เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 111 จะติดคุกหรือไม่

“อย่ากังวลเลย เขาไม่ตายหรอก” เขาปลอบด้วยความอ่อนโยน
“จะไม่ตายได้ยังไง เลือดเขาไหลเยอะขนาดนี้”
“ถ้าหากเขาตายไป เธอเป็นภรรยาของฉัน แล้วก็กำลังท้องอยู่ ฉันจะขับรถชนมันให้ตายเลยก็ได้ อย่างมากก็แค่ได้รับโทษ ข้อหาการป้องกันตัวผิดพลาดทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ไม่เห็นมีไรมากเลย”
“ผิดพลาดทำให้ผู้อื่นถึงแก่ตาย……แล้วมีโทษจำคุกกี่ปี?” สิ่งที่เธอห่วงที่สุดก็คือเรื่องนี้
เพราะเธอไม่ต้องการให้หนานกงเฉินต้องติดคุกเพราะเธอ และไม่กล้าคิดด้วยว่าถ้าคนอย่างหนานกงเฉินโดนจับเข้าคุกมันจะเป็นอย่างไร เขาจะรับมือกับความลำบากนั้นได้หรือเปล่า?
“ขอทานนั้นเป็นคนลงมือก่อน อาจจะไม่ติดคุกก็ได้” เขาหาข้ออ้างไปมั่วเพื่อปลอบใจเธอไม่ให้กังวลไปมากกว่านี้
“จริงหรอ?”
“อื้ม”
ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็เบาใจลงนิด แค่ไม่ต้องคิดคุกก็พอ! เธอคิดแบบนั้น
หนานกงเฉินเดินไปที่หน้าซิ้งค์น้ำ กดน้ำมาแก้วหนึ่งมายัดใส่มือของเธอ“ดื่มน้ำหน่อย จะได้ดีขึ้น อย่าคิดไปเอง”
ไป๋มู่ชิงมองหน้าเขา รับแก้วน้ำจากมือเขามาดื่ม น้ำอุ่นๆที่ดื่มเข้าไป ทำให้ใจอุ่นไปด้วย ทำให้เธอดูใจเย็นลงไม่น้อย
หลังจากที่ใจเย็นลงแล้ว เธอก็นึกขึ้นได้สิ่งที่จะถามเขา จึงเงยหน้าขึ้นมองแล้วถามว่า“จริงสิ นายทำไมถึงอยู่ที่นั่นล่ะ”
หนานกงเฉินเอนตัวพิงกับเก้าอี้ แล้วเก็บความไม่เป็นธรรมชาตินั้นไว้ แล้วตอบว่า:“ขับรถผ่านไปพอดีน่ะ”
“งั้นหรอ? บังเอิญขนาดนั้นเลย?”
“อืม”หนานกงเฉินตอบรับ เขาไม่ได้บอกเธอ ว่าแท้จริงแล้วเขาขับรถตามเธอมาตลอด หลังจากที่ขับผ่านเธอไป ก็ตัดสินใจกลับบ้านขณะนั้นเอง ที่เขาเอะใจกับขอทานที่อยู่ข้างถนน ไม่รู้เพราะอะไร เขาตีรถกลับที่ไฟแดงข้างหน้า อ้อมไปอยู่ข้างหลังของเธออีกครั้ง
อาจจะเป็นเพราะเราทั้งสองมีจิตที่เชื่อมโยงกัน พอเขามองเห็นขอทานคนนั้นก็รู้สึกว่าเธออาจจะเป็นอันตราย ในตอนที่เขากำลังตีรถกลับ เธอกำลังโดนสัตว์เดียรฉานนั้นลวนลามอยู่
“ขอบคุณนะ”ไป๋มู่ชิงพูดด้วยใบหน้าที่ซาบซึ้งใจ ถ้าไม่ใช่เขา เธอต้องแย่แน่ๆ
“แค่ขอบคุณจะมีประโยชน์อะไร”หนานกงเฉินมองเธอแล้วพูด“ต้องรู้จักปกป้องตัวเองให้เป็นถึงจะมีประโยชน์สิ”
ไป๋มู่ชิงก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด เธอก็คิดไม่ถึงว่าถนนเส้นนั้นจะมีขอทาน ยิ่งคิดไม่ถึงว่าขอทานนั้นจะทำร้ายเธอ ถ้ารู้ตั้งแต่แรก เธอไม่เดินออกบ้านคนเดียวหรอก
“ฉันก็แค่…..อยากไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่ข้างหน้านู้น”เธอก้มหน้าแล้วตอบด้วยเสียงเบาๆ
“ทางเปลี่ยวขนาดนี้ ถึงเธอแค่จะไปซื้อของ ก็ไม่ควรที่จะไปคนเดียว?”
“ต่อไปฉันจะไม่ไปคนเดียวอีก”
หนานกงเฉินชะงัก แล้วพูดว่า“ถ้าแค่ดูแลตัวแค่นี้เองยังทำไม่ได้ เธอก็กลับตระกูลหนานกงไปเลยไม่ดีกว่าหรอ”
“ฉันบอกแล้งไงว่าคราวหน้าจะไม่ทำแบบนี้อีก”ไป๋มู่ชิงพูดอย่างร้อนรน
กลับบ้านตระกูลหนานกงงั้นหรอ ไม่มีทาง! กว่าเขาจะออกจากที่นั่นได้ไม่ใช่จะง่ายๆ
หนานกงเฉินเห็นเธอปฏิเสธอย่างทันควัน ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ในเมื่อนี่คือสิ่งเราตกลงกันก่อนแล้ว
ถ้าให้พูดตามจริง สิ่งที่เขาเห็นวันนี้ ทำให้เขาอยากพาเธอกลับบ้านตระกูลหนานกงมาก อย่างน้อยเธออยู่บ้านนั้น เธอก็ปลอดภัยกว่านี้
ไป๋มู่ชิงที่เห็นว่าเขาโกรธ ก็รีบอธิบายว่า:“นี่มันเป็นแค่อุบัติเหตุ ไม่ใช่ว่าคนขอทานทุกคนจะโรคจิตสักหน่อย”
หนานกงเฉินเหนื่อยที่จะเถียงเธอต่อ พูดกับเธอด้วยสีหน้าจริงจังว่า“ถ้าคราวหน้ายังเป็นแบบนี้อีก ก็เตรียมตัวกลับบ้านตระกูลหนานกงกับฉันได้เลย”
ไป๋มู่ชิงพยักหน้ารับ
หนานกงเฉินพูดต่ออีกว่า“มีอีกอย่าง ตอนนี้เธอกำลังท้อง แค่ดูแลตัวเองยังทำไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปฝืนดูแลเด็กกำพร้าพวกนั้น”
พอไป๋มู่ชิงได้ยินเขาพูดแบบนั้นรีบเงยหน้าตอบ“ไม่ ฉันดูแลพวกเขาได้ อีกอย่างพวกเขาเป็นเด็กน่ารัก แทบจะไม่เคยทำให้ฉันต้องเป็นห่วงเลย”
“ไม่ได้”
“ฉัน……”
อยู่ดีๆเลขาเหยียนก็เดินเข้ามา ไป๋มู่ชิงเห็นดังนั้นจึงหยุดที่จะพูดต่อ
เลขาเหยียนมองไปที่ทั้งสอง ถามอย่างเป็นห่วงว่า“คุณสองคนไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?”
“อืม ไม่เป็นอะไร” ไป๋มู่ชิงตอบเสร็จก็รีบถามขึ้นว่า“ขอทานคนนั้นเป็นยังไงบ้าง?”
“สมองได้รับการกระทบกระเทือน แต่หมอบอกว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว”เลขาเหยียนตอบ
“จริงหรอ?”ไป๋มู่ชิงโล่งอก
พ้นขีดอันตรายแล้ว ก็แสดงว่าหนานกงเฉินก็ไม่ได้ผิดข้อหาขับรถชนผู้อื่นเสียชีวิต แล้วก็ไม่ต้องติดคุก ดีแล้วล่ะ!
หนานกงเฉินเห็นสายตาที่ดูโล่งอกขึ้นของเธอ ก็พูดอย่างยิ้มๆว่า:“ทำไมเธอดูดีใจกว่าฉันอีกล่ะ?
“ก็ต้องแน่นอนอยู่แล้ว เรื่องมันเกิดขึ้นเพราะฉัน ฉันไม่อยากทำให้คุณต้องเดือนร้อนไปด้วยนะ”ไป๋มู่ชิงตอบอย่างดีใจ
เลขาเหยียนพูดขึ้นอีกว่า:“คุณชายเฉิน ทางโรงพยาบาลผมจัดการให้แล้ว รถก็ส่งไปให้เขาดูแลแล้ว แล้วทางนี้ล่ะ? สอบปากคำรึยัง?งั้นทางนี้ให้ผมจัดการต่อแล้วพวกคุณกลับไปพักเถอะ”
“ทุกอย่างจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว”
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมจะส่งพวกคุณกลับไปก่อน”เลขาเหยียนพูด
ไป๋มู่ชิงเดินตามหนานกงเฉินออกจากสถานีตำรวจ เลขาเหยียนได้ขับรถมาจอดที่หน้าประตูและเปิดประตูรถให้ทั้งสอง
ไป๋มู่ชิงมองไปที่รถ แล้วไปที่หนานกงเฉิน อยู่ดีๆก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรขึ้นรถดีไหม ถ้าเลขา
เหยียนส่งเธอกับหนานกงเฉินกลับบ้านตระกูลหนานกงจะทำยังไง? ถ้าเขาจะออกจากที่นั่นอีกคงยากมากแน่ๆ
เลขาเหยียนที่เห็นเธอไม่ยอมขึ้นรถ ก็จับกระตูรถไว้แล้วพูดว่า:“คุณผู้หญิงมีอะไรหรือเปล่าครับ? ยังไม่อยากกลับบ้านอีกหรอครับ?”
“ฉัน……ฉันกลับเองได้”เธอพูดอย่างติดติดขัดขัด
เลขาเหยียนมองไปที่หนานกงเฉิน เพื่อให้เขาพูดหรือทำอะไรสักอย่างกับเธอ
ในที่สุดหนานกงเฉินก็พูดกับไป๋มู่ชิงว่า:“ขึ้นรถเถอะ ฉันจะไปส่งเธอที่บ้านของเธอทีเดียวเลย”
ไป๋มู่ชิงมองไปที่หนานกงเฉินอย่างไม่ไว้วางใจ หนานกงเฉินเป็นคนที่อารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย จะบังคับพาฉันกลับบ้านตระกูลหนานกงก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้
“ทำไม?ไม่อยากขึ้นงั้นหรอ?”หนานกงเฉินเหล่ตา มองเธอ “หรือเธออยากโดนขอทานข้างถนนลวนลามอีกรอบ?”
“ไม่ใช่นะ”ไป๋มู่ชิงรีบส่ายหัว แค่นึกถึงตอนที่โดนขอทานคนนั้นกอดจับไปทั่วเธอก็กลัวมาก ท้องไส้ปั่วป่วนไปหมด
ตอนที่เธอไม่รู้จะตัดสินใจยังไงนั้น ก็มีรถคันหนึ่งค่อยๆขับเข้ามาใกล้สถานีตำรวจ และนั่นคือรถของซูวยาหยง
รถจอดปุป ซูวยาหยงก็เปิดประตูลงมาจากรถทันที จับแขนของไป๋มู่ชิงไว้แล้วพูดด้วยความเป็นห่วงว่า “ลูกสาวของแม่ แม่บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้อยู่บ้าน จะไปอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าทำไม แล้วดูลูกสิ……”
เธอเช็ดน้ำตาบนใบหน้าแล้วพูดต่อว่า “ดีแล้วที่ลูกกับเด็กในท้องไม่เป็นอะไร ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมา ลูกจะให้แม่บอกกับคุณผู้หญิงยังไง!”
ไป๋มู่ชิงทำแค่มองเธอ ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ เพราะเธอรู้ว่าแค่ซูวยาหยงคนเดียวก็สามารถเล่นละครตบตานี้ได้
เป็นไปตามคาด ซูวยาหยงทำได้โดยที่ไม่ต้องให้ไป๋มู่ชิงช่วย ตามด้วยหันไปหาหนานกงเฉินแล้วพูดอย่างรู้สึกผิดว่า “ขอโทษด้วยนะคุณชายเฉิน ที่ฉันไม่ได้ดูแลยิ่งอันดีๆ เด็กคนนี้จิตใจดีเกินไป ดื้ออยากอยู่กับเด็กกำพร้า แต่คุณชายเฉินไม่ต้องเป็นห่วง ต่อไปนี้ฉันจะดูแลเธอเป็นอย่างดี ไม่ให้เธอไปที่ไหนไปเรื่อยแน่นอน”
ไป๋มู่ชิงรู้สึกถึงมือของซูวยาหยงที่จับแขนเธอไว้เริ่มออกแรงจิกแขนของเธอ ถึงหน้าจะดูยิ้มให้ แต่ใจคงโมโหเป็นฟืนเป็นไฟไปแล้ว
ซูวยาหยงมารับคนเองกับมือ หนานกงเฉินก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่พูดเรียบๆว่า “หวังว่าครั้งนี้คุณแม่จะทำได้อย่างที่พูดนะครับ”
“แน่นอน ทำได้แน่นอน……”ซูวยาหยงรีบพยักหน้ารับ กลัวว่าหนานกงเฉินจะเอาไป๋มู่ชิงกลับไปเหมือนคราวที่อยู่ที่สนามบินอีก
“งั้นก็ดี”หนานกงเฉินมองไปที่ไป๋มู่ชิงเล็กน้อย แล้วเดินขึ้นรถไป
เมื่อรถสตาร์ทขึ้น เลขาเหยียนเลื่อนกระจกลง หนานกงเฉินไม่ได้มองออกไป มีแต่ซูวยาหยงที่ยิ้มและโบกมือให้ “คุณชายเฉินกลับดีๆนะคะ”
มองดูรถที่ค่อยขับออกไปจากสถานีตำรวจ ในใจของไป๋มู่ชิงรู้สึกเหมือนมีอะไรค่อยหายไป ค่อยๆรู้สึกถึงความวูบโหวงในใจ
ยังไม่ทันได้คิดอะไรมาก ความคิดทุกอย่างก็ถูกเสียงด่าที่อยู่ข้างตัดทิ้งไป
“ยัยนี่! ขึ้นรถเดี๋ยวนี้! ” พอหนานกงเฉินไปแล้ว ซูวยาหยงก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากที่ควงแขนไว้ก็เปลี่ยนเป็นกระชากทันที
ไป๋มู่ชิเลิกมองตามหนานกงเฉิน แล้วหันไปมองซูวยาหยง เธอสะบัดมือออกแล้วเดินขึ้นรถ
ถึงแม้ว่าไป๋ยิ่งอันจะเหมือนกับไป๋มู่ชิงยังไง ทั้งสองก็เป็นคนละคนอยู่ดี ถ้าอยู่ๆก็เปลี่ยนเขาสองคนอาจจะทำให้คนอื่นสงสัยได้
ดังนั้นเธอจึงวางแผนเสร็จทุกอย่าง รอให้ไป๋มู่ชิงคลอดลูกให้เสร็จก็จะเป็นเวลาอีกสี่เดือน สี่เดือนนี้ถ้าหากว่าคนๆหนึ่งมีหน้าตาที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยคงไม่แปลก อีกอย่าง พอถึงเวลานั้นหนานกงเฉินก็จำเอกลักษณ์บนตัวของไป๋มู่ชิงไม่ค่อยได้แล้ว
ถึงตอนนั้นให้ไป๋ยิ่งอันอุ้มเด็กกลับไปที่ตระกูลหนานกง ถึงแม้ว่าเธอจะแสดงได้ไม่ค่อยเหมือน ก็อ้างว่าเป็นเพราะอาการหลังคลอด มาปิดบังตัวเองได้
“วันนี้ฉันไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นแค่อุบัติเหตุ”ไป๋มู่ชิงพูด
“ถ้าไม่ใช่เพราะเธอรั้นที่จะย้ายออกมา มันจะเกิดเรื่องพวกนี้ได้ยังไง?”ซูวยาหยงพูดอย่างโมโหว่า “หลังจากพรุ่งนี้เป็นต้นไป แกต้องอยู่ที่บ้านเท่านั้น ห้ามออกไปไหนเด็ดขาด”
“ไม่……”
“แกมีสิทธิ์พูดว่าไม่งั้นหรอ?”ซูวยาหยงไม่รอเธอตอบก็แทรกขึ้นมาว่า “แกอยากให้ทุกอย่างที่ฉันทำมันสูญเปล่าหรือยังไง? ฉันขอเตือนแกไว้นะ ถ้าพลาดโอกาสนี้ไป แกได้เห็นดีกับฉันแน่”
ซูวยาหยงโมโหจนเอามือเสยผม คิดได้ก็พูดขึ้นว่า “ไม่ได้การล่ะ ถ้าจะตัดขาดความสัมพันธ์ของเธอกับหนานกงเฉิน ฉันต้องส่งเธอไปคลอดลูกที่ต่างประเทศ”
ไป๋มู่ชิงได้ยินดังนั้นก็รีบพูดขึ้นว่า “อย่าเลย ต่อไปนี้ฉันจะไม่ไปเจอกับหนานกงเฉินอีกเด็ดขาด ครั้งนี้เป็นเพราะเกิดอุบัติเหตุ เขาบังเอิญผ่านมาเห็น ไม่อย่างงั้นฉันคง……”
ไป๋มู่ชิงเงียบไป ไม่อย่างงั้นล่ะ? ไม่อย่างงั้นตอนนี้เธอจะมีสภาพเป็นยังไง
โชคดีที่หนานกงเฉินบังเอิญผ่านมา โชคดีจริงๆ
แต่ว่า……ทำไมเรื่องถึงบังเอิญขนาดนี้ล่ะ?เธอกำลังจะโดนขอทานนั้นลวนลาม แล้วเขาก็ปรากฏตัวขึ้นทันที หรือว่า……?
เธอรีบสะบัดความคิดนั่นออกจากหัว เป็นไปไม่ได้ เขาจะมาหาเธอที่หมู่บ้านจินหวาได้ยังไง? อีกอย่างมาโดยไม่ซุ่มไม่เสียงอีก? มันไม่เหมือนนิสัยของเขาเลย ดังนั้นเธอจะคิดแบบนี้ไม่ได้ อย่าคิดให้ความหวังตัวเองแล้วรู้สึกไปเอง
“ฉันสาบาน ต่อจากนี้จะไม่เจอกับเขาอีกเด็ดขาด ” เธอแทบจะสะดุดลมหายใจเมื่อพูดคำนี้ออกมา
ซูวยาหยงก็เห็นเธอเหมือนไม่ได้พูดเล่น ถ้าไม่งั้นล่ะก็ หึ เธอพูดเตือนอีกครั้ง “เธอเป็นคนพูดเองนะ อย่าลืมสิ่งที่พูดล่ะ”
ไป๋มู่ชิงถูกพากลับบ้านตระกูลไป๋ ไป๋ยิ่งอันที่ถือผลไม้นั่งดูโทรทัศน์บนโซฟาก็รีบเด้งตัวขึ้นนั่งตัวตรงทันที มองไป๋มู่ชิงแล้วพูดขึ้นว่า “เธอกลับมาได้ยังไง?”
ไป๋มู่ชิงทำแค่เหล่มอง แล้วเดินขึ้นไปบนห้อง
“เดี๋ยวก่อน ” ซูวยาหยงเรียกเธอไว้ ไป๋มู่ชิงทำไรไม่ได้ ได้แค่หันกลับไปหา “มีอะไรอีก? ฉันเหนื่อยแล้ว อยากพักผ่อน”
เมื่อกี้ฟังเธอบ่นมาทั้งทาง หูชาไปหมด
ซูวยาหยงทิ้งกระเป๋าไปที่โซฟา มองเธอด้วยสีหน้าจริงจังแล้วพูดว่า “เพื่อป้องกันไม่ให้เธอเจอกับคนบ้านตระกูลหนานอีก ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปเธอก็อาศัยอยู่ที่นี่ซะ ออกบ้านให้น้อยที่สุด ถ้าจำเป็นจริงๆก็ให้เสี่ยวจ้าวส่งเธอออกไป เข้าใจไหม?”
“เข้าใจแล้ว” ไป๋มู่ชิงตอบ
ไม่แปลกที่ซูวยาหยงจะทำแบบนี้ แค่ไม่ให้คนติดตามเธอทุกย่างก้าว อย่าทำเหมือนเธอเป็นนักโทษก็พอ
มองไป๋มู่ชิงที่เดินหายไปบนชั้นสอง ไป๋ยิ่งอันก็ถามซูวยาหยงเสียงเบาว่า “แม่คะ ทำไมเธอถึงไม่เป็นอะไรเลย”
“แล้วเธอควรเป็นอะไรอย่างงั้นหรอ?”
“เธอไม่ใช่……โดนขอทานนั่น……”ไป๋ยิ่งอันรีบเงียบทันที
ซูวยาหยงสาดสายตาเย็นชามาที่เธอ “ลูกตามแม่มา”
น้อยครั้งที่ไป๋ยิ่งอันจะโดนแม่เย็นชาใส่ก็เกิดตกใจ เดินตามหลังเธอเข้าไปที่ห้องนอน
พอแน่ใจว่าไม่มีคนอื่นแล้วจึงปิดประตู หันกลับไปหาเธอแล้วถามด้วยความโกรธ “ยิ่งอัน เรื่องที่เกิดขึ้นคืนนี้เธอเป็นคนทำงั้นหรอ?”
“เรื่องอะไรคะ?”ไป๋ยิ่งอันตัดสินใจทำเป็นไม่รู้
“ยังจะโกหกฉันอีกงั้นหรอ?” ซูวยาหยงโกรธจนตบหน้าเธอ ไม่ได้แรงมาก ไป๋ยิ่งอันตกใจมาก ในเมื่อแม่ของเธอน้อยมากที่จะใช้กำลังกับเธอแบบนี้
เธอเอามือจับหน้าตัวเองแล้วมองไปที่แม่ของเธอ รู้ว่ายังไงก็ปิดไว้ไม่ได้แล้ว จึงค่อยๆพูดขึ้น”แม่คะ หนูแค่อยากทำให้เธอแท้ง แล้วเราก็ไม่ต้องรออีกสี่เดือน อีกอย่าง หนูก็ไม่เคยเลี้ยงเด็ก ถึงเวลานั้นแม่จะให้หนูพาเด็กกลับบ้านนั้น หนูต้องบ้าตายแน่ๆ”
“แล้วใครเกิดมาแล้วเลี้ยงลูกเป็นบ้าง?เรื่องแค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วจะเป็นคุณผู้หญิงของตระกูลหนานกงได้ยังไง?”
“ก็ไม่ใช่ลูกแท้ๆของหนูสักหน่อย……”
“แม่บอกกับลูกกี่ครั้งแล้ว ว่าเด็กคนนี้จะช่วยให้ลูกเข้าไปอยู่บ้านตระกูลหนานกงได้ ไม่ว่าเด็กคนนี้จะดีหรือไม่ดี ยังไงสะก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของระกูลหนานกง ถ้าไม่มีเด็กคนนี้ ถึงเวลาลูกจะเอาข้ออ้างอะไรกลับไปบ้านนั้น อย่าลืมว่าตอนนี้ลูกออกมาเพื่อดูแลครรภ์อยู่”
“ก็ได้ค่ะ หนูรู้แล้ว” ไป๋ยิ่งอันตอบด้วยความน่าสงสาร
“คราวหน้าคิดจะทำอะไรก็บอกแม่ก่อน ได้ยินไหม?”
“ก็หนูกลัวแม่ไม่เห็นด้วยนี่นา”
“อย่างเรื่องของคืนนี้ฉันไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว”
“ก็ใช่ไงคะ”
ซูวยาหยงถอนหายใจ มองเธอแล้วพูดว่า”ถ้าวันนี้ฉันไปสถานีตำรวจไม่ทัน ยัยเด็กนั่นคงกลับบ้านกับหนานกงเฉินไปแล้ว แผนของเราได้ล่มกันหมดแน่”
“มันก็โชคดีไปงั้นแหละ”ไป๋ยิ่งอันบ่นกับตัวเอง
เดิมทีเธอจ้างคนไปแค่ต้องการจะแกล้งไป๋มู่ชิงสักหน่อย ให้มันแท้งลูกก็พอ คิดไม่ถึงว่าหนานกงเฉินจะเข้ามาเห็นเข้า
“แม่คะ แม่คิดว่าเธอจะทำตามสิ่งที่เราบอก อยู่ที่นี่จนจะคลอดอย่างงั้นหรอคะ?” เธอถามด้วยความกังวล เพราะเธออยากให้ไป๋มู่ชิงแท้งลูกมากกว่า ลดปัญหาไปตั้งเยอะ
กับคำถามนี้ ถ้าเป็นซูวยาหยงตอนนี้คงตอบอย่างมั่นใจว่า ไป๋มู่ชิงทำตามโดยดีแน่ แต่พอมาเห็นไป๋มู่ชิงกระโดดลงสะพานกับตา เธอก็ไม่กล้ามั่นใจขนาดนั้นอีกเลย
เธอตอบด้วยความรำคาญว่า “ใครจะไปรู้ล่ะ ก็ต้องดูๆไปก่อนสิ”
“หนูว่าควรที่จะสร้างแรงกดดันให้เธอหน่อย”
ซูวยาหยงมองเธอแต่ไม่ได้ตอบ
ไป๋ยิ่งอันคิดว่าตัวเองพูดผิดจึงรีบเอามือปิดปากไว้ ไม่กล้าพูดอีก
อาจจะเป็นเพราะไม่คุ้นชินกับสถานที่ ทำให้ไป๋มู่ชิงนอนไม่หลับทั้งคืน ทำให้วันนี้สองนั้นตื่นมาแต่เช้า
ถึงแม้จะไม่อยากเจอทุกคนในบ้านหลังนี้ แต่คนท้องก็ไม่ควรที่จะอยู่ในห้องทั้งวัน เธอตัดสินใจออกไปเดินเล่นในสวนในขณะที่ทุกคนในบ้านยังไม่ตื่น
บ้านตระกูลไป๋ยังไม่ใหญ่เท่าหนึ่งในสิบของบ้านตระกูลหนานเลย แต่ก็ถือว่ากว้างและหรูหรา สิ่งที่ควรมีก็ครบทุกอย่าง
เธอคิดว่าตัวเองตื่นเช้าจะไม่เจอกับคนตระกูลไป๋ แต่คิดไม่ถึงว่าจะเจอกับไป๋จิ้งผิงที่กำลังว่ายน้ำในสระ เธอชะงัก กำลังจะเดินกลับไป
ไป๋จิ้งผิงเห็นเธอที่กำลังจะเดินกับไปก่อน จึงเรียกขึ้น “มู่ชิง”
ไป๋มู่ชิงจำใจต้องหันกลับไป แล้วยิ้มให้ “สวัสดีตอนเช้าค่ะ ท่านประธานไป๋”
ได้ยินเธอเรียกตัวเองว่าท่านประธานไป๋ ไป๋จิ้งผิงก็ใจเสียไปนิด แต่เขาก็ไม่แสดงท่าทีนั้นออกมา กลับเป็นเก็บของที่ใช้ออกกำลังกาย ส่งยิ้มให้แล้วพูดว่า “ทำไมเธอถึงตื่นเช้าขนาดนี้ล่ะ?คนวัยรุ่นเขาชอบตื่นสายกันไม่ใช่หรอ อย่างยิ่งอันถ้าไม่ถึงสิบเอ็ดโมงคงไม่ตื่นหรอก
ชื่อว่า”ยิ่งอัน”ที่ได้ยินจากปากเขา และน้ำเสียงตอนพูดเต็มไปด้วยความเอ็นดูนั้น ทำให้เขารู้สึกเสียดหูเป็นอย่างมาก
ทั้งที่เป็นลูกสาวของเขาเหมือนกัน แต่สิ่งที่ได้รับกลับต่างกันราวดั่งฟ้ากับเหว
เธอไม่ได้ส่งเสียง แค่ยืนมองเขาจากที่นี่
ไป๋จิ้งผิงกวักมือเรียกเธอ “มานั่งตรงนี้สิ เรามาคุยด้วยกันหน่อย?”
“ท่านประธานไป๋มีเรื่องอะไรจะคุยกับฉันนั้นหรอ?”แม้จะไม่อยากคุยกับเขาสักนิด แต่ไป๋มู่ชิงก็นั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ
ลึกๆแล้ว เธอก็ยังหวังลึกๆกับพ่อที่โหดร้ายคนนี้อยู่ หวังว่าเขาจะสามารถช่วยรับแม่และน้องชายของเขากลับมา
“ไม่เรียกฉันว่าท่านประธานได้ไหม? มันฟังดูแปลกๆ”
“แล้วฉันควรเรียกคุณว่าอะไรล่ะ?” ไป๋มู่ชิงมองแล้วถามกลับ
“มู่ชิง ฉันรู้ว่าเธอเกลียดฉันมาก แต่ฉันอยากให้เธอวางความแค้นนั้นลงก่อน รับความช่วยเหลือจากฉัน แล้วก็ใช้ชีวิตให้ดีๆ”
“ฉันจะใช้ชีวิตที่ดีได้นั้น คนในครอบครัวของฉันต้องแข็งแรงและปลอดภัย เรื่องนี้คุณช่วยฉันได้อยู่แล้ว และคุณจะช่วยฉันไหม?”
“รอให้เรื่องนี้ผ่านไปก่อน ฉันจะพูดกับยาหยงให้รับพวกเขากลับมาอยู่ที่นี่”
“ดูเหมือนว่าคุณก็ยังเข้าข้างลูกสาวสุดที่รักของคุณอยู่ดีสินะ ” ไป๋มู่ชิงลุกขึ้นยืน ในเมื่อเขาแสดงให้เห็นชัดเจนขนาดนี้ ก็ไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องคุยกันอีก
ไป๋ยิ่งอันอยากเป็นคุณผู้หญิงของตระกูลหนานกง ผู้ที่เป็นพ่อย่างเขาจะไม่สนับสนุนได้อย่างไร เธอโง่ที่ไปคาดหวังกับเขา
“มู่ชิง เธออยากเป็นคุณผู้หญิงตระกูลหนานกงขนาดนั้นเลยหรอ?” ไป๋จิ้งผิงพูกับแผ่นหลังของเธอ เห็นเธอหยุดเดินก็รีบตามไป เขาเอามือจับไหล่ทั้งสองข้างเธอไว้แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “บนโลกนี้มีบ้านชาติตระกูลดีเยอะแยะไปหมด รอเธอคลอดลูกออกมา ฉันจะหาบ้านที่ตระกูลดีๆให้ ด้วยฐานะของตระกูลเราแล้ว หาคนที่เหมาะสมไม่อยากหรอก ถึงตอนนั้นฉันจะจัดพิธีที่ยิ่งใหญ่ให้กับเธอ ให้เธอแต่งงานอย่าง……”
“พอสักที!” ไป๋มู่ชิงแทรกขึ้น ไป๋จิ้งผิงโดนเธอแทรกก็พูดอะไรไม่ออก สุดท้ายก็ไม่ได้พูดต่อไป
“อย่าเอาสิ่งที่ทำกับลูกสาวสุดที่รักของคุณมาทำกับฉัน ฉันแค่ต้องการครอบครัวของฉัน อย่างอื่นฉันไม่เอาอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นคุณผู้หญิงตระกูลหนานกงหรือพิธีงานแต่งที่อลังการอะไรนั่น ฉันไม่ต้องการ ถ้าคุณช่วยฉันไม่ได้ งั้นก็ขอคุณหุบปากไปซะ!”
พูดจบเธอก็เดินกลับห้องตัวเองไปอย่างรวดเร็ว
ไป๋จิ้งผิงที่เห็นแผ่นหลังที่รีบเดินไปนั้น ก็ได้แต่ถอนหายใจ
กับลูกสาวที่ดื้อรั้นคนนี้ เขาที่อยากทดแทนสิ่งที่ควรให้ก็คงเป็นไปไม่ได้แล้ว
ไป๋มู่ชิงที่กลับมาถึงห้องโถง ก็เห็นซูวยาหยงยืนมองอยู่
เธอหยุดเดิน สงสัยเรื่องที่เกิดขึ้นที่สวนเธอคงจะมองเห็นแล้ว แต่เธอก็ไม่ได้กลัวหรอก ก้มหัวลงเล็กน้อยแล้วเดินผ่านไป
“เธออยากรู้ใช่ไหมว่าน้องชายของเธอตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”ซูวยาหยงพูดกับแผ่นหลังของเธอ
ไป๋มู่ชิงหยุดเดิน เห็นกลับมาแล้วพูดด้วยท่าทีที่นิ่งๆว่า “ใช่”
ซูวยาหยงเดินเข้ามาแล้วพูดว่า “เธอก็กล้าดีนิ ขนาดยิ่งอันยังไม่กล้าพูดกับพ่อของเธอแบบนี้เลย แต่เธอกลับกล้าทำ”
“ฉันกล้า เพราะเขาไม่ใช่พ่อของฉัน”
“คิดว่าเถียงแล้วจะได้อะไร กินเป็นข้าวได้งั้นหรอ?”
ไป๋มู่ชิงพยายามกดความรำคาญไว้ แล้วถามเธอ “ฉันอยากเจอน้องชายของฉัน”
“ไม่มีปัญหา” ซูวยาหยงพูดกับสาวใช้ที่อยู่ข้างๆว่า “ไปเอาโทรศัพท์ที่ห้องฉันมา”
สาวใช้รีบเดินไปที่ห้อง เธอนั่งลงบนโซฟาอย่างใจเย็น ยกน้ำชาบนโต๊ะขึ้นมาจิบ “ฉันขอบอกเธอไว้ก่อน น้องชายของเธอตอนนี้สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง ต้องได้รับการรักษาทุกวัน เพื่อไม่ให้เธอหาน้องชายของเธอเจอ ฉันต้องจ้างหมอส่วนตัวให้เขา หมอส่วนตัวก็ ถ้าดีค่าจ้างก็จะสูงมาก แต่ถ้าไม่ดีก็กลัวจะทำให้เขาได้รับการรักษาผิดพลาด เลือกยากจัง เธอว่าไหม ”
ไป๋มู่ชิงเริ่มร้อนรน ถามไปว่า “ตระกูลไป๋รวยขนาดนี้ ยังห่วงค่ารักษาพยาบาลแค่นี้อีกหรือไง?ทำไมไม่จ้างหมอที่ดีๆให้?”
“เขาไม่ได้เป็นคนตระกูลไป๋สักหน่อย เรื่องอะไรที่จะต้องจ้างหมอที่ดีๆให้เขา?” ซูวยาหยงตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“คุณผู้หญิงคะ โทรศัพท์ค่ะ” สาวใช้ส่งโทรศัพท์ให้กับเธอ
ซูวยาหยงรับมาแล้วโทรไปหาหมายเลขที่เป็นของต่างประเทศ แล้วกดลำโพง อีกฝั่งของโทรศัพท์รับสายแล้วได้ยินแค่เสียงร้องไห้ของจูฮุ่ย “คุณหญิงไป๋คะ ทำไมวันนี้คุณหมอจงไม่มาล่ะคะ อาการป่วยของเสี่ยวหยี่รุนแรงขึ้นอีกแล้วค่ะ”
ซูวยาหยงตอบว่า”อ่อ คุณหมอจงกลับประเทศ อีกไม่กี่วันคงไป”
“กลับประเทศ? แล้วตอนนี้ทำอย่างไรดีล่ะคะ? แล้วเสี่ยวหยี่ล่ะ?”
ไป๋มู่ชิงได้ยินที่จูฮุ่ยพูดนั้น ก็พุ่งเข้าไปแย่งโทรศัพท์จากซูวยาหยงมา แล้วพูดอย่างร้อนรนว่า “แม่คะ เสี่ยวหยี่เป็นอะไรคะ? เขาเป็นอะไร?”
จูฮุ่ยชะงัก “มู่ชิง นั่นลูกใช่ไหม? ลูกเป็นยังไงบ้าง?”
“แม่คะ หนูถามแม่อยู่ว่าเสี่ยวหยี่เป็นอะไร?” เธอถามอย่างร้อนใจ
“เสี่ยวหยี่เขาอาการกำเริบ แล้วก็เป็นหวัดไปด้วย”
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้…..”
ซูวยาหยงที่เห็นหน้าของไป๋มู่ชิงที่กังวลขนาดนั้น ก็ยิ้มแล้วเอาโทรศัพท์คืนไป พูดว่า “น้องสาวคะ มู่ชิงเขาอยากเจอเสี่ยวหยี่น่ะ เปิดวีดีโอคอลให้เขาได้เห็นหน้าเสี่ยวหยี่หน่อย ”
พูดจบเธอก็เปลี่ยนจากการโทรสายเป็นวีดีโอคอลทันที จากนั้นก็ส่งให้ไป๋มู่ชิง
ไป๋มู่ชิงจับโทรศัพท์ไว้ด้วยมือที่สั่นเทา มองไปที่หน้าจอที่แสดงถึงเสี่ยวหยี่ขึ้น เขาผอมลงจากแต่ก่อนมาก ตอนนี้กำลังนอนอยู่บนเตียงเล็ก ตรงจมูกใช้เครื่องใช้หายใจเสียบอยู่ เหมือนนอนหลับ แต่หลับได้ไม่สบายเอาเสียเลย ดูก็รู้ว่ากำลังทุกข์ทรมารต่ออาการป่วย
แค่แวบเดียว ไป๋มู่ชิงก็สงสารจนน้ำตาไหลออกมา
จูฮุ่ยที่เห็นเธอร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดนั้น ก็พูดปลอบใจว่า “มู่ชิง อย่ากังไป ยังไงเสี่ยวหยี่ก็ต้องดีขึ้น”
มองไปที่น้องชายที่เธอรักและเอ็นดูมาตลอดเป็นแบบนี้ จะไม่ให้เป็นห่วงได้อย่างไร? แต่เพื่อไม่ให้ส่งผลต่อความรู้สึกของแม่ ไป๋มู่ก็เอามือมาปิดปากตัวเองไว้ ไม่ไห้ตัวเองฟูมฟายไปมากกว่านี้
“มู่ชิง ถ้าเธอเป็นแบบนี้ ถ้าเสี่ยวหยี่เห็นต้องเสียใจมากแน่ๆ” ซูวยาหยงยิ้มอย่างเสแสร้งแล้วพูดว่า “เราวางโทรศัพท์ก่อนดีไหม? ค่อยคุยกันวันอื่น”
จูฮุ่ยอีกฝั่งของโทรศัพท์ได้ยินว่าจะวางสายก็รีบพูดขอว่า”พี่หยงคะ รบกวนช่วยหาคุณหมอคนใหม่ให้หน่อยได้ไหมคะ ขอร้องล่ะค่ะ เสี่ยวหยี่รอไม่ถึงคุณหมอจงกลับมาแน่ๆ”
“หาอีกคนงั้นหรอ?” ซูวยาหยงแสร้งทำเป็นสีหน้าลำบากใจมองไปที่ไป๋มู่ชิง แล้วถามว่า “มู่ชิง เธอว่ามีความจำเป็นไหม?”
ซักพักเธอก็พูดขึ้นว่า “ที่จริงฉันว่า โรคหัวใจพิการโดยกำเนิดของเสี่ยวหยี่เนี่ย รุนแรงกว่าผู้ป่วยรายอื่นอีกนะ ถ้ายังช่วยเขาโดยไม่มีความหวังแบบนี้อีกมันก็ไม่มีประโยชน์ อีกอย่างยังสร้างความทุกข์ให้กับทุกคนและตัวเขาเองด้วย”
“ไม่นะ คุณหมอบอกว่าถ้าเสี่ยวหยี่ได้รับการรักษาที่ดี อาการป่วยของเขาก็ยังมีความหวังที่จะดีขึ้น ขอร้องล่ะ ฉันเสียเสี่ยวหยี่ไปไม่ได้……” จูฮุ่ยพูดไปก็ร้องไห้ขึ้นมา
“แต่ว่า……” ซูวยาหยงก็ยังคงทำสีหน้าลำบากใจ
จากเดิมที่กำมืออยู่แล้ว ไป๋มู่ชิงก็กำแรงขึ้นอีก โกรธจนตัวสั่นไปหมด เธอจ้องมองไปยังซูวยาหยง ในที่สุดก็ทนไม่ไหวจึงตะโกนใส่เธอ “เธอเป็นคุณผู้หญิงที่ใจดำอำมหิตที่สุด! เธออยากให้ฉันถอยจากหนานกงเฉินไม่ใช่หรอ? ฉันก็ทำตามแล้วไง? ยังจะต้องการอะไรอีก?”
“แม่ของฉันแค่กลัวว่าถ้าเธอได้ใช้ชีวิตคุณหญิงคุณนายนานเกินไป จะเปลี่ยนใจละทิ้งแม่กับน้องชายของเธอก็แค่นั้น” เดิมที่ต้องนอนถึงสิบเอ็ดโมงอย่างไป๋ยิ่งอันก็ตื่นแล้ว บนตัวสวมชุดนอน ขาก็สวมรองเท้าไหมนุ่มไว้ เดินลงมาจากบันได เดินมาแล้วนอนลงบนโซฟาอย่างเกียจคร้าน
ไป๋มู่ชิงจ้องเธอเขม็ง แล้วมองกลับไปที่ซูวยาหยงพูดว่า “ฉันไม่เคยบอกว่าจะกลับคำ ยิ่งไม่เคยไม่คิดถึงเสี่ยวหยี่ สิ่งที่พวกเธอให้ฉันทำ ฉันก็ทำตามทุกอย่างแล้ว ทำไมต้องทำแบบนี้กับเสี่ยวหยี่อีก?”
“เธอทำตามแล้ว แต่ทุกครั้งเธอเอาตัวเองเป็นใหญ่” ไป๋ยิ่งอันพูดขึ้น
“ฉันบอกแล้วไง ว่าเรื่องเมื่อคืนเป็นแค่อุบัติเหตุ และฉันก็ตกลงย้ายมาอยู่ที่นี่แล้ว และจะไม่ไปเจอกับหนานกงเฉินอีก”
ซูวยาหยงพูดแทรกหยุดการทะเลาะกันของทั้งสอง เดินไปหาไป๋มู่ชิงแล้วพูดว่า “พอได้แล้วมู่ชิง แค่เธอเอาของที่เป็นของยิ่งอันกลับคืนไป ฉันก็จะไม่กดดันอะไรเธออีก ก็แค่คุณหมอ ฉันรับรองว่าแค่ครึ่งชั่วโมงเขาก็จะไปอยู่ตรงหน้าเสี่ยวหยี่”
“ขอช่วยหาคุณหมอดีๆให้ด้วย” ไป๋มู่ชิงมองเธอด้วยทั้งน้ำตา พูดว่า “ฉันเคยบอกแล้วว่าฉันต้องการแค่ครอบครัวของฉัน อย่างอื่นฉันไม่เอาอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นที่ของคุณผู้หญิงตระกูลหนานกง หรือแม้กระทั่งหนานกงเฉิน ฉันไม่เอาอะไรทั้งสิ้น จะเอาคืนพวกคุณให้หมด……ขอร้องอย่าทำอะไรเสี่ยวหยี่ ฉันกับเสี่ยวหยี่ไม่เคยติดค้างอะไรกับพวกคุณนิ……”
“เธอไม่ติดอะไรหรอก แม่ของเธอตางหาก แล้วติดเยอะมากด้วย! ” ไป๋ยิ่งอันที่อยู่ข้างๆพูดอย่างโกรธแค้น
ซูวยาหยงยกมือขึ้นบอกให้ไป๋ยิ่งอันเงียบ แล้วพูดกับไป๋มู่ชิงว่า “ฉันเคยบอกแล้วแค่เธอทำตามสิ่งที่ฉันบอกโดยดี ฉันก็จะไม่ทำอะไรเธอ”
“ฉันจะทำตาม ทำตามที่บอกแน่นอน”
“งั้นก็ดี ฉันก็จะหาหมอที่ดีๆให้กับเสี่ยวหยี่ให้” ซูวยาหยงยิ้มอย่างพอใจ “เช็ดน้ำตาสะ เดี๋ยวพ่อของเธอก็คิดว่าฉันทำอะไรเธออีก”
ไป๋มู่ชิงเอากระดาษทิชชูมาเช็ดน้ำตา แล้วรีบขึ้นไปบนห้องทันที
พอถึงห้อง ไป๋มู่ชิงเดินไปยังหน้าต่างบานใหญ่ สูดหายใจเข้าลึกๆสองสามที บอกกับตัวเองว่าอย่าไปโกรธ เพื่อสุขภาพที่ดีของลูกในท้องไม่ควรอารมณ์เสียขนาดนี้
ตั้งแต่เธอตั้งครรภ์มา อารมณ์ของเธอก็ไม่ค่อยดีมาตลอด ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ดีต่อลูกแน่ๆ
ซูวยาหยงกับไป๋ยิ่งอันเป็นคนยังไงเขารู้มาตั้งนานแล้ว ถ้าพวกเขาจะเอามีดมาฆ่าให้ให้ตายไปเลยก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลก จะมาโกรธเพราะพ่อลูกคู่นี้ไม่คุ้มหรอก!
เธอใช้หลังมือเช็ดน้ำตาออกให้หมด แล้วเดินเข้าไปในห้อง เปิดโทรทัศน์แล้วเปิดช่องรายการทีวีที่ตลกขบขันขึ้นมาดู
พิธีกรรายการทีวีตอนนี้ชอบเล่นตลก แต่ก็มีความเชี่ยวชาญสูง สามารถทำให้ผู้ชมมีความสุข สนุกไปด้วย
เขาเพิ่งจะนั่งได้ที่ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเขาแค่ปรายตามองไปที่ประตู แล้วก็ไม่ได้สนใจต่อ
เขานึกว่าจะเป็นไป๋ยื่งอันหรือไม่ก็ซูวยาหยงมาหาเรื่องเธออีก แต่กลับเป็นเสียงของน้าหง “คุณหนูรองคะ อยู่ในห้องหรือเปล่าคะ”
คำว่า”คุณหนูรอง”คำนี้ บาดหนูของเธอยิ่งนัก เธอลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู แล้วพูดกับน้าหงว่า “ฉันไม่ใช่คุณหนูรองอะไรนั่นหรอกน้าหงเรียกฉันว่า มู่ชิง ดีกว่า”
“ก็ได้ มู่ชิง” น้าหงก็เดินเข้าห้องของเธอไป นำถาดอาหารที่ยกมา นำมาวางบนโต๊ะ “มาทานข้าวเช้าก่อนเร็ว เดี๋ยวเย็นแล้วจะไม่อร่อย”
ไป๋มู่ชิงมองไปที่ถาดอาหารเช้า ในนั้นมีโจ๊ก นมวัว แซนวิชแล้วก็ขนมปัง พอที่จะกินได้ถึงสามคน พอเห็นพวกนี้แล้ว เธอถึงนึกขึ้นได้ว่าเช้านี้ยังไม่ได้ทานอะไรเลย เมื่อกี้ก็เอาแต่โกรธอย่างเดียว ไม่ได้สนใจเลยว่าหิวหรือไม่
“ขอบคุณค่ะ” เขาพูดกับน้าหงอย่างซาบซึ้งใจ
ในบ้านหลังนี้ก็มีแต่น้าหงนั่นแหละที่ดีกับเธอที่สุด
“ขอบคุณอะไรกัน ตอนนี้เธอกำลังตั้งครรภ์อยู่ต้องทานเยอะๆ ทานอิ่มลูกถึงจะเติบโตได้อย่างแข็งแรง อีกหน่อยจะได้เลี้ยงง่ายๆ” น้าหงพูดพูดด้วยความเอ็นดู “เธอทานไปก่อน ถ้าไม่พอฉันจะได้ไปเอาให้อีก”
“ไม่เป็นต้องหรอก แค่นี้ก็เยอะพอแล้ว”
“งั้นก็ได้ เธอค่อยๆกินนะ” น้าหงหันหลังเดินออกไป ก่อนจะไปหันมาพูดว่า “มู่ชิง คุณผู้หญิงกับคุณหนูใหญ่นิสัยไม่ค่อยดี อย่าไปถือสาเลย อย่าทำให้ตัวเองโกรธจนเสียสุขภาพเพราะเขาเลย”
“อื้ม”
“ถ้ามีปัญหาอะไรก็บอกกับฉันได้นะ ฉันจะพยายามช่วยเธอเอง”
“อื้ม ฉันรู้แล้ว”
หลังจากที่น้าหงเดินออกไป ไป๋มู่ชิงก็เดินไปหยิบโจ๊กขึ้นมาทาน
พอทานเสร็จก็ไปนั่งดูรายการทีวีต่อ
แบบนี้มันไม่ดีกว่าโดนกักบริเวณไปเท่าไหร่หรอก เธอก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้สักกี่วัน
ไป๋มู่ชิงขุดอยู่ในห้องทั้งวัน นอนักตอนกลางวันเสร็จตื่นมาอีกทีก็บ่ายโมงกว่าแล้ว เลยลุกจากที่นอนเดินไปเปิดทีวีขึ้นมาใหม่ รายการทีวีดูถึงครึ่งหนึ่ง ประตูห้องนอนก็ถูกเปิดออก
ไป๋ยิ่งอันเดินเข้ามาเห็นเธอเข้าก็มีสีหน้าขำขัน อดไม่ได้ที่จะพูดแทะว่า”ฉันนึกว่าเธอจะเป็นห่วงน้องชายขนาดไหนสะอีก ที่ไหนได้ ก็ไม่ได้เป็นห่วงเหมือนที่คิดไว้นิ ตอนเช้ายังร้องไห้จนน้ำตานองหน้าอยู่เลย นี่แค่ผ่านไปไม่ถึงวันก็ทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างงั้นแหละ ”
ไป๋มู่ชิงกวาดตามองเธอ แล้วหันกลับไปสนใจรายการทีวีต่อแล้วไม่สนใจเธออีก
ไป๋ยิ่งอันเดินไปตรงหน้าของเธอแล้วพูดว่า “ฉันมีข่าวดีมาบอก น้องชายของเธอตอนนี้ฟื้นแล้ว”
พอเธอได้ยินดังนั้นก็ได้หันหน้าไปหาไป๋ยิ่งอัน แล้วถามขึ้นทันทีว่า “เธอว่าไงนะ?”
“ฉันบอกว่า คุณหมอได้ไปดูอาการของน้องชายเธอแล้ว สถานการณ์ตอนนี้ก็ปกติดี ” ไป๋ยิ่งอันพูดอีกครั้ง
“นี่เรื่องจริงใช่ไหม?”
“ก็ต้องเป็นเรื่องจริงสิ ฉันหลอกเธอแล้วได้อะไรขึ้นมา?”
ไป๋มู่ชิงถอนหายใจอย่างโล่งอก มันก็เรื่องจริง ตอนนี้เขายังไม่ได้เปลี่ยนตัวกับไป๋ยิ่งอันนิ ก็แสดงว่าเสี่ยวหยี่ยังมีประโยชน์กับพวกเขาอยู่ พวกเขาไม่มีทางปล่อยให้เสี่ยวหยี่ตายหรอก
ทั้งที่รู้ว่าสองแม่ลูกนี้ใช้เสี่ยวหยี่เป็นเครื่องมือกดดันเธอ แต่พอเห็นรูปร่างหน้าตาที่ผอมแห้งของเสี่ยวหยี่ก็รู้สึกปวดใจไปหมด
ไป๋ยิ่งอันมองไปรอบๆ ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ช่างเถอะ เธอก็คงไม่อยากเห็นหน้าฉัน ฉันขอตัวละกัน”
“รบกวนปิดประตูให้ด้วย” ไป๋มู่ชิงพูดขอบคุณด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ไป๋ยิ่งอันเม้มปากแน่น เดินกลับมานั่งข้างเธอแล้วพูดว่า “ฉันขอถามเธอหน่อยสิ กับเธอเนี่ย หนานกงเฉินเขาเคยรู้สึกชอบเธอสักนิดหรือเปล่า?”
คำถามนี้เธอก็รู้สึกสับสนอยู่หลายครั้ง คราวที่แล้วที่หนานกงเฉินจูบเธอที่สนามบิน เขารู้สึกเหมือนว่าหนานกงเฉินมีความรู้สึกดีๆให้กับเธอ แต่พอมาคิดดูอีกที ก็คิดว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ คนอย่างไป๋มู่ชิงทั้งไม่มีสถานะทางสังคมแล้วยังมีกลิ่นอายของคนบ้านนอกแบบนี้ ผู้ชายทั่วไปล้วนไม่ชอบทั้งนั้น
ขนาดหลินอันหนานที่เห็นตัวตนลูกคุณหนูที่แท้จริงอย่างเธอยังหักหลังเธอเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่สูงส่งอย่างหนานกงเฉินหรอก

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset