เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 116 เอาเธอไปขังไว้

“คุณยายจะไปไหนหรอครับ?” หนานกงเฉินกวาดตามองเธอแล้วถาม
“ฉันอยากจะออกไปเดินเล่นสักหน่อยน่ะ”
“คุณยายครับ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคุณยายต้องปิดบังผมด้วย?”หนานกงเฉินถามด้วยความไม่พอใจ“เขาเป็นลูกของผม ผมมีสิทธิ์ที่จะรู้ว่าเขาได้เกิดมาแล้ว”
“ใครเป็นคนบอกนายกัน?” คุณผู้หญิงถามด้วยความโกรธ
“มันสำคัญด้วยหรอครับ”
“ใช่”
“ครับ นั่นเป็นเพราะเมื่อกี้ผมไปถึงบริษัท ก็ได้ยินข่าวว่าคุณหญิงน้อยของตระกูลหนานกงเฉินคลอดลูกแล้ว แล้วเด็กที่คลอดออกมาก็เป็นเด็กขี้โรคเหมือนที่ผมเป็น ” หนานกงเฉินพูดด้วยความโมโห
“เฉิน” ใจของคุณผู้หญิงเหมือนถูกบีบเอาไว้ น้ำตารื้นขึ้นมาในทันใด“นี่เป็นเหตุผลที่ฉันไม่อยากบอกนาย ฉันยอมให้นายรู้ว่าเด็กคนนี้แท้งก่อนคลอด ก็ไม่อยากให้นายรู้ว่าเขาเป็นเด็กที่ร่างกายไม่แข็งแรงแล้วจะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ฉันบอกให้พวกเขาเก็บไว้เป็นความลับแล้ว ทำไมนายยังถึงรู้ข่าวได้ไวขนาดนี้?”
“คุณยายครับ เรื่องแบบนี้มันปิดกันได้ที่ไหนล่ะครับ” หนานกงเฉินพูดด้วยสีหน้าปวดใจ“อีกอย่างคุณยายรู้ตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรอครับว่าเด็กนั้นไม่แข็งแรง ? ไม่ใช่ว่าเตรียมใจไว้แล้วหรอครับ?”
สิ่งที่คุณผู้หญิงพูดนั้น ทำให้เขามั่นใจว่าข่าวที่ได้ยินมานั้นเป็นเรื่องจริง
ลูกของเขาที่เกิดมา เป็นเด็กร่างกายไม่แข็งแรง
ถึงแม้ตอนนั้นจะรู้อยู่แล้วว่าเด็กนั้นมีโรค แต่เขาก็คิดเหมือนกับไป๋มู่ชิง ว่าฟ้านั้นจะยังเห็นใจเขาอยู่บ้าง ให้เขาได้เด็กที่แข็งแรง
เขาหวั่นไหวกับคำพูดของไป๋มู่ชิง ตัดสินใจที่จะลองพนันดูสักครั้ง โดยที่พนันเด็กคนนี้ อาจจะไมได้แย่เหมือนที่คิด แต่ตอนนี้เขาต้องยอมรับความจริง ว่าทั้งเขาและไป๋มู่ชิงนั้น แพ้พนันนี้แล้ว เด็กคนนี้ไม่มีร่างกายที่แข็งแรง และฟ้าก็ไม่ได้เห็นใจเขาเลย
บางทีเรื่องแบบนี้ก็ไม่ควรที่จะเอามาพนันกันอยู่แล้ว ถ้าตอนนั้นเขาหนักกว่านี้ บังคับให้ไป๋มู่ชิงเอาเด็กคนนี้ออกซะ
“เฉิน พาฉันเข้าไปในบ้านหน่อยสิ” คุณผู้หญิงเดินถอนหายใจไปตลอดทาง
หนานกงเฉินจับแขนของคุณผู้หญิงไว้ พยุงเธอเข้าไปในบ้าน
เขาพยุงคุณผู้หญิงไปนั่งที่โซฟา แล้วเขาก็นั่งลงที่ตรงข้ามของเธอ คุณผู้หญิงยกมือขึ้นบอกกับเซิ่นซิงว่า“เซิ่นซิง เธอไปโรงเรียนเถอะ ฉันขอคุยกับพี่ชายเธอหน่อย”
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ แต่ทั้งสองคนอย่าเศร้าไปเลยนะคะ ” เซิ่งซิงมองทั้งสอง แล้วเดินออกไปจากห้องรับแขก
นั่งอยู่บนโซฟาเป็นสามนาทีเต็มๆ ยายหลานสองคนต่างพูดอะไรไม่ออก ไม่มีใครพูดอะไรออกมา เวลานี้ใครก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
ก่อนหน้านั้นก็เคยก็เยคาดไว้อยู่แล้วว่าผลออกมาจะเป็นแบบนี้ แต่พอเรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า ก็ไม่มีใครที่จะรับมือได้ทัน
สุดท้ายก็เป็นคุณผู้หญิงเองที่ทำลายความเงียบนี้ เงยหน้าขึ้นมองหนานกงเฉิน“เฉิน นายคิดจะทำอย่างไรต่อไป?”
หลังจากที่หนานกงเฉินเงียบไปนั้นก็สูดหายใจเข้าเล็กน้อยแล้วตอบว่า“จะทำอย่างไรได้อีก? ตอนนั้นเป็นผมเองที่จะให้คลอดเด็กคนนี้ออกมา”
“ฉันหมายถึง นายจะทำอย่างไรกับสองแม่ลูกนั้น?”
หนานกงเฉินเงยหน้าขึ้นมองคุณผู้หญิง“คุณยายหมายถึง……?”
“ฉันหมายถึง ในเมื่อเด็กถูกกำหนดไว้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน เลี้ยงไว้ในบ้านของเราก็จะทำให้ทุกคนเสียใจไปเท่านั้น งั้นก็ให้ไป๋ยิ่งอันพาเขากับไปรักษาที่บ้านของเขาดีกว่า” คุณผู้หญิงส่ายหัวไปมา“เฉิน ฉันแก่แล้ว ทนเห็นเด็กนั้นทรมานไม่ได้หรอก”
“คุณยายครับ” ริมฝีปากของหนานกงเฉินฝืดขมขึ้นมาในทันใด“ตอนนั้น หมอก็บอกว่าผมอยู่ได้ไม่นานไม่ใช่หรอครับ ดังนั้น……เราก็อย่าคิดในแง่ลบเกินไป”
คุณผู้หญิงส่ายหัว“ครั้งนี้มันไม่เหมือนกัน คราวนี้เป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดที่ซับซ้อนโรคนี้ไม่เคยมีใครเคยรักษาหายได้ วันนี้ฉันก็โทรไปถามคณบดีของโรงพยาบาลหงเอิงแล้ว เขาก็บอกว่าถ้าเด็กคนไหนเป็นโรคหัวใจชนิดนี้แล้ว ไม่สามารถอยู่รอดได้แน่นอน”
หนานกงเฉินเงียบไม่พูด
คุณผู้หญิงเงียบไปสักพัก แล้วค่อยพูดขึ้นอีกว่า“เฉิน นายอยากรับสองแม่ลูกนั้นกลับมาอยู่ที่บ้านของเราใช่ไหม?”
หนานกงเฉินมองไปที่เธอ ลังเลไปสักพักแล้วตอบว่า“ถ้าคุณยายไม่อยากเจอพวกเขาสองแม่ลูก ผมก็จะไม่รับพวกเขากลับมาอยู่แล้ว”
บนใบหน้าของคุณผู้หญิงแสดงออกถึงความคาดไม่ถึง เธอนึกไม่ถึงว่าหนานกงเฉินจะเชื่อฟังเธอ นี่มันไม่ใช่นิสัยของเขาเลย
เธอนึกว่าปัญหานี้จะเป็นการทะเลาะกันระหว่างหลานยายเกิดขึ้นอีก สีหน้าที่ไม่สบายใจของเธอก็ลดลง“นายคิดแบบนี้ก็ดีแล้ว ฉันจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงอีก”
เธอคิดว่าการที่หนานกงเฉินยอมรับข้อเสนอของเธอ ก็คงจะเป็นเพราะเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับคุณหนูไป๋แล้ว ตอนนั้นยังตกลงกันว่าถ้าเด็กคนนี้คลอดออกมาแล้ว จะรับเธอและลูกมาอยู่ที่บ้าน
สี่เดือนผ่านไป มันทำให้ความรู้สึกของเขาที่มีต่อคุณหนูไป๋จืดจางลง นับว่าเป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างมาก!
ไป๋มู่ชิงที่ตื่นขึ้นมา เป็นเช้าของอีกวันแล้ว เธอลืมตาขึ้นมาช้าๆ สังเกตุเห็นว่านี่ไม่ใช่ห้องก่อนหน้าที่เธออยู่
ที่นี่ไม่เหมือนโรงพยาบาล ไม่มีห้องที่ขาวโพรนนั่น ยิ่งไม่มีกลิ่นของน้ำยาฆ่าเชื้ออีกด้วย
เธอลุกขึ้นนั่งบนเตียง มองไปรอบๆห้อง กับเกตุเห็นว่านี่เป็นห้องนอนที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ธรรมดา นอกจากเตียงกับโต๊ะแล้วก็ไม่มีของตกแต่งอย่างอื่นเลย
หัองนอนนี้ไม่ได้กว้าง เตียงเป็นแค่เตียงไม้ขนาดหนึ่งฟุต นี่คือที่ไหนกัน? เธอไม่เคยเห็นมาก่อน!
วันนี้เป็นวันที่สองของหลังคลอด แม้ร่างกายเธอยังไม่หายดีแต่เธอก็ไม่ได้สนใจ สนแต่บานหน้าต่างที่มีแสงสว่างส่องเข้ามา
มันเป็นบานหน้าต่างเล็กๆ มองออกไปข้างนอกมีต้นปาล์มที่ไสวไปกับลม มองไปข้างล่างมีสวนดอกไม้ที่ล้างไปแล้ว
ดูก็รู้เลยว่าที่เธออยู่คือตึกชั้นที่สาม และเป็นบ้านที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ ไป๋มู่ชิงอึ่งไปชั่วขณะ ทันทีเธอก็นึกได้ว่าเธอโดนสองแม่ลูกนั่นขังไว้สะแล้ว
กังขัง……
คำนี้ลอยเข้ามาในสมองของเธอทันที ร่างกายของเธอค่อยๆไร้เรี่ยวแรง ค่อยๆเริ่มที่จะสั่นขึ้นมาทีละนิด
เธอควรทำอย่างไรดี? แล้วตอนนี้ลูกของเธอก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ถ้าเธอโดนขังไว้แบบนี้ ใครจะมาช่วยเธอหาลูกหล่ะ?
ยืนเหม่อที่หน้าต่างได้สักพัก เธอก็หันตัวพุ่งไปที่เตียงแล้วหาโทรศัพท์ของเธอทั่วห้อง แค่ในห้องนอนที่มีของใช้สำหรับอาบน้ำ นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีอะไรที่เป็นของเธอเลย
ไม่มีโทรศัพท์ ก็เท่ากับว่าเธอต้องขาดการติดต่อกับโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง ทำอย่างไรดี? เธอควรทำอย่างไรดี?
เธอเปลี่ยนไปเป็นหมุนลูกบิดประตูแทน เป็นไปตามคาด ไม่มีผลอะไรเลยสักนิด เธอร้อนรนจนร้องไห้ออกมา ร้องไห้ไปด้วยตบประตูไปด้วย“ปล่อยฉันออกไปเดี๋ยวนี้นะ! ใครอยู่ข้างนอก! ปล่อยฉันออกไปเดี๋ยวนี้…..!”
และแล้ว ไม่ว่าเธอจะตะโกนร้องแค่ไหน ประตูก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรสักนิด และไม่มีใครมาเปิดประตูให้เธอด้วย
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เธอตอนนี้ตะโกนจนคอแหบ และมือก็แดงไปหมด เธอถึงจะหยุดร้องด้วยความสิ้นหวัง ร่างกายไร้เรี่ยวแรงจนล้มนั่งลงไปที่พื้น
ไป๋ยิ่งอันที่นั่งเล่นโทรศัพท์มาทั้งวัน เลื่อนจนโยนโทรศัพท์ลงข้างแล้วถามว่า“แม่คะ หนานกงเฉินรู้แล้วใช่ไหมคะว่าเกิดอะไรขึ้นกับหนู? ทำไมเขาถึงยังไม่มาหาหนูกับลูกล่ะคะ?”
ใครจะไปรู้ล่ะ คาดว่าอาจเป็นเพราะเราคาดหวังมากเกินไปกับความรู้สึกของหนานกงเฉินที่มีต่อไป๋มู่ชิง” ซูวยาหยงรอการปรากฏตัวของหนานกงเฉินตั้งแต่เช้าถึงเที่ยง จนตอนนี้ก็ไม่เห็นแม้กระทั่งเหงา เธอก็อดที่จะไม่กังวลไม่ได้เลย
ตอนเช้าเธอตั้งใจที่จะเอาข่าวไปปล่อยในบริษัทหนรนกง เรื่องใหญ่ขนาดนี้เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่ได้ยิน อีกอย่างเธอก็รู้ด้วยว่าพอหนานกงเฉินมาถึงบริษัทได้แปปเดียวก็กลับบ้านไปแล้ว น่าจะเป็นเพราะได้ยินข่าวแล้วกลับบ้านไปถามคุณผู้หญิงสิ
“เขาคงไม่ได้ทิ้งหนูกับลูกใช่ไหมคะ? ” ไป๋ยิ่งอันถามเสียงเบา
“เรารอไปก่อน อย่าพึ่งกังวลไป” ทันใดนั้นซูวยาหยงก็เอามือขึ้นเป็นสัญลักษณ์บอกให้เงียบ แล้วชี้ไปทางประตู
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ตามด้วยพี่เหอที่เดินเข้ามาพร้อมกับมือที่ถืออาหารกลางวันเข้ามาด้วย
ไป๋ยิ่งอันรีบปรับสีหน้าของตัวเอง แล้วนั่งอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าหม่นหมอง ซูวยาหยงก็ทักทายขึ้นตามมารยาท
พี่เหอเอาปิ่นโตข้าววางลงที่โต๊ะ มองไปที่เตียงเด็กทารกแล้วถามขึ้นว่า“เด็กสบายดีใช่ไหม?”
“สบายดีค่ะ นอนมาทั้งวันแล้วด้วย” ซูวยาหยงพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เดินไปที่ปิ่นโตข้าวแล้วเอาอาหารออกมา
ซูวยาหยงอ้าปากกำลังจะพูด แต่สุดท้ายก็ไม่มีคำพูดออกมาจากปากของเธอ
พี่เหอลุกยืนขึ้น พูดกับซูวยาหยงว่า“ซูวยาหยง คุณคงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมคะ?”
“ไม่มีแน่นอนค่ะๆ” ซูวยาหยงกำมือตัวเองแน่น แต่ใบหน้ายังคงรักษารอยยิ้มไว้
ใจคิดว่ามันจะมากเกินไปแล้ว เหมือนกับว่าตระกูลไป๋อยากเห็นเด็กคนนี้ป่วยตายอย่างนั้นแหละ!
เธอกัดฟันแน่น สุดท้ายก็ทนไม่ไหวพูดออกมาว่า“คุณผู้หญิงเค้า……ไม่ตัดสินใจเลี้ยงเด็กคนนี้จริงๆหรอ? แล้วก็คุณชายเฉินหล่ะ จะปิดเค้าไว้ได้จริงหรอ?”
“อ่อ คุณชายใหญ่รู้แล้วค่ะ” พี่เหอพูดด้วยท่าทีไม่มีอะไร“คุณชายใหญ่มีความเห็นตรงกับคุณผู้หญิงเลย ไม่อาจทนเห็นเด็กที่ต้องมาทรมานแบบนี้ ดังนั้นคิดว่าให้อยู่บ้านตระกูลไป๋จะดีกว่า”
ในที่สุดซูวยาหยงก็ทนยิ้มต่อไปไม่ไหว พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า“พี่เหอคะ พวกคุณทำแบบนี้มันทำให้คนอื่นลำบากใจนะคะ”
“ทำไมหรอ?” พี่เหอมองไปที่เธอ
“ก่อนหน้าพวกคุณบอกว่ากลัวคุณชายเฉินจะเสียใจ ถึงได้ปิดบังเขาไว้ เพื่อนคุณชายเฉินเนี่ย ยิ่งอันของเรายอมที่จะลำบากตัวเองก็ไม่เป็นไร แต่ตอนนี้ในเมื่อคุณชายเฉินเขารู้แล้ว พวกคุณกลับไม่ยอมรับเด็กคนนี้ มันใจร้ายเกินไปหรือเปล่า?” ซูวยาหยงกัดฟันแน่น พูดต่อไปว่า“ยิ่งอันทำอะไรก็คิดถึงคุณชายเฉินตลอด แล้วตระกูลหนานกงล่ะ กลับคิดจะใช้โอกาสนี้เตะพวกเค้าออกจากตระกูลหนานกง พูดให้สวยหน่อยคือกลัวคุณผู้หญิงกับคุณชายเฉินจะเสียใจตอนเห็นเด็ก แล้วยิ่งอันของฉันล่ะ? แล้วเธอไม่เสียใจหรือไง?”
พี่เหอแค่นยิ้ม“ตอนนั้นไม่ใช่เป็นเพราะคุณหญิงน้อยยืนหยัดว่าจะคลอดเด็กคนนี้ไม่ใช่หรือไง จะเสียใจยังไงก็เป็นเพราะตัวเธอเองไม่ใช่หรอ?”
“นี่……” ซูวยาหยงถึงกับพูดไม่ออก
“ฉันพูดผิดตรงไหน?” พี่เหอกวาดตามองไปที่ไป๋ยิ่งอัน“ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะคุณหญิงน้อยดึงดันที่คลอดเด็กคนนี้ คุณผู้หญิงก็คงไม่ป่วยติดเตียงตั้งแต่เมื่อวาน จนตอนนี้ยังน้ำตานองหน้า คุณชายเฉินก็คงไม่เสียใจ ผู้หญิงที่ดื้อด้านไม่เชื่อฟังแบบนี้ คุณชายเฉินไม่อยากได้ก็คงไม่แปลก? ใครกำหนดว่าแต่งงานแล้วจะหย่าไม่ได้?
ซูวยาหยงไม่คิดว่าเธอจะพูดออกมาตรงและไร้น้ำใจขนาดนี้ สักพักถึงจะพูดด้วยสีหน้าเรียบตึงว่า“เด็กคนนี้เป็นของตระกูลหนานกงนะ”
“แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าเด็กคนนี้อยู่ได้ไม่นานไง” พี่เหอยิ้มเยาะ“ตอนนั้นที่คุณหญิงน้อยดึงดันที่จะคลอดเด็กคนนี้ ก็เป็นเพราะอยากทำให้ตัวเองมีตำแหน่งในตระกูลหนานกงได้อย่างมั่นคงไม่ใช่หรอ แต่คุณหญิงน้อยประมาทกับคุณผู้หญิงและคุณชายใหญ่มากเกินไป คิดว่าวิธีนี้จะได้ผลพวกเขา ที่คุณหญิงน้อยแพ้ก็แพ้ตรงที่ไม่มีชะตานั่นแหละ คลอดเด็กออกมาได้ แต่กลับรักษาเค้าไว้ได้”
“ถ้าไม่ใช่หนานกงเฉินเป็นโรค ยิ่งอันจะคลอดครรภ์เด็กขี้โรคออกมาได้ยังไง?” ซูยาหยงพูดด้วยความโมโห
“ตอนนั้นตระกูลหนานกงก็ไม่มีใครสนับสนุนคุณหญิงน้อยคลอดเด็กคนนี้นี่ ดังนั้นทุกอย่างเป็นเพราะตัวเธอเอง”พี่เหอเดินไปที่เตียงของเด็กทารก แล้วใช่มือหยอกเล่นกับเด็กแล้วพูดว่า“อันที่จริงคุณผู้หญิงก็ไม่อยากจากเด็กคนนี้หรอก แต่ในเมื่อเขามีชีวิตได้ไม่นาน การยอมรับเขาจะทำให้เธอเสียใจเปล่าๆ แต่นอนว่าถ้าคุณหญิงน้อยก็ทนเห็นเขาค่อยๆเสียไปแบบนี้ สามารถเอาเด็กมาให้ตระกูลหนานเลี้ยงได้ เราจะหาเพ้นท์เฮ้าส์ให้เขา จ้างแม่นมมาดูแลเขาเอง ไม่ให้เขาได้รับการเลี้ยงดูที่ไม่ดีแน่นอน”
พี่เหอพูดจบก็กวาดตามองทั้งสอง“พวกเธอคิดว่าไง? เด็กควรที่จะให้ใครเป็นคนเลี้ยงดี?”
“คุณหญิงไป๋ อันที่จริงนี่ก็เป็นแค่การเล่นเกมอย่างหนึ่ง ในเมื่อมันเป็นเกม กล้าที่จะเล่นก็ต้องกล้าที่จะแพ้” พี่เหอพูดจบ ค้างไปสักพักก็พูดขึ้นต่อ“โอเค พรุ่งนี้ฉันจะมารับพวกเธอออกจากโรงพยาบาลเอง ถึงเวลานั้นพวกเธอค่อยตัดสินใจละกันว่าจะให้ใครเลี้ยงเด็กคนนี้”
พูดจบ เธอก็เดินไปเอาปิ่นโตที่โต๊ะ หมุนตัวเดินออกไปจากห้อง
หลังจากที่พี่เหอเดินออกไป ไป๋ยิ่งอันก็ลงมาจากเตียงตะโกนว่า“นี่มันจะมากเกินไปแล้วนะ! มันจะมากเกินไปแล้ว!”
ซูวยาหยงก็โกรธจนจะบ้า แต่เธอแค่ไม่ได้เสียสติตะโกนอย่างไป๋ยิ่งอันเท่านั้น
ไป๋ยิ่งอันด่าไปก็ไม่อาจคลายความโกรธได้ ก็หันไปหาเด็กที่อยู่บนเตียงเล็ก“ถ้ารู้แต่แรกว่าจะก็เป็นแบบนี้ ฉันยังจะเอามันทำไม? เอามันโยนออกไป! โยนออกไป!”
“คุณหนูไป๋ใจเย็นๆก่อนนะคะ” แม่นมที่ไม่รู้อะไรเลยก็กลัวไป๋ยิ่งอันจะเอาอารมณ์มาลงที่เด็ก เลยรีบอุ้มเด็กขึ้นไว้ที่อ้อมกอดของเธอ
“ตระกูลหนานกงก็ไม่เอามันแล้ว พวกเรายังต้องเก็บมันไว้อีกทำไม? ฉันบอกให้โยนมันออกไป ไม่ได้ยินกันหรือไง?” ไป๋ยิ่งอันยังคงตะโกนโหวกเหวกโวยวายอยู่อย่างนั้น
แม่นมพูดด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย“คุณหนูไป๋คะ นี่คือลูกแท้ๆของคุณเลยนะคะ คุณจะเอาโยนไปที่ไหนกัน?”
“แม่คะ……ทำอย่างไรดี?” ไป๋ยิ่งอันเปลี่ยนเป็นเขย่าแขนของซูวยาหยง“แม่คะ หนานกงเฉินเค้าไม่เอาหนูกับลูกแล้ว ที่เราทำมาทั้งหมดมันสูญเปล่าไปหมดเลย ทำอย่างไรดี……”
“อย่ามาวุ่นวายกับฉัน!” ซูวยาหยงดันเธออก แล้วพูดด้วยความโกรธว่า“เรื่องอะไรก็มาให้ฉันช่วยแก้ปัญหาหมด สมองแกเอามาใช้ทำอะไร?”
“แม่คะ…….” ไป๋ยิ่งอันไห้ขึ้นมา
เพื่อที่จะเข้าตระกูลหนาน เธอใช้เวลามาเป็นครึ่งปีในการไว้ผมยาว เพิ่มน้ำหนัก เลียนแบบทุกการพูดการกระทำของไป๋มู่ชิง…..
ถ้าครั้งนี้ยังไม่สามารถเข้าไปในตระกูลนั้นได้ เธอก็จะไม่มีโอกาสอีก เวลาครึ่งปีที่พยายามมาก็ไม่มีประโชน์สิ เธอไม่ยอมหรอก เธอจะยอมได้ยังไง
ไป๋มู่ชิงอยู่ในห้องเล็กๆนี้มาทั้งวันแล้ว ในที่สุดตอนเย็นก็มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
พอเสียงเคาะประตูดังขึ้น เธอก็ลุกออกจากมุมห้องทันที เห็นประตูที่ค่อยเปิดออกจากข้างนอก แล้วเป็นซูวยาหยงเองที่เดินเข้ามา
“คุณหญิงไป๋ ทำไมถึงขังฉันไว้ที่นี่? ได้โปรดปล่อยฉันออกไป……โอ้ย……!” ไม่รอให้เธอพูดจบ ซูวยาหยงก็พาดมือลงบนใบหน้าของเธออย่างแรง
เธออึ้ง มองใบหน้าของซูวยาหยงที่โกรธจัดด้วยสีหน้าตกใจ
ซูวยาหยงโกรธเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอเห็นหน้าของเธอเข้าก็ยิ่งโกรธเข้าไปอีก จ้องหน้าและตะโกนใส่เธอ“นางแพศยา! ตอนนั้นฉันบอกให้แกไม่ต้องคลอดไอ้เด็กขี้โรคนี้ออกมา แกก็ดึงดันจะคลอด นี่แกยังคิดจะออกไปอีกหรอ? ฉันจะให้ ว่าถ้ายิ่งอันไม่ได้สิ่งที่เค้าต้องการ ชาตินี้แกก็ไม่ต้องคิดที่จะได้ แกก็อยู่ในนี้จนแก่ตายไปสะ!”
การกระทำของตระกูลหนานกงนั้นช่างไร้ความปรานีนัก ไร้ความปรานีจนเธอคาดคิดไม่ถึง เธอคิดว่าถ้าไม่ใช่เพราะไป๋มู่ชิงดึงดันที่จะคลอดเด็กคนนี้ออกมา ถ้าไป๋มู่ชิงฟังเธอตั้งแต่แรกเอาเด็กออกแล้วสลับตัวกับไป๋ยิ่งอัน ไป๋ยิ่งอันคงอยู่ในตระกูลหนานกงแล้ว ไม่มีทางที่จะเกิดเรื่องที่ต้องมาดูแลครรภ์ที่บ้านแม่แบบนี้ ยิ่งไม่มีโอกาสทำให้หนานกงเฉินมีเหตุผลที่ไม่รับเธอเข้าตระกูล
ถ้าไม่ใช่เพราะความดื้อด้านของเธอ ถ้าไม่ใช่เพราะเด็กที่เกิดมาร่างกายอ่อนแอ แผนของเธอก็คงจะไม่ล่มไม่เป็นท่าแบบนี้!
ไป๋มู่ชิงโดนเธอตบจนหน้าชา จากนั้นก็รีบร้องขอว่า“คุณหญิงไป๋คะ ฉันสาบานว่าจะไม่กลับไปตระกูลหนานกงและไปหาลูกแน่นอน ฉันจะหนีไปให้ไกลที่สุด ขอร้องล่ะให้ฉันออกไปจากที่นี่ ขอร้อง……”
เธอเริ่มร้องไห้ด้วยความเสียใจ เธอต้องออกไปจากที่นี่ ลูกสาวของเธอยังหาไม่เจอเลย เธอต้องออกไปจากที่นี่!
“ไม่จำเป็นแล้วล่ะ!” ซูวยาหยงตะโกนกลับ“แผนที่วางมาล่มไม่เป็นท่า ตระกูลหนานกงเค้าไม่เอาทั้งแกกับลูกรวมถึงหนานกงเฉินด้วย พวกสัตว์เดียรัจฉานใจดำอำมหิตพวกนั้นทิ้งพวกแกไปแล้วรู้หรือยัง?”
ไป๋มู่ชิงมองเธอด้วยสีหน้าอึ้งๆ ส่ายหน้าไปทั้งน้ำตา“เป็นไปไม่ได้……”
“ทำไมถึงจะเป็นไปไม่ได้? เธอมั่นใจเกินไป มั่นใจในความรู้สึกของหนานกงเฉินที่มีต่อเธอเกินไป!” ซูวยาหยงแค่นยิ้มอย่างเยือกเย็น“หนานกงเฉินไม่เคยมาเยี่ยมเธอกับลูกที่โรงพยาบาลเลย เขาแค่ทิ้งไว้แต่คำเดียว ทั้งเธอกับลูกเขาไม่เอาใครทั้งนั้น ได้ยินหรือเปล่า? เขาไม่เอาใครทั้งนั้น!”
“ไม่นะ……”ไป๋มู่ชิงยังคงส่ายหัวไม่หยุด
ผลที่ออกมาแบบนี้เธอเคยคิดไว้ตั้งแต่แรกแล้ว และก็ทำใจไว้แล้ว
หนานกงเฉินเคยบอกกับเธอไว้ว่า ถ้าเธอคลอดเขาจะเลือกเอง ในที่สุดเขาก็เลือก เลือกที่จะทิ้งเธอไป เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเธอสักนิด คนที่ควรจะเสียใจต้องเป็นไป๋ยิ่งอันสิ แต่เธอก็เสียใจจนได้ เสียใจมากด้วย
หนานกงเฉินไม่เอาเธอแล้ว ลูกก็ยังไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนอีก แม้กระทั่งเธอยังตกมาอยู่ในสภาพที่ถูกขังเอาไว้แบบนี้
“แกยังอยากกลับตระกูลหนานกงหรอ? ตายใจสะเถอะ!” ซูวยาหยงตะโกนใส่เธออีกครั้ง
“ไม่ใช่นะ……ไม่ใช่จริงๆ……”
“ไม่ใช่งั้นหรอ? แล้วแกจะเรียกร้องที่จะเจอลูกทำไม? เหอะ ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะแกโวยวายที่ห้องพักฟื้น ฉันก็ไม่คิดที่จะขังแกไว้หรอก ไป๋มู่ชิง เธอทำไม่ได้หรอกที่จะคืนทุกอย่างให้ยิ่งอัน ถ้าฉันปล่อยให้แกอยู่ข้างนอก จะต้องมีปัญหาตามมาอีกแน่ ดังนั้น เพื่อที่จะไม่ให้เกิดเรื่องขึ้น ฉันจะไม่ให้แกออกไปจากที่นี่แม้แต่ก้าวเดียว!”
“คุณพูดว่าไงนะ? คุณจะขังฉันไว้ที่นี่ตลอดไปงั้นหรอ?”
“ใช่!”
“คุณจะทำแบบนี้ทำไม? ทำไมคุณต้องโหดร้ายขนาดนี้?” ไป๋มู่ชิงล้มลงบนพื้นด้วยความอ่อนแรง เอามือขึ้นจับแขนของซูวยาหยงไว้แล้วร้องไห้เสียใจ“คุณหญิงไป๋ สิ่งที่คุณให้ฉันทำฉันก็ทำตามทุกอย่างแล้ว ทำไมถึงทำแบบนี้กับฉันอีก? ทำไม……”
“เพราะแกไม่เชื่อฟังไงหล่ะ” ซูวยาหยงสะบัดมือเธอออกอย่างแรง ถอยหลังไปแล้วกวาดตามองห้องเล็กๆนี้ พูดว่า“อยู่ในห้องดีๆหล่ะ ถ้าแกทำตัวดี ฉันอาจจะให้แกออกจากห้องนี้ ไปอยู่ห้องนอนกว้างๆที่อยู่ข้างล่าง แล้วถ้าแกยังโวยวายอยู่แบบนี้ อย่าบอกว่าห้องนอนที่ใหญ่กว่านี้เลย แม้กระทั่งห้องเล็กๆนี่ฉันก็จะไม่ให้เธอออก”
“อย่านะ……ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่ คุณเคยบอกว่าจะปล่อยครอบครัวฉันไป คุณเคยบอกว่าให้ความอิสระกับฉัน คุณจะกลับคำพูดไม่ได้นะ……”
“คนที่กลับคำคือแก คนที่ทำให้แผ่นล่มก็เป็นแก” ซูวยาหยงพูดอย่างไม่สบอารมณ์“พอได้แล้ว ฉันไม่อยากฟังแกพูดเรื่องไร้สาระพวกนี้ ฉันขอเตือนแกอีกครั้ง เพ้นท์เฮ้าส์นี้ร้างมาหลายปีแล้ว รอบข้างไม่มีใครอาศัยอยู่ อย่าคิดที่จะหนีออกจากที่นี่ เพราะมันไม่มีประโยชน์”
พูดจบเธอก็หันหลังเดินออกไป แล้วก็หันมาพูดกับชายที่อยู่หน้าประตูว่า“ดูมันไว้ให้ดี”
“ครับคุณหญิง” ชายคนนั้นตอบกลับ
“อย่านะ! ฉันไม่อยากถูกขังไว้ในนี้!” ไป๋มู่ชิงตามไปอย่างร้อนรน แต่กลับช้าไป ประตูของห้องถูกชายคนนั้นปิดก่อน
เธอดึงประตูสุดชีวิต แล้วตีด้วยความแรง แต่สิ่งที่เธอได้รับคือเสียงส้นสูงที่กระทบกับพื้นของซูวยาหยงที่ค่อยๆเดินจากไป
ตอนเช้า ซูวยาหยงที่กำลังเก็บของเพื่อออกโรงพยาบาล ไป๋ยิ่งอันที่เครียดแล้วก็เสียใจทั้งคืน ดูเหมือนจะมีเค้าโครงของคุณแม่หลังคลอดออกมา
เธอเห็นซูวยาหยงที่เก็บของ ก็เดินเข้าไปหาเธอด้วยอารมณ์โกรธ เทของที่อยู่ในถุงออกจนหมดแล้วตะโกนเสียงดังว่า“แม่คะ เราจะกลับไปแบบนี้เลยหรอคะ? ยอมแพ้แบบนี้เลยหรอคะ? หนูไม่ยอมหรอกนะ! หนูไม่ยอม……!”
ซูวยาหยงมองหน้าเธอแล้วยิ้มแห้ง“ฉันก็ไม่ยอม แต่แล้วจะทำยังไงได้ ตอนนี้กลับบ้านก่อน แล้วค่อยวางแผนกันอีกที”
“ยังจะวางแผนอะไรได้อีกคะ? ตอนนี้เด็กยังมีชีวิตอยู่พวกเขายังไม่ไม่เอาหนูเลย ถ้าตายไปแล้วก็ยิ่งแล้วใหญ่ แม่คะ……เรื่องมันไม่ควรเป็นแบบนี้สิคะ!” ไป๋ยิ่งอันร้องไห้ด้วยความเสียใจ
จะยอมแพ้ไปแบบนี้เลยหรอ ไม่หรอก! เธอไม่ยอม!
“อย่าร้องเลยลูก” ซูวยาหยงกอดปลอบเธอ“ถ้าหนานกงเฉินเขาไม่เอาลูก เราหาคนอื่นที่ดีกว่านี้ก็ได้ เมืองซีมีผู้ชายมากมายที่อยากแต่งงานกับลูก เราไม่จำเป็นต้องแต่งเข้าตระกูลหนานกงหรอก”
“แม่คะ เมื่อก่อนแม่ไม่ได้พูดแบบนี้นิคะ” แต่ก่อนซูวยาหยังมักจะพูดกับเธอว่า ในเมืองซีเนี่ย ตระกูลหนานกงเก่งกาจมากที่สุด ถ้าได้เป็นคุณหญิงของตระกูลหนานกง ไม่ใช่แค่จะทำให้ตระกูลไป๋ยิ่งใหญ่ขึ้น ยังทำให้เธอเป็นที่เคารพในเมืองซีอีกด้วย

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset