เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 139 การโกหกหลอกลวงก็คือการโกหกหลอกลวง

ด้วยวิธีการปฏิบัติกับตระกูลไป๋ของหนานกงเฉิน ทำให้เธอจินตนาการได้ว่าจุดจบของหลินอันหนานก็คงไม่ดีเช่นกัน
แท้ที่จริงแล้วเธอยังคงเป็นห่วงหลินอันหนาน ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนจะเกลียดเขาเข้ากระดูก แต่ถึงยังไงเขาก็เป็นคนช่วยเธอออกมาจากเงื้อมมือของซูวยาหยง ช่วงนี้เขาก็กลับเนื้อกลับตัวใหม่ เอาใจใส่เธออย่างใกล้ชิด
ขอเพียงหวังว่าเขาจะเห็นแก่คุณนายหลิน ในฐานะที่เป็นป้าแท้ๆของเขา จะเบามือกับหลินอันหนานบ้าง !
ขณะที่เธอกำลังคิดไปเรื่อยเปื่อย จนไม่รู้ตัวเลยว่ารถได้หยุดลงตั้งแต่เมื่อไหร่
ไป๋มู่ชิงตกตะลึง จากนั้นเอนหลังพิงหน้าต่างกระจกและมองไปที่ทิวทัศน์ด้านนอก
ที่นี่ดูคุ้นเคย แต่ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้จะไม่เคยมาเลยแม้เพียงสักครั้ง เมื่อลองมองทิวทัศน์ไกลๆอีกครั้ง ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็นึกขึ้นได้ว่าที่นี้คือสวนหลังบ้านของตระกูลหนานกงนั่นเอง
เมื่อครูหนานกงเฉินไม่ได้เข้าทางประตูหน้า แต่กลับพาเธอเข้าทางหลังบ้านโดยตรง
สวนหลังบ้านของตระกูลหนานกงนั้นใหญ่เกินกว่าจะเดินได้ทั่ว และผู้คนจากตระกูลหนานกงก็ไม่ปล่อยให้เธอไปไหนโดยพลการ เธอจึงรู้สึกว่ามันแปลก แค่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมหนานกงเฉินถึงพาเธอมาที่นี่อย่างกะทันหัน เธอจะถูกขังไว้ที่นี่เพื่อรอความตายจริงๆเหรอ?
เมื่อแสงไฟข้างหน้าเธอมืดลงและประตูรถถูกเปิดออกจากด้านนอก ไป๋มู่ชิงไม่ทันได้ยกศีรษะขึ้นทำให้เธอล้มลงไปกับพื้น โชคยังดีที่พื้นเป็นพื้นหญ้า ล้มลงไปจึงไม่รู้สึกเจ็บเท่าไหร่นัก
วินาทีต่อมาหนานกงเฉินจับเธอขึ้นจากพื้นอีกครั้ง ลากข้อมือของเธอแล้วเดินไปทางด้านขวา
ไป๋มู่ชิงถูกเขาลากออกไปตลอดทางและถามอย่างโกรธ ๆว่า “หนานกงเฉิน คุณจะทำอะไรคุณปล่อยฉันไปเถอะนะ … ”
หนานกงเฉินปล่อยเธอตามที่ขอร้อง เพียงแต่เป็นการเหวี่ยงเธอลงกับพื้น ร่างของไป๋มู่ชิงล้มลง ศีรษะเกือบไปกระแทกเข้ากับก้อนหินที่วางอยู่ด้านข้าง
เธอรีบลุกขึ้นจากพื้น เอาตัวแอบซ่อนอยู่หลังก้อนหินและจ้องมองเขาด้วยความตื่นตระหนก
ถ้าหนานกงเฉินหยิบปืนออกมาและฆ่าเธอในป่ารกร้างแห่งนี้เธอจะไม่แปลกใจเลย ด้วยความโกรธของหนานกงเฉินในเวลานี้นั้น ฉันทำอะไรไม่ได้สักอย่างเลยเหรอ
“ รู้ไหมวันนี้เป็นวันอะไร?” หนานกงเฉินจ้องมองเธออย่างไม่วางตา ดวงตาของเขาเย็นชาราวกับน้ำแข็ง
ไป๋มู่ชิงครุ่นคิดสักพักและในที่สุดก็ส่ายหัว
เธอไม่รู้ เธอไม่รู้จริงๆ!
หนานกงเฉินโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ลากเธอออกไปจากหินโดยไม่สนใจเสียงร้องที่เจ็บปวดของเธอและชี้ไปที่ป้ายหินตรงหน้า”ไม่รู้งั้นเหรอ เธอดูซะให้เต็มตา”
ไป๋มู่ชิงถูกบังคับให้เผชิญหน้ากับหลุมฝังศพขนาดเล็ก ซึ่งดูเหมือนหลุมฝังศพขนาดเล็กที่เพิ่งสร้างขึ้น เหนือหลุมฝังศพมีรูปถ่ายของทารกน้อย
ทันทีที่เธอเห็นหลุมฝังศพใหม่นี้และรูปถ่ายทารกบนหลุมฝังศพ ไป๋มู่ชิงก็เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เธอยกมือขึ้นปิดปากน้ำตาไหลพรากออกมาจากดวงตาของเธอ
เด็กคนนี้ … เธอยังไม่รู้ว่าเขาเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองหรือเปล่า เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นเขา
ไม่ว่าเขาจะใช่ลูกที่เธอคลอดมาเองหรือไม่ ในฐานะคนเป็นแม่ เธอได้เห็นคนที่เด็กขนาดนี้ถูกแขวนไว้บนป้ายหลุมศพ อย่างไรก็ต้องรู้สึกเจ็บปวด
เธอคุกเข่าอยู่หน้าหลุมฝังศพ ใช้มือเล็ก ๆ ปิดปากและคร่ำครวญ ในที่สุดก็รู้ว่าทำไม หนานกงเฉินถึงบังคับให้เธอสวมชุดสีดำในวันนี้และพาเธอมาที่นี่
เธอเงยหน้าขึ้นและจ้องไปที่หนานกงเฉินด้วยน้ำตาเป็นเวลานาน ก่อนที่จะพูดออกมาสามคำ “ฉันขอโทษ … ”
หนานกงเฉินคุกเข่าข้างหนึ่งพลางจับไหล่ของเธอด้วยมือทั้งสองข้าง และบังคับให้เธอหันกลับมา จ้องมองเธอ กัดฟันแล้วพูดว่า “เธอยังจะมีหน้ามาขอโทษอีกเหรอ ตอนแรกเธอเสแสร้งทำเป็นว่ารักเขามาก ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไรก็จะคลอดออกมาให้ได้ แต่ในความเป็นจริงน่ะเหรอ ความเป็นจริงเธอกลับใช้เขาเป็นเครื่องมือ ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อให้ไป๋ยิ่งอันเข้ามาในตระกูลหนานกง สุดท้ายแผนการของพวกเธอก็สำเร็จ และยังทำให้เขาตายอีก ในฐานะที่เป็นแม่ ทำไมเธอถึงเลือดเย็นทำกับลูกตัวเองแบบนี้ได้ลงคอ เธอไม่กลัวจะตกนรกตลอดชีวิตหรือไง เธอ….
“ไม่ … !” ไป๋มู่ชิงขัดจังหวะเขา ร้องไห้อย่างขมขื่นและส่ายหัว “ฉันเปล่านะ ฉันรักเขาจริงๆ ฉันไม่ได้ใช้เขาเป็นเครื่องมือ … ฉันไม่เคยคิดจะใช้เขาเป็นเครื่องมือเลยด้วยซ้ำ … ”
“คำโกหกหลอกลวงแบบนี้ ลองพูดกับเขาสิ ดูซิว่าเขาจะให้อภัยไหม!” หนานกงเฉิน ผลักอย่างแรง ทำให้เธอหันหน้าไปทางหลุมฝังศพขนาดเล็กอีกครั้ง
ไป๋มู่ชิงก้าวไปข้างหน้าด้วยมือและเท้าทั้งสองข้าง จับหลุมฝังศพและร้องไห้อย่างขมขื่น “ขอโทษ ลูกแม่ แม่ไม่ได้ตั้งใจ แม่ถูกบังคับ ขอร้องล่ะยกโทษให้แม่ด้วย ขอโทษ … ”
เธอใช้หลังมือสัมผัสน้ำตาบนใบหน้าไปมาพลางร้องไห้ด้วยความเสียใจ
แม้ว่าตัวเธอเองจะถูกบังคับให้ทำก็ตาม แต่ลูกก็ต้องมาตายเพราะพวกเธอและเธอเองก็มีส่วนในการก่อให้เกิดบาปนี้ด้วย!
เสียงร้องไห้และคำขอโทษของเธอดังก้องในหูของหนานกงเฉิน เขาจึงขัดจังหวะเธออย่างรู้สึกรำคาญ “พอแล้ว อย่ามาเสแสร้งที่นี่ เพราะมันล้างบาปของเธอไม่ได้แม้แต่นิดเดียว !”
“นายน้อยเฉิน” ไป๋มู่ชิงหันมาหาเขาอย่างรวดเร็วพลางจับขากางเกงของเขาและร้องไห้อย่างขมขื่น “ฉันถูกบังคับจริงๆ ทำไมคุณไม่ยอมเชื่อฉันและปล่อยฉันไป คุณฉลาดมากขนาดนั้น ทุกอย่างอยู่ในมือของคุณ คุณควรจะรู้ว่าฉันถูกบังคับ ”
“ไม่ใช่ว่าฉันไม่เชื่อคำพูดของเธอ แต่ … ” หนานกงเฉินโน้มตัวและดึงฝ่ามือออกจากขาของเธอ”ฉันพูดไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แม้ว่าเธอจะโดนเอามีดจ่ออยู่ที่คอ การโกหกหลอกลวงก็คือการโกหกหลอกลวง เป็นความจริงที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม ”
ไป๋มู่ชิงจ้องมองเขาอย่างว่างเปล่า เพราะรู้ว่าเขาคิดอย่างนั้นจริงๆ
ผู้ชายที่แข็งแกร่งอย่างเขาจะสนใจเธอที่ถูกซวีหยาหรงสองแม่ลูกบังคับหรือไม่ ต่อให้เวลาสามวันสามคืนในการให้เธออธิบาย ยังไงซะมันก็ไม่มีประโยชน์
“ ถ้าอย่างนั้นคุณต้องการให้ฉันทำอะไร คุณถึงจะยอมปล่อยครอบครัวของฉันไป” เธอส่ายหัว“ คุณฆ่าพ่อของฉันและยึดบริษัทของเขา แค่นั้นยังไม่สะใจอีกเหรอ ต้องทำร้ายเด็กที่ไร้เดียงสาเช่นเสี่ยวอี้อีก คุณพอใจหรือยัง ”
“เธอช่วยทำความเข้าใจใหม่นะ” หนานกงเฉินยังคงต่อว่าเธอ “การหนีภาษีของพ่อเธอไม่ใช่สิ่งที่ฉันขอให้เขาทำลูกค้าของเขามีสิทธิ์เลือกบริษัทที่จะร่วมมือด้วย แม้ว่าฉันจะไม่ซื้อเขาก็ตาม บริษัทก็จะตกเป็นของคนอื่นในท้ายที่สุด เขาต้องเผชิญกับคุกยี่สิบปี เขาเริ่มกลัวความรู้สึกผิดของตัวเอง เขาจึงฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดลงจากตึก
เขาหัวเราะเยาะ “ไม่งั้นเธอคิดว่าทำไมเขาถึงกระโดดตึกล่ะ คนเห็นแก่ตัวแบบนั้นจะยอมกระโดดลงมาเพื่อเธองั้นเหรอ?”
“ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ทำไมเขาถึงโดนตรวจสอบบัญชีภาษีล่ะ” ไป๋มู่ชิงพูดอย่างโกรธ ๆ ถ้าเขาไม่ได้ซื้อหุ้นของบริษัทไป๋กรุ๊ปเป็นจำนวนมาก ตระกูลไป๋จะกลายเป็นของเขาได้อย่างไร?
“ถูกต้อง ฉันขอให้คนเก็บภาษีดูเรื่องภาษีของบริษัทเป็นพิเศษ แต่ถ้าเขาไม่หนีภาษาก่อนเอง จะกลัวโดนตรวจสอบไปทำไมล่ะ”หนานกงเฉินหยุดการสนทนาทันทีพลางลูบคิ้วของเขา”จริงๆเลย … ทำไมฉันต้องบอกเรื่องพวกนี้กับเธอด้วยนะ ตระกูลไป๋พังพินาศด้วยฝีมือฉัน ไป๋จิ้งผิงก็ฆ่าตัวตายเพราะฉันบีบบังคับ ซวีหยาหรงก็โดนฉันทำให้เข้าคุก แล้วยังไง นี่มันไม่ใช่ทำอะไรก็ได้อย่างนั้นเหรอ ? ”

ด้วยวิธีการปฏิบัติกับตระกูลไป๋ของหนานกงเฉิน ทำให้เธอจินตนาการได้ว่าจุดจบของหลินอันหนานก็คงไม่ดีเช่นกัน
แท้ที่จริงแล้วเธอยังคงเป็นห่วงหลินอันหนาน ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนจะเกลียดเขาเข้ากระดูก แต่ถึงยังไงเขาก็เป็นคนช่วยเธอออกมาจากเงื้อมมือของซูวยาหยง ช่วงนี้เขาก็กลับเนื้อกลับตัวใหม่ เอาใจใส่เธออย่างใกล้ชิด
ขอเพียงหวังว่าเขาจะเห็นแก่คุณนายหลิน ในฐานะที่เป็นป้าแท้ๆของเขา จะเบามือกับหลินอันหนานบ้าง !
ขณะที่เธอกำลังคิดไปเรื่อยเปื่อย จนไม่รู้ตัวเลยว่ารถได้หยุดลงตั้งแต่เมื่อไหร่
ไป๋มู่ชิงตกตะลึง จากนั้นเอนหลังพิงหน้าต่างกระจกและมองไปที่ทิวทัศน์ด้านนอก
ที่นี่ดูคุ้นเคย แต่ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้จะไม่เคยมาเลยแม้เพียงสักครั้ง เมื่อลองมองทิวทัศน์ไกลๆอีกครั้ง ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็นึกขึ้นได้ว่าที่นี้คือสวนหลังบ้านของตระกูลหนานกงนั่นเอง
เมื่อครูหนานกงเฉินไม่ได้เข้าทางประตูหน้า แต่กลับพาเธอเข้าทางหลังบ้านโดยตรง
สวนหลังบ้านของตระกูลหนานกงนั้นใหญ่เกินกว่าจะเดินได้ทั่ว และผู้คนจากตระกูลหนานกงก็ไม่ปล่อยให้เธอไปไหนโดยพลการ เธอจึงรู้สึกว่ามันแปลก แค่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมหนานกงเฉินถึงพาเธอมาที่นี่อย่างกะทันหัน เธอจะถูกขังไว้ที่นี่เพื่อรอความตายจริงๆเหรอ?
เมื่อแสงไฟข้างหน้าเธอมืดลงและประตูรถถูกเปิดออกจากด้านนอก ไป๋มู่ชิงไม่ทันได้ยกศีรษะขึ้นทำให้เธอล้มลงไปกับพื้น โชคยังดีที่พื้นเป็นพื้นหญ้า ล้มลงไปจึงไม่รู้สึกเจ็บเท่าไหร่นัก
วินาทีต่อมาหนานกงเฉินจับเธอขึ้นจากพื้นอีกครั้ง ลากข้อมือของเธอแล้วเดินไปทางด้านขวา
ไป๋มู่ชิงถูกเขาลากออกไปตลอดทางและถามอย่างโกรธ ๆว่า “หนานกงเฉิน คุณจะทำอะไรคุณปล่อยฉันไปเถอะนะ … ”
หนานกงเฉินปล่อยเธอตามที่ขอร้อง เพียงแต่เป็นการเหวี่ยงเธอลงกับพื้น ร่างของไป๋มู่ชิงล้มลง ศีรษะเกือบไปกระแทกเข้ากับก้อนหินที่วางอยู่ด้านข้าง
เธอรีบลุกขึ้นจากพื้น เอาตัวแอบซ่อนอยู่หลังก้อนหินและจ้องมองเขาด้วยความตื่นตระหนก
ถ้าหนานกงเฉินหยิบปืนออกมาและฆ่าเธอในป่ารกร้างแห่งนี้เธอจะไม่แปลกใจเลย ด้วยความโกรธของหนานกงเฉินในเวลานี้นั้น ฉันทำอะไรไม่ได้สักอย่างเลยเหรอ
“ รู้ไหมวันนี้เป็นวันอะไร?” หนานกงเฉินจ้องมองเธออย่างไม่วางตา ดวงตาของเขาเย็นชาราวกับน้ำแข็ง
ไป๋มู่ชิงครุ่นคิดสักพักและในที่สุดก็ส่ายหัว
เธอไม่รู้ เธอไม่รู้จริงๆ!
หนานกงเฉินโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ลากเธอออกไปจากหินโดยไม่สนใจเสียงร้องที่เจ็บปวดของเธอและชี้ไปที่ป้ายหินตรงหน้า”ไม่รู้งั้นเหรอ เธอดูซะให้เต็มตา”
ไป๋มู่ชิงถูกบังคับให้เผชิญหน้ากับหลุมฝังศพขนาดเล็ก ซึ่งดูเหมือนหลุมฝังศพขนาดเล็กที่เพิ่งสร้างขึ้น เหนือหลุมฝังศพมีรูปถ่ายของทารกน้อย
ทันทีที่เธอเห็นหลุมฝังศพใหม่นี้และรูปถ่ายทารกบนหลุมฝังศพ ไป๋มู่ชิงก็เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เธอยกมือขึ้นปิดปากน้ำตาไหลพรากออกมาจากดวงตาของเธอ
เด็กคนนี้ … เธอยังไม่รู้ว่าเขาเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองหรือเปล่า เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นเขา
ไม่ว่าเขาจะใช่ลูกที่เธอคลอดมาเองหรือไม่ ในฐานะคนเป็นแม่ เธอได้เห็นคนที่เด็กขนาดนี้ถูกแขวนไว้บนป้ายหลุมศพ อย่างไรก็ต้องรู้สึกเจ็บปวด
เธอคุกเข่าอยู่หน้าหลุมฝังศพ ใช้มือเล็ก ๆ ปิดปากและคร่ำครวญ ในที่สุดก็รู้ว่าทำไม หนานกงเฉินถึงบังคับให้เธอสวมชุดสีดำในวันนี้และพาเธอมาที่นี่
เธอเงยหน้าขึ้นและจ้องไปที่หนานกงเฉินด้วยน้ำตาเป็นเวลานาน ก่อนที่จะพูดออกมาสามคำ “ฉันขอโทษ … ”
หนานกงเฉินคุกเข่าข้างหนึ่งพลางจับไหล่ของเธอด้วยมือทั้งสองข้าง และบังคับให้เธอหันกลับมา จ้องมองเธอ กัดฟันแล้วพูดว่า “เธอยังจะมีหน้ามาขอโทษอีกเหรอ ตอนแรกเธอเสแสร้งทำเป็นว่ารักเขามาก ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไรก็จะคลอดออกมาให้ได้ แต่ในความเป็นจริงน่ะเหรอ ความเป็นจริงเธอกลับใช้เขาเป็นเครื่องมือ ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อให้ไป๋ยิ่งอันเข้ามาในตระกูลหนานกง สุดท้ายแผนการของพวกเธอก็สำเร็จ และยังทำให้เขาตายอีก ในฐานะที่เป็นแม่ ทำไมเธอถึงเลือดเย็นทำกับลูกตัวเองแบบนี้ได้ลงคอ เธอไม่กลัวจะตกนรกตลอดชีวิตหรือไง เธอ….
“ไม่ … !” ไป๋มู่ชิงขัดจังหวะเขา ร้องไห้อย่างขมขื่นและส่ายหัว “ฉันเปล่านะ ฉันรักเขาจริงๆ ฉันไม่ได้ใช้เขาเป็นเครื่องมือ … ฉันไม่เคยคิดจะใช้เขาเป็นเครื่องมือเลยด้วยซ้ำ … ”
“คำโกหกหลอกลวงแบบนี้ ลองพูดกับเขาสิ ดูซิว่าเขาจะให้อภัยไหม!” หนานกงเฉิน ผลักอย่างแรง ทำให้เธอหันหน้าไปทางหลุมฝังศพขนาดเล็กอีกครั้ง
ไป๋มู่ชิงก้าวไปข้างหน้าด้วยมือและเท้าทั้งสองข้าง จับหลุมฝังศพและร้องไห้อย่างขมขื่น “ขอโทษ ลูกแม่ แม่ไม่ได้ตั้งใจ แม่ถูกบังคับ ขอร้องล่ะยกโทษให้แม่ด้วย ขอโทษ … ”
เธอใช้หลังมือสัมผัสน้ำตาบนใบหน้าไปมาพลางร้องไห้ด้วยความเสียใจ
แม้ว่าตัวเธอเองจะถูกบังคับให้ทำก็ตาม แต่ลูกก็ต้องมาตายเพราะพวกเธอและเธอเองก็มีส่วนในการก่อให้เกิดบาปนี้ด้วย!
เสียงร้องไห้และคำขอโทษของเธอดังก้องในหูของหนานกงเฉิน เขาจึงขัดจังหวะเธออย่างรู้สึกรำคาญ “พอแล้ว อย่ามาเสแสร้งที่นี่ เพราะมันล้างบาปของเธอไม่ได้แม้แต่นิดเดียว !”
“นายน้อยเฉิน” ไป๋มู่ชิงหันมาหาเขาอย่างรวดเร็วพลางจับขากางเกงของเขาและร้องไห้อย่างขมขื่น “ฉันถูกบังคับจริงๆ ทำไมคุณไม่ยอมเชื่อฉันและปล่อยฉันไป คุณฉลาดมากขนาดนั้น ทุกอย่างอยู่ในมือของคุณ คุณควรจะรู้ว่าฉันถูกบังคับ ”
“ไม่ใช่ว่าฉันไม่เชื่อคำพูดของเธอ แต่ … ” หนานกงเฉินโน้มตัวและดึงฝ่ามือออกจากขาของเธอ”ฉันพูดไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แม้ว่าเธอจะโดนเอามีดจ่ออยู่ที่คอ การโกหกหลอกลวงก็คือการโกหกหลอกลวง เป็นความจริงที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม ”
ไป๋มู่ชิงจ้องมองเขาอย่างว่างเปล่า เพราะรู้ว่าเขาคิดอย่างนั้นจริงๆ
ผู้ชายที่แข็งแกร่งอย่างเขาจะสนใจเธอที่ถูกซวีหยาหรงสองแม่ลูกบังคับหรือไม่ ต่อให้เวลาสามวันสามคืนในการให้เธออธิบาย ยังไงซะมันก็ไม่มีประโยชน์
“ ถ้าอย่างนั้นคุณต้องการให้ฉันทำอะไร คุณถึงจะยอมปล่อยครอบครัวของฉันไป” เธอส่ายหัว“ คุณฆ่าพ่อของฉันและยึดบริษัทของเขา แค่นั้นยังไม่สะใจอีกเหรอ ต้องทำร้ายเด็กที่ไร้เดียงสาเช่นเสี่ยวอี้อีก คุณพอใจหรือยัง ”
“เธอช่วยทำความเข้าใจใหม่นะ” หนานกงเฉินยังคงต่อว่าเธอ “การหนีภาษีของพ่อเธอไม่ใช่สิ่งที่ฉันขอให้เขาทำลูกค้าของเขามีสิทธิ์เลือกบริษัทที่จะร่วมมือด้วย แม้ว่าฉันจะไม่ซื้อเขาก็ตาม บริษัทก็จะตกเป็นของคนอื่นในท้ายที่สุด เขาต้องเผชิญกับคุกยี่สิบปี เขาเริ่มกลัวความรู้สึกผิดของตัวเอง เขาจึงฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดลงจากตึก
เขาหัวเราะเยาะ “ไม่งั้นเธอคิดว่าทำไมเขาถึงกระโดดตึกล่ะ คนเห็นแก่ตัวแบบนั้นจะยอมกระโดดลงมาเพื่อเธองั้นเหรอ?”
“ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ทำไมเขาถึงโดนตรวจสอบบัญชีภาษีล่ะ” ไป๋มู่ชิงพูดอย่างโกรธ ๆ ถ้าเขาไม่ได้ซื้อหุ้นของบริษัทไป๋กรุ๊ปเป็นจำนวนมาก ตระกูลไป๋จะกลายเป็นของเขาได้อย่างไร?
“ถูกต้อง ฉันขอให้คนเก็บภาษีดูเรื่องภาษีของบริษัทเป็นพิเศษ แต่ถ้าเขาไม่หนีภาษาก่อนเอง จะกลัวโดนตรวจสอบไปทำไมล่ะ”หนานกงเฉินหยุดการสนทนาทันทีพลางลูบคิ้วของเขา”จริงๆเลย … ทำไมฉันต้องบอกเรื่องพวกนี้กับเธอด้วยนะ ตระกูลไป๋พังพินาศด้วยฝีมือฉัน ไป๋จิ้งผิงก็ฆ่าตัวตายเพราะฉันบีบบังคับ ซวีหยาหรงก็โดนฉันทำให้เข้าคุก แล้วยังไง นี่มันไม่ใช่ทำอะไรก็ได้อย่างนั้นเหรอ ? ”
หลังจากพูดแล้วเธอก็หันหลังเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
ผู่เหลียนเหยามองไปที่เธอ แต่ไม่มีร่องรอยของความโกรธเลย มุมปากของเธอโค้งงอเผยให้เห็นรอยยิ้มเล็กน้อย
ไม่มีข่าวจากใดๆจากหนานกงเฉินมาหลายวันแล้ว ไป๋มู่ชิงยังคงถูกขังอยู่ในคฤหาสน์หลังเล็ก ๆ แห่งนี้ เธอเอาแต่นั่งเหม่อลอยคิดเพ้อเจ้ออยู่ทุกวัน
หนานกงเฉินมีท่าทีที่เด็ดขาดมาก เธอไม่กล้าคาดหวังให้เขาให้อภัยเธอ ปล่อยเธออกไป
สิ่งที่ทำให้เธอต้องทนทุกข์ทรมานคือไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีโทรศัพท์มือถือ ซึ่งหมายความว่าการติดต่อกับภายนอกถูกตัดขาดโดยสิ้นเชิง ยกเว้นครั้งเดียวที่ฉันเห็นข่าวว่าบริษัทไป๋กรุ๊ปถูกซื้อกิจการทางทีวี นอกนั้นฉันไม่เคยได้ยินข่าวใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้อีกเลย
เธอไม่มีโอกาสโทรหาเหยาเหม่ยและซูซี่
วันนี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ที่เธอเอ่ยปากขอยืมโทรศัพท์จากยาม แต่ยากกลับปฏิเสธอย่างไม่รีรอเหมือนเช่นครั้งก่อนๆ
หมดหนทาง ไป่มู่ชิงทำได้แค่กลับเข้าในบ้านไป
มีเสียงรถดังขึ้นจากด้านหลังของเธอ เมื่อไป๋มู่ชิงหันกลับมา ก็เห็นรถเบนซ์คันหนึ่งขับมาจอด เธออึ้งไปสักพัก ในตอนแรกไม่รู้เลยว่าจะต้องรู้สึกดีใจหรือกังวล
ในที่สุดหนานกงเฉินก็มาพบเธอด้วยความเต็มใจ คงจะมีอะไรบางอย่างทำให้เขาโกรธขึ้นมาอีก ดังนั้นเมื่อเธอได้ยินเสียงรถ ปฏิกิริยาตอบสนองแรกของเธอจึงเป็นคนตื่นตระหนก
รถเคลื่อนตัวมาหยุดอยู่ข้างๆเธอ เลขเหยียนเดินลงมาจากรถ
ไป๋มู่ชิงมองไปที่เบาะหลัง แต่ไม่เห็นเงาของหนานกงเฉิน
“ คุณชายเฉินไม่ได้มาที่นี่ในวันนี้” เลขาเหยียนเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเธอกำลังมองหาอะไร
ไป๋มู่ชิงพยักหน้าลดศีรษะลงอย่างเขินอายเมื่อหันหน้าไปทางเลขาเหยียน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น จ้องไปที่เธออีกครั้งและถามว่า “เลขาเหยียนมีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ”
เลขาเหยียนเดินไปที่ท้ายรถหยิบกระเป๋าใบใหญ่ออกมาและพูดว่า “ในนี้มีเสื้อผ้าและของใช้ในชีวิตประจำวันอยู่ มีไม่เยอะแต่คุณน่าจะพอใช้”
ไป๋มู่ชิงมองไปที่กระเป๋าใบใหญ่ในมือของเธอและถามว่า “คุณชายเฉินเป็นคนส่งมาหรือเปล่าคะ?”
เลขาเหยียนมองไปที่เธอแล้วส่ายหัว “ไม่”
เธอรู้ดีว่าเป้นไปไม่ได้ที่หนานกงเฉินจะให้เลขาเหยียนส่งของมาให้ หนานกงเฉินเกลียดเธอขนาดนั้น จะสนใจเหรอว่าเธอจะอยู่หรือตาย?
“ขอบคุณค่ะ” เธอเดินขึ้นรับกระเป๋าใบใหญ่จากเลขาเหยียนและพูดหลังจากลังเลไปครู่หนึ่ง”เลขาเหยียน คุณช่วยอะไรฉันสักอย่างได้ไหม”
“ เข้าไปก่อนแล้วค่อยคุยกัน” เลขาเหยียนเดินนำเข้าบ้านไปก่อน
ทั้งสองเข้ามาในบ้านด้วยกัน ไป๋มู่ชิงรินน้ำวางไว้ตรงหน้าเธอพลางจ้องมองเธอด้วยดวงตาแดงก่ำ”ฉันรู้ว่าคนที่สามารถคุยกับหนานกงเฉินได้ นอกจากคุณผู้หญิง ก็คือคุณ ดังนั้นฉันจึงอยากขอให้คุณช่วยอะไรฉันหน่อย ”
“คุณต้องการให้ฉันช่วยขอร้องคุณชายเฉินให้ปล่อยคุณไปใช่ไหม”
“ไม่ ฉันไม่คาดหวังว่าเขาจะปล่อยฉันไป” ไป๋มู่ชิงส่ายหัว “ฉันแค่หวังว่าเขาจะปล่อยน้องชายและแม่ของฉัน ฉันทำเรื่องนี้คนเดียวก็ควรรับผิดชอบคนเดียว … หวังว่าเขาจะไม่ทำร้ายคนบริสุทธิ์ เสี่ยวอี้ ..เสี่ยวอี้ร่างกายไม่แข็งแรง ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาให้ทันเวลาล่ะก็…. ”
เธอไม่สามารถบอกผลที่จะตามมาได้ เมื่อเธอกะพริบตา หยดน้ำตาก็ไหลรินออกมา
เลขาเหยียนมองไปที่ดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาของเธอและยิ้มอย่างช่วยไม่ได้”คุณหนูไป๋คุณดูถูกฉันเกินไปแล้วนะคะ ความสัมพันธ์ของฉันกับคุณชายเฉินไม่ได้ดีขนาดนั้นหรอกค่ะ”
“ แต่ไม่มีใครช่วยฉันได้นอกจากคุณ”
“ เมื่อตอนที่คุณกับไป๋ยิ่งอันร่วมมือกับทำเรื่องนี้ ก็คงพอจะนึกถึงผลลัพธ์ออกอยู่แล้วใช่ไหม?”
“ขอโทษด้วย ฉันถูกบังคับ ถูกพวกไป๋ยิ่งอันบังคับให้ทำ”
“คำพูดนี้คุณควรจะบอกกับคุณชายเฉิน พูดกับฉันไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ”
“ฉันเคยพูดไปแล้ว แต่คุณชายเฉินบอกว่าไม่ว่าเหตุผลจะเป็นอย่างไรเขาก็จะไม่ยกโทษให้ฉัน” ไป๋มู่ชิงดูทำอะไรไม่ถูก “ที่จริงฉันแค่หวังว่าเขาจะปล่อยเสี่ยวอี้ และจะไม่ขออะไรอีกเลย”
“คุณชายเฉินมีนิสัยแบบนี้แหละค่ะ ใครกล่อมก็ไม่มีประโยชน์ ยังไงซะรอให้เขาให้โกรธก่อนดีกว่า”เลขาเหยียนแสดงออกว่าเธอเองก็ช่วยอะไรไม่ได้เช่นกัน
“รอให้เขาให้โกรธ คงจะไม่มีทางเป็นไปได้ตลอดไปใช่ไหมคะ?” ไป๋มู่ชิงรู้สึกผิดหวัง เมื่อตอนที่เห็นเลขาเหยียนเมื่อครู่ ในใจของเธอราวกับว่าในใจมีความหวังขึ้นมา ไม่คิดว่าความคาดหวังจะแปรเปลี่ยนเป็นความผิดหวังได้เร็วเพียงนี้
เมื่อเห็นความผิดหวังบนใบหน้าของเธอเลขาเหยียนก็ส่ายหัวและพูดว่า “นั่นไม่จำเป็นถึงแม้คุณจะทำเรื่องที่โหดร้ายกับคุณชายเฉิน แต่ความรู้สึกที่เขามีต่อคุณกลับไม่เคยหายไปเลย”

ด้วยวิธีการปฏิบัติกับตระกูลไป๋ของหนานกงเฉิน ทำให้เธอจินตนาการได้ว่าจุดจบของหลินอันหนานก็คงไม่ดีเช่นกัน
แท้ที่จริงแล้วเธอยังคงเป็นห่วงหลินอันหนาน ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนจะเกลียดเขาเข้ากระดูก แต่ถึงยังไงเขาก็เป็นคนช่วยเธอออกมาจากเงื้อมมือของซูวยาหยง ช่วงนี้เขาก็กลับเนื้อกลับตัวใหม่ เอาใจใส่เธออย่างใกล้ชิด
ขอเพียงหวังว่าเขาจะเห็นแก่คุณนายหลิน ในฐานะที่เป็นป้าแท้ๆของเขา จะเบามือกับหลินอันหนานบ้าง !
ขณะที่เธอกำลังคิดไปเรื่อยเปื่อย จนไม่รู้ตัวเลยว่ารถได้หยุดลงตั้งแต่เมื่อไหร่
ไป๋มู่ชิงตกตะลึง จากนั้นเอนหลังพิงหน้าต่างกระจกและมองไปที่ทิวทัศน์ด้านนอก
ที่นี่ดูคุ้นเคย แต่ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้จะไม่เคยมาเลยแม้เพียงสักครั้ง เมื่อลองมองทิวทัศน์ไกลๆอีกครั้ง ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็นึกขึ้นได้ว่าที่นี้คือสวนหลังบ้านของตระกูลหนานกงนั่นเอง
เมื่อครูหนานกงเฉินไม่ได้เข้าทางประตูหน้า แต่กลับพาเธอเข้าทางหลังบ้านโดยตรง
สวนหลังบ้านของตระกูลหนานกงนั้นใหญ่เกินกว่าจะเดินได้ทั่ว และผู้คนจากตระกูลหนานกงก็ไม่ปล่อยให้เธอไปไหนโดยพลการ เธอจึงรู้สึกว่ามันแปลก แค่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมหนานกงเฉินถึงพาเธอมาที่นี่อย่างกะทันหัน เธอจะถูกขังไว้ที่นี่เพื่อรอความตายจริงๆเหรอ?
เมื่อแสงไฟข้างหน้าเธอมืดลงและประตูรถถูกเปิดออกจากด้านนอก ไป๋มู่ชิงไม่ทันได้ยกศีรษะขึ้นทำให้เธอล้มลงไปกับพื้น โชคยังดีที่พื้นเป็นพื้นหญ้า ล้มลงไปจึงไม่รู้สึกเจ็บเท่าไหร่นัก
วินาทีต่อมาหนานกงเฉินจับเธอขึ้นจากพื้นอีกครั้ง ลากข้อมือของเธอแล้วเดินไปทางด้านขวา
ไป๋มู่ชิงถูกเขาลากออกไปตลอดทางและถามอย่างโกรธ ๆว่า “หนานกงเฉิน คุณจะทำอะไรคุณปล่อยฉันไปเถอะนะ … ”
หนานกงเฉินปล่อยเธอตามที่ขอร้อง เพียงแต่เป็นการเหวี่ยงเธอลงกับพื้น ร่างของไป๋มู่ชิงล้มลง ศีรษะเกือบไปกระแทกเข้ากับก้อนหินที่วางอยู่ด้านข้าง
เธอรีบลุกขึ้นจากพื้น เอาตัวแอบซ่อนอยู่หลังก้อนหินและจ้องมองเขาด้วยความตื่นตระหนก
ถ้าหนานกงเฉินหยิบปืนออกมาและฆ่าเธอในป่ารกร้างแห่งนี้เธอจะไม่แปลกใจเลย ด้วยความโกรธของหนานกงเฉินในเวลานี้นั้น ฉันทำอะไรไม่ได้สักอย่างเลยเหรอ
“ รู้ไหมวันนี้เป็นวันอะไร?” หนานกงเฉินจ้องมองเธออย่างไม่วางตา ดวงตาของเขาเย็นชาราวกับน้ำแข็ง
ไป๋มู่ชิงครุ่นคิดสักพักและในที่สุดก็ส่ายหัว
เธอไม่รู้ เธอไม่รู้จริงๆ!
หนานกงเฉินโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ลากเธอออกไปจากหินโดยไม่สนใจเสียงร้องที่เจ็บปวดของเธอและชี้ไปที่ป้ายหินตรงหน้า”ไม่รู้งั้นเหรอ เธอดูซะให้เต็มตา”
ไป๋มู่ชิงถูกบังคับให้เผชิญหน้ากับหลุมฝังศพขนาดเล็ก ซึ่งดูเหมือนหลุมฝังศพขนาดเล็กที่เพิ่งสร้างขึ้น เหนือหลุมฝังศพมีรูปถ่ายของทารกน้อย
ทันทีที่เธอเห็นหลุมฝังศพใหม่นี้และรูปถ่ายทารกบนหลุมฝังศพ ไป๋มู่ชิงก็เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เธอยกมือขึ้นปิดปากน้ำตาไหลพรากออกมาจากดวงตาของเธอ
เด็กคนนี้ … เธอยังไม่รู้ว่าเขาเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองหรือเปล่า เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นเขา
ไม่ว่าเขาจะใช่ลูกที่เธอคลอดมาเองหรือไม่ ในฐานะคนเป็นแม่ เธอได้เห็นคนที่เด็กขนาดนี้ถูกแขวนไว้บนป้ายหลุมศพ อย่างไรก็ต้องรู้สึกเจ็บปวด
เธอคุกเข่าอยู่หน้าหลุมฝังศพ ใช้มือเล็ก ๆ ปิดปากและคร่ำครวญ ในที่สุดก็รู้ว่าทำไม หนานกงเฉินถึงบังคับให้เธอสวมชุดสีดำในวันนี้และพาเธอมาที่นี่
เธอเงยหน้าขึ้นและจ้องไปที่หนานกงเฉินด้วยน้ำตาเป็นเวลานาน ก่อนที่จะพูดออกมาสามคำ “ฉันขอโทษ … ”
หนานกงเฉินคุกเข่าข้างหนึ่งพลางจับไหล่ของเธอด้วยมือทั้งสองข้าง และบังคับให้เธอหันกลับมา จ้องมองเธอ กัดฟันแล้วพูดว่า “เธอยังจะมีหน้ามาขอโทษอีกเหรอ ตอนแรกเธอเสแสร้งทำเป็นว่ารักเขามาก ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไรก็จะคลอดออกมาให้ได้ แต่ในความเป็นจริงน่ะเหรอ ความเป็นจริงเธอกลับใช้เขาเป็นเครื่องมือ ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อให้ไป๋ยิ่งอันเข้ามาในตระกูลหนานกง สุดท้ายแผนการของพวกเธอก็สำเร็จ และยังทำให้เขาตายอีก ในฐานะที่เป็นแม่ ทำไมเธอถึงเลือดเย็นทำกับลูกตัวเองแบบนี้ได้ลงคอ เธอไม่กลัวจะตกนรกตลอดชีวิตหรือไง เธอ….
“ไม่ … !” ไป๋มู่ชิงขัดจังหวะเขา ร้องไห้อย่างขมขื่นและส่ายหัว “ฉันเปล่านะ ฉันรักเขาจริงๆ ฉันไม่ได้ใช้เขาเป็นเครื่องมือ … ฉันไม่เคยคิดจะใช้เขาเป็นเครื่องมือเลยด้วยซ้ำ … ”
“คำโกหกหลอกลวงแบบนี้ ลองพูดกับเขาสิ ดูซิว่าเขาจะให้อภัยไหม!” หนานกงเฉิน ผลักอย่างแรง ทำให้เธอหันหน้าไปทางหลุมฝังศพขนาดเล็กอีกครั้ง
ไป๋มู่ชิงก้าวไปข้างหน้าด้วยมือและเท้าทั้งสองข้าง จับหลุมฝังศพและร้องไห้อย่างขมขื่น “ขอโทษ ลูกแม่ แม่ไม่ได้ตั้งใจ แม่ถูกบังคับ ขอร้องล่ะยกโทษให้แม่ด้วย ขอโทษ … ”
เธอใช้หลังมือสัมผัสน้ำตาบนใบหน้าไปมาพลางร้องไห้ด้วยความเสียใจ
แม้ว่าตัวเธอเองจะถูกบังคับให้ทำก็ตาม แต่ลูกก็ต้องมาตายเพราะพวกเธอและเธอเองก็มีส่วนในการก่อให้เกิดบาปนี้ด้วย!
เสียงร้องไห้และคำขอโทษของเธอดังก้องในหูของหนานกงเฉิน เขาจึงขัดจังหวะเธออย่างรู้สึกรำคาญ “พอแล้ว อย่ามาเสแสร้งที่นี่ เพราะมันล้างบาปของเธอไม่ได้แม้แต่นิดเดียว !”
“นายน้อยเฉิน” ไป๋มู่ชิงหันมาหาเขาอย่างรวดเร็วพลางจับขากางเกงของเขาและร้องไห้อย่างขมขื่น “ฉันถูกบังคับจริงๆ ทำไมคุณไม่ยอมเชื่อฉันและปล่อยฉันไป คุณฉลาดมากขนาดนั้น ทุกอย่างอยู่ในมือของคุณ คุณควรจะรู้ว่าฉันถูกบังคับ ”
“ไม่ใช่ว่าฉันไม่เชื่อคำพูดของเธอ แต่ … ” หนานกงเฉินโน้มตัวและดึงฝ่ามือออกจากขาของเธอ”ฉันพูดไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แม้ว่าเธอจะโดนเอามีดจ่ออยู่ที่คอ การโกหกหลอกลวงก็คือการโกหกหลอกลวง เป็นความจริงที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม ”
ไป๋มู่ชิงจ้องมองเขาอย่างว่างเปล่า เพราะรู้ว่าเขาคิดอย่างนั้นจริงๆ
ผู้ชายที่แข็งแกร่งอย่างเขาจะสนใจเธอที่ถูกซวีหยาหรงสองแม่ลูกบังคับหรือไม่ ต่อให้เวลาสามวันสามคืนในการให้เธออธิบาย ยังไงซะมันก็ไม่มีประโยชน์
“ ถ้าอย่างนั้นคุณต้องการให้ฉันทำอะไร คุณถึงจะยอมปล่อยครอบครัวของฉันไป” เธอส่ายหัว“ คุณฆ่าพ่อของฉันและยึดบริษัทของเขา แค่นั้นยังไม่สะใจอีกเหรอ ต้องทำร้ายเด็กที่ไร้เดียงสาเช่นเสี่ยวอี้อีก คุณพอใจหรือยัง ”
“เธอช่วยทำความเข้าใจใหม่นะ” หนานกงเฉินยังคงต่อว่าเธอ “การหนีภาษีของพ่อเธอไม่ใช่สิ่งที่ฉันขอให้เขาทำลูกค้าของเขามีสิทธิ์เลือกบริษัทที่จะร่วมมือด้วย แม้ว่าฉันจะไม่ซื้อเขาก็ตาม บริษัทก็จะตกเป็นของคนอื่นในท้ายที่สุด เขาต้องเผชิญกับคุกยี่สิบปี เขาเริ่มกลัวความรู้สึกผิดของตัวเอง เขาจึงฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดลงจากตึก
เขาหัวเราะเยาะ “ไม่งั้นเธอคิดว่าทำไมเขาถึงกระโดดตึกล่ะ คนเห็นแก่ตัวแบบนั้นจะยอมกระโดดลงมาเพื่อเธองั้นเหรอ?”
“ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ทำไมเขาถึงโดนตรวจสอบบัญชีภาษีล่ะ” ไป๋มู่ชิงพูดอย่างโกรธ ๆ ถ้าเขาไม่ได้ซื้อหุ้นของบริษัทไป๋กรุ๊ปเป็นจำนวนมาก ตระกูลไป๋จะกลายเป็นของเขาได้อย่างไร?
“ถูกต้อง ฉันขอให้คนเก็บภาษีดูเรื่องภาษีของบริษัทเป็นพิเศษ แต่ถ้าเขาไม่หนีภาษาก่อนเอง จะกลัวโดนตรวจสอบไปทำไมล่ะ”หนานกงเฉินหยุดการสนทนาทันทีพลางลูบคิ้วของเขา”จริงๆเลย … ทำไมฉันต้องบอกเรื่องพวกนี้กับเธอด้วยนะ ตระกูลไป๋พังพินาศด้วยฝีมือฉัน ไป๋จิ้งผิงก็ฆ่าตัวตายเพราะฉันบีบบังคับ ซวีหยาหรงก็โดนฉันทำให้เข้าคุก แล้วยังไง นี่มันไม่ใช่ทำอะไรก็ได้อย่างนั้นเหรอ ? “

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset