เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 143 กินข้าวกับเขา

หนานกงเฉินเป็นยังไงบ้าง? ตื่นหรือยังนะ?
เธอรีบลุกจากเตียงนอนเดินไปทางประตูทันที ไม่คิดว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ชนเข้ากับร่างใครบางคน
“อ๊ะ!” เธอร้องตกใจ ก่อนจะรู้สึกเจ็บแผลตรงหน้าผากตามมา
พอเธอเห็นว่าคนที่เธอชนคือหนานกงเฉินก็ถามขึ้นอย่างแปลกใจ “คุณตื่นแล้วเหรอ?”
เธอยังกังวลว่าเขาจะไม่ตื่น เพราะคุณหมอเคยบอกไว้ว่าหลังจากอาการเขากำเริบวันถัดไปถ้าไม่ตื่นขึ้นมา ก็อาจจะมีโอกาสไม่ตื่นอีกเลย
หนานกงเฉินเห็นแผลบนหน้าผากเธอที่ก่อนหน้านี้บาดแผลแห้งแล้ว แต่พอมาชนเขาแบบนี้อีกแผลก็ปริออกอีกครั้งและมีเลือดไหลซึมออกมาเล็กน้อย แต่เธอทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร
ที่จริงแล้วไป๋มู่ชิงไม่ใช่ไม่รู้สึกเจ็บแผล แต่เพราะเธอดีใจที่เห็นเขาตื่นแล้วจนลืมเรื่องแผลไปชั่วขณะ
“คุณ……ดีขึ้นแล้วใช่มั้ย?” เธอหุบยิ้มก่อนจะค่อยๆถามขึ้น
หนานกงเฉินละสายตาจากแผลบนหน้าผากเธอ ก่อนจะยิ้มเย้ย : “แผนการยอมให้ทรมานร่างกายตัวเองเพื่อเรียกร้องความเห็นใจ ทำได้แยบยลมากนะ”
ไป๋มู่ชิงได้ฟังแบบนั้นก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ทำได้แค่ส่ายหน้า: “ฉันไม่ได้…..”
แผน? มันเป็นการเสี่ยงตายชัดๆ เธอไม่โง่ขนาดเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยง เพื่อเรียกร้องให้เขาเห็นใจหรอกนะ
แต่ก็ช่างเถอะตอนนี้สิ่งที่เธอต้องทำคือตามใจเขาให้มาก อย่างขัดใจเขา ขอแค่เขาพอใจอะไรก็ได้
หนานกงเฉินเห็นเธอไม่ตอบ จึงเข้าใจว่าเธอยอมรับเรื่องเมื่อคืนเป็นแค่แผนการเรียกร้องความเห็นใจของเธอ
จากตอนแรกที่ยังนึกเห็นใจเธออยู่ วินาทีนี้กลับมลายหายไปหมดสิ้น
เขาหมุนตัวออกจากห้องนอนทันที
ไป๋มู่ชิงเปลือยเท้าวิ่งตามไปถามเขา : “คุณชายใหญ่ คุณทานข้าวเช้าหรือยังคะ?”
หนานกงเฉินไม่ได้สนใจเธอ เขายังคงตั้งหน้าตั้งตาเดินลงไปชั้นล่าง
หลังจากหนานกงเฉินออกไปแล้ว เธอก็รู้สึกถึงอาการเจ็บตรงแผล เธอใช้มือแตะที่แผลเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าไปส่องกระจกในห้องน้ำ เธอตกใจกับสภาพตัวเองในกระจกเป็นอย่างมาก
นี่มัน….สภาพอะไรเนี่ย
เสื้อยับยู่ยี่ ผมเผ้ารุงรัง แผลบนหน้าผากมีเลือดแห้งกรังติดอยู่ เมื่อเช้าง่วงมากจนไม่ทันได้ทำแผลก่อน เธอก็นอนทั้งสภาพนี้เลย
เธอเอากล่องยาจากลิ้นชักขึ้นมาหาสำลีชุบแอลกอฮอล์เช็คแผลฆ่าเชื้อ เธอหวังว่ามันจะไม่เป็นแผลเป็นนะ
แผลบนหน้าผากเริ่มทุราวลง แต่แผลตรงไหล่กลับรู้สึกปวดมากขึ้น เธอดูสภาพยับเยินของตัวเองในกระจก ไป๋มู่ชิงเข้าใจแล้วว่าทำไมผู้หญิงเหล่านั้นถึงได้ทิ้งเขาไป เธอเพิ่งมาอยู่กับเขาได้แค่ปีเดียวยังเจอขนาดนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยแผล ถ้าต้องอยู่กับเขาไปทั้งชีวิตจะขนาดไหนกัน?
แต่ถึงจะดูน่ากลัวแค่ไหน เธอก็ไม่เคยคิดจะไปจากเขา ไม่เคยแม้แต่จะคิด
หรือเธอจะเป็นพวกซาดิส? ไป๋มู่ชิงคิด
ขณะที่ไป๋มู่ชิงกำลังนั่งทานข้าวเช้าก็คิดไปด้วยว่าจะเอาผมเด็กน้อยที่เธอได้จากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไปตรวจดีเอ็นเอได้ยังไง
หนานกงเฉินไม่ให้เธอออกไปไหน และไม่ให้เธอใช้โทรศัพท์ เธอแทบจะตัดขาดจากโลกภายนอก ที่นี่ก็ดันมีแต่พี่ยามกับป้าใบ้ที่ออกจะดูถูกสถานะของเธอและไม่ยอมพูดกับเธอเลย
เธอคิดวกไปวนมา จนนึกขึ้นได้วิธีหนึ่ง
ตอนเดินออกจากห้องอาหารเธอทำเป็นเดินเซเหมือนจะเป็นลม ป้าใบ้ที่ทำงานบ้านอยู่เห็นเข้าก็รีบเข้ามาประคองเธอ ก่อนจะทำมือถามว่าเป็นยังไงบ้าง
ไป๋มู่ชิงเอามือกุมหัวไว้ จ้องมองป้าใบ้อย่างน่าสงสาร:”ป้า เมื่อคืนฉันหัวกระแทกจนเป็นแผล ไม่รู้ว่าสมองจะได้รับการกระทบกระเทือนด้วยหรือเปล่า”
ป้าใบ้รีบเรียกหายามที่มาเข้าเวร เมื่อยามเห็นแผลบนหน้าผากของไป๋มู่ชิงก็รีบโทรฯหาหนานกงเฉิน
ไม่นาน เสี่ยวหลินก็ขับรถมาถึงหน้าคฤหาสน์
ระหว่างที่กำลังเดินทางไปโรงพยาบาล เสี่ยวหลินก็ไม่ลืมที่จะพูดเตือนเธอ: “นายหญิงน้อยครับ คุณชายใหญ่สั่งไว้ว่าไม่ให้คุณไปไหนคนเดียว และไม่ให้คุณไปเจอคนอื่นด้วย ดังนั้น…..” เขายิ้มแหยอย่างเกรงใจ
“สบายใจเถอะ ฉันจะไม่หนีไปไหน” ไป๋มู่ชิงรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร พูดจบเธอก็รีบขอร้อง: “ช่วยพาฉันไปที่โรงพยาบาลเหิงซินได้มั้ย?”
“ไม่ได้ครับ คุณชายใหญ่บอกว่าไปได้แค่โรงพยาบาลหงเอินเท่านั้นครับ”
ไป๋มู่ชิงจนคำพูด นึกในใจนี่หนานกงเฉินเห็นเธอเป็นนักโทษหรือไง
เพื่อจะหาโอกาสส่งผมไปตรจให้ได้ ไป๋มู่ชิงจึงต้องแกล้งป่วยจนต้องเข้าแอดมิทที่โรงพยาบาลหงเอิน ระหว่างที่เธอนอนอยู่ที่โรงพยาบาลสองวันหนึ่งคืนนั้น มีแต่ป้าใบ้ที่มาเฝ้าเธอทุกวัน นอกนั้นก็ไม่มีใครมาเยี่ยมเธอเลย
โชคดีที่เธอหาทางส่งผมให้ซู่ซี่ได้ในระหว่างที่ออกไปเดินเล่น เธอไม่มีเงินติดตัวแม้แต่แดงเดียวจึงไม่สามารถส่งไปตรวจเองได้ เลยต้องส่งไปให้ซูซี่ช่วย
หลังจากที่ซูซี่ได้รับผมของเด็กน้อยที่ไป๋มู่ชิงส่งมา เธอนึกว่าไป๋มู่ชิงในใจดื้อดึงจริงๆ ทั้งที่ก็บอกแล้วว่าเด็กน้อยคนนั้นไม่มีทางเป็นลูกเธอได้ ไป๋มู่ชิงก็ยังต้องการจะตรวจดีเอ็นเอให้ได้
แต่ในเมื่อไป๋มู่ชิงขอความช่วยเหลือมา เธอก็ต้องช่วยอยู่แล้ว
หลังออกมาจากโรงพยาบาลเหิงซิน ซูซี่มองดูเวลาก่อนจะโทรฯหาหนานกงเฉิน หนานกงเฉินที่อยู่ปลายสายได้ยินว่าซูซี่จะชวนไปทานข้าวด้วย เขาก็ตอบอย่างไม่เกรงใจ “ไม่ดีกว่า”
หนานกงเฉินคิดว่าตัวเองปฏิเสธอย่างชัดเจนแล้ว แต่ไม่คิดว่ามาถึงที่จอดรถชั้นใต้ดินจะเห็นซูซี่มาดักรออยู่
หนานกงเฉินขมวดคิ้วก่อนถามขึ้น : “เธอมาทำไม? ”
เชิญคุณชายเฉินทางโทรศัพท์ไม่ได้ ก็ต้องมาเรียนเชิญถึงที่ไง คุณชายเฉินโปรดให้เกียรติทานข้าวด้วยกันสักมื้อ ซูซี่ทำสัญลักษณ์มือเป็นการเรียนเชิญ
หนานกงเฉินจ้องไปที่เธอก่อนจะยิ้มเยาะ “ไป๋มู่ชิงให้มาเหรอ?”
“คุณชายเฉินไม่ได้กักขังเธอไว้เหรอ ตอนนี้แม้แต่โทรศัพท์ฉันก็ติดต่อเธอไม่ได้”
“หมายความเธอไม่ได้มาขอร้องแทนไป๋มู่ชิง”
“ไม่ใช่” ซูซี่ยิ้มเล็กน้อย “เชิญคุณชายค่ะ”
หนานกงเฉินปรายตามองเธอแวบหนึ่งก่อนจะเดินไปทางรถตัวเอง ซูซี่จึงรีบวิ่งตามไป ก่อนจะกระโดดขึ้นไปนั่งข้างคนขับ
หลังจากที่รถขับออกจากโรงจอดรถ หนานกงเฉินที่มีสีหน้าราบเรียบก็ถามขึ้น “อยากกินอะไร?”
อันที่จริงแล้วเขาไม่ชอบทานข้าวกับคนอื่น โดยเฉพาะซูซี่เขารู้ว่าเธอมากินข้าวกับเขาเพราะไป๋มู่ชิง
เขาควรห้ามไม่ให้ซูซี่ขึ้นรถ แต่ก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น เพราะลึกๆแล้วเขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าซูซี่จะแก้ตัวให้ไป๋มู่ชิงยังไง
ความรู้สึกในใจเขาเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิดแล้ว แค่เขาเองก็ยังไม่รู้ตัว
“ขอเป็นที่เงียบๆก็พอ” ซูซี่ตอบ
“งั้นก็ร้านอาหารฝรั่งเศสแถวนี้แล้วกัน”
“ได้ค่ะ”

หนานกงเฉินเป็นยังไงบ้าง? ตื่นหรือยังนะ?
เธอรีบลุกจากเตียงนอนเดินไปทางประตูทันที ไม่คิดว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ชนเข้ากับร่างใครบางคน
“อ๊ะ!” เธอร้องตกใจ ก่อนจะรู้สึกเจ็บแผลตรงหน้าผากตามมา
พอเธอเห็นว่าคนที่เธอชนคือหนานกงเฉินก็ถามขึ้นอย่างแปลกใจ “คุณตื่นแล้วเหรอ?”
เธอยังกังวลว่าเขาจะไม่ตื่น เพราะคุณหมอเคยบอกไว้ว่าหลังจากอาการเขากำเริบวันถัดไปถ้าไม่ตื่นขึ้นมา ก็อาจจะมีโอกาสไม่ตื่นอีกเลย
หนานกงเฉินเห็นแผลบนหน้าผากเธอที่ก่อนหน้านี้บาดแผลแห้งแล้ว แต่พอมาชนเขาแบบนี้อีกแผลก็ปริออกอีกครั้งและมีเลือดไหลซึมออกมาเล็กน้อย แต่เธอทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร
ที่จริงแล้วไป๋มู่ชิงไม่ใช่ไม่รู้สึกเจ็บแผล แต่เพราะเธอดีใจที่เห็นเขาตื่นแล้วจนลืมเรื่องแผลไปชั่วขณะ
“คุณ……ดีขึ้นแล้วใช่มั้ย?” เธอหุบยิ้มก่อนจะค่อยๆถามขึ้น
หนานกงเฉินละสายตาจากแผลบนหน้าผากเธอ ก่อนจะยิ้มเย้ย : “แผนการยอมให้ทรมานร่างกายตัวเองเพื่อเรียกร้องความเห็นใจ ทำได้แยบยลมากนะ”
ไป๋มู่ชิงได้ฟังแบบนั้นก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ทำได้แค่ส่ายหน้า: “ฉันไม่ได้…..”
แผน? มันเป็นการเสี่ยงตายชัดๆ เธอไม่โง่ขนาดเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยง เพื่อเรียกร้องให้เขาเห็นใจหรอกนะ
แต่ก็ช่างเถอะตอนนี้สิ่งที่เธอต้องทำคือตามใจเขาให้มาก อย่างขัดใจเขา ขอแค่เขาพอใจอะไรก็ได้
หนานกงเฉินเห็นเธอไม่ตอบ จึงเข้าใจว่าเธอยอมรับเรื่องเมื่อคืนเป็นแค่แผนการเรียกร้องความเห็นใจของเธอ
จากตอนแรกที่ยังนึกเห็นใจเธออยู่ วินาทีนี้กลับมลายหายไปหมดสิ้น
เขาหมุนตัวออกจากห้องนอนทันที
ไป๋มู่ชิงเปลือยเท้าวิ่งตามไปถามเขา : “คุณชายใหญ่ คุณทานข้าวเช้าหรือยังคะ?”
หนานกงเฉินไม่ได้สนใจเธอ เขายังคงตั้งหน้าตั้งตาเดินลงไปชั้นล่าง
หลังจากหนานกงเฉินออกไปแล้ว เธอก็รู้สึกถึงอาการเจ็บตรงแผล เธอใช้มือแตะที่แผลเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าไปส่องกระจกในห้องน้ำ เธอตกใจกับสภาพตัวเองในกระจกเป็นอย่างมาก
นี่มัน….สภาพอะไรเนี่ย
เสื้อยับยู่ยี่ ผมเผ้ารุงรัง แผลบนหน้าผากมีเลือดแห้งกรังติดอยู่ เมื่อเช้าง่วงมากจนไม่ทันได้ทำแผลก่อน เธอก็นอนทั้งสภาพนี้เลย
เธอเอากล่องยาจากลิ้นชักขึ้นมาหาสำลีชุบแอลกอฮอล์เช็คแผลฆ่าเชื้อ เธอหวังว่ามันจะไม่เป็นแผลเป็นนะ
แผลบนหน้าผากเริ่มทุราวลง แต่แผลตรงไหล่กลับรู้สึกปวดมากขึ้น เธอดูสภาพยับเยินของตัวเองในกระจก ไป๋มู่ชิงเข้าใจแล้วว่าทำไมผู้หญิงเหล่านั้นถึงได้ทิ้งเขาไป เธอเพิ่งมาอยู่กับเขาได้แค่ปีเดียวยังเจอขนาดนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยแผล ถ้าต้องอยู่กับเขาไปทั้งชีวิตจะขนาดไหนกัน?
แต่ถึงจะดูน่ากลัวแค่ไหน เธอก็ไม่เคยคิดจะไปจากเขา ไม่เคยแม้แต่จะคิด
หรือเธอจะเป็นพวกซาดิส? ไป๋มู่ชิงคิด
ขณะที่ไป๋มู่ชิงกำลังนั่งทานข้าวเช้าก็คิดไปด้วยว่าจะเอาผมเด็กน้อยที่เธอได้จากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไปตรวจดีเอ็นเอได้ยังไง
หนานกงเฉินไม่ให้เธอออกไปไหน และไม่ให้เธอใช้โทรศัพท์ เธอแทบจะตัดขาดจากโลกภายนอก ที่นี่ก็ดันมีแต่พี่ยามกับป้าใบ้ที่ออกจะดูถูกสถานะของเธอและไม่ยอมพูดกับเธอเลย
เธอคิดวกไปวนมา จนนึกขึ้นได้วิธีหนึ่ง
ตอนเดินออกจากห้องอาหารเธอทำเป็นเดินเซเหมือนจะเป็นลม ป้าใบ้ที่ทำงานบ้านอยู่เห็นเข้าก็รีบเข้ามาประคองเธอ ก่อนจะทำมือถามว่าเป็นยังไงบ้าง
ไป๋มู่ชิงเอามือกุมหัวไว้ จ้องมองป้าใบ้อย่างน่าสงสาร:”ป้า เมื่อคืนฉันหัวกระแทกจนเป็นแผล ไม่รู้ว่าสมองจะได้รับการกระทบกระเทือนด้วยหรือเปล่า”
ป้าใบ้รีบเรียกหายามที่มาเข้าเวร เมื่อยามเห็นแผลบนหน้าผากของไป๋มู่ชิงก็รีบโทรฯหาหนานกงเฉิน
ไม่นาน เสี่ยวหลินก็ขับรถมาถึงหน้าคฤหาสน์
ระหว่างที่กำลังเดินทางไปโรงพยาบาล เสี่ยวหลินก็ไม่ลืมที่จะพูดเตือนเธอ: “นายหญิงน้อยครับ คุณชายใหญ่สั่งไว้ว่าไม่ให้คุณไปไหนคนเดียว และไม่ให้คุณไปเจอคนอื่นด้วย ดังนั้น…..” เขายิ้มแหยอย่างเกรงใจ
“สบายใจเถอะ ฉันจะไม่หนีไปไหน” ไป๋มู่ชิงรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร พูดจบเธอก็รีบขอร้อง: “ช่วยพาฉันไปที่โรงพยาบาลเหิงซินได้มั้ย?”
“ไม่ได้ครับ คุณชายใหญ่บอกว่าไปได้แค่โรงพยาบาลหงเอินเท่านั้นครับ”
ไป๋มู่ชิงจนคำพูด นึกในใจนี่หนานกงเฉินเห็นเธอเป็นนักโทษหรือไง
เพื่อจะหาโอกาสส่งผมไปตรจให้ได้ ไป๋มู่ชิงจึงต้องแกล้งป่วยจนต้องเข้าแอดมิทที่โรงพยาบาลหงเอิน ระหว่างที่เธอนอนอยู่ที่โรงพยาบาลสองวันหนึ่งคืนนั้น มีแต่ป้าใบ้ที่มาเฝ้าเธอทุกวัน นอกนั้นก็ไม่มีใครมาเยี่ยมเธอเลย
โชคดีที่เธอหาทางส่งผมให้ซู่ซี่ได้ในระหว่างที่ออกไปเดินเล่น เธอไม่มีเงินติดตัวแม้แต่แดงเดียวจึงไม่สามารถส่งไปตรวจเองได้ เลยต้องส่งไปให้ซูซี่ช่วย
หลังจากที่ซูซี่ได้รับผมของเด็กน้อยที่ไป๋มู่ชิงส่งมา เธอนึกว่าไป๋มู่ชิงในใจดื้อดึงจริงๆ ทั้งที่ก็บอกแล้วว่าเด็กน้อยคนนั้นไม่มีทางเป็นลูกเธอได้ ไป๋มู่ชิงก็ยังต้องการจะตรวจดีเอ็นเอให้ได้
แต่ในเมื่อไป๋มู่ชิงขอความช่วยเหลือมา เธอก็ต้องช่วยอยู่แล้ว
หลังออกมาจากโรงพยาบาลเหิงซิน ซูซี่มองดูเวลาก่อนจะโทรฯหาหนานกงเฉิน หนานกงเฉินที่อยู่ปลายสายได้ยินว่าซูซี่จะชวนไปทานข้าวด้วย เขาก็ตอบอย่างไม่เกรงใจ “ไม่ดีกว่า”
หนานกงเฉินคิดว่าตัวเองปฏิเสธอย่างชัดเจนแล้ว แต่ไม่คิดว่ามาถึงที่จอดรถชั้นใต้ดินจะเห็นซูซี่มาดักรออยู่
หนานกงเฉินขมวดคิ้วก่อนถามขึ้น : “เธอมาทำไม? ”
เชิญคุณชายเฉินทางโทรศัพท์ไม่ได้ ก็ต้องมาเรียนเชิญถึงที่ไง คุณชายเฉินโปรดให้เกียรติทานข้าวด้วยกันสักมื้อ ซูซี่ทำสัญลักษณ์มือเป็นการเรียนเชิญ
หนานกงเฉินจ้องไปที่เธอก่อนจะยิ้มเยาะ “ไป๋มู่ชิงให้มาเหรอ?”
“คุณชายเฉินไม่ได้กักขังเธอไว้เหรอ ตอนนี้แม้แต่โทรศัพท์ฉันก็ติดต่อเธอไม่ได้”
“หมายความเธอไม่ได้มาขอร้องแทนไป๋มู่ชิง”
“ไม่ใช่” ซูซี่ยิ้มเล็กน้อย “เชิญคุณชายค่ะ”
หนานกงเฉินปรายตามองเธอแวบหนึ่งก่อนจะเดินไปทางรถตัวเอง ซูซี่จึงรีบวิ่งตามไป ก่อนจะกระโดดขึ้นไปนั่งข้างคนขับ
หลังจากที่รถขับออกจากโรงจอดรถ หนานกงเฉินที่มีสีหน้าราบเรียบก็ถามขึ้น “อยากกินอะไร?”
อันที่จริงแล้วเขาไม่ชอบทานข้าวกับคนอื่น โดยเฉพาะซูซี่เขารู้ว่าเธอมากินข้าวกับเขาเพราะไป๋มู่ชิง
เขาควรห้ามไม่ให้ซูซี่ขึ้นรถ แต่ก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น เพราะลึกๆแล้วเขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าซูซี่จะแก้ตัวให้ไป๋มู่ชิงยังไง
ความรู้สึกในใจเขาเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิดแล้ว แค่เขาเองก็ยังไม่รู้ตัว
“ขอเป็นที่เงียบๆก็พอ” ซูซี่ตอบ
“งั้นก็ร้านอาหารฝรั่งเศสแถวนี้แล้วกัน”
“ได้ค่ะ”
ซู่ซี่ยืนอยู่หน้ารถเสี่ยววินาที ก่อนจะเดินไปนั่งข้างคนขับ
เฉียวซือเหิงจ้องหน้าเธอก่อนพูดอย่างเย้ยหยัน “เมื่อกี้นี้ยังคิดว่าตาฝาด ที่แท้ก็เป็นนายหญิงบ้านตระกูลเฉียวจริงๆที่จับมือถือแขนผู้ชายไม่ยอมปล่อย”
“คุณเห็นเหรอ?” ซูซี่ยิ้มกว้างให้เขา “แล้วยังไง? ฉันชอบ!”
เฉียวซือเหิงมีสีหน้าเย็นชาขึ้นมาทันที กัดฟันจ้องมองเธอ “คุณหนูซูซี่! แน่จริงลองพูดอีกทีสิ?”
“ฉันพูดว่า ฉันอยากจับมือถือแขนกับใครก็เรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวกับคุณ!” ซูซี่พูดเสียงหนักแน่น ก่อนจะเตรียมเปิดประตูลงจากรถ
เฉียวซือเหิงใช้มือข้างหนึ่งล็อคประตูรถอย่างโมโห มืออีกข้างก็เอื้อมไปจับตัวเธอกลับมาแล้วดันตัวเธอพิงไปกับเบาะนั่ง พูดใส่หน้าเธอด้วยเสียเย็นชา “ผู้หญิงไม่รักดี ฉันยังเติมเต็มเธอไม่พอหรือไง? ทำไมถึงกล้ามาสวมเขาให้ฉัน?”
ซูซี่โดนเขาทำจนเจ็บ เธอโกรธจนเอากระเป๋าถือทุบไปบนไหล่เขา เฉียวซือเหิง คุณยังทำให้ฉันเป็นแม่คนได้เลย แล้วทำไม่ฉันจะสวมเขาให้คุณบ้างไม่ได้? คุณทำได้ แต่ห้ามฉันทำงั้นหรือ? คุณเป็นบ้าอะไร? อยากเล่นบทบาทท่านประธานผู้บ้าอำนาจเหรอ? ก็ต้องดูก่อนนะว่าจะใช้ได้กับฉันมั้ย?
เฉียวซือเหิงโกรธจนล็อคมือเธอที่ถือกระเป๋าไว้หลังเบาะนั่ง จนเธอขยับตัวไม่ได้: ” เธอไม่ยอมมีลูกเอง แต่ก็ไม่ยอมให้ผู้หญิงอื่นมีด้วยงั้นเหรอ? เธอต้องการให้บ้านตระกูลเฉียวไม่มีผู้สืบทอดหรือไง? ภรรยาท่านประธานผู้บ้าอำนาจ”
“คุณ……..” ซูซี่โกรธจนแทบอ้วกเป็นเลือดต่อหน้าเขา : “พูดแบบนี้หมายความว่าเด็กข้างนอกที่ว่าก็เป็นลูกคุณจริงๆใช่มั้ย?”
“ใช่ ลูกฉันเอง” เฉียวซือเหิงกัดริมฝีปากเธอทีหนึ่ง : “ฉันต้องการให้เธอรู้ว่า ถึงเธอไม่ยอมมีลูกให้ฉัน ก็ยังมีผู้หญิงข้างนอกมากมายที่อยากมีลูกให้ฉัน”
“ดี….ดีมาก! ” ซูซี่โกรธจนตัวสั่น พยายามดิ้นรนจะลงจากรถ เฉียวซือเหิงกลับจับแขนทั้งสองเธอไว้แน่นก่อนจะดึงเธอขึ้นมานั่งทับอยู่บนตัวเขา
ซู่ซี่โดนบังคับให้นั่งอยู่บนตักเขา เธอดิ้นรนยังไงก็ไม่สามารถออกจากอ้อมกอดเขาได้
ซูซี่หยุดการดิ้นรน เธอสงบสติอารมณ์ ก่อนจะเริ่มจูบและลูบไล้เขา นิ้วมือเธอค่อยๆไล้ไปตามสาปเสื้อเขาจากบนลงล่าง ตามด้วยกระดุมที่แกะออกทีละเม็ด
เธอใช้มือไล้เบาๆบนอกแกร่ง
เฉียวซือเหิงที่โดนเธอปลูกไฟตันหาในตัวขึ้นมา เตรียมจะดึงเสื้อผ้าที่กีดขวางบนตัวเธอออก ซูซี่ก็ใช้จังหวะนั้นดึงประตูรถออกและกระโดดลงจากตักเขาออกไปนอกรถทันที
เธอไปง่ายๆแบบนี้เลย!
ในขณะที่เฉียวซือเหิงยังไม่ได้สติ เธอก็ดึงกระโปรงเข้าที่เรียบร้อย มือข้างหนึ่งจับบนขอบประตูอีกข้างแตะอยู่บนตัวรถ ก้มลงมาจ้องมองเฉียวซือเหิงที่ยังดูงงๆ : “ไปเถอะ ไปให้ผู้หญิงพวกนั้นดับไฟให้เถอะ ภรรยาท่านประธานผู้บ้าอำนาจอนุญาตให้คืนนี้ไม่ต้องกลับบ้าน”
พูดจบ เธอปิดประตูเต็มแรง เสียงดัง ‘ปัง’
เฉียวซือเหิงที่อยู่ในรถได้สติกลับมา จ้องเขม็งตามหลังไวๆของเธอ ไฟปรารถนาที่ถูกเธอปลูกขึ้นมาถูกแทนที่ได้ไฟโมโหทันที
คิดในใจอย่างเคียดแค้น สงสัยว่าผู้หญิงที่ท่านประธานผู้บ้าอำนาจเป็นคนฝึกสอนมากับมือไม่อยากตายดีแล้ว!
หลังออกจากร้านอาหารฝรั่งเศส หนานกงเฉินก็ขับรถมาตามถนน
ระหว่างทางที่จะกลับบ้านตระกูลหนานกงนั้น ต้องผ่านโรงพยาบาลหงเอิน และผู้ดูแลไป๋มู่ชิงก็โทรฯเข้ามาตอนนี้พอดี แจ้งว่าไป๋มู่ชิงร้องอยากกลับบ้าน
หนานกงเฉินนิ่งคิดก่อนจะตอบ : “งั้นก็ให้เธอกลับเถอะ”
หลังวางสายหนานกงเฉินก็เลี้ยงรถไปยันทางที่จะไปโรงพยาบาลหงเอิน
เมื่อวานไป๋มู่ชิงแสดงสมจริงไปหน่อย จนคุณหมอต้องให้เธอนอนโรงพยาบาลสามวัน และไป๋มู่ชิงก็ยินดีจะทำตามเป็นอย่างยิ่ง แต่ตอนนี้ภารกิจสำเร็จลุกล่วงไปเรียบร้อยแล้ว เธอจึงไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลต่อ
ในโรงพยาบาลมีแต่กลิ่นแอลกอฮอล์ และเชื้อโรคเต็มไปหมด เทียบกับที่บ้านพักแล้วที่โรงพยาบาลไม่น่าอยู่เอาซะเลย เธอไม่อยากนอนที่โรงพยาบาลแม้แต่วินาทีเดียว
ยาลดอัดแสบขวดสุดท้ายยังคงให้พร้อมกับน้ำเกลืออยู่ ไป๋มู่ชิงนั่งพิงหัวเตียงอย่างเบื่อหน่าย ตอนที่ประตู้ห้องถูกเปิดออก เธอยังคงนังชันเข่ากอดขาไว้
เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู เธอก็ถามขึ้นทันที “ไอ้บ้าหนานกงเฉินยอมให้กลับหรือยัง?”
เธอเงยหน้าขึ้นมา ต้องตกใจทีพบว่าคนที่อยู่ในห้องคือหนานกงเฉิน ก่อนจะชะงักไป พร้อมถอยหลังไปอยู่ตรงมุมเตียงอย่างอัตโนมัติ
“ขอโทษค่ะ…….เมื่อกี้ฉันไม่ได้พูดอะไรเลย…….” เมื่อกี้เธอพูดอะไรนะ? ไอ้บ้าเหรอ?
น่าจะเป็นครั้งแรกนะที่มีคนด่าเขาต่อหน้าแบบนี้ แย่ชะมัดเลย!
หนานกงเฉินยืนห่างจากเธอประมาณสองเมตร เขามองสำรวจเธอแวบหนึ่ง ก่อนจะหยุดมองตรงแผลบนหน้าผากที่มีผ้าก๊อตปิดอยู่ ถามขึ้นเรียบๆว่า “ไม่เจ็บแผลแล้วเหรอ?”
ไป๋มู่ชิงได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกลนลานในใจ ถึงเขาจะไม่แสดงว่าโกรธที่เธอด่าเขา แต่คำถามเรียบๆแบบนี้น่ากลัวยิ่งกว่าด่าเธอซะอีก
น้ำเสียงแบบนี้เขาหมายความว่าไง? หรือว่าเขารู้แล้วว่าเธอแกล้งป่วยเพื่อจะได้นอนที่โรงพยาบาล?
“ไม่เจ็บแล้ว” เธอตอบเบาๆ
“บรรลุเป้าหมายแล้ว?”
“เป้าหมายอะไร?” ไป๋มู่ชิงรู้สึกตกใจ ไม่ใช่ว่าเขารู้เรื่องที่เธอให้ซูซี่ไปตรวจดีเอ็นเอให้หรอกนะ? แล้วเขา…….
หนานกงเฉินยิ้มเย้ยเล็กน้อย ก่อนจะโน้มตัวลงมาแล้วท้าวมือทั้งสองข้างไว้ข้างตัวเธอ จ้องมองดวงตาลนลานของเธอในระยะใกล้ชิด : “ซูซี่เพิ่งมาหาฉัน พูดแก้ตัวแทนเธอมากมาย”
“เธอพูด………..อะไรบ้างเหรอ?” ไป๋มู่ชิงถามอย่างตะกุกตะกัก
“บอกว่าที่เธอทำไปทั้งหมดเพราะโดนบังคับ ยังบอกอีกว่าตอนนั้นเธอกับหนานรักกันชื่นมื่น ถึงขนาดจะแต่งงานกัน”
“………..”
“เป็นเรื่องจริงเหรอ?”
คำถามนี้ตอบยากจัง เธอต้องตอบยังไงถึงจะไม่ทำให้เขาโกรธนะ?
“จริง…….”

หนานกงเฉินเป็นยังไงบ้าง? ตื่นหรือยังนะ?
เธอรีบลุกจากเตียงนอนเดินไปทางประตูทันที ไม่คิดว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ชนเข้ากับร่างใครบางคน
“อ๊ะ!” เธอร้องตกใจ ก่อนจะรู้สึกเจ็บแผลตรงหน้าผากตามมา
พอเธอเห็นว่าคนที่เธอชนคือหนานกงเฉินก็ถามขึ้นอย่างแปลกใจ “คุณตื่นแล้วเหรอ?”
เธอยังกังวลว่าเขาจะไม่ตื่น เพราะคุณหมอเคยบอกไว้ว่าหลังจากอาการเขากำเริบวันถัดไปถ้าไม่ตื่นขึ้นมา ก็อาจจะมีโอกาสไม่ตื่นอีกเลย
หนานกงเฉินเห็นแผลบนหน้าผากเธอที่ก่อนหน้านี้บาดแผลแห้งแล้ว แต่พอมาชนเขาแบบนี้อีกแผลก็ปริออกอีกครั้งและมีเลือดไหลซึมออกมาเล็กน้อย แต่เธอทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร
ที่จริงแล้วไป๋มู่ชิงไม่ใช่ไม่รู้สึกเจ็บแผล แต่เพราะเธอดีใจที่เห็นเขาตื่นแล้วจนลืมเรื่องแผลไปชั่วขณะ
“คุณ……ดีขึ้นแล้วใช่มั้ย?” เธอหุบยิ้มก่อนจะค่อยๆถามขึ้น
หนานกงเฉินละสายตาจากแผลบนหน้าผากเธอ ก่อนจะยิ้มเย้ย : “แผนการยอมให้ทรมานร่างกายตัวเองเพื่อเรียกร้องความเห็นใจ ทำได้แยบยลมากนะ”
ไป๋มู่ชิงได้ฟังแบบนั้นก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ทำได้แค่ส่ายหน้า: “ฉันไม่ได้…..”
แผน? มันเป็นการเสี่ยงตายชัดๆ เธอไม่โง่ขนาดเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยง เพื่อเรียกร้องให้เขาเห็นใจหรอกนะ
แต่ก็ช่างเถอะตอนนี้สิ่งที่เธอต้องทำคือตามใจเขาให้มาก อย่างขัดใจเขา ขอแค่เขาพอใจอะไรก็ได้
หนานกงเฉินเห็นเธอไม่ตอบ จึงเข้าใจว่าเธอยอมรับเรื่องเมื่อคืนเป็นแค่แผนการเรียกร้องความเห็นใจของเธอ
จากตอนแรกที่ยังนึกเห็นใจเธออยู่ วินาทีนี้กลับมลายหายไปหมดสิ้น
เขาหมุนตัวออกจากห้องนอนทันที
ไป๋มู่ชิงเปลือยเท้าวิ่งตามไปถามเขา : “คุณชายใหญ่ คุณทานข้าวเช้าหรือยังคะ?”
หนานกงเฉินไม่ได้สนใจเธอ เขายังคงตั้งหน้าตั้งตาเดินลงไปชั้นล่าง
หลังจากหนานกงเฉินออกไปแล้ว เธอก็รู้สึกถึงอาการเจ็บตรงแผล เธอใช้มือแตะที่แผลเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าไปส่องกระจกในห้องน้ำ เธอตกใจกับสภาพตัวเองในกระจกเป็นอย่างมาก
นี่มัน….สภาพอะไรเนี่ย
เสื้อยับยู่ยี่ ผมเผ้ารุงรัง แผลบนหน้าผากมีเลือดแห้งกรังติดอยู่ เมื่อเช้าง่วงมากจนไม่ทันได้ทำแผลก่อน เธอก็นอนทั้งสภาพนี้เลย
เธอเอากล่องยาจากลิ้นชักขึ้นมาหาสำลีชุบแอลกอฮอล์เช็คแผลฆ่าเชื้อ เธอหวังว่ามันจะไม่เป็นแผลเป็นนะ
แผลบนหน้าผากเริ่มทุราวลง แต่แผลตรงไหล่กลับรู้สึกปวดมากขึ้น เธอดูสภาพยับเยินของตัวเองในกระจก ไป๋มู่ชิงเข้าใจแล้วว่าทำไมผู้หญิงเหล่านั้นถึงได้ทิ้งเขาไป เธอเพิ่งมาอยู่กับเขาได้แค่ปีเดียวยังเจอขนาดนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยแผล ถ้าต้องอยู่กับเขาไปทั้งชีวิตจะขนาดไหนกัน?
แต่ถึงจะดูน่ากลัวแค่ไหน เธอก็ไม่เคยคิดจะไปจากเขา ไม่เคยแม้แต่จะคิด
หรือเธอจะเป็นพวกซาดิส? ไป๋มู่ชิงคิด
ขณะที่ไป๋มู่ชิงกำลังนั่งทานข้าวเช้าก็คิดไปด้วยว่าจะเอาผมเด็กน้อยที่เธอได้จากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไปตรวจดีเอ็นเอได้ยังไง
หนานกงเฉินไม่ให้เธอออกไปไหน และไม่ให้เธอใช้โทรศัพท์ เธอแทบจะตัดขาดจากโลกภายนอก ที่นี่ก็ดันมีแต่พี่ยามกับป้าใบ้ที่ออกจะดูถูกสถานะของเธอและไม่ยอมพูดกับเธอเลย
เธอคิดวกไปวนมา จนนึกขึ้นได้วิธีหนึ่ง
ตอนเดินออกจากห้องอาหารเธอทำเป็นเดินเซเหมือนจะเป็นลม ป้าใบ้ที่ทำงานบ้านอยู่เห็นเข้าก็รีบเข้ามาประคองเธอ ก่อนจะทำมือถามว่าเป็นยังไงบ้าง
ไป๋มู่ชิงเอามือกุมหัวไว้ จ้องมองป้าใบ้อย่างน่าสงสาร:”ป้า เมื่อคืนฉันหัวกระแทกจนเป็นแผล ไม่รู้ว่าสมองจะได้รับการกระทบกระเทือนด้วยหรือเปล่า”
ป้าใบ้รีบเรียกหายามที่มาเข้าเวร เมื่อยามเห็นแผลบนหน้าผากของไป๋มู่ชิงก็รีบโทรฯหาหนานกงเฉิน
ไม่นาน เสี่ยวหลินก็ขับรถมาถึงหน้าคฤหาสน์
ระหว่างที่กำลังเดินทางไปโรงพยาบาล เสี่ยวหลินก็ไม่ลืมที่จะพูดเตือนเธอ: “นายหญิงน้อยครับ คุณชายใหญ่สั่งไว้ว่าไม่ให้คุณไปไหนคนเดียว และไม่ให้คุณไปเจอคนอื่นด้วย ดังนั้น…..” เขายิ้มแหยอย่างเกรงใจ
“สบายใจเถอะ ฉันจะไม่หนีไปไหน” ไป๋มู่ชิงรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร พูดจบเธอก็รีบขอร้อง: “ช่วยพาฉันไปที่โรงพยาบาลเหิงซินได้มั้ย?”
“ไม่ได้ครับ คุณชายใหญ่บอกว่าไปได้แค่โรงพยาบาลหงเอินเท่านั้นครับ”
ไป๋มู่ชิงจนคำพูด นึกในใจนี่หนานกงเฉินเห็นเธอเป็นนักโทษหรือไง
เพื่อจะหาโอกาสส่งผมไปตรจให้ได้ ไป๋มู่ชิงจึงต้องแกล้งป่วยจนต้องเข้าแอดมิทที่โรงพยาบาลหงเอิน ระหว่างที่เธอนอนอยู่ที่โรงพยาบาลสองวันหนึ่งคืนนั้น มีแต่ป้าใบ้ที่มาเฝ้าเธอทุกวัน นอกนั้นก็ไม่มีใครมาเยี่ยมเธอเลย
โชคดีที่เธอหาทางส่งผมให้ซู่ซี่ได้ในระหว่างที่ออกไปเดินเล่น เธอไม่มีเงินติดตัวแม้แต่แดงเดียวจึงไม่สามารถส่งไปตรวจเองได้ เลยต้องส่งไปให้ซูซี่ช่วย
หลังจากที่ซูซี่ได้รับผมของเด็กน้อยที่ไป๋มู่ชิงส่งมา เธอนึกว่าไป๋มู่ชิงในใจดื้อดึงจริงๆ ทั้งที่ก็บอกแล้วว่าเด็กน้อยคนนั้นไม่มีทางเป็นลูกเธอได้ ไป๋มู่ชิงก็ยังต้องการจะตรวจดีเอ็นเอให้ได้
แต่ในเมื่อไป๋มู่ชิงขอความช่วยเหลือมา เธอก็ต้องช่วยอยู่แล้ว
หลังออกมาจากโรงพยาบาลเหิงซิน ซูซี่มองดูเวลาก่อนจะโทรฯหาหนานกงเฉิน หนานกงเฉินที่อยู่ปลายสายได้ยินว่าซูซี่จะชวนไปทานข้าวด้วย เขาก็ตอบอย่างไม่เกรงใจ “ไม่ดีกว่า”
หนานกงเฉินคิดว่าตัวเองปฏิเสธอย่างชัดเจนแล้ว แต่ไม่คิดว่ามาถึงที่จอดรถชั้นใต้ดินจะเห็นซูซี่มาดักรออยู่
หนานกงเฉินขมวดคิ้วก่อนถามขึ้น : “เธอมาทำไม? ”
เชิญคุณชายเฉินทางโทรศัพท์ไม่ได้ ก็ต้องมาเรียนเชิญถึงที่ไง คุณชายเฉินโปรดให้เกียรติทานข้าวด้วยกันสักมื้อ ซูซี่ทำสัญลักษณ์มือเป็นการเรียนเชิญ
หนานกงเฉินจ้องไปที่เธอก่อนจะยิ้มเยาะ “ไป๋มู่ชิงให้มาเหรอ?”
“คุณชายเฉินไม่ได้กักขังเธอไว้เหรอ ตอนนี้แม้แต่โทรศัพท์ฉันก็ติดต่อเธอไม่ได้”
“หมายความเธอไม่ได้มาขอร้องแทนไป๋มู่ชิง”
“ไม่ใช่” ซูซี่ยิ้มเล็กน้อย “เชิญคุณชายค่ะ”
หนานกงเฉินปรายตามองเธอแวบหนึ่งก่อนจะเดินไปทางรถตัวเอง ซูซี่จึงรีบวิ่งตามไป ก่อนจะกระโดดขึ้นไปนั่งข้างคนขับ
หลังจากที่รถขับออกจากโรงจอดรถ หนานกงเฉินที่มีสีหน้าราบเรียบก็ถามขึ้น “อยากกินอะไร?”
อันที่จริงแล้วเขาไม่ชอบทานข้าวกับคนอื่น โดยเฉพาะซูซี่เขารู้ว่าเธอมากินข้าวกับเขาเพราะไป๋มู่ชิง
เขาควรห้ามไม่ให้ซูซี่ขึ้นรถ แต่ก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น เพราะลึกๆแล้วเขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าซูซี่จะแก้ตัวให้ไป๋มู่ชิงยังไง
ความรู้สึกในใจเขาเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิดแล้ว แค่เขาเองก็ยังไม่รู้ตัว
“ขอเป็นที่เงียบๆก็พอ” ซูซี่ตอบ
“งั้นก็ร้านอาหารฝรั่งเศสแถวนี้แล้วกัน”
“ได้ค่ะ”

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset