เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 121 กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“พี่ พี่รีบมาช่วยหน่อย อาคนนี้จะล้มแล้ว” เสี่ยวหยี่ตะโกนอยู่ด้านนอก
ไป๋มู่ชิงเดินออกไป เห็นเสี่ยวหยี่กำลังพยายามใช้ร่างเล็กของตัวเองพยุงร่างหนานกงเฉินไว้ แต่หนานกงเฉินเมามากเกินไป ควบคุมการทรงตัวไม่ได้เลย
ไม่มีทางอื่น เธอทำได้แค่รีบเดินไป ยิ้มเล็กน้อยแล้วถามขึ้น “ทำไมพี่เขยกินเหล้าเยอะขนาดนี้ล่ะ? ดูสิดื่มจนเดินไม่ได้ ให้ฉันช่วยพยุงคุณแล้วกัน”
พูดจบ เธอเดินไปอีกด้านพยุงแขนเขา แต่กลับโดนเขาสะบัดออก แล้วพ่นสองคำเรียบๆ “ไม่ต้อง”
“พี่เขย ทำไมพี่จริงจังแบบนั้นล่ะ ยังไงพี่สาวฉันก็ไม่อยู่ที่นี่” ไป๋มู่ชิงใช้เสียงนุ่มนวลที่เป็นของไป๋ยิ่งอันแล้วบังคับจับแขนเขา “คุณชายเฉิน……ฉันก็เก่งนะ ไม่แย่ไปกว่าพี่สาวฉันหรอก”
หนานกงเฉินหลังจากถูกเธอพยุงเข้าไปในลิฟต์ ก็มองลงมายังเธอ “เธอกับคุณชายหลิน……ช่างเป็นบุพเพสันนิวาสจริงๆ ”
“หมายความว่าไง? ”
“ชอบกินอยู่ในชาม……แต่มองไปในหม้อ……” เขายิ้มเย้ยหยัน จากนั้นก็เสริมอีกประโยค “ยิ่งอันทำไม่เป็นหรอก”
ไป๋มู่ชิงรู้สึกในใจแกว่งนิดหน่อย ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มน่าหลงใหล “นั่นเพราะยิ่งอันเธอได้เจอผู้ชายดีๆ แบบคุณชายเฉินไงคะ คุณชายหลินไม่ได้น่าดึงดูดเท่าคุณชายเฉินด้วย……เฮ้……”
ร่างกายหนานกงเฉินเอียง ทั้งร่างล้มทับเธอ เธอรีบทรงตัวเขาขึ้นมา ร่างทั้งคู่แนบชิดกัน เธอได้กลิ่นแอลกอฮอล์แรงๆ บนร่างกายเขา
หัวใจเธออ่อนแรงทันที นานมากแล้วที่ไม่ได้ใกล้ชิดเขาแบบนี้ นอกจากเมื่อวานตอนเช้าที่เจอรีบๆ ก็ไม่ได้เจอเขามานานมากแล้ว เธอพบว่าในใจตัวเองไม่เคยปฏิเสธในการใกล้ชิดกับเขาเลย แม้ว่าเขาจะเมามากก็ตาม
เธอปรับอารมณ์ในใจให้คงที่ เงยหน้าขึ้นเอ่ยปากอย่างระมัดระวัง “คุณชายเฉิน ลิฟต์ถึงแล้ว คุณยืนดีๆ ได้ไหม? ”
เห็นหนานกงเฉินไม่โต้ตอบ เธอจึงเอามือตีเอวเขาอีกครั้ง สุดท้ายหนานกงเฉินก็ตื่นขึ้นมา
กว่าจะพยุงเขากลับเข้าไปในบ้านได้ จู่ๆ ไป๋มู่ชิงก็เกิดปัญหาขึ้น เหมือนเธอจะเปิดรหัสประตูบ้านเขาด้วยตัวเอง
ตอนแรกเธอพักที่นี่หนึ่งคืน รู้รหัสบ้านเขา เพราะเธอกังวลเกินไปที่จะพยุงเขากลับบ้าน เธอจึงเปิดประตูด้วยตัวเอง
“เกิดอะไรขึ้น? ” จูฮุ่ยได้ยินเสียงที่ประตู เปิดประตูก็ได้ยินเสียงเสี่ยวหยี่ดังเข้าไปในบ้านหนานกงเฉิน แล้วเดินตามเข้าไป
“อาคนนี้เมาแล้ว ฉันกับพี่สาวพยุงเขากลับมา” เสี่ยวหยี่ชี้ไปที่หนานกงเฉินที่นอนบนเตียงแล้วพูด
จูฮุ่ยมองหนานกงเฉินหนึ่งที ดึงข้อมือไป๋มู่ชิง ลากเธอไปที่ห้องรับแขกแล้วกดเสียงต่ำตำหนิ “มู่ชิง เธอยุ่งเรื่องนี้ทำไม? ถ้าให้ตระกูลไป๋รู้ว่าเธอเกี่ยวข้องกับเขา จะต้อง……”
จูฮุ่ยอาจจะตกใจกลัวแม่ลูกสวีหย่าหรง ตอนนี้ต้องการปกป้องตัวเอง ไม่คิดอะไรอย่างอื่น
ไป๋มู่ชิงรู้ว่าตัวเองไม่ควรยุ่ง แต่……
“แม่ เขาเมาจนเดินไม่ได้ ฉันเห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วยไม่ได้หรอกนะ อีกอย่างเขาก็ป่วยอยู่ ถ้าเขาอยู่ข้างล่างอาการกำเริบล่ะจะทำยังไง? ” ถูกต้อง เธอเป็นห่วงเขา ก็เลยช่วยพยุงเขามาจากชั้นล่างโดยเสี่ยงต่อการเปิดเผยข้อบกพร่องของเขา
“นั่นก็เป็นเรื่องของเขา” จูฮุ่ยใช้น้ำเสียงตำหนิพูดต่อ “เขาโตป่านนี้แล้ว รู้ว่าตัวเองป่วยยังจะดื่มเหล้าจนเป็นอย่างนี้อีก อีกอย่างเขามีชีวิตรอดได้ถึงตอนนี้ แสดงว่าเขามีความสามารถในการอยู่รอด ไม่ต้องให้คนอื่นช่วย”
“โอเค แม่ ฉันรู้แล้ว” ไป๋มู่ชิงพูดอย่างใจร้อนนิดหน่อย “เรากลับก่อนนะ”
จูฮุ่ยพาเสี่ยวหยี่กลับไปก่อน ไป๋มู่ชิงขณะที่ปิดประตูก็คิดแล้วไม่วางใจ จึงกลับเข้าไปปรับอุณหภูมิ รินน้ำหนึ่งแก้วจากตู้กดมาวางโต๊ะหัวเตียงเขา แล้วมอบขนมปังชิ้นที่เสี่ยวหยี่ซื้อมาหนึ่งถุงแล้วหันตัวเดินออกมา
หลับจนถึงเที่ยงคืน หนานกงเฉินก็หิวจนตื่น เขาลุกขึ้นจากเตียงอย่างไม่สบอารมณ์ โคมไฟติดผนังสลัวๆ ทำให้เห็นแก้วน้ำบนโต๊ะหัวเตียง เขาไม่สนว่ามันจะสะอาดหรือไม่ หยิบขึ้นมาดื่มจนหมด
ถึงแม้ว่าตอนเย็นเขาจะทานอาหารเย็นก่อนออกไปข้างนอกแล้ว แต่อ้วกมันออกมาหมด ตอนนี้เลยทั้งหิวทั้งกระหายน้ำ
เมื่อคืนไม่ระวังเมาในงานเลี้ยงค็อกเทล โชคดีที่งานเลี้ยงอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ เขาเลือกที่จะเดินกลับจากโรงแรมเพื่อพักผ่อน ไม่คิดว่าความแรงของเหล้าต่างประเทศเหล่านั้น แค่เดินลงไปข้างล่างอพาร์ทเมนท์ก็ไม่ไหวแล้ว
แม้ความทรงจำก่อนนอนจะไม่ชัดเจน แต่เขาจำได้ว่าไป๋มู่ชิงกับเด็กผู้ชายที่เรียกเธอว่าพี่สาวเป็นคนพยุงเขากลับมา ไม่คิดว่าผู้หญิงที่ตัวเองไม่ชอบมาตลอดจะพยุงตัวเองกลับมา
เขาส่ายหัว ลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องน้ำ
หลังจากอาบน้ำร้อน เปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดแล้ว ฤทธิ์เหล้าของเขาก็หายไปแล้ว จึงเดินไปที่โซฟาในห้องรับแขกเปิดโทรทัศน์ เริ่มสแกนมันด้วยรีโมต
ช่วงนี้ไม่ค่อยมีรายการโทรทัศน์อะไรน่าดู แต่เขานอนไปแล้วไม่อยากนอนอีก ในที่สุดก็พบภาพยนตร์ศิลปะการต่อสู้ฮ่องกง ไม่มีทางเลือกต้องดูมัน
ความรู้สึกหิวปรากฏขึ้นอีกครั้ง หนานกงเฉินกุมท้อง ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ได้พักที่นี่มาหนึ่งเดือนแล้วอาจจะไม่มีอาหาร แต่เขาก็ยังเดินไปที่ตู้เย็นแล้วเปิดประตูบานเลื่อนคู่
ด้านในนอกจากขวดเครื่องดื่มและเบียร์ไม่กี่กระป๋องก็ไม่มีอะไรแล้ว ขณะที่ปิดประตูตู้เย็นจู่ๆ เขาก็นึกได้ว่าบนโต๊ะหัวเตียงมีขนมปัง จึงเดินเข้าไปในห้องแทน
โต๊ะหัวเตียงมีถุงขนมปังหนึ่งชิ้นวางอยู่จริงๆ วันที่คือเมื่อวาน ดูเหมือนก่อนหน้านี้คุณหนูไป๋คนนั้นจะทิ้งไว้ให้เขาเป็นพิเศษ แต่……เธอห่วงใยมากเกินไป นึกถึงท่าทางเธอตอนอยู่ในลิฟต์ ในใจคิดว่าผู้หญิงคนนี้ไม่รู้ว่ากำลังวางแผนอะไรอยู่
แต่ตอนนี้คือตอนที่หิวอย่างมาก หนานกงเฉินไม่สนว่าเธอมีเล่ห์เหลี่ยมอะไร หยิบขนมปังขึ้นมาแล้วเดินไปที่ห้องรับแขก
หนานกงเฉินพิงโซฟาอย่างขี้เกียจ ทานขนมปังในมือไปด้วย ดูโทรทัศน์ไปด้วย และขณะที่ท้องอิ่มแล้ว กำลังเตรียมปิดภาพยนตร์ที่น่าเบื่อแล้วหลับไป ประตูใหญ่ก็มีเสียงปลดล็อกรหัสผ่านดัง ‘ตึ๊ดๆ ’ จากนั้นประตูก็ผลักจากด้านนอก ไป๋มู่ชิงในชุดนอนก็ปรากฏตัวต่อหน้าเขา
เมื่อสบตากัน ทั้งคู่ก็อึ้งไป
หนานกงเฉินไม่คิดว่ามาถึงจุดนี้แล้ว ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนี้จะกล้าเปิดประตูบ้านเขา แล้วบุกรุกเข้ามาในบ้านของเขาจริงๆ
ไป๋มู่ชิงไม่คาดคิดมาก่อนว่าตัวเองเปิดประตูไปแล้วจะเห็นฉากนี้ทันที จุดนี้แล้ว ไม่คิดว่าหนานกงเฉินจะทำหน้าขี้เกียจนั่งทานขนมปังพลางดูโทรทัศน์อยู่ที่โซฟา
หลังจากเธอกลับไปที่บ้านตัวเอง เธอให้ความสนใจเป็นพิเศษกับการเคลื่อนไหวทางนี้ เพราะหนานกงเฉินเมาเหล้า เธอเป็นห่วงกลัวว่าเขาจะไม่มีใครดูแลแล้วอาการกำเริบตอนกลางคืน หรือมีอุบัติเหตุอื่นๆ เกิดขึ้น
เมื่อลืมตาตื่นมาตีหนึ่งกว่า ก็ได้ยินเสียงโต๊ะล้มจากทางนี้จริงๆ พร้อมเสียงร้องเจ็บปวดของชายคนนั้น เธอคิดทันทีว่าหนานกงเฉินอาการกำเริบ จึงรีบลงจากเตียงแล้วมาที่นี่
เธอมองเขา แล้วมองฉากในภาพยนตร์ที่ดุเดือดอีกครั้ง อยากกัดลิ้นตายด้วยความเสียใจ ปรากฏว่าเสียงเคลื่อนไหวรางๆ นั้นมาจากโทรทัศน์
ทำอย่างไรดี? ออกไปแบบนี้เหรอ? เขาต้องสงสัยแน่ แต่ถ้าไม่กลับไป เธอควรใช้เหตุผลอะไรอธิบายพฤติกรรมกลางดึกของตัวเองให้เขาฟัง? แล้วควรใช้วิธีอะไรเข้ากันกับเขา?
“ทำไมคุณยังดูทีวีอยู่? ” เธอยิ้มแห้งถามออกไป ในขณะเดียวกันก็แอบดึงแขนชุดนอนลงเพื่อปกปิดรอยฟันบนข้อมือ
“ไม่งั้นฉันควรทำอะไร? ” หนานกงเฉินมองสำรวจเธอหนึ่งรอบ จากนั้นก็เหลือบมองขนมปังที่ตัวเองทานไปแล้วครึ่งหนึ่ง จ้องมองเธอด้วยสายตาเย็นชาขึ้น “ขนมปังอันนี้โดนวางยาเหรอ? หรือน้ำในแก้วเมื่อกี้นี้มียา? เธอเลยมาดูว่ายามีผลตรงเวลาหรือเปล่า? ”
ไป๋มู่ชิงพูดไม่ออก ทำไมเธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าหนานกงเฉินมีพรสวรรค์ในการเขียนบทละคร?
หลังจากแสดงปฏิกิริยาตอบสนองก็เข้าสู่บทบาทอย่างรวดเร็ว มุมปากยกยิ้มน่าหลงใหลนิดหน่อย บิดเอวเดินไปหาเขาอย่างลีลา พร้อมเอ่ยอย่างซุกซน “คุณชายเฉินคุณพูดเล่นเก่งจริงๆ ด้วยเสน่ห์ของคุณผู้หญิงไป๋คนที่สองอย่างฉันต้องใช้ยาเพื่อทำให้ผู้ชายหลงใหลเหรอคะ? ฉันคิดว่าตัวฉันเองเป็นยาพิษที่ดีที่สุดแล้ว คุณชายเฉินคิดว่าไง? ”
เธอหมุนตัวไปข้างหน้าเขาอย่างมีเสน่ห์ นั่งข้างเขา ในขณะเดียวกันก็ดึงคอเสื้อลงมาหน่อยโดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ
หลังจากคลอดลูกแล้ว หน้าอกเธอยกสูงขึ้นเป็นเท่าตัว ความงดงามอวบอิ่มที่เห็นรางๆ นั้นทำให้น่าล่อใจอย่างไม่อาจต้านทานได้
การไปบ้านใครบางคนกลางดึก ก็คงมีจุดประสงค์นี้ล่ะมั้ง ไป๋มู่ชิงคิดในใจ แต่……เดี๋ยวจะถอนตัวยังไงนี่สิปัญหา
เมื่อครู่นี้มีผู้หญิงกลุ่มหนึ่งแทบจะเปิดเผยเนื้อหนังของตัวเอง เฝ้ามองหนานกงเฉินมาทั้งคืน ไม่ถูกดึงดูดด้วยความเซ็กซี่ของไป๋มู่ชิงสักนิด
แต่เขาก็ยังเอนตัวเข้ามากดเธอไว้ด้านหลังของโซฟา หายใจรดใบหน้าเธอ “หิวมากเหรอ? ”
ไป๋มู่ชิงตื่นตระหนกในใจสักพัก ในใจคิดว่าเขาคงไม่มาจริงๆ ใช่ไหม? อ้อยเข้าปากช้างจริงๆ เหรอ?
เธอวางมือลงบนหน้าอกเขาเบาๆ ใบหน้ายังคงยิ้มอ่อนอยู่ “ต้องโทษคุณชายเฉินที่มีเสน่ห์มากเกินไป ทำให้ดึกดื่นนอนไม่หลับ อดไม่ได้ที่จะไปบ้านคุณชายเฉิน น่าอายจัง……”
“รู้ว่าน่าอายยังไม่กลับไปอีก? ” สีหน้าหนานกงเฉินค่อยๆ กลายเป็นมืดมน น้ำเสียงพ่นหนึ่งคำออกมาใส่เธออย่างเย็นชา “ออกไป!”
“คุณชายเฉิน……” ไป๋มู่ชิงสองแขนโอบรอบเอวเขาอย่างน้อยใจ เอ่ยปากบ่นพึมพำ “ฉันชอบคุณมากจริงๆ นะ……”
“ฉันบอกให้เธอออกไป!” หนานกงเฉินโกรธมาก ในขณะเดียวกันก็ยกตัวเธอออกจากร่างตัวเอง
ไป๋มู่ชิงร้องเสียงต่ำ หลังจากลุกขึ้นจากพื้นด้วยความอับอาย ก็เดินไปที่ประตูทางเข้าโดยไม่เต็มใจ
มือเธอจับลูกบิดประตูอย่างโล่งอก ในที่สุดก็ถอนตัวออกมาได้ โชคดีจัง!
“เดี๋ยวก่อน” จู่ๆ ด้านหลังก็มีเสียงเย็นชาของหนานกงเฉินดังขึ้น
หัวใจเพิ่งปล่อยวางได้ เธอปรับรอยยิ้มบนใบหน้าแล้วหันตัวกลับมา แล้วพูดอย่างซุกซน “รู้อยู่แล้วว่าคุณชายเฉินจะเปลี่ยนใจ” ขณะที่พูดก็เดินไปข้างหน้าเขาอีกครั้ง
แต่ฝีเท้าเพิ่งก้าวออกไปหนึ่งก้าว หนานกงเฉินก็ตะโกนเสียงดัง น้ำเสียงไม่มีความอบอุ่นเลย “เธอรู้รหัสผ่านบ้านฉันได้ไง? ”
ไป๋มู่ชิงตื่นตระหนก เขาตระหนักถึงเรื่องนี้จริงๆ โชคดีที่เธอเตรียมการมาแล้ว พูดด้วยสีหน้าใจเย็น “เมื่อกี้มาส่งคุณชายเฉินกลับบ้าน ตอนคุณชายเฉินกดรหัสผ่านฉันแอบจำ”
เมื่อครู่นี้เขากดรหัสผ่านเหรอ? ทำไมเขาจำไม่ได้เลยสักนิด?
เขาจำได้ว่าตัวเองเมาจนเดินไม่ได้ กดรหัสผ่านได้จริงๆ เหรอ? แต่ไม่คิดว่าเขาจะกดมัน ตอนนี้เขาคิดไม่ออกจริงๆ
“คุณชายเฉิน……”
“เอาล่ะ เธอออกไปได้แล้ว” หนานกงเฉินขัดจังหวะเธอด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ไป๋มู่ชิงหันกลับมาอีกครั้ง เปิดประตูแล้วเดินออกไป จากนั้นก็รีบเดินไปที่บ้านตัวเอง จนกระทั่งเข้ามาในบ้านตัวเองแล้ว ถึงได้พิงหลังประตูและถอนหายใจยาวๆ
เสี่ยงมาก เกือบถูกจับได้แล้ว!
เธอยกมือขวาตัวเองขึ้นมา แหวนที่นิ้วนางถูกสวมด้วยแหวนที่ประดับด้วยหินแกรนิต โชคดีที่เมื่อครู่นี้ตอนหลับไปเธอไม่ได้ถอดแหวน
หนานกงเฉินอยู่ที่นี่สองคืนติดกัน ทำไมกันนะ? หรือความสัมพันธ์ของเขากับไป๋ยิ่งอันแย่มากเหรอ? แย่จนไม่กลับบ้านสองคืนติด?
เธอส่ายหัว ช่างเถอะ เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวกับเธออยู่แล้ว เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเขามากกว่า
พรุ่งนี้ค่อยดูอีกทีแล้วกัน ถ้าหนานกงเฉินยังอยู่ที่นี่ต่อ ถ้าอย่างนั้นเธอต้องหาที่อยู่ย้ายไปจริงๆ แล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้น ไป๋มู่ชิงตื่นมาต้มโจ๊กซี่โครงแต่เช้า
เสี่ยวหยี่ฟุบข้างโต๊ะอาหารมองเธอตักโจ๊กใส่ชามใหญ่ พูดขึ้นอย่างไม่ค่อยพอใจ “พี่ เมื่อคืนพี่บอกว่าวันนี้เช้าจะทำแซนด์วิชให้ผมกินไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องกินโจ๊กอีกแล้ว? ”
ไป๋มู่ชิงมองเขา ก่อนพูดขึ้น “นายกินแซนด์วิชได้ ฉันกับแม่จะกินโจ๊ก”
“จริงเหรอ? พี่จะไม่บังคับให้ผมกินโจ๊กใช่ไหม? ” เสี่ยวหยี่มองเธอด้วยใบหน้าสงสัย เขาเกลียดกินโจ๊กที่สุดเลย
“จริงแท้แน่นอน พี่ซื้อขนมปังกับแฮมมาด้วย เดี๋ยวพี่ทำให้ เดี๋ยวนายกลับมาก็ได้กินแล้ว”
“ผมจะกลับมาจากไหนอ่ะ? ”
“เอ่อ……” ไป๋มู่ชิงหยิบโจ๊กซี่โครงชามโตไว้ตรงหน้าเขา ยิ้มแล้วพูดขึ้น “นายเอาโจ๊กชามนี้ไปให้คุณอาที่อยู่ข้างๆ กินหน่อย อย่าบอกว่าพี่เป็นคนทำนะ และอย่าให้แม่รู้ด้วย อืม……นายแค่บอกว่านายแอบเอามาให้เขา”
“ทำไมห้ามให้แม่รู้ แล้วทำไมห้ามให้อารู้ว่าพี่สั่งให้ฉันเอามาให้อ่ะ? ” เสี่ยวหยี่ไม่เข้าใจ
“เพราะ……” ไป๋มู่ชิงคิด “เพราะอาไม่ชอบพี่ ถ้ารู้ว่าพี่ให้นายเอาไปให้ เขาต้องไม่กินแน่ๆ ”
เสี่ยวหยี่ร้อง ‘อ่อ’ จากนั้นก็ถามอีกครั้ง “อาคนนั้นทำเองไม่เป็นเหรอ? ทำไมต้องให้เราเอาไปให้กินด้วย? ”
“ใช่ เขากับเสี่ยวหยี่ทึ่มเหมือนกันเลย ทำอาหารเช้าไม่เป็น”
เสี่ยวหยี่คิดแล้วพยักหน้า “งั้นก็ได้”
เสี่ยวหยี่ยกชามจะเดินไปข้างๆ ไป๋มู่ชิงรีบพูดขึ้น “จริงสิ ถ้าเขาถามเกี่ยวกับพี่และครอบครัวเรา นายห้ามบอกเขาเด็ดขาดเลยนะรู้ไหม? เอาโจ๊กไปให้เขาแล้วกลับมากินแซนด์วิชนายได้ แล้วถามเขาว่าเมื่อวานขนมปังอร่อยไหม บอกว่าเมื่อคืนนายทิ้งไว้ให้เขา”
เสี่ยวหยี่ยืนอยู่ข้างประตูสักพัก สุดท้ายก็ทำให้งานเป็นไปอย่างราบรื่น พยักหน้าแล้วพูดกับไป๋มู่ชิง “พี่ ผมรู้แล้ว พี่ช่วยเปิดประตูให้ผมหน่อย”
“เป็นเด็กดีจริงๆ ” ไป๋มู่ชิงยกมือขึ้นแตะศีรษะของเธอ เปิดประตูให้เขาออกไป
เสี่ยวหยี่ยืนถือโจ๊กซี่โครงหน้าประตูบ้านหนานกงเฉิน ปล่อยมือข้างหนึ่งมาเคาะประตู ไม่นานก็มีคนออกมาเปิด ก็คือหนานกงเฉินที่เพิ่งล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ
เขามองเสี่ยวหยี่ที่ยืนหน้าประตู แล้วมองโจ๊กซี่โครงในมือเขา ถามด้วยความประหลาดใจ “เจ้าหนู มาหาผิดคนหรือเปล่า? ”
เขาไม่คุ้นเสี่ยวหยี่ แค่เช้าวันก่อนมองในลิฟต์ไม่กี่ที เมื่อคืนเพราะเมาเหล้าเลยไม่ได้สังเกตเห็นเขาเลย
เสี่ยวหยี่ยิ้มแล้วพูดขึ้น “คุณอา ผมแอบเอาอาหารเช้ามาให้คุณ พี่สาวผมต้มอาหารเช้า อร่อยมากเลยนะ” เขาพูดจบก็เบียดตัวเข้ามาจากหนานกงเฉิน เดินเข้ามาข้างในห้องรับแขก
หนานกงเฉินเดินตามหลังเขาเข้าไปในห้อง ถามขึ้นเรียบๆ “ใครคือพี่สาวนาย? ”
“คนที่มาคุณกลับมาเมื่อคืนอ่ะ”
หนานกงเฉินร้อง ‘อ๋อ’ แล้วถามขึ้น “เธอให้นายเอามาให้เหรอ? ”
“เปล่า เพราะพี่บอกว่าผู้ชายมันโง่ ทำอาหารเช้าเองไม่เป็น ผมไม่อยากให้อาหิว เลยแอบเอามาให้” เสี่ยวหยี่วางชามบนโต๊ะชาแล้วยิ้มพูดขึ้น
หนานกงเฉินเดินมานั่งข้างๆ เขา มองโจ๊กในชาม เสี่ยวหยี่พูดเร่งเร้า “อารีบกินเถอะ เย็นแล้วมันจะไม่อร่อยนะ”
นึกถึงคุณหนูไป๋เมื่อคืนหนานกงเฉินก็รู้สึกขยะแขยง ไม่อยากทานโจ๊กที่เธอทำจริงๆ แต่เห็นใบหน้าเล็กของเสี่ยวหยี่เต็มไปด้วยความคาดหวัง เขาก็ทนน้ำใจคนอื่นไม่ได้ จึงนั่งลงหยิบช้อนขึ้นมาตักทาน
เสี่ยวหยี่เห็นเขาทานแล้ว ก็ถามขึ้นด้วยรอยยิ้มมีความสุขบนใบหน้า “คุณอา พี่ผมต้มโจ๊กอร่อยไหม? ”
หนานกงเฉินรู้สึกได้ถึงรสชาติคุ้นเคย ไม่ มันคือรสชาติของซานเย่า
เขาจำได้ว่าครั้งล่าสุดที่เขาเมาในเมืองหยาน โจ๊กที่ไป๋มู่ชิงต้มให้เขาก็มีซานเย่าด้วย เธอบอกว่าซานเย่าบำรุงกระเพาะ เหมาะสำหรับคนอย่างเขาที่เมาแล้วอาเจียน
เพราะเป็นลูกสาวของตระกูลไป๋ ก็เลยต้มโจ๊กที่มีรสชาติเหมือนกันเหรอ?
“พี่สาวนายทำอาหารเป็นด้วยเหรอ? ” จู่ๆ เขาก็ถาม ไม่เหมือนนิสัยของเขาเลย
“แน่นอนครับ” เสี่ยวหยี่พยักหน้า “พี่ผมทำแซนด์วิชเป็นด้วย อาอยากกินแซนด์วิชไหม? ผมกลับไปหยิบมาให้”
“ไม่ต้อง” หนานกงส่ายหน้า แล้วทานโจ๊กในชามต่อ
อย่างไรแล้วเสี่ยวหยี่ก็เป็นเด็ก เข้ามาในสภาพแวดล้อมใหม่ก็เริ่มกระสับกระส่าย มองนั่นจับนี่ ลืมไปเลยว่าไป๋มู่ชิงสั่งว่าให้เขาเอาโจ๊กมาเสิร์ฟแล้วให้กลับไป
“นายชื่ออะไร? ” จู่ๆ หนานกงเฉินก็ถาม
“ผมชื่อเสี่ยวหยี่ หยี่ที่มาจากคำว่าความสำคัญ ต่อไปอาเรียกผมว่าเสี่ยวหยี่ก็ได้”
เสี่ยวหยี่ ชื่อคุ้นมาก เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
“ไป๋มู่ชิงเป็นพี่สาวแท้ๆ ของนายเหรอ? ”
“ครับ” เสี่ยวหยี่หันหน้ากลับไปถาม “คุณอา อาอย่าถามเกี่ยวกับครอบครัวผมอีกแล้วได้ไหม? พี่บอกว่าห้ามคุยเรื่องคนในครอบครัวกับคนอื่น”
“ทำไม? ”
“เพราะกลัวตกเป็นเป้าผู้ไม่หวังดี” เสี่ยวหยี่นั่งตรงข้ามเขา จ้องมองเขาแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเด็กที่โตเป็นผู้ใหญ่ “คุณอา ต่อไปอาห้ามกินเหล้าเยอะขนาดนั้นแล้วนะ เหล้ามันทำร้ายสุขภาพมากและน่ากลัวมากด้วย”
“น่ากลัวเหรอ? ”
“ใช่ เมื่อก่อนพ่อผมเมาแล้วชอบตีแม่ผมทุกครั้งเลย เกลียดมาก” เสี่ยวหยี่ถามขึ้นด้วยใบหน้าจริงจัง “คุณอา คุณเมาแล้วตีคนอื่นไหม? ”
หนานกงเฉินส่ายหน้า เขาเมาแล้วไม่ตีใคร แต่เขามีแนวโน้มที่จะฆ่าคนเมื่อเขาเกิดอาการป่วย
เสี่ยวหยี่ย่อตัวลงไปทันที เจอกล้องดูดาวอยู่ใต้โต๊ะ มองไปรอบๆ แล้วถามขึ้น “คุณอา กล้องดูดาวของคุณดีกว่าที่พี่ผมซื้อมาเยอะเลย”
“ถ้าชอบฉันให้นาย”
“จริงเหรอ? ” เสี่ยวหยี่ดีใจ จากนั้นก็ทรุดตัวลง “แต่พี่บอกว่าห้ามอยากได้ของของคนอื่น”
หนานกงเฉินเงยหน้าขึ้นมองเขา จากนั้นก็แค่นหัวเราะ “พี่สาวนายมักจะแย่งของของคนอื่นอยู่เสมอ ยังมีหน้ามาสอนนายอีก”
“ใช่เหรอ? พี่สาวผมแย่งของของใคร? ” เสี่ยวหยี่ถามด้วยใบหน้าจริงจัง
“ไม่มีอะไร ฉันก็พูดไปงั้น” หนานกงเฉินพูด เขายังไม่เบื่อถึงขนาดที่คุยเรื่องผู้ใหญ่กับเด็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังทานโจ๊กของเธออยู่
“นายเอาไปเถอะ ยังไงฉันวางมันไว้ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์” หนานกงเฉินเห็นเขาชอบมันมา จึงพูดขึ้น
“งั้น……ผมเอาไปจริงๆ นะ”
“อืม” หนานกงเฉินทานโจ๊กในชามคำสุดท้าย จากนั้นก็มองเวลาบนนาฬิกาข้อมือ มองเสี่ยวหยี่แล้วพูดขึ้น “เจ้าหนู ฉันจะออกไปข้างนอกแล้ว”
“โอ้ งั้นผมกลับแล้ว” เสี่ยวหยี่หนีบกล้องดูดาวไว้ใต้แขน หยิบชามเปล่าบนโต๊ะแล้วเดินไปที่ประตู
หนานกงเฉินเห็นเขาถือชามเปล่าเดินไป จู่ๆ ก็รู้สึกอายนิดหน่อย เดินไปเปิดประตูให้เขาแล้วพูดอย่างซาบซึ้ง “ขอบคุณสำหรับอาหารเช้านะ เจ้าหนู”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ ผมชอบคุณอา” จู่ๆ เสี่ยวหยี่ก็นึกถึงคำสั่งของไป๋มู่ชิง จึงถามขึ้นอีกครั้ง “จริงสิ คุณอา ขนมปังเมื่อคืนอร่อยไหม? ผมทิ้งไว้คุณแหละ”
หนานกงเฉินแปลกใจนิดหน่อย ที่แท้เขาก็ทิ้งไว้ให้
“อร่อย ขอบใจนะ” เขายิ้มเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น
“คุณอา คุณช่วยเปิดประตูให้ผมหน่อยได้ไหม? ” ขณะที่เสี่ยวหยี่เดินไปที่ข้างประตูบ้านตัวเอง ก็หันมาถามหนานกงเฉิน
“ได้ รหัสอะไร? ” หนานกงเฉินเดินมา
“พี่บอกว่ารหัสคือวันเกิดผม……”
ตั้งแต่เสี่ยวหยี่ถือโจ๊กออกมา ไป๋มู่ชิงก็รอเขากลับมาอย่างใจจดใจจ่ออยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่บอกแล้วว่าถือโจ๊กไปแล้วให้กลับมา สุดท้ายเจ้าเด็กก็ออกไปสิบนาทีแล้ว ไม่เห็นเงาเขาเลยจริงๆ
อย่างไรแล้วเด็กน้อยก็ขี้เล่น เธอเป็นห่วงจริงๆ ว่าเสี่ยวหยี่จะเล่นอยู่ที่นั่นไม่รู้จักกลับ เธอวางแซนด์วิชครึ่งหนึ่งในมือลง เตรียมไปที่ประตูเพื่อดูการเคลื่อนไหว กำลังเดินไปที่ประตูก็ได้ยินเสียงกดรหัสผ่านดังมาจากด้านนอก
เธอรีบซ่อนตัวที่หลังประตู กลั้นหายใจไว้
เปิดประตูแล้ว เสียงเสี่ยวหยี่ก็ดังขึ้น “ขอบคุณครับคุณอา คราวหน้าผมจะเอาอาหารเช้ามาให้อีก”
“ขอบใจ เข้าไปเถอะ”
“ไว้เจอกันครับคุณอา” เสี่ยวหยี่ปิดประตู เมื่อหันไปก็ตกใจไป๋มู่ชิงที่อยู่หลังประตู “พี่……!”
“ชู่!” ไป๋มู่ชิงปิดปากเขา ลากเขาเข้าไปในบ้านแล้วถามขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “บอกให้เอาโจ๊กไปให้แล้วกลับมาไม่ใช่เหรอ? ทำไมไปตั้งนานแล้วไม่กลับมา? ”

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset