เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 141 ไม่อยากพลาดโอกาส

ไป๋มู่ชิงไม่สนใจอะไรแล้ว เธอมองตามเขาก่อนถาม “เมื่อคืนคุณรับปากฉันแล้วว่าจะปล่อยเสี่ยวอี้และแม่”
หนานกงเฉินทำเป็นคิดก่อนตอบ: “อย่างงั้นเหรอ? ทำไมฉันจำไม่ได้ว่าเคยรักปากเธอ?”
“คุณรับปากฉันแล้วชัดๆ……”
“อ๋อ นึกออกละ ฉันบอกว่าถ้าเธอปรนนิบัติฉันได้ถูกใจก็จะปล่อยตัวเสี่ยวอี้ แต่น่าเสียใจที่ลีลาเธอไม่ถูกใจฉันเท่าไหร่ ฉะนั้น……. ” หนานกงเฉินยันกายขึ้น เอามือจับปลายคางเธอขึ้นแล้วจูบบนริมฝีปากเธอทีหนึ่ง: “เสียใจด้วยนะ เอาไว้รอบหน้าค่อยดูฝีมือเธออีกทีละกัน”
“รอบหน้า? หนานกงเฉินคุณเห็นฉันเป็นอะไร?” เธอโกรธจนพูดไม่ออก
ก็เป็นนางบำเรอและที่ระบายอารมณ์ความใคร่ของฉันไง ดังนั้น……ช่วยทำตัวให้มันดีๆหน่อย อย่างทำให้ฉันโมโหมากไปกว่านี้ ไม่งั้นเธอจะไม่เจอฉันแค่คนเดียว แต่จะได้เป็นโสเภณีเหมือนพี่สาวเธอ”
“คุณหมายความว่าไง?” ไป๋มู่ชิงตกตะลึง เขาทำอะไรไป๋ยิ่งอันกันแน่?
หนานกงเฉินไม่ได้ตอบคำถามเธอ เขาจ้องเขม็งมาที่เธอก่อนพูดเสียงลอดไรฟัน: “ต่อไปถ้ายังพูดคำว่า “เสี่ยวอี้” ต่อหน้าฉันอีก ฉันจะทำให้เขาหายไปจากโลกทันที”
“คุณกล้าเหรอ?”
“ก็ลองดูว่าฉันจะกล้าหรือเปล่า?” หนานกงเฉินพูดทิ้งท้าย ก่อนจะเดินออกไปทางประตู
“หนานกงเฉิน! คุณทำแบบนี้ไม่ได้นะ! คุณจะทำร้ายเสี่ยวอี้แบบนี้ไม่ได้……!” ไป๋มู่ชิงวิ่งตามเขาออกไป แต่หนานกงเฉินได้เปิดประตูรถขึ้นไปนั่งเรียบร้อย มีเสี่ยวหลินขับรถพาเขาออกจากคฤหาสน์
ไป๋มู่ชิงเข้าใจว่าคงจะอีกหลายวันกว่าเธอจะได้พบหนานกงเฉินอีกครั้ง แต่ไม่คิดว่าช่วงบ่ายเขาจะกลับเข้ามาอีกครั้ง
หนานกงเฉินเข้ามาที่คฤหาสน์ในช่วงบ่ายอีกครั้ง ในบ้านเงียบกริบเหมือนไม่มีคนอยู่ เขาเดินหาเธอไปทั่วทั้งชั้นบนและชั้นล่าง จนกระทั่งเจอเธอที่สวนหลังบ้าน
เห็นเธอนอนหลับอยู่บนโต๊ะหินอ่อน ในมือยังถือดินสอวาดรูปอยู่และมีภาพวาดวางอยู่ข้างๆ ซึ่งเป็นภาพร่างของเด็กทารกน้อยกำลังนอนหลับตาพริ้ม
ทารกน้อยอ้วนท้วนน่ารัก โครงหน้าโดยรวมดูคล้ายเธอและเขา
เธอต้องเบื่อแค่ไหนถึงได้วาดภาพที่แทบไม่มีความหมายอะไรเลย? หนานกงเฉินทำเสียงหยันในลำคอก่อนจะยื่นมือไปดึงภาพร่างที่วางอยู่บนโต๊ะ
ภาพร่างที่วางอยู่บนโต๊ะถูกไป๋มู่ชิงนอนทับมุมภาพอยู่ พอเขายื่นมือไปดึงภาพวาดก็ทำให้ไป๋มู่ชิงสะดุ้งตื่นทันที
พอเห็นนานกงเฉินยืนอยู่ตรงหน้า จากที่เธอยังงัวเงียอยู่ก็ลุกขึ้นยืนทันที แล้วรีบรวบเก็บของที่อยู่บนโต๊ะพร้อมถามเขา “คุณชายใหญ่ คุณมาได้ไงคะ?”
เมื่อเช้าเขาเพิ่งออกไปจากที่นี่? แล้วก็ยังบอกว่าจะไม่มาที่นี่อีก?
หนานกงเฉินโน้มตัวเล็กน้อย ก่อนจะเอาฝ่ามือทับมุมภาพวาดไว้ ไป๋มู่ชิงพยายามดึงภาพวาดกลับอยู่หลายครั้ง
ไป๋มู่ชิงลนลานเล็กน้อย เธอรู้ว่าเรื่องเด็กเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับหนานกงเฉิน และรู้ว่าหนานกงเฉินเกลียดเธอมากที่ทำให้เขาต้องเสียลูกไป
“ฉัน…..รู้สึกเบื่อๆ เลยมานั่งวาดรูปเล่น ต้องขอโทษด้วยค่ะ” เธอกล่าวขอโทษ
หนานกงเฉินย้ายสายตาจากภาพร่างขึ้นมามองหน้าเธอ ก่อนยิ้มด้วยสีหน้าเย็นชา “หน้าตาเขาเป็นไงยังจำไม่ได้ แล้วมาวาดรูปบ้าอะไร?”
เขากำกระดาษวาดรูปแล้วดึงด้วยความแรง ก่อนจะฉีกภาพวาดออกเป็นชิ้นๆโยนลงพื้นด้วยความโมโห “ต่อไปห้ามเธอเอาเขามาย่ำยีแบบนี้อีก เข้าใจมั้ย?”
ไป๋มู่ชิงพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว”
เธอเองก็ยังไม่เคยเห็นหน้าลูกเลย และไม่รู้ว่าหน้าตาเขาเป็นไงยัง ภาพร่างนี้เธอวาดขึ้นมาจากความรู้สึกเท่านั้น
เธอยืนก้มหน้าอยู่หน้าเขาชั่วครู่ เมื่อเห็นว่าเขาไม่พูดอะไร เธอจึงเงยหน้าขึ้นมาถาม “คุณชายใหญ่ มีเรื่องอะไรมั้ยคะ?”
หนานกงเฉินเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าเขามาที่นี่ทำไม “ตามฉันมา” เขาพูดทิ้งท้ายก่อนเดินนำไปทางสวนหน้าบ้าน
“ไปไหนเหรอ?” ไป๋มู่ชิงถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
ครั้งก่อนหนานกงเฉินลากเธอไปหน้าหลุมศพของลูก ครั้งนี้ไม่รู้ว่าเขาจะพาเธอไปที่ไหนอีก?
หนานกงเฉินไม่สนใจเธอ ยังคงเดินต่อไปข้างหน้า
ไป๋มู่ชิงไม่กล้าชักช้า รีบเดินตามไป
มาถึงสวนด้านหน้า หนานกงเฉินหยิบถุงที่วางอยู่บนเบาะข้างคนขับโยนให้เธอ “ไปเปลี่ยนเสื้อ”
ไป๋มู่ชิงรับถุงมาเปิดดู เห็นว่าในถุงมีชุดราตรีเปิดไหล่ชุดหนึ่งอยู่ในนั้น เงยหน้าขึ้นมาพูดกับเขาอย่างตะขิดตะขวงใจ “ฉันไม่อยากใส่เสื้อที่ดูโป๊เปลือยแบบนี้”
หนานกงเฉินหรี่ตาเล็กน้อย “แกล้งทำเป็นใสซื่อ? ก่อนหน้านี้ก็เห็นชอบใส่อยู่ไม่ใช่เหรอ?”
ไป๋มู่ชิงรู้ว่าเขากำลังพูดถึงช่วงที่เธอแต่งตัวเป็นไป๋ยิ่งอัน เธอค่อยๆเปิดคอเสื้อออกอย่างเขินๆ เผยให้หนานกงเฉินเห็นรอยแดงเป็นจ้ำๆบนผิว “เมื่อคืนคุณทำ……ถ้าคนอื่นเห็นเข้าจะไม่ดี ฉันและคุณอาจจะโดนหัวเราะเยาะได้”
หนานกงเฉินรู้สึกเป็นใบ้ไปชั่วขณะ ก็ใช่ มันเป็นรอยที่เขาฝากไว้ให้เธอหลังจากที่ลงโทษเธอเมื่อคืน ถ้าใส่ไปแบบนี้ก็อาจจะไม่น่ามองเท่าไหร่
“ฉันถามได้มั้ยว่าคุณจะพาฉันไปไหน?”

ไป๋มู่ชิงไม่สนใจอะไรแล้ว เธอมองตามเขาก่อนถาม “เมื่อคืนคุณรับปากฉันแล้วว่าจะปล่อยเสี่ยวอี้และแม่”
หนานกงเฉินทำเป็นคิดก่อนตอบ: “อย่างงั้นเหรอ? ทำไมฉันจำไม่ได้ว่าเคยรักปากเธอ?”
“คุณรับปากฉันแล้วชัดๆ……”
“อ๋อ นึกออกละ ฉันบอกว่าถ้าเธอปรนนิบัติฉันได้ถูกใจก็จะปล่อยตัวเสี่ยวอี้ แต่น่าเสียใจที่ลีลาเธอไม่ถูกใจฉันเท่าไหร่ ฉะนั้น……. ” หนานกงเฉินยันกายขึ้น เอามือจับปลายคางเธอขึ้นแล้วจูบบนริมฝีปากเธอทีหนึ่ง: “เสียใจด้วยนะ เอาไว้รอบหน้าค่อยดูฝีมือเธออีกทีละกัน”
“รอบหน้า? หนานกงเฉินคุณเห็นฉันเป็นอะไร?” เธอโกรธจนพูดไม่ออก
ก็เป็นนางบำเรอและที่ระบายอารมณ์ความใคร่ของฉันไง ดังนั้น……ช่วยทำตัวให้มันดีๆหน่อย อย่างทำให้ฉันโมโหมากไปกว่านี้ ไม่งั้นเธอจะไม่เจอฉันแค่คนเดียว แต่จะได้เป็นโสเภณีเหมือนพี่สาวเธอ”
“คุณหมายความว่าไง?” ไป๋มู่ชิงตกตะลึง เขาทำอะไรไป๋ยิ่งอันกันแน่?
หนานกงเฉินไม่ได้ตอบคำถามเธอ เขาจ้องเขม็งมาที่เธอก่อนพูดเสียงลอดไรฟัน: “ต่อไปถ้ายังพูดคำว่า “เสี่ยวอี้” ต่อหน้าฉันอีก ฉันจะทำให้เขาหายไปจากโลกทันที”
“คุณกล้าเหรอ?”
“ก็ลองดูว่าฉันจะกล้าหรือเปล่า?” หนานกงเฉินพูดทิ้งท้าย ก่อนจะเดินออกไปทางประตู
“หนานกงเฉิน! คุณทำแบบนี้ไม่ได้นะ! คุณจะทำร้ายเสี่ยวอี้แบบนี้ไม่ได้……!” ไป๋มู่ชิงวิ่งตามเขาออกไป แต่หนานกงเฉินได้เปิดประตูรถขึ้นไปนั่งเรียบร้อย มีเสี่ยวหลินขับรถพาเขาออกจากคฤหาสน์
ไป๋มู่ชิงเข้าใจว่าคงจะอีกหลายวันกว่าเธอจะได้พบหนานกงเฉินอีกครั้ง แต่ไม่คิดว่าช่วงบ่ายเขาจะกลับเข้ามาอีกครั้ง
หนานกงเฉินเข้ามาที่คฤหาสน์ในช่วงบ่ายอีกครั้ง ในบ้านเงียบกริบเหมือนไม่มีคนอยู่ เขาเดินหาเธอไปทั่วทั้งชั้นบนและชั้นล่าง จนกระทั่งเจอเธอที่สวนหลังบ้าน
เห็นเธอนอนหลับอยู่บนโต๊ะหินอ่อน ในมือยังถือดินสอวาดรูปอยู่และมีภาพวาดวางอยู่ข้างๆ ซึ่งเป็นภาพร่างของเด็กทารกน้อยกำลังนอนหลับตาพริ้ม
ทารกน้อยอ้วนท้วนน่ารัก โครงหน้าโดยรวมดูคล้ายเธอและเขา
เธอต้องเบื่อแค่ไหนถึงได้วาดภาพที่แทบไม่มีความหมายอะไรเลย? หนานกงเฉินทำเสียงหยันในลำคอก่อนจะยื่นมือไปดึงภาพร่างที่วางอยู่บนโต๊ะ
ภาพร่างที่วางอยู่บนโต๊ะถูกไป๋มู่ชิงนอนทับมุมภาพอยู่ พอเขายื่นมือไปดึงภาพวาดก็ทำให้ไป๋มู่ชิงสะดุ้งตื่นทันที
พอเห็นนานกงเฉินยืนอยู่ตรงหน้า จากที่เธอยังงัวเงียอยู่ก็ลุกขึ้นยืนทันที แล้วรีบรวบเก็บของที่อยู่บนโต๊ะพร้อมถามเขา “คุณชายใหญ่ คุณมาได้ไงคะ?”
เมื่อเช้าเขาเพิ่งออกไปจากที่นี่? แล้วก็ยังบอกว่าจะไม่มาที่นี่อีก?
หนานกงเฉินโน้มตัวเล็กน้อย ก่อนจะเอาฝ่ามือทับมุมภาพวาดไว้ ไป๋มู่ชิงพยายามดึงภาพวาดกลับอยู่หลายครั้ง
ไป๋มู่ชิงลนลานเล็กน้อย เธอรู้ว่าเรื่องเด็กเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับหนานกงเฉิน และรู้ว่าหนานกงเฉินเกลียดเธอมากที่ทำให้เขาต้องเสียลูกไป
“ฉัน…..รู้สึกเบื่อๆ เลยมานั่งวาดรูปเล่น ต้องขอโทษด้วยค่ะ” เธอกล่าวขอโทษ
หนานกงเฉินย้ายสายตาจากภาพร่างขึ้นมามองหน้าเธอ ก่อนยิ้มด้วยสีหน้าเย็นชา “หน้าตาเขาเป็นไงยังจำไม่ได้ แล้วมาวาดรูปบ้าอะไร?”
เขากำกระดาษวาดรูปแล้วดึงด้วยความแรง ก่อนจะฉีกภาพวาดออกเป็นชิ้นๆโยนลงพื้นด้วยความโมโห “ต่อไปห้ามเธอเอาเขามาย่ำยีแบบนี้อีก เข้าใจมั้ย?”
ไป๋มู่ชิงพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว”
เธอเองก็ยังไม่เคยเห็นหน้าลูกเลย และไม่รู้ว่าหน้าตาเขาเป็นไงยัง ภาพร่างนี้เธอวาดขึ้นมาจากความรู้สึกเท่านั้น
เธอยืนก้มหน้าอยู่หน้าเขาชั่วครู่ เมื่อเห็นว่าเขาไม่พูดอะไร เธอจึงเงยหน้าขึ้นมาถาม “คุณชายใหญ่ มีเรื่องอะไรมั้ยคะ?”
หนานกงเฉินเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าเขามาที่นี่ทำไม “ตามฉันมา” เขาพูดทิ้งท้ายก่อนเดินนำไปทางสวนหน้าบ้าน
“ไปไหนเหรอ?” ไป๋มู่ชิงถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
ครั้งก่อนหนานกงเฉินลากเธอไปหน้าหลุมศพของลูก ครั้งนี้ไม่รู้ว่าเขาจะพาเธอไปที่ไหนอีก?
หนานกงเฉินไม่สนใจเธอ ยังคงเดินต่อไปข้างหน้า
ไป๋มู่ชิงไม่กล้าชักช้า รีบเดินตามไป
มาถึงสวนด้านหน้า หนานกงเฉินหยิบถุงที่วางอยู่บนเบาะข้างคนขับโยนให้เธอ “ไปเปลี่ยนเสื้อ”
ไป๋มู่ชิงรับถุงมาเปิดดู เห็นว่าในถุงมีชุดราตรีเปิดไหล่ชุดหนึ่งอยู่ในนั้น เงยหน้าขึ้นมาพูดกับเขาอย่างตะขิดตะขวงใจ “ฉันไม่อยากใส่เสื้อที่ดูโป๊เปลือยแบบนี้”
หนานกงเฉินหรี่ตาเล็กน้อย “แกล้งทำเป็นใสซื่อ? ก่อนหน้านี้ก็เห็นชอบใส่อยู่ไม่ใช่เหรอ?”
ไป๋มู่ชิงรู้ว่าเขากำลังพูดถึงช่วงที่เธอแต่งตัวเป็นไป๋ยิ่งอัน เธอค่อยๆเปิดคอเสื้อออกอย่างเขินๆ เผยให้หนานกงเฉินเห็นรอยแดงเป็นจ้ำๆบนผิว “เมื่อคืนคุณทำ……ถ้าคนอื่นเห็นเข้าจะไม่ดี ฉันและคุณอาจจะโดนหัวเราะเยาะได้”
หนานกงเฉินรู้สึกเป็นใบ้ไปชั่วขณะ ก็ใช่ มันเป็นรอยที่เขาฝากไว้ให้เธอหลังจากที่ลงโทษเธอเมื่อคืน ถ้าใส่ไปแบบนี้ก็อาจจะไม่น่ามองเท่าไหร่
“ฉันถามได้มั้ยว่าคุณจะพาฉันไปไหน?”
ไป๋มู่ชิงถูกเธอดึงเข้ามาในห้องตรงข้าม เธอหันกลับมองประตูที่ปิดลง ก่อนจะถามด้วยความอยากรู้ : “เขาคือใครเหรอ? น้องชายเฉียวซือเหิงเหรอ?”
“อืม เพราะมีปัญหาสุขภาพร่างกายทำให้เขามีอารมณ์ฉุนเฉียวน่ากลัว เธอยังกล้าเข้าไปห้องนอนเขา ไม่โดนเขาโยนออกมาก็ถือว่าโชคดีแค่ไหนแล้ว” ซูซี่พาเธอมานั่งลงบนโซฟา ก่อนจะรินน้ำให้เธอแก้วหนึ่ง
ไป๋มู่ชิงฟังแล้วรู้สึกตกใจจนอึ้ง แต่ทำไมเธอถึงไม่รู้สึกว่าชายหนุ่มคนนั้นมีอารมณ์รุนแรงนะ? อีกอย่างเขายังดูใจกว้างและให้เกียรติเธอด้วย
เธอไม่เคยรู้เลยว่าเฉียวซือเหิงมีน้องชาย แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ต้องมาสนใจตอนนี้ เธอรีบดึงซูซี่ให้นั่งลงบนโซฟา ก่อนจะถามอย่างไม่รอช้า : “เด็กคนที่เธอพูดถึงครั้งที่แล้ว ได้ช่วยฉันหาดูหรือยัง?”
ซูซี่เอามือตบเบาๆบนบ่าเธอ: “เธออย่างเพิ่งตื่นเต้น”
“ฉันจะไม่ตื่นเต้นได้ไง?”
“ฉันยังพูดไม่หมดเลย ฉันกำลังจะพูดว่าฉันได้ช่วยเธอติดต่อไปแล้ว เป็นเด็กทารกที่อยู่ในบ้านเด็กกำพร้าเฉิงเป่ย ป้าที่นั้นบอกว่ามีคนเอาเด็กมาทิ้งไว้หน้าประตู อีกอย่างเด็กถูกทิ้งก่อนเธอคลอดหนึ่งอาทิตย์ แค่ช่วงเวลาก็เป็นไปไม่ได้แล้ว ดังนั้นเธออย่าไปคิดมาอีกเลย ไม่ใช่ลูกเธอแน่นนอน”
ฟังเธอพูดจบ ไป๋มู่ชิงรู้สึกผิดหวังอย่างมาก
นำมาทิ้งก่อนเธอคลอด นั้นหมายความว่าเป็นไปไม่ได้เลย แต่เธอก็อดที่จะถามไม่ได้ “หน้าคล้ายฉันกับคุณชายเฉินมากเลยเหรอ?”
“ก็นิดหนึ่ง แต่ไป๋มู่ชิงเธอยอมรับเถอะเด็กคนนั้นไม่ใช่ลูกเธอจริงๆ” ซูซี่มองหน้าเธอที่ผิดหวังและเสียใจก่อนจะถามขึ้น: “เรื่องมันยังไงเหรอ? ฉันได้ฟังเหยาเหม่ยพูดถึงเรื่องเธอกับหลินอันหนานที่งานแต่ง มันก็เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว แต่ฉันว่าหนานกงเฉินคงโกรธจนเป็นบ้าแน่”
“เป็นบ้าไปแล้วจริงๆ” ไป๋มู่ชิงถอนหายใจเบาๆอย่างเหนื่อยใจ
“ไม่บ้าซิแปลก มีแต่คนโง่เง่าอย่างไป๋ยิ่งอันเท่านั้นที่คิดทำเรื่องบ้าบอแบบนี้ได้” ซูซี่ด่าเสร็จก็ถามต่อ “แล้วตอนนี้ยังไง? หนานกงเฉินเขาจะจัดการกับเธอยังไง? ดูแล้ว…..เขาเหมือนยังดีกับเธออยู่ไม่น้อยไม่ใช่เหรอ?”
โดนถามแบบนี้ไป๋มู่ชิงก็รู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมาทันที ก่อนจะส่ายหน้าตอบ “ไม่รู้เขาเอาเสี่ยวอี้ไปซ่อนไว้ที่ไหน แล้วยังไม่ให้ฉันติดต่อกับโลกภายนอกอีก ตอนนี้ฉันไปดูเสี่ยวอี้ผ่าตัดไม่ได้ ไปหาลูกก็ไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้เลย”
ซูซี่นึกไว้แต่แรกแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ ตั้งแต่เธอกลับจากเมืองนอกก็ติดต่อไป๋มู่ชิงไม่ได้เลย
เธอสนับสนุนให้แม่สามีจัดงานเลี้ยงเล็กๆนี้ และขอให้หนานกงเฉินพาภรรยามาร่วมงานด้วย ก็เพื่อให้หนานกงเฉินพาไป๋มู่ชิงออกมา ยังดีที่เฉียวซือเหิงเป็นคนขอให้ หนานกงเฉินถึงได้พาไป๋มู่ชิงมา
“มู่ชิง หนานกงเฉินไม่ใช่ไป๋ยิ่งอัน เขาไม่ทำอะไรเสี่ยวอี้หรอก ไม่ต้องกังวล”
“ไม่ ตอนนี้เขาเป็นบ้าไปแล้ว เขาทำได้ทุกอย่าง”
“แต่เท่าที่ดูเขาก็ดีกับเธอเป็นพิเศษนะ เขาไม่กะทำให้เธอถึงตายแค่ขังไว้ในบ้าน นั้นหมายความว่าอะไร? นั้นหมายความว่าเขาไม่อยากให้เธอตาย ดังนี้…….เธอสบายใจได้ ฉันเชื่อว่าเขาแค่เอาเสี่ยวอี้มาขู่เธอเฉยๆ ไม่กะจะทำร้ายเขาแน่นอน”
ฟังซูซี่พูดแล้ว ไป๋มู่ชิงก็นิ่งไป เธอไม่เคยคิดในมุมนี้มาก่อน หรือเป็นเพราะเธอกังวลมากเกินไป ถึงมองหนานกงเฉินเป็นคนใจร้ายใจดำได้? หรือซูซี่จะมองเขาในแง่ดีมากเกินไปกันแน่?
ไม่สิ หนานกงเฉินใจดำอำมหิตจริง ดูจากที่เขาทำกับบ้านตระกูลไป๋ก็รู้แล้ว
ซูซี่ถอนหายใจเบาก่อนพูด “ส่วนเรื่องลูก เธอก็อย่างคิดมากเลย เวลาผ่านมานานขนาดนี้คาดว่าคนบ้านนั้นน่าจะรับเด็กไว้เลี้ยงแล้วล่ะ ค่อยๆหายังไงก็ต้องเจอ”
“แต่เวลานี้ฉันไม่มีโอกาสแม้แต่จะก้าวออกจากบ้าน แล้วจะค่อยๆหายังไง?”
ซูซี่มองมาที่เธอก่อนจะถามอย่างลังเล: “เธอเคยคิดที่จะบอกเรื่องนี้กับหนานกงเฉินมั้ย ให้เขาไปหาเผื่อจะมีโอกาสเจอมากกว่า”
ไป๋มู่ชิงตาแดงขึ้นเล็กน้อยก่อนพยักหน้า : “ฉันเคยคิดเหมือนกัน แต่ฉันกลัวว่าเขาจะไม่เชื่อฉัน อีกอย่างฉันไม่มีหลักฐานอะไรยืนยันว่าลูกยังมีชีวิตอยู่ ฉันกลัวว่าเขาจะคิดว่าฉันโกหกเขาเพื่อจะได้หนีออกจากการถูกเขากักขัง ฉันยังกลัวว่า…….ถ้าเด็กคนนี้ไม่มีอยู่จริง เขาจะยิ่งผิดหวังจนอาจจะอยากฆ่าฉันให้ตายก็เป็นได้?”
ทันใดนั้นเธอก็กุมมือซูซี่ขึ้นมา : “เสี่ยวซี่ เธอช่วยบอกเขาให้ฉันหน่อยได้มั้ย ตอนนี้เขาไม่ยอมฟังอะไรฉันเลย ยังไงก็คงไม่มีทางเชื่อฉันแน่”
“ไม่สิ เรื่องแบบนี้อย่าให้ฉันทำเลย” ซูซี่รีบดึงมือออกก่อนจะขยับถอยเล็กน้อย แล้วถ้าเรื่องที่ว่าเป็นแค่เราคาดเดาไปเอง ไม่ใช่เรื่องจริง หนานกงเฉินได้ฆ่าฉันตายแน่”
“เธอเป็นภรรยาของเฉียวซือเหิง เขาจะทำอะไรเธอได้?” ไป๋มู่ชิงจ้องมองเธอด้วยสีหน้าจริงจัง “ซูซี่เธอเคยบอกว่าลูกฉันเป็นเด็กผู้หญิงที่แข็งแรงสมบูรณ์”
“นั้นก็เพราะ……. ” ซูซี่หยักไหล่: “ฉันต้องการปลอบใจเธอ”
“ซูซี่!” ไป๋มู่ชิงลุกขึ้นจากโซฟา จ้องหน้าเธอด้วยสีหน้าโมโห: “สิ่งที่เธอพูดมีอันไหนเป็นความจริงบ้าง?”
ซูซี่ตกใจกับน้ำเสียงโมโหของเธอเล็กน้อย: “อันที่จริง ฉันก็ไม่แน่ใจนัก ที่เธอกังวลก็ถูก ถ้าเอาเรื่องนี้ไปบอกหนานกงเฉินแล้วสุดท้ายเรื่องไม่เป็นอย่างที่คิด เขาอาจจะหาว่าเธอสร้างเรื่องโกหกเขาอีก ทีนี้ก็จะยิ่งเกลียดเธอมากกว่าเดิม”
เธอพูดเสร็จก็ยื่นมือไปจับมือไป๋มู่ชิงอีกครั้ง:”แต่ฉันเข้าใจความรู้สึกเธอนะ ถึงมีความหวังเพียงเล็กน้อยก็อยากพยายามให้ถึงที่สุดใช่มั้ย? เธอไม่ต้องกังวลไป ฉันให้เฉียวซือเหิงช่วยหาแล้ว ความสามารถของเฉียวซือเหิงไม่ได้ด้อยไปกว่าหนานกงเฉินเท่าไหร่ อีกอย่างเขาเองก็เป็นถึงเจ้าของเหิงซิง ถ้าเขาเองยังหาไม่เจอหนานกงเฉินก็ไม่น่าจะมีทางหาเจอ เพราะงั้น…….”

ไป๋มู่ชิงไม่สนใจอะไรแล้ว เธอมองตามเขาก่อนถาม “เมื่อคืนคุณรับปากฉันแล้วว่าจะปล่อยเสี่ยวอี้และแม่”
หนานกงเฉินทำเป็นคิดก่อนตอบ: “อย่างงั้นเหรอ? ทำไมฉันจำไม่ได้ว่าเคยรักปากเธอ?”
“คุณรับปากฉันแล้วชัดๆ……”
“อ๋อ นึกออกละ ฉันบอกว่าถ้าเธอปรนนิบัติฉันได้ถูกใจก็จะปล่อยตัวเสี่ยวอี้ แต่น่าเสียใจที่ลีลาเธอไม่ถูกใจฉันเท่าไหร่ ฉะนั้น……. ” หนานกงเฉินยันกายขึ้น เอามือจับปลายคางเธอขึ้นแล้วจูบบนริมฝีปากเธอทีหนึ่ง: “เสียใจด้วยนะ เอาไว้รอบหน้าค่อยดูฝีมือเธออีกทีละกัน”
“รอบหน้า? หนานกงเฉินคุณเห็นฉันเป็นอะไร?” เธอโกรธจนพูดไม่ออก
ก็เป็นนางบำเรอและที่ระบายอารมณ์ความใคร่ของฉันไง ดังนั้น……ช่วยทำตัวให้มันดีๆหน่อย อย่างทำให้ฉันโมโหมากไปกว่านี้ ไม่งั้นเธอจะไม่เจอฉันแค่คนเดียว แต่จะได้เป็นโสเภณีเหมือนพี่สาวเธอ”
“คุณหมายความว่าไง?” ไป๋มู่ชิงตกตะลึง เขาทำอะไรไป๋ยิ่งอันกันแน่?
หนานกงเฉินไม่ได้ตอบคำถามเธอ เขาจ้องเขม็งมาที่เธอก่อนพูดเสียงลอดไรฟัน: “ต่อไปถ้ายังพูดคำว่า “เสี่ยวอี้” ต่อหน้าฉันอีก ฉันจะทำให้เขาหายไปจากโลกทันที”
“คุณกล้าเหรอ?”
“ก็ลองดูว่าฉันจะกล้าหรือเปล่า?” หนานกงเฉินพูดทิ้งท้าย ก่อนจะเดินออกไปทางประตู
“หนานกงเฉิน! คุณทำแบบนี้ไม่ได้นะ! คุณจะทำร้ายเสี่ยวอี้แบบนี้ไม่ได้……!” ไป๋มู่ชิงวิ่งตามเขาออกไป แต่หนานกงเฉินได้เปิดประตูรถขึ้นไปนั่งเรียบร้อย มีเสี่ยวหลินขับรถพาเขาออกจากคฤหาสน์
ไป๋มู่ชิงเข้าใจว่าคงจะอีกหลายวันกว่าเธอจะได้พบหนานกงเฉินอีกครั้ง แต่ไม่คิดว่าช่วงบ่ายเขาจะกลับเข้ามาอีกครั้ง
หนานกงเฉินเข้ามาที่คฤหาสน์ในช่วงบ่ายอีกครั้ง ในบ้านเงียบกริบเหมือนไม่มีคนอยู่ เขาเดินหาเธอไปทั่วทั้งชั้นบนและชั้นล่าง จนกระทั่งเจอเธอที่สวนหลังบ้าน
เห็นเธอนอนหลับอยู่บนโต๊ะหินอ่อน ในมือยังถือดินสอวาดรูปอยู่และมีภาพวาดวางอยู่ข้างๆ ซึ่งเป็นภาพร่างของเด็กทารกน้อยกำลังนอนหลับตาพริ้ม
ทารกน้อยอ้วนท้วนน่ารัก โครงหน้าโดยรวมดูคล้ายเธอและเขา
เธอต้องเบื่อแค่ไหนถึงได้วาดภาพที่แทบไม่มีความหมายอะไรเลย? หนานกงเฉินทำเสียงหยันในลำคอก่อนจะยื่นมือไปดึงภาพร่างที่วางอยู่บนโต๊ะ
ภาพร่างที่วางอยู่บนโต๊ะถูกไป๋มู่ชิงนอนทับมุมภาพอยู่ พอเขายื่นมือไปดึงภาพวาดก็ทำให้ไป๋มู่ชิงสะดุ้งตื่นทันที
พอเห็นนานกงเฉินยืนอยู่ตรงหน้า จากที่เธอยังงัวเงียอยู่ก็ลุกขึ้นยืนทันที แล้วรีบรวบเก็บของที่อยู่บนโต๊ะพร้อมถามเขา “คุณชายใหญ่ คุณมาได้ไงคะ?”
เมื่อเช้าเขาเพิ่งออกไปจากที่นี่? แล้วก็ยังบอกว่าจะไม่มาที่นี่อีก?
หนานกงเฉินโน้มตัวเล็กน้อย ก่อนจะเอาฝ่ามือทับมุมภาพวาดไว้ ไป๋มู่ชิงพยายามดึงภาพวาดกลับอยู่หลายครั้ง
ไป๋มู่ชิงลนลานเล็กน้อย เธอรู้ว่าเรื่องเด็กเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับหนานกงเฉิน และรู้ว่าหนานกงเฉินเกลียดเธอมากที่ทำให้เขาต้องเสียลูกไป
“ฉัน…..รู้สึกเบื่อๆ เลยมานั่งวาดรูปเล่น ต้องขอโทษด้วยค่ะ” เธอกล่าวขอโทษ
หนานกงเฉินย้ายสายตาจากภาพร่างขึ้นมามองหน้าเธอ ก่อนยิ้มด้วยสีหน้าเย็นชา “หน้าตาเขาเป็นไงยังจำไม่ได้ แล้วมาวาดรูปบ้าอะไร?”
เขากำกระดาษวาดรูปแล้วดึงด้วยความแรง ก่อนจะฉีกภาพวาดออกเป็นชิ้นๆโยนลงพื้นด้วยความโมโห “ต่อไปห้ามเธอเอาเขามาย่ำยีแบบนี้อีก เข้าใจมั้ย?”
ไป๋มู่ชิงพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว”
เธอเองก็ยังไม่เคยเห็นหน้าลูกเลย และไม่รู้ว่าหน้าตาเขาเป็นไงยัง ภาพร่างนี้เธอวาดขึ้นมาจากความรู้สึกเท่านั้น
เธอยืนก้มหน้าอยู่หน้าเขาชั่วครู่ เมื่อเห็นว่าเขาไม่พูดอะไร เธอจึงเงยหน้าขึ้นมาถาม “คุณชายใหญ่ มีเรื่องอะไรมั้ยคะ?”
หนานกงเฉินเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าเขามาที่นี่ทำไม “ตามฉันมา” เขาพูดทิ้งท้ายก่อนเดินนำไปทางสวนหน้าบ้าน
“ไปไหนเหรอ?” ไป๋มู่ชิงถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
ครั้งก่อนหนานกงเฉินลากเธอไปหน้าหลุมศพของลูก ครั้งนี้ไม่รู้ว่าเขาจะพาเธอไปที่ไหนอีก?
หนานกงเฉินไม่สนใจเธอ ยังคงเดินต่อไปข้างหน้า
ไป๋มู่ชิงไม่กล้าชักช้า รีบเดินตามไป
มาถึงสวนด้านหน้า หนานกงเฉินหยิบถุงที่วางอยู่บนเบาะข้างคนขับโยนให้เธอ “ไปเปลี่ยนเสื้อ”
ไป๋มู่ชิงรับถุงมาเปิดดู เห็นว่าในถุงมีชุดราตรีเปิดไหล่ชุดหนึ่งอยู่ในนั้น เงยหน้าขึ้นมาพูดกับเขาอย่างตะขิดตะขวงใจ “ฉันไม่อยากใส่เสื้อที่ดูโป๊เปลือยแบบนี้”
หนานกงเฉินหรี่ตาเล็กน้อย “แกล้งทำเป็นใสซื่อ? ก่อนหน้านี้ก็เห็นชอบใส่อยู่ไม่ใช่เหรอ?”
ไป๋มู่ชิงรู้ว่าเขากำลังพูดถึงช่วงที่เธอแต่งตัวเป็นไป๋ยิ่งอัน เธอค่อยๆเปิดคอเสื้อออกอย่างเขินๆ เผยให้หนานกงเฉินเห็นรอยแดงเป็นจ้ำๆบนผิว “เมื่อคืนคุณทำ……ถ้าคนอื่นเห็นเข้าจะไม่ดี ฉันและคุณอาจจะโดนหัวเราะเยาะได้”
หนานกงเฉินรู้สึกเป็นใบ้ไปชั่วขณะ ก็ใช่ มันเป็นรอยที่เขาฝากไว้ให้เธอหลังจากที่ลงโทษเธอเมื่อคืน ถ้าใส่ไปแบบนี้ก็อาจจะไม่น่ามองเท่าไหร่
“ฉันถามได้มั้ยว่าคุณจะพาฉันไปไหน?”

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset