เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 125 เกือบโป๊ะแตก

หนานกงเฉินโล่งใจเล็กน้อย พยักหน้า “งั้นผมไปก่อนนะ คุณย่าเองก็ดูแลตัวเองให้ดีด้วย”
หลังจากยืนขึ้นจากโซฟา หนานกงเฉินก้าวเท้าเดินขึ้นไปข้างบน เมื่อมาถึงห้องนอนไป๋ยิ่งอัน เขาก็ลังเลอยู่พักหนึ่งสุดท้ายก็ไม่ได้เข้าไป และกลับห้องนอนตัวเองไป
ภายในห้อง หัวใจที่ห้อยอยู่สูงหล่นลงสู่พื้นเพราะประตูปิด
เพิ่งได้ยินเสียงรถของหนานกงเฉิน เธอลุกจากเตียงแล้ววิ่งไปหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดานยกม่านขึ้นแล้วมองออกไปด้านนอก เธอเห็นเขาเข้ามาในบ้านด้วยตาของตัวเอง จึงวิ่งกลับไปนอนบนเตียงดีๆ
เธอคิดว่าหนานกงเฉินจะเดินเข้ามาคุยเรื่องลูกกับเธอ หรือไม่ก็เข้ามาดูเธอ แต่เขาไม่ได้ทำ เขาเข้าไปในห้องนอนตัวเองทันที
เขาวางแผนจะไม่ให้อภัยเธอจริงๆ ใช่ไหม? เธอทำให้เรื่องมันวุ่นวายใช่ไหม?
ยืนอยู่หลังประตูลังเลอยู่นาน เธอเปิดประตูเดินไปที่ประตูทางเข้าห้องนอนหนานกงเฉิน ยกมือขึ้นเคาะหลังประตูแล้วผลักออกเดินเข้าไป
หนานกงเฉินกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า เห็นเธอเข้ามาก็มองสำรวจเธอที่ยังคงดูซีดเซียว ในใจเกิดความสงสารอยู่รางๆ มองเธอแล้วถามขึ้น “ทำไมไม่พักผ่อนสักหน่อย? ”
“ฉันนอนไม่หลับ” ไป๋ยิ่งอันจ้องเขาแล้วถามขึ้นทั้งนั้นตา “เรื่องลูกทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม? ”
“เรียบร้อยดี ไม่ต้องเป็นห่วง” หนานกงเฉินติดกระดุมเม็ดสุดท้ายแล้วเดินเข้าไปตรงหน้าเธอ ยกมือลูบผมเธอสักหน่อย “เรื่องลูกให้มันจบลงตรงนี้ เธออย่าเสียใจเกินไปนัก ดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีด้วย”
ได้ยินคำพูดเขา ไป๋ยิ่งอันก็สะเทือนใจจนน้ำตาไหล
เขายังเป็นห่วงเธอ ถ้าอย่างนั้นหมายความว่าเขายกโทษให้เธอแล้วใช่ไหม?
“ฉันจะทำมัน คุณก็อย่าเสียใจแล้วนะโอเคไหม? ” ไป๋ยิ่งอันโน้มตัวเข้ามากอดเขา “เรายังหนุ่มยังสาว ต่อไปก็ยังมีโอกาสมีลูกได้ คราวหน้า ฉันจะต้องคลอดเด็กน้อยที่มีสุขภาพแข็งแรงอย่างแน่นอน”
“อืม ต้องเป็นอย่างนั้น” หนานกงเฉินยกมือขึ้นมาตบบ่าเธอ พูดเสียงอ่อนโยนข้างหูเธอ “เอาล่ะ เธอรีบไปพักผ่อนเถอะ ฉันอยากนอนสักหน่อย”
“โอเค” ไป๋ยิ่งอันปล่อยเขา พูดขึ้นด้วยเสียงอ่อนโยนเหมือนกัน “งั้นคุณก็ไปพักผ่อนให้เต็มที่ ฉันไม่รบกวนคุณแล้ว”
หลังจากกลับถึงห้องตัวเอง ไป๋ยิ่งอันก็แอบโล่งอก หัวใจที่ร้อนรนในช่วงเช้าในที่สุดก็สงบลง
สองวันนี้ร้องไห้มากเกินไป ร้องไห้จนเธอมึนงงไปหมด กว่าเรื่องราวจะมาถึงจุดสิ้นสุด สุดท้ายเธอก็ได้นอนฝันดี
ไป๋ยิ่งอันที่นอนบนเตียงแทบจะหลับในทันที หลับอย่างสงบ แม้แต่หนานกงเฉินขับรถออกจากบ้านไปก็ไม่รู้สึกตัวเลย
หนานกงเฉินเดิมทีจะนอนหลับให้เต็มที่ แต่แค่นอนบนเตียงพอหลับตาก็มีแต่เรื่องราวสองวันนี้ และฉากที่ไป๋ยิ่งอันทำให้ลูกหมดลมหายใจ
ก่อนเรื่องนี้จะเกิดขึ้น เขารู้สึกได้ว่าไป๋ยิ่งอันเปลี่ยนไปหลังจากคลอดลูก แต่เปลี่ยนแปลงเป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ จนกระทั่งพบว่าเธอทำให้ลูกชายแท้ๆ ของตัวเองหมดลมหายใจ เขาก็ตกใจอย่างสิ้นเชิง การเปลี่ยนแปลงของคนหนึ่งคน มันรวดเร็วและมากมายขนาดนี้เชียวหรือ?
ถึงจะเห็นแก่ลูก ผู้หญิงที่ใจดีและรักเด็กมากอย่างเธอก็ไม่น่าจะทำได้ลง ไป๋ยิ่งอันตรงหน้านี้ทำให้เขารู้สึกเป็นคนแปลกหน้า
จริงๆ แล้วเขาก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังไปไหน แค่ความรู้สึกที่อยู่ในบ้านมันหดหู่เกินไป การจากไปของลูก การเปลี่ยนไปของยิ่งอัน ความหดหู่เหล่านี้ทำให้เขารู้สึกแย่ โชคดีที่ออกมาแล้ว
ก่อนเลิกงานในตอนบ่าย นางพยาบาลคนหนึ่งส่งรายงานตรวจดีเอ็นเอฉบับหนึ่งให้ในมือผู่เหลียนเหยาแล้วพูดขึ้น “คุณหมอผู่ นี่คือรายงานผลดีเอ็นเอของเพื่อนคุณคนนั้น”
ผู่เหลียนเหยาที่อารมณ์ไม่ดีมาทั้งวันกวาดตามองรายงาน คำรามขึ้นมาอย่างหงุดหงิดทันที “ตอนนี้เอามาให้ฉันมันจะไปมีประโยชน์อะไร? ”
เด็กกลายเป็นขี้เถ้าไปแล้ว เธอจะใช้รายงานนี้ไปทำอะไร? แม้ว่าจะพบปัญหาแล้วจะทำอะไรได้? ใครจะเชื่อเธอ? คุณผู้หญิงและคุณชายใหญ่ไม่เพียงแต่ไม่เชื่อเท่านั้น แต่อาจจะคิดว่าเธอเป็นพวกขี้ฟ้อง ดูหมิ่นทายาทตระกูลหนานกง!
พยาบาลตัวน้อยสะดุ้งเพราะถูกเธอตะโกนใส่ ถึงแม้ในใจก็หงุดหงิดมาก ทั้งๆ ที่นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของผู่เหลียนเหยา แต่เนื่องจากเธอเป็นคู่หมั้นของเซิ่งเคอจึงจำเป็นต้องอธิบายอย่างระมัดระวัง “คุณหมอผู่ คุณเพิ่งส่งตัวอย่างไปเมื่อวาน ผลรายงานออกมาบ่ายวันนี้ มันก็เร็วมากแล้วนะคะ”
คนปกติต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามวันนะโอเคไหม? ถ้าไม่ใช่ฐานะที่เธอคือผู่เหลียนเหยา ใครจะช่วยเธอได้เร็วขนาดนี้?
ผู่เหลียนเหยารู้สึกว่าตัวเองลืมตัวเสียกิริยา ก็รีบพูดกับเธอ “ขอโทษค่ะ วันนี้ฉันอารมณ์ไม่ดี ไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณโกรธ”
เธอหายใจเข้าลึกๆ หยิบรายงานผลดีเอ็นเอบนโต๊ะขึ้นมาแล้วเปิดไปที่หน้าสุดท้าย
ถึงจะสงสัยความสัมพันธ์ระหว่างไป๋ยิ่งอันและเด็กคนนี้มาตั้งนานแล้ว เมื่อเธอเห็นผลตรวจดีเอ็นเอแสดงให้เห็นว่าไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด ในใจก็ยังตกใจนิดหน่อย
เด็กไม่ใช่ลูกของไป๋ยิ่งอัน แล้วทำไมเธอต้องพาเด็กคนนี้กลับไป? ก่อนหน้านี้เด็กคนนั้นอยู่ที่ไหน? หรือตายไปแล้วเลยหาเด็กมาแทนที่? เพื่อต้องการอธิบายกับตระกูลหนานกงเหรอ?
ผู้หญิงผู้กล้าหาญ ไม่คิดว่าจะกล้าลงมือกับสายเลือดตระกูลหนานกงจริงๆ ใช้ชีวิตอย่างใจร้อนจริงๆ
เธอส่ายหน้า ใส่ผลตรวจดีเอ็นเอลงในกระเป๋าแล้วเดินไปที่ทางเข้าประตูห้องทำงาน
หลังจากซูซี่ไปแล้ว ไป๋มู่ชิงก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มคิดเพ้อเจ้อเกี่ยวกับเรื่องนี้ มักรู้สึกว่าเด็กคนนั้นของตระกูลหนานกงที่เสียชีวิตไปเหมือนเป็นลูกของเธอ ไม่ใช่ทารกที่ถูกทอดทิ้งชะตาขาดจากปากซูซี่
อาจจะกลัวว่าลูกของตัวเองเกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าซูซี่จะรับประกันอย่างไรว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่ลูกเธอมันก็ไม่ได้ทำให้เธอวางใจได้อย่างแท้จริง
ตั้งแต่บ่ายก็เห็นเธอนั่งระเบียงไม่ทานไม่ดื่มไม่พูดไม่จา แม้แต่อาหารเย็นก็ไม่ทาน จูฮุ่ยทำได้แค่เดินไปจ้องเธอแล้วพูดขึ้น “มู่ชิง ลูกเป็นอะไร? บอกให้พูดกับแม่ก็ไม่ยอม แม่ช่วยลูกวิเคราะห์ได้นะ”
“แม่ ฉันไม่เป็นอะไร” ไป๋มู่ชิงส่ายหน้าพูดขึ้น
“ไม่เป็นอะไรแล้วทำไมนั่งเหม่อไม่กินไม่ดื่มทั้งวัน? ทะเลาะกับอันหนานใช่หรือเปล่า? ”
“ฉันไม่กินไม่ดื่มที่ไหนล่ะ แล้วฉันไม่ได้ทะเลาะกับอันหนานด้วย”
“ถ้าลูกเหนื่อยก็รีบกลับห้องไปนอน นอนแล้วก็ไม่มีอะไรต้องกังวลใจ” จูฮุ่ยมองสำรวจเธอแล้วพูดขึ้น “หรือให้แม่โทรหาอันหนานให้มาอยู่เป็นเพื่อนลูกไหม ออกไปเดินเป็นเพื่อนลูกสักหน่อย”
“ไม่ ไม่ต้อง” ไป๋มู่ชิงห้ามเธอ “พรุ่งนี้อันหนานต้องไปทำงาน แม่อย่าไปรับกวนเขาเลย”
ตอนนี้เธอไม่อยากเจอหลินอันหนาน สภาพจิตใจแบบนี้มีแต่จะทำให้หลินอันหนานไม่มีความสุข และเธอกับหลินอันหนานก็ไม่มีความรู้สึกในการจับเข่าคุยกันตั้งนานแล้ว
เธอถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ พูดกับจูฮุ่ยว่า “แม่ ฉันอยากนั่งสักพัก แม่ไปนอนก่อนเถอะ”
“งั้นแม่ไม่ยุ่งแล้ว” จูฮุ่ยส่ายหน้าอย่างหมดหนทาง แล้วเดินเข้าห้องไป
จูฮุ่ยกลับมาถึงห้องนอน เห็นเสี่ยวหยี่นอนบนเตียงอ่านการ์ตูน ก็โน้มตัวลงไปตบก้นเขาหนึ่งทีก่อนพูดขึ้น “เสี่ยวหยี่ พี่สาวลูกอารมณ์ไม่ดี ลูกไปแหย่เธอหน่อย”
“พี่ผมบอกว่า ทุกเดือนผู้หญิงจะมีการเปลี่ยนแปลงของจิตใจไม่กี่วัน อย่าให้ผมไปยุ่งกับเธอเลย” เสี่ยวหยี่พูดขึ้นโดยไม่หันหน้าขึ้น เขารู้สึกตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วว่าไป๋มู่ชิงแปลกๆ และแหย่เธอไปก่อนแล้วด้วย แต่ถูกไป๋มู่ชิงระเบิดออกมา
จูฮุ่ยหยิบหนังสือไม่กี่เล่มบนชั้นวางเล็กโยนให้เขา “วันนี้เธอยังไม่ได้สอนลูกอ่านหนังสือร้องเพลงเลย รีบไปให้เธอสอนเร็ว”
“อ่อ” เสี่ยวหยี่หยิบหนังสือบนโต๊ะแล้วเดินไปที่ระเบียง จากนั้นก็นั่งข้างๆ ไป๋มู่ชิง เขย่าแขนเธอแล้วพูดขึ้น “พี่ พี่ยังไม่ได้สอนฉันอ่านหนังสือเลย และยังไม่ได้เล่าเรื่องให้ฉันฟัง”
ไป๋มู่ชิงหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดขึ้น “วันนี้ดึกแล้ว พรุ่งนี้พี่สอนเธอโอเคไหม? ”
“เด็กดี ไปนอนให้เร็วหน่อย”
“แต่ผมนอนไม่หลับถ้าไม่ได้ฟังเรื่องของพี่”
“เธออยากฟังอะไร? ”
“พี่แค่เลือกๆ มันมา” เสี่ยวหยี่ส่งหนังสือนิทานในมือให้เธอ
ไป๋มู่ชิงรับหนังสือนิทานมาพลิกดู สุดท้ายก็หยุดที่หน้าซินเดอเรลล่า แล้วพูดขึ้น “งั้นพี่เล่าเรื่องซินเดอเรลล่าให้เธอฟังดีไหม? ”
“แม่บอกว่า เด็กผู้หญิงชอบฟังซินเดอเรลล่ากับสโนว์ไวท์” เสี่ยวหยี่พูด
“แต่เรื่องอื่นมันห่วยนี่”
เสี่ยวหยี่คิด แล้วพยักหน้า “งั้นก็ได้ เล่าซินเดอเรลล่าก็ได้” อย่างไรแล้วแค่พี่สาวมีความสุขก็พอ
นิทานเรื่องซินเดอเรลล่าไป๋มู่ชิงไม่ต้องใช้หนังสือเล่า เธอยื่นมือไปโอบไหล่เสี่ยวหยี่ให้เขาพิงตัวเธอ เล่าเรื่องไปด้วย มองดวงดาวด้านนอกไปด้วย
เป็นเวลาดึกดื่น โลกด้านนอกยังคงเจริญรุ่งเรือง ราวกับอาณาจักรเล็กๆ อันงดงามในเทพนิยาย
“พี่ ทำไมซินเดอเรลล่าไม่ไปหาตามหาเจ้าชายด้วยตัวเอง? ” เสี่ยวหยี่ถามอย่างสงสัย
“เพราะเธอถูกแม่เลี้ยงขังไว้น่ะสิ”
“แม่เลี้ยงคนนั้นเลวมาก แม่เลี้ยงทุกคนเลวแบบนี้หมดเลยหรือเปล่า? ”
“ไม่ใช่แน่นอน บนโลกยังมีคนดีอีกเยอะ”
“พี่ พี่สาวคนนั้นตัดนิ้วเท้าไม่เจ็บเหรอ? ”
“เจ็บสิ”
“แล้วทำไมเธอยังตัด? ”
“เพราะเธอต้องการใส่รองเท้าแก้ว ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับเจ้าชายแทนซินเดอเรลล่าไง”
“ทำไมเธอเลวแบบนี้!” เสี่ยวหยี่กัดฟันพูด
“แต่คนเลวปกติจะไม่ได้มีจุดจบที่ดี เธอไม่เพียงแต่ไม่ได้สวมรองเท้าแก้วแต่ยังต้องตัดนิ้วเท้าออก ก็ถือว่าเป็นราคาที่ต้องจ่าย ดังนั้นพวกเราห้ามเป็นคนเลวแบบเธอ ต้องเป็นคนดีรู้ไหม? ” ไป๋มู่ชิงลูบกระหม่อมเสี่ยวหยี่
เสี่ยวหยี่พยักหน้า “รู้แล้ว ต่อไปผมจะเติบโตเป็นคนดีอย่างซินเดอเรลล่า”
“เก่งมาก!” ไป๋มู่ชิงชมอย่างพอใจ
อีกด้านหนึ่งของผนัง หนานกงเฉินที่เมานิดหน่อยดื่มเบียร์กระป๋องในมือพร้อมฟังบทสนทนาของสองพี่น้องไปด้วย มุมปากยกขึ้นมาเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว เผยรอยยิ้มเย้ยหยัน
นิทานเรื่องซินเดอเรลล่าและเจ้าชาย ก็แค่เรื่องหลอกเด็กเท่านั้น
เขานึกถึงซินเดอเรลล่าคนนั้นที่หายไปจากชีวิตเขาโดยไม่รู้ตัว ครั้งหนึ่งเขาคิดว่าเธอใจดีและงดงามเหมือนซินเดอเรลล่า ผลสุดท้ายก็แค่ความฝัน
เสียงเสี่ยวหยี่ดังมาจากกำแพงอีกครั้ง “พี่ พี่ร้องเพลงให้ผมฟังหน่อย”
“เธออยากฟังอะไร? ” ไป๋มู่ชิงถาม
“เพลงที่ทำให้คนมีความสุขก็พอแล้ว”
“งั้น……เราร้องเพลง《วันหยุดที่สุขสันต์》ดีไหม? ”
“ดีครับ”
“แต่ตอนนี้ดึกมากแล้ว เราร้องกันเบาหน่อยนะ” ไป๋มู่ชิงพูดจบก็เริ่มปรบมือและร้องเพลงเบาๆ
สองพี่น้องร้องเพลงสลับกัน และวิธีการนี้ของเสี่ยวหยี่ได้ผลมากๆ อารมณ์ไป๋มู่ชิงค่อยๆ ดีขึ้นมาแล้ว
สองพี่น้องร้องเพลงกันอย่างมีความสุข หนานกงเฉินที่ประตูถัดไปฟังแล้วก็……ไม่แน่ใจว่ามีความสุข แต่อย่างน้อยหมอกควันที่ปลายหัวใจก็ค่อยๆ ถูกเสียงเพลงของสองพี่น้องปัดเป่าออกไป
ร้องเพลงได้สักพัก เสี่ยวหยี่หันหน้ามามองไป๋มู่ชิงแล้วพูดขึ้น “พี่ อารมณ์พี่ดีขึ้นหรือยัง? ”
“ดีขึ้นมากแล้ว ขอบใจนะเสี่ยวหยี่” ไป๋มู่ชิงลูบกระหม่อมเสี่ยวหยี่ “ไปเถอะ กลับห้องไปนอน”
“แล้วพี่ล่ะ”
“พี่นั่งอีกสักพักค่อยเข้าไป เด็กดี”
“ต้องเข้ามานอนนะ” เสี่ยวหยี่พูด
เห็นไป๋มู่ชิงพยักหน้า เสี่ยวหยี่ก็หยิบหนังสือของเขากลับไปที่ห้องอย่างไว้วางใจ
ไป๋มู่ชิงนั่งที่ระเบียงอีกสักพัก สุดท้ายก็ยืนขึ้นจากพื้นเตรียมกลับห้องไปนอน จู่ๆ ประตูถัดไปก็มีเสียงขวดเหล้าหล่น
เธออึ้งไปสักพัก ข้างห้องมีคนเหรอ?
เธอนั่งที่นี่มาหนึ่งวันแล้ว ไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายเลย ไม่เห็นไฟด้วย และเท่าที่รู้หนานกงเฉินออกไปจากที่นี่ตั้งแต่เช้าวันนั้นและไม่ได้กลับมาอยู่ที่นี่
จริงๆ แล้วหนานกงเฉินแทบไม่ได้กลับมาที่นี่เลย เมื่อก่อนกลับเดือนละครั้งหรือสองครั้ง
แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เธอชะโงกหน้าและมองไปที่นั่น ถึงแม้ระเบียงไม่มีแสงไฟ แต่มองแวบเดียวเธอก็เห็นหนานกงเฉินที่พยายามพยุงร่างตัวเองเตรียมกลับห้อง และมีขวดเหล้าเต็มพื้น
เธอประหลาดใจนิดหน่อย ไม่คิดว่าจะเป็นหนานกงเฉินจริงๆ ! เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? เริ่มอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไร?
เห็นเขาดื่มเหล้าคนเดียวมากขนาดนั้น คงอึดอัดใจมากถึงได้ดื่มแบบนี้ เหมือนเธอที่อึดอัดหัวใจเพราะเด็กตายจากไปเหรอ?
เห็นเขาอยู่ในสภาพย่ำแย่ ไป๋มู่ชิงก็รู้สึกเห็นใจขึ้นมานิดหน่อย
หนานกงเฉินมองมา แวบเดียวก็เห็นเธอ เขาลดความกังวลเล็กน้อย จ้องมองเธอด้วยความเฉยเมย “คุณหนูไป๋ การแอบดูเป็นงานอดิเรกเธอเหรอ? ”
ไป๋มู่ชิงตื่นตระหนก รีบถอยร่างกลับมา
ระเบียงทั้งสองคนห่างกันประมาณหนึ่งเมตรครึ่ง จะบอกว่าไกลก็ไม่ไกล บอกว่าใกล้ก็ไม่ใกล้ มีผนังครึ่งหนึ่งอยู่ตรงกลาง ส่วนใหญ่จะติดตั้งตาข่ายกันขโมยที่มองไม่เห็น แต่เนื่องจากครอบครัวสองครอบครัวนี้ไม่มีคนอยู่ จึงไม่มีตาข่ายกันขโมยที่เกะกะสายตา
ตอนนี้ไป๋มู่ชิงแค่อยากหนี หันตัว ก้าวเท้าเดินเข้าบ้านไป
หนานกงเฉินเห็นแผ่นหลังเธอก็ไม่ได้พูดอะไร แต่ยกขาขวาเรียวยาวขึ้นแล้วก้าวบนราวครึ่งหนึ่งของรั้วเตี้ย
ไป๋มู่ชิงได้ยินการเคลื่อนไหวก็หันหน้าไป ตกใจกับการเคลื่อนไหวของเขาในทันที ส่งเสียงทุ้มต่ำ “คุณชายเฉินคุณบ้าไปแล้วเหรอ! ลงไปซะ! เด็กตายไปแล้วก็มีใหม่ได้ แต่ถ้าคุณตกลงไปจากที่นี่คุณตายแน่นอน มันไม่คุ้มหรอกคุณชายเฉิน อย่าโง่เลย!”
พระเจ้า เขาต้องการจะทำอะไร? คิดไม่ออกเหรอ?
หรือเขาไม่รู้ว่าตัวเองดื่มเหล้า ยืนที่สูงแบบนี้ถ้าตกลงไปจะทำอย่างไร? ไป๋มู่ชิงทั้งกังวลทั้งไม่รู้ควรทำอย่างไรดี
แต่หนานกงเฉินกระโดดไปที่นั่นทันที ไป๋มู่ชิงส่งเสียงทุ้มต่ำ ตกใจจนอ้าปากอย่างตะลึง
“เธอหนีอะไร? ” หนานกงเฉินจับแขนเธอแล้วดึงกลับมา มองสำรวจเธอด้วยสีหน้าเยาะเย้ยแล้วพูดขึ้น “ตอนนี้……เธอไม่ยั่วยวนฉันเหมือนครั้งที่แล้วเหรอ? ทำไม……ครั้งนี้เห็นฉันแล้วกลับหันตัววิ่งหนี? เกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอสองพี่น้องกันแน่……แต่ละคนประหลาดอธิบายไม่ถูก……คนไหนคือตัวจริงของพวกเธอกันแน่……? ”
เขาพูดค่อนข้างผูกปมเล็กน้อย น่าจะเพราะดื่มมากเกินไป
ไป๋มู่ชิงพูดไม่ออกเมื่อเขาถาม เมื่อครู่นี้เธอแค่อยากจะหนี ไม่ได้คิดเรื่องการแสดง ตอนนี้ถูกเขาจับจุดอ่อนได้พอดี ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรไปชั่วขณะหนึ่ง
“ฉัน……” ด้วยความกังวลไป๋มู่ชิงผละออกจากมือเขาอย่างรวดเร็วแล้วพูดขึ้น “คุณชายเฉินเราวันอื่นได้ไหม? วันนี้ไม่สะดวก ฉัน……แม่ฉันกับน้องชายฉันอยู่ในบ้าน”
หนานกงเฉินยิ้มเย้ยหยัน “เธอรู้รหัสบ้านฉันไม่ใช่เหรอ? ”
“อย่าสร้างความเดือดร้อน ถ้าแม่ฉันเห็นมันจะไม่ดี คุณชายเฉินคุณรีบกลับไปเร็วๆ ” ไป๋มู่ชิงผลักเขาขึ้นไปที่รั้วด้วยความกังวล จากนั้นก็ดึงเขากลับมา “ไม่ ที่นี่อันตรายเกินไป คุณเดินไปที่ประตูใหญ่เถอะ”
เธอพูดจบก็อยากดึงหนานกงเฉินเดินไปที่ประตูใหญ่ แต่หนานกงเฉินไม่จากเธอไป แต่จ้องเธอเขม็ง ชั่วขณะหนึ่ง เขามีความรู้สึกว่าผู้หญิงตรงหน้านี้คือภรรยาเขาจริงๆ
เขาจับข้อมือเธอด้วยหลังมือ จากนั้นก็พลิกข้อมือเธอกลับ
ไป๋มู่ชิงตกใจกับการกระทำของเขา ด้วยความตื่นตระหนกก็ยกมือขึ้นตบหน้าหนานกงเฉินอย่างแรง จนกระทั่งเขาชนรั้วข้างๆ แล้วพูดอย่างโกรธเกรี้ยว “หนานกงเฉิน คุณคิดจะทำอะไร? คุณจำเป็นต้องทำกับไป๋มู่ชิงอย่างฉันจริงๆ เหรอ? คืนนั้นฉันรวบรวมความกล้าตัวเองไปหาคุณ คุณพูด ‘ออกไป’ ฉันก็ออกไปทันที ตอนนี้ว่างและต้องการ ก็วิ่งมาหาฉันเหรอ? ฉันจะบอกคุณให้ ไป๋มู่ชิงอย่างฉันเป็นนายหญิงของตระกูลหลินในอนาคต ไม่ใช่โสเภณีที่คุณเรียกมาก็มาเรียกไปก็ไป!”
ไปมู่ชิงสาปแช่งเรื่องพวกนี้ในคราเดียวจบ ก็ยกมือชี้อีกด้านของกำแพง “ ‘ออกไปซะ’ ประโยคนี้ไม่ได้มีแค่คุณที่มีสิทธิพูด ฉันก็มีเหมือนกัน! ออกไปซะ……!”
หนานกงเฉินถูกเธอด่าแบบนี้ ก็สร่างขึ้นเล็กน้อย
เขาหลับตาเงียบๆ ไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ ว่าตัวเองจีบผู้หญิงอย่างไร และคิดว่าผู้หญิงน่ารังเกียจคนนี้เป็นภรรยาของเขา เพราะเธอร้องเพลงไม่กี่เพลง และเล่านิทานหนึ่งเรื่องเหรอ?
ไป๋มู่ชิงในคืนนี้มันต่างกับเธอในความทรงจำจริงๆ หรือนี่คือสองด้านของมนุษย์เหรอ? เหมือนไป๋ยิ่งอัน?
“ขอโทษ……ลูกฉันจากฉันไปแล้ว ฉันเสียใจ” เขาพ่นประโยคออกมาเบาๆ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเศร้าซึม
ไป๋มู่ชิงไม่คิดว่าจู่ๆ เขาจะมีท่าทีที่อ่อนลงและขอโทษ ยิ่งไม่คิดด้วยซ้ำว่าเขาจะพูดเรื่องลูกกับตัวเอง เธอปวดใจ อยากจะเดินเข้าไปกอดเขาจริงๆ แล้วปลอบเขาสองสามประโยค แต่เธอทำแบบนี้ไม่ได้ สิ่งที่เธอทำต่อไปได้คือพูดต่อไปด้วยใบหน้าเศร้าหมอง “ฉันรู้ ฉันได้ยินแม่ฉันพูดแล้ว แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฉัน ฉันไม่ได้สนใจฟัง คุณก็รู้ว่าฉันกับไป๋ยิ่งอันอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้”
หนานกงเฉินพยักหน้า หันตัวแล้วเดินออกไป ไป๋มู่ชิงรีบพูดขึ้น “คุณชายเฉินเดินไปที่ประตูใหญ่เธอ ฉันต้องรับผิดชอบต่อการตกลงไปเสียชีวิต เดี๋ยวฉันจะแต่งงานแล้ว ไม่อยากเป็นเรื่องใหญ่ก่อนแต่งงาน”
หนานกงเฉินเงยหน้ามองเธอ ก้าวเท้าเดินไปที่ประตูใหญ่
ในที่สุดเขาก็ไปแล้ว และออกไปทางประตูใหญ่ด้วย ไป๋มู่ชิงปิดประตูอย่างโล่งใจเล็กน้อย ในใจรู้สึกผสมปนเป
เธอยกข้อมือตัวเองขึ้น บนนั้นมีรอยฟันที่เธอใช้แขนเสื้อปิดไว้ โชคดีที่เมื่อครู่นี้เธอไตร่ตรองได้เร็วพอ ไม่อย่างนั้นโดนหนานกงเฉินเห็นเข้า
เธอไม่สามารถจินตนาการได้ ถ้าในเวลานี้หนานกงเฉินรู้ตัวตนเธอจะเป็นอย่างไร เรื่องแบบนี้เธอไม่กล้าคิดเยอะเลย
เธอล็อกประตูแล้วหันตัวมาก็เห็นจูฮุ่ยยืนมองตัวเองอยู่ด้านหลัง เธออึ้งไป รีบชี้ไปทางประตู “เขาเมาเหล้า กระโดดมาจากระเบียง ฉันไล่เขาไปแล้ว”
จูฮุ่ยกวาดตามองไปทางประตู จ้องเธอแล้วถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “เมื่อกี้เขาพูดอะไร? ลูกชายเขาตายแล้วเหรอ? ”
ที่แท้ก็ถูกเธอได้ยินเข้า ไป๋มู่ชิงพยักหน้าอย่างเศร้าๆ แล้วเดินเข้าไปในบ้าน
จูฮุ่ยมองแผ่นหลังไป๋มู่ชิงจากไป สุดท้ายก็เข้าใจ ที่แท้นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เธอเศร้าทั้งวัน
หนานกงเฉินไม่ได้กลับมาค้างคืนหนึ่งวัน ไป๋ยิ่งอันอดไม่ได้ที่จะเริ่มเป็นห่วง เช้าตรู่ก็โทรหาหนานกงเฉินทันที
เมื่อเธอโทรหาเขา หนานกงเฉินกำลังวิ่งบนลู่วิ่งที่ระเบียงเพื่อคลายความเครียด เห็นเบอร์เธอ เขาก็ลังเลก่อนรับสาย
ในโทรศัพท์มีเสียงเป็นห่วงของไป๋ยิ่งอันดังขึ้น “คุณชายใหญ่ เมื่อคืนคุณไปไหนมา? ทำไมไม่รับโทรศัพท์ล่ะ? ”
หนานกงเฉินคิดแล้วพูดขึ้น “ฉันไปทำงานนอกสถานที่มา ไม่กลับประมาณสองสามวัน”
“แล้วคุณจะกลับมาตอนไหน? ”
“ยังไม่รู้ เธออยู่บ้านพักผ่อนให้เต็มที่”
“อ่อ งั้นคุณก็ใส่ใจสุขภาพด้วย อย่าเหนื่อยเกินไป” น้ำเสียงไป๋ยิ่งอันเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม “ฉันจะรอคุณกลับมา”
“โอเค วางก่อนนะ” หนานกงเฉินวางสายไป
มองโทรศัพท์ที่วางไปแล้วบนจอ หนานกงเฉินหันหน้าไปมองประตูถัดไปโดยไม่รู้ตัว ตอนนี้ไม่คิดเลยว่าจะนึกถึงผู้หญิงคนนั้นที่ห้องถัดไปจริงๆ
ไป๋มู่ชิงที่อยู่ประตูถัดไปฟุบหลังหน้าต่างฟังการเคลื่อนไหว ได้ยินคำโกหกของเขาพอดี ไม่คิดว่าเขาจะซ่อนตัวอยู่ที่นี่ แม้แต่ไป๋ยิ่งอันก็ไม่รู้
นี่เขาอยากปิดตัวเองเหรอ? การจากไปของลูกเป็นเรื่องแย่มากสำหรับเขาใช่ไหม?
ทันใดนั้นไป๋มู่ชิงก็ตำหนิตัวเองนิดหน่อย ตอนแรกถ้าเธอไม่ยืนกรานที่จะคลอดลูก หรือบางทีเธออาจจะขอชายลึกลับคนนั้นให้เปลี่ยนตัวเด็ก หนานกงเฉินจะได้ไม่ต้องทนทุกข์ความเจ็บปวดในวันนี้
“พี่ พี่ทำอะไรตรงนี้? ” เสี่ยวหยี่ที่เพิ่งตื่นถามขึ้นอย่างงุนงง
ไป๋มู่ชิงรีบดึงเขามา ชี้ไปที่ประตูถัดไปแล้วพูดขึ้น “อาคนนั้นข้างห้องอารมณ์ไม่ดี เธอไปอยู่เป็นเพื่อนเขาดีไหม? ”
“คุณอา? ” เสี่ยวหยี่เดินออกไปที่ระเบียง เมื่อเขาเห็นหนานกงเฉินข้างห้องที่สวมชุดกีฬาปกติ ก็พึมพำออกมาอย่างดีใจ “คุณอา! คุณมาตั้งแต่เมื่อไร? ”
หนานกงเฉินได้ยินเสียงของเขา หันหน้าไปยิ้มเบาๆ ให้เขา “เมื่อคืน”
“งั้นคุณอาก็ยังไม่ได้กินข้าวเช้าแน่เลยใช่ไหม? ผมเอาข้าวเช้าไปให้คุณได้ไหม? ผมไปเล่นที่นั่นได้ไหม? แล้วลุงกำลังเหยียบอะไรใต้เท้าอ่ะ? ดูเหมือนสนุกมาก”
หนานกงเฉินคิด แล้วพยักหน้า “เธอมาสิ”
“ขอบคุณครับคุณอา” เสี่ยวหยี่หันหลังอย่างดีใจแล้ววิ่งไปที่ประตูใหญ่
“รอเดี๋ยว เสี่ยวหยี่” ไป๋มู่ชิงดึงเขากลับมา ยัดอาหารจานใหญ่ใส่มือเขา “นี่คืออาหารเช้าของพวกเธอสองคน เธอกินเป็นเพื่อนคุณอาที่นั่นไปนะ จำข้อตกลงของเราก่อนหน้านี้ด้วยล่ะ อีกอย่างใต้เท้าเขานั่นเรียกว่าลู่วิ่ง อย่าทำตัวทึ่ม แต่เธอเล่นไม่ได้นะรู้ไหม? ”
“รู้แล้วหน่า” เสี่ยวหยี่รับจานใบใหญ่แล้วเดินไปที่ประตู
เสี่ยวหยี่เดินไปที่ประตูบ้านหนานกงเฉิน หนานกงเฉินเปิดประตูใหญ่พอดี เห็นอาหารเช้าจานโตในอ้อมแขนเขาก็ถามอย่างประหลาดใจ “เธอมาส่งอาหารเช้าให้ฉันจริงๆ เหรอ? ”
“ใช่ครับ ต่อไปผมจะส่งอาหารเช้าให้คุณอาทุกวันเลย” เสี่ยวหยี่วางอาหารเช้าจานโตบนโต๊ะแล้วก็วิ่งออกไปดูลู่วิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนทันที
หนานกงเฉินเห็นเขาสนใจมาก ก็เอื้อมมือไปกดปุ่มเปิด จากนั้นก็ชี้ไปที่สายพานวิ่ง “มันใช้สำหรับออกกำลังกาย อยากขึ้นไปลองไหม? ”
เสี่ยวหยี่ย่อตัวลง ยื่นมือเล็กไปแตะบนสายพานที่กำลังหมุนอยู่อย่างระมัดระวัง แล้วส่ายหน้า “ผมออกกำลังกายหนักไม่ได้”
“ทำไม? ” หนานกงเฉินถาม
“เพราะผมเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด”
“โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดเหรอ? ” หนานกงเฉินอึ้ง ชื่อที่คุ้นเคยนี้มันเหมือนเข็มปักแทงหัวใจเขาในพริบตาเดียว มันเจ็บสุดขีด
ลูกเขาเสียชีวิตเพราะโรคนี้ และโรคนี้กลายเป็นความเจ็บปวดที่ฝังลึกที่สุดในหัวใจเขา
“ใช่ครับ พี่บอกว่าถ้าผมออกกำลังกายหนักๆ จะอันตรายจนป่วยได้” เสี่ยวหยี่ยืนขึ้น พูดกับหนานกงเฉินว่า “คุณอา คุณปิดมันเถอะ”
หนานกงเฉินปิดเครื่องลู่วิ่งไฟฟ้า แล้วกลับเข้าไปในห้องกับเสี่ยวหยี่
เสี่ยวหยี่ที่รู้ความเดินไปข้างๆ โต๊ะชา หยิบแซนด์วิชบนจานใหญ่ ขนมปังและนมออกมา พูดกับหนานกงเฉินว่า “คุณอา แซนด์วิชพวกนี้พี่สาวผมเป็นคนทำ มันอร่อยมาก”
หนานกงเฉินหยิบแซนด์วิชมาชิ้นหนึ่งแล้วกัด รสชาติและเนื้อสัมผัสโอเค แต่ก็ค่อนข้างแย่กว่าข้างนอกมาก เขามองสำรวจเสี่ยวหยี่ที่กำลังดื่มนมอยู่ ถามขึ้นอย่างสงสัย “ปกติพี่สาวมักจะดูแลเธอเหรอ? ”
“ใช่ครับ พี่สาวรักผมมาก”
“แล้วช่วงปีนี้เธอก็อยู่กับเธอตลอดเลยเหรอ? ”
เสี่ยวหยี่ส่ายหน้า “ไม่ใช่ครับ ก่อนหน้านี้ผมกับแม่ใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ พี่สาวและพี่เขยอยู่ที่เมือง C”
“พี่สาวเธอกับพี่เขยจะแต่งงานกันเหรอ? ”
“อืม พี่เขยก็รักผมมากเหมือนกัน” เสี่ยวหยี่ยิ้มอย่างภูมิใจ จากนั้นก็มองสำรวจเขาแล้วถามขึ้น “เอ๋ คุณอาแล้วคนในครอบครัวคุณล่ะ? ทำไมผมไม่เคยเห็นคุณมีคนในครอบครัวเลย? ”
“คนในครอบครัวฉัน……” หนานกงเฉินยิ้ม “พวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่”

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset