส่ายหัว ผู้ชายคนนี้ต้องจงใจแน่ๆ!
ไป๋มู่ชิงหันหลังจะเดินเข้าไป แต่หลินอันหนานก็พูดตามหลังเธอขึ้นมา “ใช่สิ เสี่ยวเนี่ยนล่ะ เขาคงจะเขียนหนังสือได้แล้วใช่ไหม?”
ตัวของไป๋มู่ชิงหยุดนิ่งไป
เสี่ยวเนี่ยน……เธอไม่กล้าคิดถึงเขานานแล้ว เพราะทุกครั้งที่คิดถึงก็รู้สึกเสียใจ
“ทำไม? ผมพูดอะไรผิดหรอ?” หลินอันหนานตามขึ้นมาแล้วถามขึ้นอย่างระมัดระวัง
ไป๋มู่ชิงหลับตาลงแล้วถอนหายใจเบาๆ แล้วลืมตาขึ้นพูดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “เสี่ยวเนี่ยนไม่อยู่แล้ว”
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ร่างกายเสี่ยวเนี่ยนไม่แข็งแรงอยู่แล้ว”
“ทำไมคุณไม่บอกผม?” หลินอันหนานพูดด้วยสีหน้าตำหนิ
“บอกนายทำไม? นายช่วยชีวิตเขาได้หรอ?”
“อย่างน้อยผมก็หาหมอดีๆให้เขาได้” หลินอันหนานจับแขนของไป๋มู่ชิงไว้ “มู่ชิง คุณลืมแล้วหรอ? ตอนนั้นเราสัญญากับเสี่ยวเนี่ยนไว้ว่าจะรักษาโรคของเขาให้หาย ให้เขามีชีวิตที่แข็งแรง”
ฝ่ามือเขาจับแน่นขึ้นมา ไป๋มู่ชิงก็รีบก็สะดุ้งไปเหมือนโดนเข็มทิ่มแทง เธอก้มหน้ามองไปที่ฝ่ามือเขา
“ขอโทษ” หลินอันหนานปล่อยเธอทันทีด้วยสีหน้ารู้สึกผิด แต่ในใจก็รู้สึกไม่พอใจมาก เธอหมายความว่ายังไง เธอรังเกียจเขาเหมือนเชื้อโรค? แค่จับมือเธอก็ไม่ได้หรอ?
เขาไม่ได้แสดงความไม่พอใจออกมาตรงๆ แต่กลับก้มหน้าลงไปด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “ขอโทษมู่ชิง ตอนนั้นผมสัญญาว่าจะดูแลปกป้องเด็กๆกับพวกคุณ แต่ผมกลับผิดสัญญา”
ไป๋มู่ชิงจัดเสื้อผ้าที่แขนที่โดนเขาจับจนยับแล้วจ้องมองเขาอย่างเสียดสี “คุณชายหลินจะโทษตัวเองทำไม? ช่วงเวลานั้นคุณก็ยุ่งอยู่กับการแอบคบกับไป๋ยิ่งอัน ยุ่งอยู่กับการร่วมมือกับเธอแล้วโกหกให้ฉันเข้าไปในตระกูลหนานกง จะมีเวลามาสนใจเด็กพวกนี้ได้ยังไง?”
“ผม……”
“คุณชายหลิน” ไป๋มู่ชิงพูดแทรกเขา “คุณไม่ต้องแกล้งทำตัวต่อไปหรอก คุณไม่ได้ชอบเด็กที่นี่ ทุกครั้งที่มาก็รู้สึกหงุดหงิด ฉันรู้ แต่ฉันไม่โทษคุณหรอก เพราะพวกเขาก็ไม่ใช่ลูกของคุณ คุณไม่จำเป็นต้องดีกับพวกเขา แต่ฉันแค่อยากเตือนคุณว่า ไม่ต้องมาทำท่าทางที่รู้สึกผิดที่นี่แล้วก็ไม่ต้องหาข้ออ้างที่จะเข้ามาในครอบครัวใหญ่นี้ด้วย เพราะคุณไม่คู่ควร”
ผู้ชายก็อย่างนี้แหละ โดยเฉพาะผู้ชายที่มีเงิน ส่วนใหญ่ก็ไม่ชอบอยู่กับเด็กอยู่แล้ว จุดนี้ในใจไป๋มู่ชิงเข้าใจดี หนานกงเฉินยังเรียกพวกเขาว่าเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าเลย ทุกครั้งที่ได้ยินเธอพูดถึงพวกเขาก็จะรู้สึกรังเกียจ
เธอคิดภาพไม่ออกเลยว่าผู้ชายที่เข้มงวดเย่อหยิ่งอย่างหนานกงเฉิน ตอนเล่นกับเด็กๆจะเป็นยังไง
จินตนาการถึงสถานการณ์นั้น ไป๋มู่ชิงก็เผลอยิ้มออกมา
“เธอยิ้มอะไร?” หลินอันหนานขมวดคิ้วถาม
ไป๋มู่ชิงโดนเขาถามขึ้นอย่างนี้ค่อยดึงสติกลับมาแล้วทำสีหน้าเข้ม “ไม่มีอะไร คุณกลับไปเถอะ”
พูดจบเธอก็แอบกัดริมฝีปากตัวเองในใจก็กำลังโทษตัวเองว่าจะคิดถึงผู้ชายที่เลวอย่างหนานกงเฉินทำไม?ไม่สมควรเลย
“จะใจดำขนาดนี้ทำไม เลิกกันแล้วก็ต้องเป็นศัตรูกันหรอ?” หลินอันหนานถอนหายใจเบาๆ “พวกเรา……ยังเป็นเพื่อนกันได้ไหม?”
ไป๋มู่ชิงยิ้มอย่างข่มขืนแล้วมองไปที่เขา “ยังจำได้หรือเปล่าว่าครั้งแรกที่เราเจอกันมันเป็นยังไง? คุณเดินมาถามฉันว่าเราเป็นเพื่อนกันได้หรือเปล่า? ตอนนั้นฉันพยักหน้าตอบทันทีโดยที่ไม่ได้คิด จากนั้นเราก็เป็นเพื่อนกัน หลังจากเป็นเพื่อนก็เป็นแฟนกัน สามปีผ่านไปเร็วมาก แต่สามปีหลังจากนั้นคุณกลับถามฉันอย่างระมัดระวังเหมือนเจอกันครั้งแรกว่ายังเป็นเพื่อนกันได้ไหม คำพูดเดียวกันแต่มีคำว่า’ยัง’เพิ่มขึ้น กลับเป็นความหมายที่ต่างกันสิ้นเชิง”
“คุณชายหลิน เพราะว่าตอนนั้นที่ฉันเป็นเพื่อนกับคุณ ชีวิตฉันก็เลยเจอกับความยากลำบากมาก เพราะฉะนั้น……ครั้งนี้ขอให้ฉันได้ปฏิเสธคุณเถอะ ขอโทษ” พูดจบไป๋มู่ชิงก็พยักหน้าให้เขาแล้วหันหลังเดินเข้าไปข้างใน
ขณะที่กำลังเดินทางไปบริษัทของลูกค้า ผู้ช่วยเหยียนก็หันมามองที่ก็เห็นว่าเขากำลังพักสายตาอยู่ เธอรู้ว่าเขาคงนอนไม่หลับ เพราะว่าเพิ่งขึ้นรถได้ไม่นาน
เธอคิดไปคิดมาแล้วพูดขึ้นว่า “คุณชายเฉินคะ วันนี้ฉันผ่านหมู่บ้านจินหวาเห็นรถของหลินอันหนานจอดอยู่แถวนั้นคิ้ว”
คิ้วของหนานกงเฉินขยับแล้วใจของกระตุกขึ้นมาพร้อมถามขึ้นว่า “แล้วยังไง?”
“สถานรับเลี้ยงเด็กของจ้าวเฟยหยางก็อยู่ที่นั่น แล้วคุณหญิงน้อยก็พักที่สถานรับเลี้ยงเด็กด้วย คุณว่ายังไงล่ะ?” ผู้ช่วยเหยียนหันกลับมาแล้วจ้องมองไปที่เขา “ฉันคิดว่าคงไม่ต้องใช้เวลาถึงสี่เดือน คุณหญิงน้อยก็คงเป็นคนของหลินอันหนานแล้ว”
หนานกงเฉินก็ต้องยอมรับ พอได้ยินสิ่งที่ผู้ช่วยเหยียนพูดในใจก็รู้สึกหึงขึ้นมา แต่เขาไม่ได้แสดงความหึงนี้ออกมาแต่กลับพูดด้วยสีหน้าเรียบลื่นว่า “ในเมื่อผมไม่ต้องการแล้ว เธอจะเป็นของใครก็ไม่สำคัญ”
ตอนนั้นที่ตกลงให้เธอจากไป เขาก็รู้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ ในเมื่อตอบตกลงไปแล้วก็คงไม่มีเหตุผลอะไรให้มาเสียใจทีหลัง
อีกอย่าง เขาคิดว่าถ้าไป๋มู่ชิงรักหลินอันหนานจริงๆ เขาก็คงห้ามอะไรไม่ได้
“คุณชายเฉินคะ คุณอยากเห็นสักวันหลินอันหนานพาคุณหญิงน้อยมาโอ้อวดต่อหน้าคุณหรอคะ?” ผู้ช่วยเหยียนยิ้มอ่อน “ฉันคิดว่าความรู้สึกแบบนั้นคงอึดอัดน่าดูเลย”
ในที่สุดหนานกงเฉินก็ลืมตาขึ้นมองผู้ช่วยเหยียนแล้วพูดว่า “ถ้าผมไม่แคร์ผู้หญิงคนนั้นแล้ว เขาจะทำอะไรมันก็ไม่มีความหมายอะไรกับผม”
“ถ้าคุณยังแคร์อยู่ล่ะ?”
“ผู้ช่วยเหยียน!” หนานกงเฉินพูดเสียงต่ำขึ้น “ผมเข้าใจว่าคุณหมายความว่าอะไร แต่ผมก็มีความคิดของผม ต่อไปไม่ต้องสนใจเธออีก ยิ่งอย่าพูดถึงเธอต่อหน้าผมด้วย”
เขาพูดอย่างเข้มงวดไม่พอใจ ไม่มีแม้แต่หนทางที่จะต่อรอง ดูเหมือนจะทำใจเด็ดขาดแล้ว
ผู้ช่วยเหยียนรู้จักนิสัยเขาดี ถ้าทำให้เขาโกรธตำแหน่งผู้ช่วยของเธอคงรักษาไว้ไม่ได้
เธอเลยจำใจหุบปากแล้วคิดในใจว่าช่างเถอะ ตัวเขาเองยังไม่รีบร้อนอะไร คนนอกอย่างเธอรีบลนไปก็ไม่มีประโยชน์
ถึงแม้ข้างหูเขาจะเงียบสงบแล้วแต่ในใจกับอยู่ไม่สงบแทน
ความจริงเขาก็ยังอยากรู้มากว่าหลินอันหนานไปหาที่นั่นทำไม แต่ยังไงก็ตาม ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคงอยากเข้าไปปลอบใจไป๋มู่ชิงตอนที่เธอกำลังเสียใจอยู่
แค่อยากรู้ว่าเธอจะทำยังไง? จะหวั่นไหวกับการกระทำที่ไม่ท้อถอยของเขาหรือเปล่า? จะเหมือนกับที่ผู้ช่วยเหยียนพูดหรือเปล่า สักวันทั้งสองจะควงแขนกันตอนหน้าเขาแล้วหลินอันหนานก็ยิ้มอย่างเยาะเย้ยใส่เขาเหมือนกับท่าทางที่หลินอันหนานแสดงออกที่สนามบินวันนั้น
หนานกงเฉินยกมือขึ้นใช้นิ้วนวดไประหว่างคิ้วแล้วเตือนตัวเองในใจว่า เธอก็แค่ผู้หญิงที่ตัวเองไม่อยากได้แล้วไม่ควรให้เธอ มีผลกระทบอะไรกับตัวเองอีก
คนเราก็ขัดแย้งกันอย่างนี้แหละ ทั้งๆที่ในใจตัดสินใจแล้วแต่การกระทำกลับสวนทางกับสิ่งที่ใจคิด
ก็เหมือนหนานกงเฉินในขณะนี้ ตอนเช้ายังขู่ผู้ช่วยเหยียนด้วยสีหน้าไม่พอใจว่าอย่าไปตามติดชีวิตไป๋มู่ชิงอีก แต่ตัวเองกลับควบคุมพวงมาลัยรถไม่อยู่แล้วขับโอมไปที่หน้าประตูหมู่บ้านจินหวา
ไม่เจอกันหลายวัน ดูจากภายนอกเธอไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่กลับมีความกังวลที่แสดงออกมาจากระหว่างคิ้วที่ไม่ค่อยได้เห็นบนใบหน้าเธอนัก
เธอออกมาเดินเล่นคนเดียว แล้วเดินอยู่ข้างถนนคนเดียว
เส้นผมที่ยาวสวย เสื้อคลุมสีดำตัวบาง เรียวขาที่เล็กนั้น ดูจากข้างหลังดูไม่ออกเลยว่าเป็นคนท้อง แต่กลับเหมือนหงส์ที่แยกออกมาจากผู้คน ช่างโดดเดี่ยวเหลือเกิน
นี่เป็นชีวิตที่เธอต้องการหรอ? นี่ก็คือความอิสระหรอ? มุมปากเขาเลิกขึ้นอย่างเยือกเย็นแล้วลงแรงเหยียบไปที่เท้า ขับผ่านข้างตัวเธอไป
ไป๋มู่ชิงที่เดินอยู่ข้างหน้าก็เอาแต่มองทางไม่ได้สังเกตุเห็นเลยว่ามีรถคันสีดำตามอยู่ข้างหลัง ยิ่งไม่ได้สังเกตุเห็นรถแล่นผ่านข้างตัวเองไป
ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว นี่เป็นโครงการที่เพิ่งเปิดได้ไม่นาน ผู้คนก็ไม่เยอะมากนัก บนถนนก็เงียบสงบ แค่ทางเดินนี้เธอเดินบ่อยขึ้นเลยไม่รู้สึกแปลกใจอะไร
เมื่อเดินผ่านทางที่มืดสนิท เธอก็รู้สึกว่าข้างตัวมีใครบางคนกำลังแอบมองตัวเองอยู่ พอหันหลังไปก็เห็นว่ามีผู้ชายขอทานที่เนื้อตัวสกปรกนั่งอยู่ที่พื้นหญ้า
ไป๋มู่ชิงตกใจกับสายตาหื่นกระหายที่เขามองมา จากนั้นก็เร่งฝีเท้าก้าวเดินต่อไป
แต่ขอทานคนนี้กลับพุ่งออกมาจากข้างทางแล้วกอดตัวเธอไว้
ไป๋มู่ชิงไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน ก็ตกใจไปแล้วรีบกรีดร้องขึ้นมาทันที
ความเหม็นเปรี้ยวบนตัวขอทานนี้ขึ้นจมูกของเธอ จนทำให้รู้สึกอยากอ้วก เธอรีบตะโกนกรีดร้องว่า “ปล่อยฉัน! ไอ้โรคจิตปล่อยมือเดี๋ยวนี้……”
ผู้ชายขอทานไม่ปล่อยมือแต่กลับใช้มืออีกข้างหนึ่งจับไปที่หน้าอกของเธอ นี่เป็นโรคจิตที่ไม่ได้เจอผู้หญิงมานานนั่นเองเมื่อไป๋มู่ชิงรู้สึกถึงเป้าหมายของเขาแล้วจากนั้นก็ร้อนรนขึ้นกว่าเดิมแล้วใช้มือผลักมือที่เขากำลังจับบนหน้าอกของตัวเองออก
เมื่อดดิ้นหลุดมาจากเขาก็รีบก้าวเดินออกไป หันหลังไปก็เดินไปกลางถนน แต่ไม่รอให้เธอเดินได้ไม่กี่ก้าว ขอทานก็รีบตามขึ้นมาทันที
“ช่วยด้วย……ช่วยด้วย……!” ไป๋มู่ชิงรีบขอความช่วยเหลือรถยนต์ที่ขับผ่านไปผ่านมา แต่ไม่มีรถคันไหนยอมจอดลงมาช่วยเธอเลย
ขณะที่เธอโดนขอทานจับแขนไว้อีกครั้ง ข้างหูก็มีเสียงโอดครวญดังขึ้น จากที่เธอถูกดึงข้อมือไว้อย่างแรงก็ถูกปล่อยออก
ไป๋มู่ชิงอึ่งนิ่งไปพร้อมก้มหน้าลงไป คก็เห็นขอทานนอนจมอยู่กับพื้นแล้วเลือดก็ไหลเต็มหัว
เธอก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวพร้อมจ้องมองไปที่ขอทานที่เลือดไหลไม่หยุด ร่างกายก็สั่นกลัวขึ้นมา
เธอส่ายหน้าไปแล้วถอยหลังไป จากนั้นก็กรีดร้องขึ้นมาเธอที่กำลังจะหันหลังวิ่งหนีก็ชนเข้ากับใครสักคน
เธอรู้สึกได้ว่าคนที่เธอชนนั้นเป็นผู้ชาย เป็นผู้ชายอีกแล้ว!
“ปล่อยมือนะ!ปล่อยฉัน……!” น้ำตาของเธอเอ่อล้นเต็มขอบตาแล้วดิ้นรนกรีดร้องไปด้วย
“ผมเอง อย่ากลัว ผมเป็นสามีคุณ……” หนานกงเฉินถูกเธอทุบตีไปก็รู้สึกเจ็บบริเวณหน้าอกแต่เขาก็ไม่ได้ปล่อยมือแต่กลับดึงเธอเข้ามากอด
สามี……
ไป๋มู่ชิงหยุดดิ้นรนไปแล้วเงยหน้าขึ้นมองผ่านน้ำตาที่เอ่อล้นก็เห็นใบหน้าของหนานกงเฉินที่อยู่ใกล้
เป็นเขาจริงๆด้วย เขาหนานกงเฉินเป็นสามีเธอ ไม่ใช่คนขอทานที่น่าไม่อายนั่น
เธอโผล่กอดเขาไป กอดแน่นขึ้นอีกแล้วน้ำตาก็เอ่อล้นออกมา
เมื่อกี้เธอตกใจมากจริงๆ เธอคิดว่าจะโดนขอทานทำให้ตัวเธอสกปรก แต่ช่วงเวลาที่หมดหวังไร้ความช่วยเหลือมากที่สุดกลับพบกับหนานกงเฉิน จะไม่ให้เธอตื้นตันจนน้ำตาไหลได้ยังไง?
“ไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่เป็นอะไร” มือข้างหนึ่งของหนานกงเฉินกอดเธอไว้ ส่วนอีกข้างหนึ่งก็ลูบหลังปลอบใจเธอไปด้วย
เขาก้มลงไปมองขอทานที่นอนนิ่งอยู่ข้างล้อรถ จากนั้นก็ใช้มือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเบอร์สักเบอร์
ซบอยู่ที่อ้อมกอดของหนานกงเฉิน ไป๋มู่ชิงก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก ก็ค่อยสงบสติอารมณ์ลง
หลังจากที่เธอสงบสติอารมณ์ได้แล้วก็ผลักออกจากอ้อมกอดของหนานกงเฉินแล้วหันไปมองบนพื้น เมื่อเธอเห็นขอทานที่นอนจมกองเลือดอยู่ใจที่เพิ่งสงบลงก็รู้สึกเกร็งขึ้นมาทันที เธอทอดมองไปที่เขาแล้วใช้มืออีกข้างปิดปากแล้วร้องไห้ออกมา
เขาตายแล้วหรอ? เขาตายอย่างนี้เลยหรอ? เขาถูกรถของหนานกงเฉินชน
รถพยาบาล รถตำรวจกับผู้ช่วยเหยียนก็มาถึงอย่างรวดเร็ว
ขอทานที่บาดเจ็บสาหัสก็ถูกนำตัวขึ้นรถพยาบาลไป
หนานกงเฉินกับไป๋มู่ชิงยินยอมที่จะไปให้ปากคำก็เลยถูกนำตัวไปที่โรงพัก ผู้ช่วยเหยียนก็อยู่จัดการกับที่เกิดเหตุ
นั่งอยู่บนเก้าอี้ในโรงพัก ตัวเธอก็สั่นไปหมด สั่นกลัวยิ่งกว่าตอนที่โดนขอทานนั่นลวนลามอีก
เมื่อหนานกงเฉินเห็นเธอสั่นขนาดนั้นก็ยื่นมือไปดึงเธอเข้ามากอด น้ำเสียงไม่ได้อ่อนโยนเหมือนเมื่อกี้แล้ว “เธออวดเก่งไม่ใช่หรอว่าจะใช้ชีวิตคนเดียว? ทำไมตอนนี้กลัวตายขึ้นมาล่ะ?”
ไป๋มู่ชิงกลืนน้ำลายอย่างลำบาก แล้วพูดเสียงสั่นว่า “ถ้าเขาตาย คุณก็จะเป็นฆาตกรแล้วถูกขังใช่ไหม?”
หนานกงเฉินเงียบไป ที่เธอเหงื่อไหลตัวสั่นขนาดนี้เป็นเพราะกังวลเรื่องนี้เหรอ?

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset