เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 137 แผนการของเขา

มีเพียงกระดาษแผ่นเล็กๆ แต่เนื้อหาบนนั้นกลับทำให้เธอรู้สึกตกใจเป็นอย่างยิ่ง มันคือใบรับรองแพทย์ของเสี่ยวอี้
สำหรับเธอแล้วเมื่อเทียบกับเอกสารสามฉบับก่อนหน้านี้ นี่ถือเป็นสิ่งที่ร้ายแรงที่สุด!
“เสี่ยวอี้ … ” เธอจ้องมองเขาและถามด้วยเสียงต่ำ “เกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวอี้งั้นเหรอ?”
“กรี๊ด…!” เสียงกรีดร้องของไป๋ยิ่งอันดังกึกก้องไปทั่วห้องจัดงาน เธอมองดูเอกสารในมืออย่างใจจดใจจ่อและเริ่มโหวกเหวกโวยวาย”นี่มันอะไรกัน ทำไมถึงมีใบมรรณบัตรของพ่อฉัน พ่อของฉันเป็นอะไร”
เธอจับแขนของหนานกงเฉินและเขย่า”เฉิน นี่หมายความว่าไง ทำไมพ่อของฉันถึงตาย เมื่อครู่เขายังดีๆอยู่เลย”
“เมื่อครู่คุณไม่ได้ยินเหรอ” หนานกงเฉินยกมุมริมฝีปากของเขาขึ้นและโน้มตัวเข้าใกล้หูของเธอเล็กน้อย “เสียงดังโครมครามนั่น กระโดดลงมาจากชั้นบนสุดของโรงพยาบาล”
“คุณกำลังพูดถึงอะไร พ่อของฉันเพิ่งกระโดดลงตึก … ” ไป๋ยิ่งอันหน้าซีดทันที
ไป๋มู่ชิงตกใจมากจนเธอพูดอะไรไม่ออก เกือบจะถูกหลินอันหนานอุ้มกลับไปด้านใน แต่ยังไม่ทันที่จะเธอลงจะเวที หนานกงเฉินก็ปรี่เข้ามาจับข้อมือของเธอและใช้แรงดึงเธอออกจากอ้อมแขนของหลินอันหนาน
เวลาต่อมาเธอถูกหนานกงเฉินลากลงจากเวทีอย่างโซซัดโซเซ เดินผ่านท่ามกลางแขกเหรื่อในงานไปยังประตู ร่างกายของเธออ่อนแอมากจนไม่มีแรงจะต้านทาน เธอทำได้เพียงพยายามทรงตัวและไม่ปล่อยให้ตัวเองล้มลง
แขกในงานมองไม่เห็นเนื้อหาของเอกสารและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาทั้งหมดนิ่งไม่ไหวติงต่อให้ไป๋มู่ชิงจะถูกหนานกงเฉินลากตัวไปก็ไม่มีใครกล้าห้ามแม้แต่คนเดียว
ทางด้านหลินอันหนานกลับโดนไป๋ยิ่งอันถามว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หลินอันหนาน นายบอกฉันมาสิว่านี่เป็นความจริงหรอเปล่า?”
หลินอันหนานที่โดนเธอถามรู้สึกทั้งร้อนใจและโมโห เหวี่ยงร่างของเธอไปด้านข้างอย่างไร้ซึ่งความอดทน และรีบเร่งฝีเท้าตามไปยังหน้าประตูพลางตะโกนบอก”หนานกงเฉิน! ปล่อยเธอนะ! ปล่อย!”
เมื่อเห็นว่าหนานกงเฉินไม่สนใจตนเอง เขาจึงเปลี่ยนไปตะโกนใส่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ประตู”มัวเหม่ออะไรอยู่ รีบขัดขวางเขาสิ!”
ทันทีที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายคนได้รับคำสั่ง พวกเขาก็รีบเข้าจับกุหนานกงเฉินทันที และเกือบจะในเวลาเดียวกันชายร่างกำยำในชุดดำสามหรือสี่คนก็ลงจากรถที่จอดอยู่ที่ประตู
ชายในชุดรัดกุมหยุดโดยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและยืนขวางทาง
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเห็นว่าพวกเขาดูเหมือนมืออาชีพที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี จึงกลัวมากจนไม่กล้าขยับตัว มีเพียงหลินอันหนานเท่านั้นที่ไม่เกรงกลัวที่จะไล่ตามเขา แต่ก่อนที่เขาจะตาไปทัน กลับถูกชายชุดดำโยนเขากลับมา
เมื่อเห็นหนานกงเฉินลากไป๋มู่ชิงออกจากโรงแรม คนขับรถเบนซ์อีกอื่นก็ลงจากรถทันทีและเปิดประตูหลัง
ไป๋มู่ชิงเห็นรถที่ประตูถูกเปิดออก ในที่สุดก็ฟื้นขึ้นมาและเริ่มดิ้น”ปล่อยฉันนะ … หนานกงเฉิน คุณจะทำอะไร … ”
หนานกงเฉินไม่ตอบเธอ แต่กลับโยนเธอเข้าไปในรถเบนซ์พร้อมกับชุดแต่งงานขนาดใหญ่บนตัวของเธอและกระแทกประตูใส่
ไป๋มู่ชิงตกตะลึงจากนั้นก็รีบลุกขึ้นจากที่นั่งหันไปรอบ ๆ และเริ่มทุบหน้าต่างอย่างกระวนกระวาย แต่การป้องกันเสียงของรถเบนซ์นั้นดีมาก ไม่มีใครรู้ว่าเธอกำลังตะโกนอะไร
หนานกงเฉินทำตัวสบายๆไม่รีบร้อนอะไร ในขณะที่กำลังเดินไปที่ฝั่งของคนขับ เขาหันไปมองแขกเหรื่อที่ยืนมุงดูและพบกับหลินเต้าหรานกับภรรยา คุณนายหลินถามอย่างรีบร้อนใจว่า”เฉิน คุณจะทำอะไร?”
หนานกงเฉินไม่ตอบเธอ แต่เดินต่อไปข้างหน้าจนถึงหลินอันหนานซึ่งถูกควบคุมโดยชายในชุดดำ พลางพูดอย่างไม่แยแสว่า”ฉันจะกลับมาคิดบัญชีกับแกทีหลัง”
“ คุณหมายความว่ายังไง บัญชีอะไร เกิดอะไรขึ้นกับอันหนาน” หลินเต้าหรานเดินมาถามอย่างใจจดใจจ่อ
ในที่สุดหนานกงเฉินก็หยุดมองไปที่ผู้อาวุโสทั้งสอง พลางพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาแบบเดียวกัน “ถามลูกชายสุดที่รักของคุณสิ”
หลังจากพูดจบก็ขึ้นรถไป
เมื่อรถสตาร์ท หลินอันหนานเฝ้าดูรถของเขาที่จากไปอย่างรวดเร็ว เขาโกรธจนกระทืบเท้าอยู่ตรงนั้น
เมื่อไป๋ยิ่งอันวิ่งออกมาจากโรงแรม รถของหนานกงเฉินก็ออกจากทางเข้าโรงแรมไปแล้ว เธอตะโกนอย่างกระวนกระวายขณะวิ่งไล่ตามรถ “เฉิน อย่าไป! คุณกลับมาหาฉันเดี๋ยวนี้นะ … ”
แต่ทว่ารถของหนานกงเฉินกลับไม่มีท่าทีว่าจะหยุดลง และวิ่งเข้าสู่ถนนใหญ่อย่างรวดเร็ว
“เฉิน … !” เธอนั่งยองๆบนพื้น ทรุดลงร้องไห้อย่างหมดสภาพ ในมือกำเอกสารที่ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่
เธอยังไม่เชื่อว่าหนานกงเฉินที่ยังคงจีบเธออยู่ในสำนักงานคือชายที่อยู่ตรงหน้าเธอ ที่มอบความประหลาดใจให้กับเธอ เธอไม่เชื่อว่าหนานกงเฉินจะรู้ความจริงแล้ว
เธอร้องไห้อยู่ครู่หนึ่ง ก้มลงมองแฟ้มในมือและร้องออกมาทั้งน้ำตา“ พ่อ แม่ … ” ในที่สุดก็ลุกขึ้นยืนและรีบไปที่โรงพยาบาล
เมื่อเทียบกับความตื่นตระหนกไป๋ยิ่งอันแล้วนั้น หลินอันหนานกลับดูเงียบกว่ามาก คนชุดดำออกไปแล้ว แต่เขายังคงยืนอยู่ที่นั่นไม่ขยับเป็นเวลานาน
คำพูดเมื่อครู่ของหนานกงเฉินชัดเจนมากว่าเขารู้ความจริงหมดแล้ว อีกทั้งยังรู้มาตั้งนานแล้วดังนั้นถึงเตรียมของขวัญเหล่านี้ไว้
แม้ว่าจะโกรธและเสียใจ แต่เขาก็รู้อยู่ในใจว่าเมื่อหนานกงเฉินรู้ความจริง เรื่องของเขากับไป๋มู่ชิงก็เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป!
คุณนายหลินเขย่าแขนและถามว่า “เกิดอะไรขึ้น? อันหนาน รีบบอกมานะ!”
“ แม้แต่คนอย่างงหนานกงเฉินก็ยังกล้าไปยั่วโมโห เบื่อชีวิตหรือไงแก” หลินเจ้าหรานพูดอย่างรำคาญ“ ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พูดออกมา!”
หลินอันหนานได้สติกลับคืนมา หันมาทางเขาทั้งสองพร้อมพูดว่า “ผมขอโทษ … ”
ยกเว้นสามคำนี้ เขาไม่ต้องการพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ” แขกที่วิ่งออกไปดูด้วยความตื่นเต้นถาม พิธีแต่งงานกลายเป็นแบบนี้ ผู้ใหญ่ตระกูลหลินจึงได้แต่ก้มหน้าขอโทษแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานทุกคน
หลังจากออกมาจากโรงแรม ไป๋มู่ชิงก็หันกลับมาจับแขนของหนานกงเฉินอย่างโกรธเกรี้ยว เธอถาม “เกิดอะไรขึ้นกับคุณพ่อของฉัน และคุณเอาเสี่ยวอี้ไปไว้ไหน?”

มีเพียงกระดาษแผ่นเล็กๆ แต่เนื้อหาบนนั้นกลับทำให้เธอรู้สึกตกใจเป็นอย่างยิ่ง มันคือใบรับรองแพทย์ของเสี่ยวอี้
สำหรับเธอแล้วเมื่อเทียบกับเอกสารสามฉบับก่อนหน้านี้ นี่ถือเป็นสิ่งที่ร้ายแรงที่สุด!
“เสี่ยวอี้ … ” เธอจ้องมองเขาและถามด้วยเสียงต่ำ “เกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวอี้งั้นเหรอ?”
“กรี๊ด…!” เสียงกรีดร้องของไป๋ยิ่งอันดังกึกก้องไปทั่วห้องจัดงาน เธอมองดูเอกสารในมืออย่างใจจดใจจ่อและเริ่มโหวกเหวกโวยวาย”นี่มันอะไรกัน ทำไมถึงมีใบมรรณบัตรของพ่อฉัน พ่อของฉันเป็นอะไร”
เธอจับแขนของหนานกงเฉินและเขย่า”เฉิน นี่หมายความว่าไง ทำไมพ่อของฉันถึงตาย เมื่อครู่เขายังดีๆอยู่เลย”
“เมื่อครู่คุณไม่ได้ยินเหรอ” หนานกงเฉินยกมุมริมฝีปากของเขาขึ้นและโน้มตัวเข้าใกล้หูของเธอเล็กน้อย “เสียงดังโครมครามนั่น กระโดดลงมาจากชั้นบนสุดของโรงพยาบาล”
“คุณกำลังพูดถึงอะไร พ่อของฉันเพิ่งกระโดดลงตึก … ” ไป๋ยิ่งอันหน้าซีดทันที
ไป๋มู่ชิงตกใจมากจนเธอพูดอะไรไม่ออก เกือบจะถูกหลินอันหนานอุ้มกลับไปด้านใน แต่ยังไม่ทันที่จะเธอลงจะเวที หนานกงเฉินก็ปรี่เข้ามาจับข้อมือของเธอและใช้แรงดึงเธอออกจากอ้อมแขนของหลินอันหนาน
เวลาต่อมาเธอถูกหนานกงเฉินลากลงจากเวทีอย่างโซซัดโซเซ เดินผ่านท่ามกลางแขกเหรื่อในงานไปยังประตู ร่างกายของเธออ่อนแอมากจนไม่มีแรงจะต้านทาน เธอทำได้เพียงพยายามทรงตัวและไม่ปล่อยให้ตัวเองล้มลง
แขกในงานมองไม่เห็นเนื้อหาของเอกสารและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาทั้งหมดนิ่งไม่ไหวติงต่อให้ไป๋มู่ชิงจะถูกหนานกงเฉินลากตัวไปก็ไม่มีใครกล้าห้ามแม้แต่คนเดียว
ทางด้านหลินอันหนานกลับโดนไป๋ยิ่งอันถามว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หลินอันหนาน นายบอกฉันมาสิว่านี่เป็นความจริงหรอเปล่า?”
หลินอันหนานที่โดนเธอถามรู้สึกทั้งร้อนใจและโมโห เหวี่ยงร่างของเธอไปด้านข้างอย่างไร้ซึ่งความอดทน และรีบเร่งฝีเท้าตามไปยังหน้าประตูพลางตะโกนบอก”หนานกงเฉิน! ปล่อยเธอนะ! ปล่อย!”
เมื่อเห็นว่าหนานกงเฉินไม่สนใจตนเอง เขาจึงเปลี่ยนไปตะโกนใส่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ประตู”มัวเหม่ออะไรอยู่ รีบขัดขวางเขาสิ!”
ทันทีที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายคนได้รับคำสั่ง พวกเขาก็รีบเข้าจับกุหนานกงเฉินทันที และเกือบจะในเวลาเดียวกันชายร่างกำยำในชุดดำสามหรือสี่คนก็ลงจากรถที่จอดอยู่ที่ประตู
ชายในชุดรัดกุมหยุดโดยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและยืนขวางทาง
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเห็นว่าพวกเขาดูเหมือนมืออาชีพที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี จึงกลัวมากจนไม่กล้าขยับตัว มีเพียงหลินอันหนานเท่านั้นที่ไม่เกรงกลัวที่จะไล่ตามเขา แต่ก่อนที่เขาจะตาไปทัน กลับถูกชายชุดดำโยนเขากลับมา
เมื่อเห็นหนานกงเฉินลากไป๋มู่ชิงออกจากโรงแรม คนขับรถเบนซ์อีกอื่นก็ลงจากรถทันทีและเปิดประตูหลัง
ไป๋มู่ชิงเห็นรถที่ประตูถูกเปิดออก ในที่สุดก็ฟื้นขึ้นมาและเริ่มดิ้น”ปล่อยฉันนะ … หนานกงเฉิน คุณจะทำอะไร … ”
หนานกงเฉินไม่ตอบเธอ แต่กลับโยนเธอเข้าไปในรถเบนซ์พร้อมกับชุดแต่งงานขนาดใหญ่บนตัวของเธอและกระแทกประตูใส่
ไป๋มู่ชิงตกตะลึงจากนั้นก็รีบลุกขึ้นจากที่นั่งหันไปรอบ ๆ และเริ่มทุบหน้าต่างอย่างกระวนกระวาย แต่การป้องกันเสียงของรถเบนซ์นั้นดีมาก ไม่มีใครรู้ว่าเธอกำลังตะโกนอะไร
หนานกงเฉินทำตัวสบายๆไม่รีบร้อนอะไร ในขณะที่กำลังเดินไปที่ฝั่งของคนขับ เขาหันไปมองแขกเหรื่อที่ยืนมุงดูและพบกับหลินเต้าหรานกับภรรยา คุณนายหลินถามอย่างรีบร้อนใจว่า”เฉิน คุณจะทำอะไร?”
หนานกงเฉินไม่ตอบเธอ แต่เดินต่อไปข้างหน้าจนถึงหลินอันหนานซึ่งถูกควบคุมโดยชายในชุดดำ พลางพูดอย่างไม่แยแสว่า”ฉันจะกลับมาคิดบัญชีกับแกทีหลัง”
“ คุณหมายความว่ายังไง บัญชีอะไร เกิดอะไรขึ้นกับอันหนาน” หลินเต้าหรานเดินมาถามอย่างใจจดใจจ่อ
ในที่สุดหนานกงเฉินก็หยุดมองไปที่ผู้อาวุโสทั้งสอง พลางพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาแบบเดียวกัน “ถามลูกชายสุดที่รักของคุณสิ”
หลังจากพูดจบก็ขึ้นรถไป
เมื่อรถสตาร์ท หลินอันหนานเฝ้าดูรถของเขาที่จากไปอย่างรวดเร็ว เขาโกรธจนกระทืบเท้าอยู่ตรงนั้น
เมื่อไป๋ยิ่งอันวิ่งออกมาจากโรงแรม รถของหนานกงเฉินก็ออกจากทางเข้าโรงแรมไปแล้ว เธอตะโกนอย่างกระวนกระวายขณะวิ่งไล่ตามรถ “เฉิน อย่าไป! คุณกลับมาหาฉันเดี๋ยวนี้นะ … ”
แต่ทว่ารถของหนานกงเฉินกลับไม่มีท่าทีว่าจะหยุดลง และวิ่งเข้าสู่ถนนใหญ่อย่างรวดเร็ว
“เฉิน … !” เธอนั่งยองๆบนพื้น ทรุดลงร้องไห้อย่างหมดสภาพ ในมือกำเอกสารที่ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่
เธอยังไม่เชื่อว่าหนานกงเฉินที่ยังคงจีบเธออยู่ในสำนักงานคือชายที่อยู่ตรงหน้าเธอ ที่มอบความประหลาดใจให้กับเธอ เธอไม่เชื่อว่าหนานกงเฉินจะรู้ความจริงแล้ว
เธอร้องไห้อยู่ครู่หนึ่ง ก้มลงมองแฟ้มในมือและร้องออกมาทั้งน้ำตา“ พ่อ แม่ … ” ในที่สุดก็ลุกขึ้นยืนและรีบไปที่โรงพยาบาล
เมื่อเทียบกับความตื่นตระหนกไป๋ยิ่งอันแล้วนั้น หลินอันหนานกลับดูเงียบกว่ามาก คนชุดดำออกไปแล้ว แต่เขายังคงยืนอยู่ที่นั่นไม่ขยับเป็นเวลานาน
คำพูดเมื่อครู่ของหนานกงเฉินชัดเจนมากว่าเขารู้ความจริงหมดแล้ว อีกทั้งยังรู้มาตั้งนานแล้วดังนั้นถึงเตรียมของขวัญเหล่านี้ไว้
แม้ว่าจะโกรธและเสียใจ แต่เขาก็รู้อยู่ในใจว่าเมื่อหนานกงเฉินรู้ความจริง เรื่องของเขากับไป๋มู่ชิงก็เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป!
คุณนายหลินเขย่าแขนและถามว่า “เกิดอะไรขึ้น? อันหนาน รีบบอกมานะ!”
“ แม้แต่คนอย่างงหนานกงเฉินก็ยังกล้าไปยั่วโมโห เบื่อชีวิตหรือไงแก” หลินเจ้าหรานพูดอย่างรำคาญ“ ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พูดออกมา!”
หลินอันหนานได้สติกลับคืนมา หันมาทางเขาทั้งสองพร้อมพูดว่า “ผมขอโทษ … ”
ยกเว้นสามคำนี้ เขาไม่ต้องการพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ” แขกที่วิ่งออกไปดูด้วยความตื่นเต้นถาม พิธีแต่งงานกลายเป็นแบบนี้ ผู้ใหญ่ตระกูลหลินจึงได้แต่ก้มหน้าขอโทษแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานทุกคน
หลังจากออกมาจากโรงแรม ไป๋มู่ชิงก็หันกลับมาจับแขนของหนานกงเฉินอย่างโกรธเกรี้ยว เธอถาม “เกิดอะไรขึ้นกับคุณพ่อของฉัน และคุณเอาเสี่ยวอี้ไปไว้ไหน?”
แต่ไม่ว่าเธอจะดึงแรงแค่ไหน ประตูก็ไม่สามารถเปิดได้
เธอตบประตูด้วยความรีบร้อนและตะโกนว่า “ปล่อยฉันออกไป!
มือของเธอบวมช้ำ ยังไม่มีการเคลื่อนไหวนอกประตูและไม่มีใครมาเปิดประตูให้ เธอค่อยๆเริ่มหมดหวังและล้มลงไปที่พื้นทีละนิด
ตอนนี้หนานกงเฉินรู้ความจริงแล้ว เขาไม่เพียงแต่จับตระกูลไป๋ แต่ยังจับเสี่ยวอี้ไป จะทำยังไงดี? เธอควรทำยังไง? เธอส่ายหัวน้ำตาไหลดั่งสายน้ำ
เธอเหนื่อยจากการร้องไห้น้ำตาจนน้ำตาเหือดแห้ง ทำได้เพียงแค่นั่งอยู่ที่มุมห้องและมองดูแสงนอกหน้าต่างเปลี่ยนจากสว่างเป็นมืด
จนกระทั่งตอนดึก ในที่สุดเสียงเครื่องยนต์ของรถก็ดังขึ้นที่ชั้นล่าง ตามด้วยเสียงฝีเท้าจากระยะไกล ที่หนักและทรงพลังเช่นเดียวกับฝีเท้าของเขา
ประตูห้องนอนเปิดออกและร่างของหนานกงเฉินก็ปรากฏตัวต่อหน้าเธอ ภายใต้แสงสลัวร่างของเขาสูงโปร่ง เผยให้เห็นออร่าของความร้ายกาจ
หลังจากครุ่นคิดมาทั้งวันเธอก็สงบลงมาก
หนานกงเฉินยกมือขึ้นและกดปุ่มบนโคมไฟแสงจากห้องก็พวยพุ่งออกมาไป๋มู่ชิง หลับตาลงโดยไม่รู้ตัวหลังจากที่เธอปรับเข้ากับแสงในร่มได้ ในที่สุดเธอก็ลืมตาขึ้นอีกครั้งเพื่อพบกับเขา
เธอยังคงสวมชุดแต่งงาน ผมยุ่งกระจัดกระจายและเครื่องสำอางค์บนใบหน้าของเธอเลอะคราบน้ำตาจนเละเหมือนกระทั่งจากสี ตอนนี้เธอที่นั่งอยู่ที่พื้น ดูแล้วช่างน่าสงสารยิ่งนัก
“ทำไมล่ะ ทนไม่ได้ที่จะถอดชุดแต่งงานของเธอหรือไง?” หนานกงเฉินมองไปที่ชุดแต่งงานของเธอ รู้สึกแค่ว่ามันขัดตามาก
ไป๋มู่ชิงไม่ได้ตอบคำถามของเขา แต่มองเขาทั้งน้ำตาและขอร้องว่า”นายน้อยเฉิน ฉันเป็นคนที่หลอกลวงคุณเสี่ยวอี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ได้โปรดปล่อยเขาไปได้ไหม”
“เธอไม่มีคุณสมบัติที่จะขอร้องฉัน” หนานกงเฉินส่ายหัวอย่างไม่แยแสจ้องมองไปที่เธอ“ ตอนที่เธอเลือกที่จะหลอกลวงฉันตั้งแต่แรก เธอควรจะคิดถึงผลที่ตามมาหากทำให้ฉันเจ็บใจ”
เขาก้าวไปข้างหน้าและโน้มตัวเข้าใกล้เธอ:”ฉันไม่เชื่อว่าเธอไม่เคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับฉันมาก่อน และเท่าที่ฉันรู้ข่าวลือเหล่านั้นแย่มาก ผู้ชายที่น่ากลัวขนาดนี้เธอยังจะกล้ามาหลอกปั่นหัวฉันเล่น แบบนี้ไม่เรียกว่ารนหาที่ตายหรือไง ?”
“ไม่ ฉันไม่ได้ตั้งใจ!” ไป๋มู่ชิงส่ายหัวและพูดอย่างกังวลว่า “ฉันถูกบังคับตั้งแต่แรก ฉันถูกบังคับโดยคุณนายไป๋และไป่ยิ่งอันฉัน ไม่ได้ตั้งใจจะโกหกคุณจริงๆ … ”
“ถูกบังคับงั้นเหรอ?” หนานกงเฉินยิ้มเยาะ”ถ้าเธอถูกบังคับจริงๆทำไมเธอไม่บอกฉัน ใครจะกล้าบังคับเธอ”
“ พวกเขาจับเสี่ยวอี้ไป ถ้าหากฉันบอกคุณ พวกเธอจะฆ่าเสี่ยวอี้ ฉันจะปล่อยให้เสี่ยวอี้ตายไม่ได้ ฉัน … ”
“พอแล้ว” หนานกงเฉินขัดจังหวะเธออย่างไม่สบอารมณ์และพูดว่า “วันนี้ฉันไม่ได้มาเพื่อฟังคำอธิบายของเธอ การหลอกลวงก็คือการหลอกลวง การหลอกลวงไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตามเป็นเรื่องที่ไม่สามารถให้อภัยได้ ดังนั้น … ”
เขายื่นมือไปบีบคางของเธอ บังคับให้เธอเงยหน้าขึ้น “ดังนั้นไม่ว่าเธอจะถูกบังคับหรือสมัครใจ มีทางเดียวคือต้องสูญเสียทุกอย่างและตายที่นี่อย่างช้าๆ”
หลังจากพูดจบเขาก็ปล่อยเธอและยืดตัวขึ้น
“ไม่!” ไป๋มู่ชิงคว้ากางเกงของเขาอย่างรีบร้อนและวิงวอนด้วยน้ำตานองหน้า “ฉันไม่คาดหวังว่าคุณจะยกโทษให้ ฉันเต็มใจที่จะตายที่นี่ แต่คุณอย่าทำร้ายเสี่ยวอี้เลยนะ เขากำลังป่วย ถ้าไม่ได้รับการผ่าตัดเขาก็จะตาย ฉันขอล่ะปล่อยเขาไปเถอะนะ ฉันขอร้อง … ”
“ เธออยากให้น้องชายของเธอรอดมากนักเหรอ”
“ใช่…….”
“แต่เธอกลับปล่อยให้ไป๋ยิ่งอันทำลูกของฉันตาย”
ไป๋มู่ชิงสะดุ้งน้ำตาไหลพราก
“ น้องชายของเธอสำคัญมาก ลูกชายของฉันก็ไม่สำคัญใช่ไหม เธอสามารถจับลูกชายของฉันไปสู่ความตายได้ ดังนั้นเธอจึงสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าให้ปล่อยเด็ก!”
“ไม่ มันไม่กี่ยวกับฉัน ฉันไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงฆ่าลูกของคุณ”
“แล้วเธอล่ะ” หนานกงเฉินจับเธอขึ้นมาจากพื้นและจ้องมองเธออย่างใกล้ชิด “นั่นก็คือลูกของเธอเหมือนกันเธอไม่เศร้าเลยเหรอที่ได้ยินว่าลูกตาย ไม่เสียใจสักนิดเลยเหรอ”
“ฉัน … ” ไป๋มู่ชิงส่ายหัวและถอยหลังทีละก้าวจนร่างของเธอพิงกำแพง
แน่นอนว่าเธอรู้สึกเป็นทุกข์แม้ว่าเธอจะไม่แน่ใจว่าเด็กคนนั้นเธอคลอดออกมาเองหรือไม่ แต่เธอก็ยังรู้สึกเป็นทุกข์เมื่อได้ยินการตายของเขา
เมื่อเห็นความเจ็บปวดและความเสียใจบนใบหน้าของหนานกงเฉิน เธอไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร
โอ้พระเจ้า เธอควรบอกเขาไหมว่าคนที่ตายไปนั้นอาจจะไม่ใช่ลูกชายของเขา ลูกของพวกเขาอาจยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้

มีเพียงกระดาษแผ่นเล็กๆ แต่เนื้อหาบนนั้นกลับทำให้เธอรู้สึกตกใจเป็นอย่างยิ่ง มันคือใบรับรองแพทย์ของเสี่ยวอี้
สำหรับเธอแล้วเมื่อเทียบกับเอกสารสามฉบับก่อนหน้านี้ นี่ถือเป็นสิ่งที่ร้ายแรงที่สุด!
“เสี่ยวอี้ … ” เธอจ้องมองเขาและถามด้วยเสียงต่ำ “เกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวอี้งั้นเหรอ?”
“กรี๊ด…!” เสียงกรีดร้องของไป๋ยิ่งอันดังกึกก้องไปทั่วห้องจัดงาน เธอมองดูเอกสารในมืออย่างใจจดใจจ่อและเริ่มโหวกเหวกโวยวาย”นี่มันอะไรกัน ทำไมถึงมีใบมรรณบัตรของพ่อฉัน พ่อของฉันเป็นอะไร”
เธอจับแขนของหนานกงเฉินและเขย่า”เฉิน นี่หมายความว่าไง ทำไมพ่อของฉันถึงตาย เมื่อครู่เขายังดีๆอยู่เลย”
“เมื่อครู่คุณไม่ได้ยินเหรอ” หนานกงเฉินยกมุมริมฝีปากของเขาขึ้นและโน้มตัวเข้าใกล้หูของเธอเล็กน้อย “เสียงดังโครมครามนั่น กระโดดลงมาจากชั้นบนสุดของโรงพยาบาล”
“คุณกำลังพูดถึงอะไร พ่อของฉันเพิ่งกระโดดลงตึก … ” ไป๋ยิ่งอันหน้าซีดทันที
ไป๋มู่ชิงตกใจมากจนเธอพูดอะไรไม่ออก เกือบจะถูกหลินอันหนานอุ้มกลับไปด้านใน แต่ยังไม่ทันที่จะเธอลงจะเวที หนานกงเฉินก็ปรี่เข้ามาจับข้อมือของเธอและใช้แรงดึงเธอออกจากอ้อมแขนของหลินอันหนาน
เวลาต่อมาเธอถูกหนานกงเฉินลากลงจากเวทีอย่างโซซัดโซเซ เดินผ่านท่ามกลางแขกเหรื่อในงานไปยังประตู ร่างกายของเธออ่อนแอมากจนไม่มีแรงจะต้านทาน เธอทำได้เพียงพยายามทรงตัวและไม่ปล่อยให้ตัวเองล้มลง
แขกในงานมองไม่เห็นเนื้อหาของเอกสารและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาทั้งหมดนิ่งไม่ไหวติงต่อให้ไป๋มู่ชิงจะถูกหนานกงเฉินลากตัวไปก็ไม่มีใครกล้าห้ามแม้แต่คนเดียว
ทางด้านหลินอันหนานกลับโดนไป๋ยิ่งอันถามว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หลินอันหนาน นายบอกฉันมาสิว่านี่เป็นความจริงหรอเปล่า?”
หลินอันหนานที่โดนเธอถามรู้สึกทั้งร้อนใจและโมโห เหวี่ยงร่างของเธอไปด้านข้างอย่างไร้ซึ่งความอดทน และรีบเร่งฝีเท้าตามไปยังหน้าประตูพลางตะโกนบอก”หนานกงเฉิน! ปล่อยเธอนะ! ปล่อย!”
เมื่อเห็นว่าหนานกงเฉินไม่สนใจตนเอง เขาจึงเปลี่ยนไปตะโกนใส่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ประตู”มัวเหม่ออะไรอยู่ รีบขัดขวางเขาสิ!”
ทันทีที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายคนได้รับคำสั่ง พวกเขาก็รีบเข้าจับกุหนานกงเฉินทันที และเกือบจะในเวลาเดียวกันชายร่างกำยำในชุดดำสามหรือสี่คนก็ลงจากรถที่จอดอยู่ที่ประตู
ชายในชุดรัดกุมหยุดโดยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและยืนขวางทาง
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเห็นว่าพวกเขาดูเหมือนมืออาชีพที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี จึงกลัวมากจนไม่กล้าขยับตัว มีเพียงหลินอันหนานเท่านั้นที่ไม่เกรงกลัวที่จะไล่ตามเขา แต่ก่อนที่เขาจะตาไปทัน กลับถูกชายชุดดำโยนเขากลับมา
เมื่อเห็นหนานกงเฉินลากไป๋มู่ชิงออกจากโรงแรม คนขับรถเบนซ์อีกอื่นก็ลงจากรถทันทีและเปิดประตูหลัง
ไป๋มู่ชิงเห็นรถที่ประตูถูกเปิดออก ในที่สุดก็ฟื้นขึ้นมาและเริ่มดิ้น”ปล่อยฉันนะ … หนานกงเฉิน คุณจะทำอะไร … ”
หนานกงเฉินไม่ตอบเธอ แต่กลับโยนเธอเข้าไปในรถเบนซ์พร้อมกับชุดแต่งงานขนาดใหญ่บนตัวของเธอและกระแทกประตูใส่
ไป๋มู่ชิงตกตะลึงจากนั้นก็รีบลุกขึ้นจากที่นั่งหันไปรอบ ๆ และเริ่มทุบหน้าต่างอย่างกระวนกระวาย แต่การป้องกันเสียงของรถเบนซ์นั้นดีมาก ไม่มีใครรู้ว่าเธอกำลังตะโกนอะไร
หนานกงเฉินทำตัวสบายๆไม่รีบร้อนอะไร ในขณะที่กำลังเดินไปที่ฝั่งของคนขับ เขาหันไปมองแขกเหรื่อที่ยืนมุงดูและพบกับหลินเต้าหรานกับภรรยา คุณนายหลินถามอย่างรีบร้อนใจว่า”เฉิน คุณจะทำอะไร?”
หนานกงเฉินไม่ตอบเธอ แต่เดินต่อไปข้างหน้าจนถึงหลินอันหนานซึ่งถูกควบคุมโดยชายในชุดดำ พลางพูดอย่างไม่แยแสว่า”ฉันจะกลับมาคิดบัญชีกับแกทีหลัง”
“ คุณหมายความว่ายังไง บัญชีอะไร เกิดอะไรขึ้นกับอันหนาน” หลินเต้าหรานเดินมาถามอย่างใจจดใจจ่อ
ในที่สุดหนานกงเฉินก็หยุดมองไปที่ผู้อาวุโสทั้งสอง พลางพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาแบบเดียวกัน “ถามลูกชายสุดที่รักของคุณสิ”
หลังจากพูดจบก็ขึ้นรถไป
เมื่อรถสตาร์ท หลินอันหนานเฝ้าดูรถของเขาที่จากไปอย่างรวดเร็ว เขาโกรธจนกระทืบเท้าอยู่ตรงนั้น
เมื่อไป๋ยิ่งอันวิ่งออกมาจากโรงแรม รถของหนานกงเฉินก็ออกจากทางเข้าโรงแรมไปแล้ว เธอตะโกนอย่างกระวนกระวายขณะวิ่งไล่ตามรถ “เฉิน อย่าไป! คุณกลับมาหาฉันเดี๋ยวนี้นะ … ”
แต่ทว่ารถของหนานกงเฉินกลับไม่มีท่าทีว่าจะหยุดลง และวิ่งเข้าสู่ถนนใหญ่อย่างรวดเร็ว
“เฉิน … !” เธอนั่งยองๆบนพื้น ทรุดลงร้องไห้อย่างหมดสภาพ ในมือกำเอกสารที่ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่
เธอยังไม่เชื่อว่าหนานกงเฉินที่ยังคงจีบเธออยู่ในสำนักงานคือชายที่อยู่ตรงหน้าเธอ ที่มอบความประหลาดใจให้กับเธอ เธอไม่เชื่อว่าหนานกงเฉินจะรู้ความจริงแล้ว
เธอร้องไห้อยู่ครู่หนึ่ง ก้มลงมองแฟ้มในมือและร้องออกมาทั้งน้ำตา“ พ่อ แม่ … ” ในที่สุดก็ลุกขึ้นยืนและรีบไปที่โรงพยาบาล
เมื่อเทียบกับความตื่นตระหนกไป๋ยิ่งอันแล้วนั้น หลินอันหนานกลับดูเงียบกว่ามาก คนชุดดำออกไปแล้ว แต่เขายังคงยืนอยู่ที่นั่นไม่ขยับเป็นเวลานาน
คำพูดเมื่อครู่ของหนานกงเฉินชัดเจนมากว่าเขารู้ความจริงหมดแล้ว อีกทั้งยังรู้มาตั้งนานแล้วดังนั้นถึงเตรียมของขวัญเหล่านี้ไว้
แม้ว่าจะโกรธและเสียใจ แต่เขาก็รู้อยู่ในใจว่าเมื่อหนานกงเฉินรู้ความจริง เรื่องของเขากับไป๋มู่ชิงก็เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป!
คุณนายหลินเขย่าแขนและถามว่า “เกิดอะไรขึ้น? อันหนาน รีบบอกมานะ!”
“ แม้แต่คนอย่างงหนานกงเฉินก็ยังกล้าไปยั่วโมโห เบื่อชีวิตหรือไงแก” หลินเจ้าหรานพูดอย่างรำคาญ“ ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พูดออกมา!”
หลินอันหนานได้สติกลับคืนมา หันมาทางเขาทั้งสองพร้อมพูดว่า “ผมขอโทษ … ”
ยกเว้นสามคำนี้ เขาไม่ต้องการพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ” แขกที่วิ่งออกไปดูด้วยความตื่นเต้นถาม พิธีแต่งงานกลายเป็นแบบนี้ ผู้ใหญ่ตระกูลหลินจึงได้แต่ก้มหน้าขอโทษแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานทุกคน
หลังจากออกมาจากโรงแรม ไป๋มู่ชิงก็หันกลับมาจับแขนของหนานกงเฉินอย่างโกรธเกรี้ยว เธอถาม “เกิดอะไรขึ้นกับคุณพ่อของฉัน และคุณเอาเสี่ยวอี้ไปไว้ไหน?”

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset