เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 145 ยาสมุนไพรจีน

สายตาของหนานกงเฉินแฝงด้วยความอันตราย “ตอนนั้นที่เธอแต่งเข้ามาในตระกูลหนานกงแทนไป๋ยิ่งอัน เธอยังสวมแหวนของตระกูลผมอีก ยังคลอดลูกของตระกูลหนานกง แถมยังรู้ความลับทั้งหมดของตระกูลหนานกง ถ้าเธอไม่แต่งงานกับผมแล้วจะแต่งกับใครอีก? แต่งกับหลินอันหนานเหรอ?”
“ไม่เกี่ยวอะไรกับหลินอันหนาน ฉันแค่……”
“แค่อะไร? แค่ไม่อยากแต่งงานกับผมหรอ?”
“ใช่” ไป๋มู่ชิงพยักหน้าอย่างไม่กลัวตาย
ตอนนี้เธอกับเขาเป็นอะไรกันแน่? เขาโกรธเกลียดเธอ เธอก็เคืองแค้นที่เขาทำให้คุณย่าตัวเองตาย ยังขังแม่กับน้องชายตัวเองอีก แล้วตระกูลไป๋ด้วย แน่นอน ตระกูลไป๋ก็มีความผิดก็ควรจะได้รับโทษ คุณพ่อไม่เคยมองเธอว่าเป็นลูกสาวแท้ๆเลย เธอไม่อะไรกับเขาก็ได้
ชีวิตในตระกูลหนานกง เธอกลัวมากแล้ว
เธอกลัวเขาแค่อารมณ์ร้อนชั่ววูบเลยแต่งงานกับเธอ เดี๋ยวอีกหน่อยเสียใจทีหลังขึ้นมาล่ะ
“เธอแน่ใจหรอ?” หนานกงเฉินจ้องมองไปที่เธอแล้วพูดกัดฟันไปด้วย
“นายเกลียดฉันไม่ใช่หรอ? ในเมื่อเกลียดทำไมต้องแต่งงานกับฉันอีก? ฉันคิดว่านายควรจะคิดพิจารณาให้ดีก่อน” ไป๋มู่ชิงพูดจบก็แอบถอนหายใจ ในใจคิดว่าเหตุผลนี้ก็ไม่เลวเลย
แต่หนานกงเฉินกลับพูดว่า “นี่เป็นเรื่องของผม คุณไม่ต้องมากังวลหรอก”
“แล้วเรื่องของฉันล่ะ?” ไป๋มู่ชิงมองเห็นสายตาที่เยือกเย็นของเขามองมาที่ตัวเอง ถึงแม้จะรู้สึกกลัวแต่ก็ยังอ้าปากพูด “จะให้ฉันแต่งงานกับนายก็ได้ แต่ต้องคืนเสี่ยวอี้กับแม่ของฉันมา”
เธอรู้ หนานกงเฉินคงโกรธอีกแน่ๆ
แล้วสุดท้าย เขาก็โกรธจริงๆ โกรธจนจ้องเธอไปสักพักค่อยเปิดประตูรถลงไป จากนั้นก็อ้อมไปทางอีกฝั่งแล้วดึงเธอออกมาจากประตูรถ
ไป๋มู่ชิงถูกเขาดึงเข้าไปกอดในอ้อมแขนแล้วเดินเข้าไปที่สำนักงานจดทะเบียนสมรส ดูเหมือนทุกอย่างจะทำติดต่อกันแล้วเกิดขึ้นเร็วมาก
ใช่ ผู้ชายคนนี้เป็นแบบนี้แหละ แม้แต่เรื่องแต่งงานก็เอาแต่ใจทำตามใจตัวเองคนเดียว!
เมื่อผู้ช่วยเหยียนเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามาก็รีบเดินไปต้อนรับ “คุณชายเฉิน คุณหญิงน้อย เอกสารเขียนเรียบร้อยแล้วค่ะ พวกคุณแค่เข้าไปถ่ายรูปก็เสร็จแล้วค่ะ”
จากคำพูดของผู้ช่วยเหยียน หนานกงเฉินก็พาไป๋มู่ชิงเดินไปที่ห้องถ่ายรูป
นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวยาว เมื่อช่างภาพตั้งกล้องเสร็จแล้วก็โบกมือไปทางไป๋มู่ชิง “เจ้าสาว ช่วยจัดหน้าม้าไปข้างๆหน่อยครับ”
ไป๋มู่ชิงรีบจัดหน้าหมาตัวเองไปข้างๆ ช่างภาพก็ประหลาดใจแล้วถามเธอ “เป็นอะไรครับ? ทำไมหน้าผากของเจ้าสาวถึงมีรอยแผลเป็น?”
“เออ……ฉันปล่อยหน้าม้าลงมาได้ไหมคะ?” ไป๋มู่ชิงใช้มือจับไปที่หน้าม้าตัวเอง รอยแผลบนหน้าผากเป็นแผลที่ชนขอบเตียงวันนั้น เพิ่งตกสเก็ดไปกำลังฟื้นฟูอยู่ เพื่อที่จะปิดบังรอยแผลนี้เธอเลยตั้งใจไปตัดหน้าม้า
หนานกงเฉินเห็นว่าเธอยิ่งจับก็ยิ่งยุ่ง ก็เลยจับมือเธอลงมาแล้วช่วยเธอจัดหน้าม้าอย่างอ่อนโยน แค่ปิดรอยแผลไม่โดนตาสักหน่อย
ไป๋มู่ชิงมองไปที่ใบหน้าที่ตั้งใจของเขา ความต่อต้านในใจก็หายไปชั่วขณะแล้วก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาเล็กน้อย
“ได้ครับ แบบนี้ได้ครับ” ช่างกล้องพูดชมขึ้น จากนั้นก็ยกกล้องถ่ายรูปขึ้นเล็งไปที่ทั้งสองแล้วเอ่ยขึ้นด้วย “ทั้งสองคนยิ้มหน่อยนะครับ วันนี้เป็นวันมงคลของทั้งสองคน ถ้าเอาแต่ทำหน้าบึ้งตึงจะไม่มงคลนะครับ……”
“มา ยิ้มครับ……” ช่างกล้องรอไปครึ่งวันก็ยังไม่ได้รอยยิ้มที่น่าพึงพอใจก็เลยเอาแต่เร่งอยู่อย่างนั้น
หนานกงเฉินเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาแล้วหันไปทางไป๋มู่ชิง “เธอจะยิ้มหรือไม่ยิ้ม? ถ้าไม่ยิ้มก็ออกไปซะ!”
“……” ไป๋มู่ชิงน่าสงสารจนไม่รู้จะเอ่ยพูดอะไร
ช่างกล้องวางกล้องถ่ายรูปแล้วพูดไปทางหนานกงเฉิน “เจ้าบ่าว แล้วคุณล่ะ สรุปคุณจะยิ้มหรือไม่ยิ้ม?”
หนานกงเฉินก็หมดคำพูดไปด้วย
สุดท้ายช่างกล้องก็ลุกขึ้นยืนตรงแล้วพูดไปทางทั้งสอง “พวกคุณมาแต่งงานไม่ใช่หรอ? ทำไมวันแต่งงานแบบนี้ยังต่อว่าเจ้าสาวอีก? ชีวิตหลังจากนี้จะผ่านไปได้ยังไง? ในฐานะที่เป็นพนักงานจัดทำเรื่องสมรส ถ้าท่าทางของคุณเป็นอย่างนี้ผมสามารถปฏิเสธถ่ายรูปใบสมรสของพวกคุณได้”
สีหน้าของหนานกงเฉินย่ำแย่ไปกว่าเดิม
ไป๋มู่ชิงก็พยายามกลั้นหัวเราะไว้แล้วแอบชูนิ้วโป้งไปให้
“คุณยังจะหัวเราะอีก” ช่างกล้องหันไปพูดกับไป๋มู่ชิง “เป็นผู้หญิงยุคสมัยใหม่แล้ว ทำไมเธอถึงไม่มีความคิดของตัวเองเลย คนอื่นให้เธอออกไปเธอยังจะดื้อดึงอยู่ที่นี่ ผู้ชายที่หน้าตาหล่อไม่มีแค่เขาคนเดียว ก็ออกไปอย่างกล้าหาญแล้วไปจับคนที่ดีกว่าเขามาสิ”
ผู้ช่วยเหยียนที่ยืนอยู่ข้างๆเห็นสีหน้าของหนานกงเฉินเยือกเย็นจนถึงจุดต่ำสุดแล้วก็เลยรีบเดินเข้าไปยิ้มกับช่างกล้อง “คุณเข้าใจผิดแล้วค่ะ เจ้านายทั้งสองคนของฉันปกติก็เป็นแบบนี้แล้วค่ะ ตีเพราะเป็นห่วงด่าเพราะรักไงคะ ช่วยถ่ายรูปให้เขาเร็วๆเถอะค่ะ”
ช่างกล้องมองไปที่ทั้งสอง ทำไมดูเหมือนเจ้าบ่าวไม่ค่อยใส่ใจเจ้าสาวเลย
ด้วยอาชีพของตัวเองก็เลยถามไป๋มู่ชิงว่า “คุณผู้หญิงครับ คุณแน่ใจหรอครับว่าจะแต่งงานกับผู้ชายที่เจ้าอารมณ์คนนี้?”
ไป๋มู่ชิงเงียบไปครู่นึงค่อยเอ่ยปากอย่างลังเล “ความจริงฉัน……” เธอหันไปมองหนานกงเฉิน เมื่อได้รับสายตาที่ขู่เตือนของเขาก็เลยจำใจต้องยิ้ม “แน่ใจค่ะ”
สุดท้ายสีหน้าของหนานกงเฉินก็ค่อยๆดูดีขึ้นมา
ช่างกล้องส่ายหัวด้วยท่าทางที่ยอมแพ้กับเธอ จากนั้นก็ยกกล้องขึ้นเล็งไปที่ทั้งสองอีกครั้ง
ครั้งนี้ เขาก็ไม่สนแล้วว่าทั้งสองจะยิ้มหรือไม่ยิ้มก็กดชัตเตอร์ที่กล้องถ่ายรูปแล้วบอกกับทั้งสอง “ได้แล้วครับ ไปรับรูปภาพฝั่งโน้นได้เลยครับ”
หลังจากที่ทำเอกสารเสร็จ ทั้งสองก็ได้สมรสกันตามกฏหมายแล้ว
เมื่อผู้ช่วยเหยียนยื่นใบสมรสสองเล่มเข้าไปในรถ มือไป๋มู่ชิงก็รับใบสมรสสีแดงไป แล้วความรู้สึกในใจก็พรุ่งพล่านไปหมด
ไม่คิดหรือว่าเธอจะแต่งงานจริงๆ แถมยังแต่งงานกับหนานกงเฉินอีก แต่ก่อนเป็นผู้ชายที่ผู้หญิงทั้งเมืองจะหลบหลีก แต่วันนี้กลับเป็นผู้ชายที่ผู้หญิงทั้งเมืองอยากจะจับจอง!
หนานกงเฉินเห็นว่าเธอเหม่อกับใบสมรสก็เลยเอ่ยเสียดสีขึ้น “ทำยังไงดี? จะไม่ตกลงตอนนี้ก็สายไปแล้ว”
“ถ้างั้น……ก็อยู่ไปอย่างนี้แหละ” เธอยื่นอีกเล่มให้เขา “นี่เป็นของนาย”
เมื่อเปิดเข้าไปดู ก็มีชื่อของหนานกงเฉินไป๋มู่ชิงของทั้งสองแล้ว มีตัวหนังสือที่เขียนไว้ว่าเป็นสามีภรรยาตามกฏหมายแล้ว
‘สามีภรรยาตามกฏหมาย’ ไป๋มู่ชิงจ้องไปที่ตัวหนังสือเหล่านี้ในใจก็คิดว่าเหมือนความฝันเลย
แต่ก่อนบนนั้นเป็นชื่อของไป๋ยิ่งอัน แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นไป๋มู่ชิงของเธอแล้ว ตอนนั้น……มีบางเวลาหรือเปล่า ที่เธอเคยวาดฝันภาพเหตุการณ์แบบนี้? เธอจำได้ว่าเคย!
เมื่อเธอเห็นรูปภาพบนนั้นก็เผลอหัวเราะออกมา
เมื่อหนานกงเฉินรับใบสมรสไปแล้วก็ไม่ได้เปิดดูแต่กลับใส่เข้าไปในลิ้นชักเลย เมื่อได้ยินเธอหัวเราะออกมาทั้งๆที่เมื่อกี้ยังเศร้าเสียใจอยู่ก็เลยหันกลับไปมองที่เธอ จากนั้นสายตาก็มองไปที่ใบสมรส
ไป๋มู่ชิงยื่นใบสมรสไปต่อหน้าเขาแล้วอดพูดไม่ได้ “ฉันเพิ่งเห็นนายหน้าตาขี้เหร่ก็วันนี้แหล่ะ จริงๆเลย……ลุงช่างกล้องพูดถูก น่าจะออกจากสำนักงานแล้วจับสักคนที่หล่อกว่านาย”
ในรูปหนานกงเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย รอยยิ้มที่ออกมายิ้มได้อย่างยากเย็นแต่กลับน่าเกลียดกว่าการร้องไห้ ขี้เหร่กว่าตัวจริงมากๆ
หนานกงเฉินมองไปที่รูปถ่ายบนนั้นแล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่แยแส “ทำไมเธอไม่หัวเราะตัวเองล่ะ?”
ไป๋มู่ชิงพยายามจะไม่พูดถึงรูปของตัวเอง “ฉันโดนบังคับให้แต่งงาน จะขี้เหร่ก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว”

สายตาของหนานกงเฉินแฝงด้วยความอันตราย “ตอนนั้นที่เธอแต่งเข้ามาในตระกูลหนานกงแทนไป๋ยิ่งอัน เธอยังสวมแหวนของตระกูลผมอีก ยังคลอดลูกของตระกูลหนานกง แถมยังรู้ความลับทั้งหมดของตระกูลหนานกง ถ้าเธอไม่แต่งงานกับผมแล้วจะแต่งกับใครอีก? แต่งกับหลินอันหนานเหรอ?”
“ไม่เกี่ยวอะไรกับหลินอันหนาน ฉันแค่……”
“แค่อะไร? แค่ไม่อยากแต่งงานกับผมหรอ?”
“ใช่” ไป๋มู่ชิงพยักหน้าอย่างไม่กลัวตาย
ตอนนี้เธอกับเขาเป็นอะไรกันแน่? เขาโกรธเกลียดเธอ เธอก็เคืองแค้นที่เขาทำให้คุณย่าตัวเองตาย ยังขังแม่กับน้องชายตัวเองอีก แล้วตระกูลไป๋ด้วย แน่นอน ตระกูลไป๋ก็มีความผิดก็ควรจะได้รับโทษ คุณพ่อไม่เคยมองเธอว่าเป็นลูกสาวแท้ๆเลย เธอไม่อะไรกับเขาก็ได้
ชีวิตในตระกูลหนานกง เธอกลัวมากแล้ว
เธอกลัวเขาแค่อารมณ์ร้อนชั่ววูบเลยแต่งงานกับเธอ เดี๋ยวอีกหน่อยเสียใจทีหลังขึ้นมาล่ะ
“เธอแน่ใจหรอ?” หนานกงเฉินจ้องมองไปที่เธอแล้วพูดกัดฟันไปด้วย
“นายเกลียดฉันไม่ใช่หรอ? ในเมื่อเกลียดทำไมต้องแต่งงานกับฉันอีก? ฉันคิดว่านายควรจะคิดพิจารณาให้ดีก่อน” ไป๋มู่ชิงพูดจบก็แอบถอนหายใจ ในใจคิดว่าเหตุผลนี้ก็ไม่เลวเลย
แต่หนานกงเฉินกลับพูดว่า “นี่เป็นเรื่องของผม คุณไม่ต้องมากังวลหรอก”
“แล้วเรื่องของฉันล่ะ?” ไป๋มู่ชิงมองเห็นสายตาที่เยือกเย็นของเขามองมาที่ตัวเอง ถึงแม้จะรู้สึกกลัวแต่ก็ยังอ้าปากพูด “จะให้ฉันแต่งงานกับนายก็ได้ แต่ต้องคืนเสี่ยวอี้กับแม่ของฉันมา”
เธอรู้ หนานกงเฉินคงโกรธอีกแน่ๆ
แล้วสุดท้าย เขาก็โกรธจริงๆ โกรธจนจ้องเธอไปสักพักค่อยเปิดประตูรถลงไป จากนั้นก็อ้อมไปทางอีกฝั่งแล้วดึงเธอออกมาจากประตูรถ
ไป๋มู่ชิงถูกเขาดึงเข้าไปกอดในอ้อมแขนแล้วเดินเข้าไปที่สำนักงานจดทะเบียนสมรส ดูเหมือนทุกอย่างจะทำติดต่อกันแล้วเกิดขึ้นเร็วมาก
ใช่ ผู้ชายคนนี้เป็นแบบนี้แหละ แม้แต่เรื่องแต่งงานก็เอาแต่ใจทำตามใจตัวเองคนเดียว!
เมื่อผู้ช่วยเหยียนเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามาก็รีบเดินไปต้อนรับ “คุณชายเฉิน คุณหญิงน้อย เอกสารเขียนเรียบร้อยแล้วค่ะ พวกคุณแค่เข้าไปถ่ายรูปก็เสร็จแล้วค่ะ”
จากคำพูดของผู้ช่วยเหยียน หนานกงเฉินก็พาไป๋มู่ชิงเดินไปที่ห้องถ่ายรูป
นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวยาว เมื่อช่างภาพตั้งกล้องเสร็จแล้วก็โบกมือไปทางไป๋มู่ชิง “เจ้าสาว ช่วยจัดหน้าม้าไปข้างๆหน่อยครับ”
ไป๋มู่ชิงรีบจัดหน้าหมาตัวเองไปข้างๆ ช่างภาพก็ประหลาดใจแล้วถามเธอ “เป็นอะไรครับ? ทำไมหน้าผากของเจ้าสาวถึงมีรอยแผลเป็น?”
“เออ……ฉันปล่อยหน้าม้าลงมาได้ไหมคะ?” ไป๋มู่ชิงใช้มือจับไปที่หน้าม้าตัวเอง รอยแผลบนหน้าผากเป็นแผลที่ชนขอบเตียงวันนั้น เพิ่งตกสเก็ดไปกำลังฟื้นฟูอยู่ เพื่อที่จะปิดบังรอยแผลนี้เธอเลยตั้งใจไปตัดหน้าม้า
หนานกงเฉินเห็นว่าเธอยิ่งจับก็ยิ่งยุ่ง ก็เลยจับมือเธอลงมาแล้วช่วยเธอจัดหน้าม้าอย่างอ่อนโยน แค่ปิดรอยแผลไม่โดนตาสักหน่อย
ไป๋มู่ชิงมองไปที่ใบหน้าที่ตั้งใจของเขา ความต่อต้านในใจก็หายไปชั่วขณะแล้วก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาเล็กน้อย
“ได้ครับ แบบนี้ได้ครับ” ช่างกล้องพูดชมขึ้น จากนั้นก็ยกกล้องถ่ายรูปขึ้นเล็งไปที่ทั้งสองแล้วเอ่ยขึ้นด้วย “ทั้งสองคนยิ้มหน่อยนะครับ วันนี้เป็นวันมงคลของทั้งสองคน ถ้าเอาแต่ทำหน้าบึ้งตึงจะไม่มงคลนะครับ……”
“มา ยิ้มครับ……” ช่างกล้องรอไปครึ่งวันก็ยังไม่ได้รอยยิ้มที่น่าพึงพอใจก็เลยเอาแต่เร่งอยู่อย่างนั้น
หนานกงเฉินเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาแล้วหันไปทางไป๋มู่ชิง “เธอจะยิ้มหรือไม่ยิ้ม? ถ้าไม่ยิ้มก็ออกไปซะ!”
“……” ไป๋มู่ชิงน่าสงสารจนไม่รู้จะเอ่ยพูดอะไร
ช่างกล้องวางกล้องถ่ายรูปแล้วพูดไปทางหนานกงเฉิน “เจ้าบ่าว แล้วคุณล่ะ สรุปคุณจะยิ้มหรือไม่ยิ้ม?”
หนานกงเฉินก็หมดคำพูดไปด้วย
สุดท้ายช่างกล้องก็ลุกขึ้นยืนตรงแล้วพูดไปทางทั้งสอง “พวกคุณมาแต่งงานไม่ใช่หรอ? ทำไมวันแต่งงานแบบนี้ยังต่อว่าเจ้าสาวอีก? ชีวิตหลังจากนี้จะผ่านไปได้ยังไง? ในฐานะที่เป็นพนักงานจัดทำเรื่องสมรส ถ้าท่าทางของคุณเป็นอย่างนี้ผมสามารถปฏิเสธถ่ายรูปใบสมรสของพวกคุณได้”
สีหน้าของหนานกงเฉินย่ำแย่ไปกว่าเดิม
ไป๋มู่ชิงก็พยายามกลั้นหัวเราะไว้แล้วแอบชูนิ้วโป้งไปให้
“คุณยังจะหัวเราะอีก” ช่างกล้องหันไปพูดกับไป๋มู่ชิง “เป็นผู้หญิงยุคสมัยใหม่แล้ว ทำไมเธอถึงไม่มีความคิดของตัวเองเลย คนอื่นให้เธอออกไปเธอยังจะดื้อดึงอยู่ที่นี่ ผู้ชายที่หน้าตาหล่อไม่มีแค่เขาคนเดียว ก็ออกไปอย่างกล้าหาญแล้วไปจับคนที่ดีกว่าเขามาสิ”
ผู้ช่วยเหยียนที่ยืนอยู่ข้างๆเห็นสีหน้าของหนานกงเฉินเยือกเย็นจนถึงจุดต่ำสุดแล้วก็เลยรีบเดินเข้าไปยิ้มกับช่างกล้อง “คุณเข้าใจผิดแล้วค่ะ เจ้านายทั้งสองคนของฉันปกติก็เป็นแบบนี้แล้วค่ะ ตีเพราะเป็นห่วงด่าเพราะรักไงคะ ช่วยถ่ายรูปให้เขาเร็วๆเถอะค่ะ”
ช่างกล้องมองไปที่ทั้งสอง ทำไมดูเหมือนเจ้าบ่าวไม่ค่อยใส่ใจเจ้าสาวเลย
ด้วยอาชีพของตัวเองก็เลยถามไป๋มู่ชิงว่า “คุณผู้หญิงครับ คุณแน่ใจหรอครับว่าจะแต่งงานกับผู้ชายที่เจ้าอารมณ์คนนี้?”
ไป๋มู่ชิงเงียบไปครู่นึงค่อยเอ่ยปากอย่างลังเล “ความจริงฉัน……” เธอหันไปมองหนานกงเฉิน เมื่อได้รับสายตาที่ขู่เตือนของเขาก็เลยจำใจต้องยิ้ม “แน่ใจค่ะ”
สุดท้ายสีหน้าของหนานกงเฉินก็ค่อยๆดูดีขึ้นมา
ช่างกล้องส่ายหัวด้วยท่าทางที่ยอมแพ้กับเธอ จากนั้นก็ยกกล้องขึ้นเล็งไปที่ทั้งสองอีกครั้ง
ครั้งนี้ เขาก็ไม่สนแล้วว่าทั้งสองจะยิ้มหรือไม่ยิ้มก็กดชัตเตอร์ที่กล้องถ่ายรูปแล้วบอกกับทั้งสอง “ได้แล้วครับ ไปรับรูปภาพฝั่งโน้นได้เลยครับ”
หลังจากที่ทำเอกสารเสร็จ ทั้งสองก็ได้สมรสกันตามกฏหมายแล้ว
เมื่อผู้ช่วยเหยียนยื่นใบสมรสสองเล่มเข้าไปในรถ มือไป๋มู่ชิงก็รับใบสมรสสีแดงไป แล้วความรู้สึกในใจก็พรุ่งพล่านไปหมด
ไม่คิดหรือว่าเธอจะแต่งงานจริงๆ แถมยังแต่งงานกับหนานกงเฉินอีก แต่ก่อนเป็นผู้ชายที่ผู้หญิงทั้งเมืองจะหลบหลีก แต่วันนี้กลับเป็นผู้ชายที่ผู้หญิงทั้งเมืองอยากจะจับจอง!
หนานกงเฉินเห็นว่าเธอเหม่อกับใบสมรสก็เลยเอ่ยเสียดสีขึ้น “ทำยังไงดี? จะไม่ตกลงตอนนี้ก็สายไปแล้ว”
“ถ้างั้น……ก็อยู่ไปอย่างนี้แหละ” เธอยื่นอีกเล่มให้เขา “นี่เป็นของนาย”
เมื่อเปิดเข้าไปดู ก็มีชื่อของหนานกงเฉินไป๋มู่ชิงของทั้งสองแล้ว มีตัวหนังสือที่เขียนไว้ว่าเป็นสามีภรรยาตามกฏหมายแล้ว
‘สามีภรรยาตามกฏหมาย’ ไป๋มู่ชิงจ้องไปที่ตัวหนังสือเหล่านี้ในใจก็คิดว่าเหมือนความฝันเลย
แต่ก่อนบนนั้นเป็นชื่อของไป๋ยิ่งอัน แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นไป๋มู่ชิงของเธอแล้ว ตอนนั้น……มีบางเวลาหรือเปล่า ที่เธอเคยวาดฝันภาพเหตุการณ์แบบนี้? เธอจำได้ว่าเคย!
เมื่อเธอเห็นรูปภาพบนนั้นก็เผลอหัวเราะออกมา
เมื่อหนานกงเฉินรับใบสมรสไปแล้วก็ไม่ได้เปิดดูแต่กลับใส่เข้าไปในลิ้นชักเลย เมื่อได้ยินเธอหัวเราะออกมาทั้งๆที่เมื่อกี้ยังเศร้าเสียใจอยู่ก็เลยหันกลับไปมองที่เธอ จากนั้นสายตาก็มองไปที่ใบสมรส
ไป๋มู่ชิงยื่นใบสมรสไปต่อหน้าเขาแล้วอดพูดไม่ได้ “ฉันเพิ่งเห็นนายหน้าตาขี้เหร่ก็วันนี้แหล่ะ จริงๆเลย……ลุงช่างกล้องพูดถูก น่าจะออกจากสำนักงานแล้วจับสักคนที่หล่อกว่านาย”
ในรูปหนานกงเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย รอยยิ้มที่ออกมายิ้มได้อย่างยากเย็นแต่กลับน่าเกลียดกว่าการร้องไห้ ขี้เหร่กว่าตัวจริงมากๆ
หนานกงเฉินมองไปที่รูปถ่ายบนนั้นแล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่แยแส “ทำไมเธอไม่หัวเราะตัวเองล่ะ?”
ไป๋มู่ชิงพยายามจะไม่พูดถึงรูปของตัวเอง “ฉันโดนบังคับให้แต่งงาน จะขี้เหร่ก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว”
“ได้ยินแล้ว” ไป๋มู่ชิงแลบลิ้นให้เขาแล้วคิดในใจว่าผู้ชายคนนี้ช่างเย่อหยิ่งเหลือเกิน ไม่ว่าจะอะไรก็รู้สึกไม่สะอาดไปหมด
จากนั้นหนานกงเฉินก็ก้มหน้าทำงานต่อแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ในห้องวีไอพีมีนิตยสารกับหนังสือพิมพ์ ตึกข้างๆก็มีร้านกาแฟกับห้องนั่งเล่น ในนั้นมีห้องพักผ่อน เธอก็ไปที่นั่นก็ได้”
สุดท้ายไป๋มู่ชิงก็ตัดสินใจไปนอนกลางวันที่ห้องพักผ่อน
เธอมองไปรอบๆ ที่นี่หรูหราไม่แพ้คฤหาสน์เลย เธอเดินไปที่ห้องนอนแล้วนอนลงไปบนเตียง กลิ่นอายบนตัวเขาก็ค่อยๆลอยมาแตะจมูกเธอ รู้สึกหอมแล้วผ่อนคลายด้วย
อาจจะเป็นเพราะว่าผ่อนคลายมาก เธอเลยหลับไปอย่างรวดเร็ว
ไม่รู้ว่านอนไปนานแค่ไหน จนกระทั่งหนานกงเฉินเรียกเธอ ถึงตื่น จากนั้นก็ลุกขึ้นนั่งบนเตียงแล้วถามเขา “ฉันนอนเลยเวลาแล้วใช่ไหม”
หนานกงเฉินมองเวลาที่ข้อมือ “ใกล้แล้วแหละ”
“ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” ไป๋มู่ชิงลงมาจากเตียงแล้วเริ่มควานหาถุงช้อปปิ้งที่เอากลับมา
หนานกงเฉินเห็นท่าทางที่มึงมัวของเธอ ถุงใหญ่ขนาดนี้วางอยู่บนโต๊ะแต่ไม่เห็นก็เลยหยิบถุงขึ้นแล้วยื่นไปให้เธอ ไป๋มู่ชิงรับถุงไปแล้วเอ่ยกับเขา “ใช่สิ ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ตรงไหน”
“ที่นี่ไม่มีห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า”
“ห๋า”
“ห๋าอะไร? มีส่วนไหนบ้างที่ผมยังไม่เคยเห็น” หนานกงเฉินจงใจไม่บอกเธอ ถึงแม้ที่นี่จะไม่มีห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่ก็มีห้องอาบน้ำหนิ
แต่คนที่ใสซื่ออย่างไป๋มู่ชิง ก็เลยต้องหันหลังไปแล้วถอดเสื้อผ้าบนตัวอย่างเขินอายแล้วรีบเปลี่ยนชุดที่เพิ่งซื้อมาใหม่
หลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว เธอก็หันไปทางหนานกงเฉิน “ชุดนี้……เป็นยังไงบ้าง?ไ
หนานกงเฉินดึงสติกลับมาแล้วพยักหน้า “กลับไปบ้านตัวเอง ใส่ให้ดูดีก็พอแล้ว ไม่ต้องไปสนใจว่าสวยหรือไม่สวย”
กลับบ้านตัวเอง……
ทำไมฟังแล้วรู้สึกแปลกๆในใจ
เมื่อรู้สึกว่าหนานกงเฉินเดินออกไปแล้วเธอก็รีบก้าวเดินตามไปด้วย จากนั้นก็ตามเขาออกจากห้องทำงานไป
อาหารมื้อค่ำก็ทานเหมือนปกติ ไม่มีอะไรพิเศษมาก
ก็ยังเป็นกลุ่มคนเหล่านั้น ผู่เหลียนเหยาก็ยังเป็นคนที่พูดคุยกับทุกคนตลอด
ไป๋มู่ชิงก็เหมือนแต่ก่อน หลังจากทานอาหารเสร็จก็กลับขึ้นไปบนคฤหาสน์ กลับไปในห้องเดิมที่ตัวเองเคยอยู่ แต่ห้องนี้ไป๋ยิ่งอันเคยอยู่ แล้วของที่วางอยู่ในห้องก็เป็นของของเธอ
เธอกับไป๋ยิ่งอันเป็นเหมือนศัตรูอยู่แล้ว แล้วตอนนี้ก็กวาดมองไปที่ของของเธอ ก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา
ในเวลาเดียวกัน ที่หน้าประตูก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น จากนั้นพี่เหอกับคุณหญิงก็เดินเข้ามา ในมือของพี่เหอยกถ้วยยาสมุนไพรจีนสีเข้มไว้ในมือ
ไป๋มู่ชิงกวาดมองไปที่ถ้วยยาในมือพี่เหอแล้วเอ่ยทักทายขึ้นกับคุณหญิงอย่างมีมารยาท จากนั้นก็พยุงตัวท่านไปนั่งลงที่โซฟา
หลังจากที่คุณหญิงนั่งลง ก็ใช้คางชี้ไปที่ยาสมุนไพรจีนบนโต๊ะแล้วพูดนี่ “เป็นยาสมุนไพรที่อาจารย์หวังหาให้มาโดยเฉพาะ ถ้าดื่มแล้วจะป้องกันไม่ให้เด็กผิดปกติได้”
ไป๋มู่ชิงประหลาดใจไปแล้วมองไปที่ถ้วยยาอีกครั้ง
ให้เธอทานยาที่ช่วยตั้งครรภ์งั้นหรอ? คุณหญิงยังกล้าให้เธอตั้งครรภ์อีกเหรอ?
คุณหญิงเหมือนจะเข้าใจความแปลกใจของเธอก็เลยเอ่ย “ในเมื่อเด็กจากไปนานขนาดนี้แล้ว เธอก็ควรจะคิดที่จะมีคนต่อไปได้แล้วไม่ใช่หรอ?”
“คุณย่าคะ……” ไป๋มู่ชิงอ้าปากจะพูดแล้วมองไปทางถ้วยยา “คุณชายรู้หรือเปล่าคะว่าคุณย่าทำแบบนี้?”
ครั้งก่อนหนานกงเฉินก็ไม่ยอมให้เธอตั้งครรภ์ จนถึงขั้นที่เธอตั้งครรภ์แล้วก็บังคับให้เธอไปทำแท้งอีก แล้วลูกคนก่อนก็ทำให้ทุกคนเสียใจมาก หนานกงเฉินจะยอมตกลงให้เธอตั้งครรภ์อีกได้ยังไง?
“ไม่รู้แล้วจะยังไง?”
“แต่ว่า……หนูกลัวว่าเขาจะโกรธเหมือนครั้งก่อน”
“ครั้งก่อนเป็นเพราะไม่มียาพวกนี้ ตอนนี้มีแล้ว กินยาพวกนี้แล้วก็คงจะมีลูกที่แข็งแรงได้ เฉินไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ตกลง”
ไป๋มู่ชิงไม่เอ่ยพูดอะไร คุณหญิงก็มองไปที่เธอ “ฉันเห็นว่าช่วงนี้เฉินอยู่นอกบ้านมากกว่าในบ้าน ตอนกลางคืนพวกเธอคงจะ……ใช่ไหม?”
คุณหญิงเอ่ยถามได้อย่างอ้อมค้อม แต่หน้าของไป๋มู่ชิงก็ค่อยๆแดงขึ้นมา
เธอพยักหน้าอย่างเขินอาย
คุณหญิงหัวเราะ “งั้นก็ดี รีบกินยานี่เถอะ”
ไป๋มู่ชิงมองไปที่ยาสีเข้มบนโต๊ะ เธอก็ไม่กล้าจะปฏิเสธคุณหญิงก็เลยจำใจยกยาขึ้นมาดื่ม รสชาติของยาขมคอมากจนจะ เหมือนยาของหนานกงเฉินแล้ว เธอกลืนไม่ลงจริงๆเลยโกหกกับคุณหญิงว่า “ยายังร้อนอยู่ เดี๋ยวอีกสักครู่หนูค่อยทานนะคะ”
“ได้ ต้องกินให้หมดนะ”
“ได้ค่ะ”
จากนั้นคุณหญิงก็ลุกขึ้นจากโซฟาแล้วออกไปจากห้องเธอพร้อมกับพี่เหอ
หลังจากที่คุณหญิงออกไป แล้วไป๋มู่ชิงแน่ใจว่าท่านจะไม่กลับมา ค่อยยกถ้วยยาเดินไปทางห้องน้ำ จากนั้นก็เทยาทิ้งไป
หลังจากที่ออกมาจากห้องน้ำเธอก็สะดุ้งตกใจกับหนานกงเฉินที่ยืนอยู่หน้าประตูห้อง เธอถอนหายใจยาวแล้วพูดอย่างหงุดหงิด “นายเดินไม่มีเสียงหรอ? ตกใจหมด”

สายตาของหนานกงเฉินแฝงด้วยความอันตราย “ตอนนั้นที่เธอแต่งเข้ามาในตระกูลหนานกงแทนไป๋ยิ่งอัน เธอยังสวมแหวนของตระกูลผมอีก ยังคลอดลูกของตระกูลหนานกง แถมยังรู้ความลับทั้งหมดของตระกูลหนานกง ถ้าเธอไม่แต่งงานกับผมแล้วจะแต่งกับใครอีก? แต่งกับหลินอันหนานเหรอ?”
“ไม่เกี่ยวอะไรกับหลินอันหนาน ฉันแค่……”
“แค่อะไร? แค่ไม่อยากแต่งงานกับผมหรอ?”
“ใช่” ไป๋มู่ชิงพยักหน้าอย่างไม่กลัวตาย
ตอนนี้เธอกับเขาเป็นอะไรกันแน่? เขาโกรธเกลียดเธอ เธอก็เคืองแค้นที่เขาทำให้คุณย่าตัวเองตาย ยังขังแม่กับน้องชายตัวเองอีก แล้วตระกูลไป๋ด้วย แน่นอน ตระกูลไป๋ก็มีความผิดก็ควรจะได้รับโทษ คุณพ่อไม่เคยมองเธอว่าเป็นลูกสาวแท้ๆเลย เธอไม่อะไรกับเขาก็ได้
ชีวิตในตระกูลหนานกง เธอกลัวมากแล้ว
เธอกลัวเขาแค่อารมณ์ร้อนชั่ววูบเลยแต่งงานกับเธอ เดี๋ยวอีกหน่อยเสียใจทีหลังขึ้นมาล่ะ
“เธอแน่ใจหรอ?” หนานกงเฉินจ้องมองไปที่เธอแล้วพูดกัดฟันไปด้วย
“นายเกลียดฉันไม่ใช่หรอ? ในเมื่อเกลียดทำไมต้องแต่งงานกับฉันอีก? ฉันคิดว่านายควรจะคิดพิจารณาให้ดีก่อน” ไป๋มู่ชิงพูดจบก็แอบถอนหายใจ ในใจคิดว่าเหตุผลนี้ก็ไม่เลวเลย
แต่หนานกงเฉินกลับพูดว่า “นี่เป็นเรื่องของผม คุณไม่ต้องมากังวลหรอก”
“แล้วเรื่องของฉันล่ะ?” ไป๋มู่ชิงมองเห็นสายตาที่เยือกเย็นของเขามองมาที่ตัวเอง ถึงแม้จะรู้สึกกลัวแต่ก็ยังอ้าปากพูด “จะให้ฉันแต่งงานกับนายก็ได้ แต่ต้องคืนเสี่ยวอี้กับแม่ของฉันมา”
เธอรู้ หนานกงเฉินคงโกรธอีกแน่ๆ
แล้วสุดท้าย เขาก็โกรธจริงๆ โกรธจนจ้องเธอไปสักพักค่อยเปิดประตูรถลงไป จากนั้นก็อ้อมไปทางอีกฝั่งแล้วดึงเธอออกมาจากประตูรถ
ไป๋มู่ชิงถูกเขาดึงเข้าไปกอดในอ้อมแขนแล้วเดินเข้าไปที่สำนักงานจดทะเบียนสมรส ดูเหมือนทุกอย่างจะทำติดต่อกันแล้วเกิดขึ้นเร็วมาก
ใช่ ผู้ชายคนนี้เป็นแบบนี้แหละ แม้แต่เรื่องแต่งงานก็เอาแต่ใจทำตามใจตัวเองคนเดียว!
เมื่อผู้ช่วยเหยียนเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามาก็รีบเดินไปต้อนรับ “คุณชายเฉิน คุณหญิงน้อย เอกสารเขียนเรียบร้อยแล้วค่ะ พวกคุณแค่เข้าไปถ่ายรูปก็เสร็จแล้วค่ะ”
จากคำพูดของผู้ช่วยเหยียน หนานกงเฉินก็พาไป๋มู่ชิงเดินไปที่ห้องถ่ายรูป
นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวยาว เมื่อช่างภาพตั้งกล้องเสร็จแล้วก็โบกมือไปทางไป๋มู่ชิง “เจ้าสาว ช่วยจัดหน้าม้าไปข้างๆหน่อยครับ”
ไป๋มู่ชิงรีบจัดหน้าหมาตัวเองไปข้างๆ ช่างภาพก็ประหลาดใจแล้วถามเธอ “เป็นอะไรครับ? ทำไมหน้าผากของเจ้าสาวถึงมีรอยแผลเป็น?”
“เออ……ฉันปล่อยหน้าม้าลงมาได้ไหมคะ?” ไป๋มู่ชิงใช้มือจับไปที่หน้าม้าตัวเอง รอยแผลบนหน้าผากเป็นแผลที่ชนขอบเตียงวันนั้น เพิ่งตกสเก็ดไปกำลังฟื้นฟูอยู่ เพื่อที่จะปิดบังรอยแผลนี้เธอเลยตั้งใจไปตัดหน้าม้า
หนานกงเฉินเห็นว่าเธอยิ่งจับก็ยิ่งยุ่ง ก็เลยจับมือเธอลงมาแล้วช่วยเธอจัดหน้าม้าอย่างอ่อนโยน แค่ปิดรอยแผลไม่โดนตาสักหน่อย
ไป๋มู่ชิงมองไปที่ใบหน้าที่ตั้งใจของเขา ความต่อต้านในใจก็หายไปชั่วขณะแล้วก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาเล็กน้อย
“ได้ครับ แบบนี้ได้ครับ” ช่างกล้องพูดชมขึ้น จากนั้นก็ยกกล้องถ่ายรูปขึ้นเล็งไปที่ทั้งสองแล้วเอ่ยขึ้นด้วย “ทั้งสองคนยิ้มหน่อยนะครับ วันนี้เป็นวันมงคลของทั้งสองคน ถ้าเอาแต่ทำหน้าบึ้งตึงจะไม่มงคลนะครับ……”
“มา ยิ้มครับ……” ช่างกล้องรอไปครึ่งวันก็ยังไม่ได้รอยยิ้มที่น่าพึงพอใจก็เลยเอาแต่เร่งอยู่อย่างนั้น
หนานกงเฉินเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาแล้วหันไปทางไป๋มู่ชิง “เธอจะยิ้มหรือไม่ยิ้ม? ถ้าไม่ยิ้มก็ออกไปซะ!”
“……” ไป๋มู่ชิงน่าสงสารจนไม่รู้จะเอ่ยพูดอะไร
ช่างกล้องวางกล้องถ่ายรูปแล้วพูดไปทางหนานกงเฉิน “เจ้าบ่าว แล้วคุณล่ะ สรุปคุณจะยิ้มหรือไม่ยิ้ม?”
หนานกงเฉินก็หมดคำพูดไปด้วย
สุดท้ายช่างกล้องก็ลุกขึ้นยืนตรงแล้วพูดไปทางทั้งสอง “พวกคุณมาแต่งงานไม่ใช่หรอ? ทำไมวันแต่งงานแบบนี้ยังต่อว่าเจ้าสาวอีก? ชีวิตหลังจากนี้จะผ่านไปได้ยังไง? ในฐานะที่เป็นพนักงานจัดทำเรื่องสมรส ถ้าท่าทางของคุณเป็นอย่างนี้ผมสามารถปฏิเสธถ่ายรูปใบสมรสของพวกคุณได้”
สีหน้าของหนานกงเฉินย่ำแย่ไปกว่าเดิม
ไป๋มู่ชิงก็พยายามกลั้นหัวเราะไว้แล้วแอบชูนิ้วโป้งไปให้
“คุณยังจะหัวเราะอีก” ช่างกล้องหันไปพูดกับไป๋มู่ชิง “เป็นผู้หญิงยุคสมัยใหม่แล้ว ทำไมเธอถึงไม่มีความคิดของตัวเองเลย คนอื่นให้เธอออกไปเธอยังจะดื้อดึงอยู่ที่นี่ ผู้ชายที่หน้าตาหล่อไม่มีแค่เขาคนเดียว ก็ออกไปอย่างกล้าหาญแล้วไปจับคนที่ดีกว่าเขามาสิ”
ผู้ช่วยเหยียนที่ยืนอยู่ข้างๆเห็นสีหน้าของหนานกงเฉินเยือกเย็นจนถึงจุดต่ำสุดแล้วก็เลยรีบเดินเข้าไปยิ้มกับช่างกล้อง “คุณเข้าใจผิดแล้วค่ะ เจ้านายทั้งสองคนของฉันปกติก็เป็นแบบนี้แล้วค่ะ ตีเพราะเป็นห่วงด่าเพราะรักไงคะ ช่วยถ่ายรูปให้เขาเร็วๆเถอะค่ะ”
ช่างกล้องมองไปที่ทั้งสอง ทำไมดูเหมือนเจ้าบ่าวไม่ค่อยใส่ใจเจ้าสาวเลย
ด้วยอาชีพของตัวเองก็เลยถามไป๋มู่ชิงว่า “คุณผู้หญิงครับ คุณแน่ใจหรอครับว่าจะแต่งงานกับผู้ชายที่เจ้าอารมณ์คนนี้?”
ไป๋มู่ชิงเงียบไปครู่นึงค่อยเอ่ยปากอย่างลังเล “ความจริงฉัน……” เธอหันไปมองหนานกงเฉิน เมื่อได้รับสายตาที่ขู่เตือนของเขาก็เลยจำใจต้องยิ้ม “แน่ใจค่ะ”
สุดท้ายสีหน้าของหนานกงเฉินก็ค่อยๆดูดีขึ้นมา
ช่างกล้องส่ายหัวด้วยท่าทางที่ยอมแพ้กับเธอ จากนั้นก็ยกกล้องขึ้นเล็งไปที่ทั้งสองอีกครั้ง
ครั้งนี้ เขาก็ไม่สนแล้วว่าทั้งสองจะยิ้มหรือไม่ยิ้มก็กดชัตเตอร์ที่กล้องถ่ายรูปแล้วบอกกับทั้งสอง “ได้แล้วครับ ไปรับรูปภาพฝั่งโน้นได้เลยครับ”
หลังจากที่ทำเอกสารเสร็จ ทั้งสองก็ได้สมรสกันตามกฏหมายแล้ว
เมื่อผู้ช่วยเหยียนยื่นใบสมรสสองเล่มเข้าไปในรถ มือไป๋มู่ชิงก็รับใบสมรสสีแดงไป แล้วความรู้สึกในใจก็พรุ่งพล่านไปหมด
ไม่คิดหรือว่าเธอจะแต่งงานจริงๆ แถมยังแต่งงานกับหนานกงเฉินอีก แต่ก่อนเป็นผู้ชายที่ผู้หญิงทั้งเมืองจะหลบหลีก แต่วันนี้กลับเป็นผู้ชายที่ผู้หญิงทั้งเมืองอยากจะจับจอง!
หนานกงเฉินเห็นว่าเธอเหม่อกับใบสมรสก็เลยเอ่ยเสียดสีขึ้น “ทำยังไงดี? จะไม่ตกลงตอนนี้ก็สายไปแล้ว”
“ถ้างั้น……ก็อยู่ไปอย่างนี้แหละ” เธอยื่นอีกเล่มให้เขา “นี่เป็นของนาย”
เมื่อเปิดเข้าไปดู ก็มีชื่อของหนานกงเฉินไป๋มู่ชิงของทั้งสองแล้ว มีตัวหนังสือที่เขียนไว้ว่าเป็นสามีภรรยาตามกฏหมายแล้ว
‘สามีภรรยาตามกฏหมาย’ ไป๋มู่ชิงจ้องไปที่ตัวหนังสือเหล่านี้ในใจก็คิดว่าเหมือนความฝันเลย
แต่ก่อนบนนั้นเป็นชื่อของไป๋ยิ่งอัน แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นไป๋มู่ชิงของเธอแล้ว ตอนนั้น……มีบางเวลาหรือเปล่า ที่เธอเคยวาดฝันภาพเหตุการณ์แบบนี้? เธอจำได้ว่าเคย!
เมื่อเธอเห็นรูปภาพบนนั้นก็เผลอหัวเราะออกมา
เมื่อหนานกงเฉินรับใบสมรสไปแล้วก็ไม่ได้เปิดดูแต่กลับใส่เข้าไปในลิ้นชักเลย เมื่อได้ยินเธอหัวเราะออกมาทั้งๆที่เมื่อกี้ยังเศร้าเสียใจอยู่ก็เลยหันกลับไปมองที่เธอ จากนั้นสายตาก็มองไปที่ใบสมรส
ไป๋มู่ชิงยื่นใบสมรสไปต่อหน้าเขาแล้วอดพูดไม่ได้ “ฉันเพิ่งเห็นนายหน้าตาขี้เหร่ก็วันนี้แหล่ะ จริงๆเลย……ลุงช่างกล้องพูดถูก น่าจะออกจากสำนักงานแล้วจับสักคนที่หล่อกว่านาย”
ในรูปหนานกงเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย รอยยิ้มที่ออกมายิ้มได้อย่างยากเย็นแต่กลับน่าเกลียดกว่าการร้องไห้ ขี้เหร่กว่าตัวจริงมากๆ
หนานกงเฉินมองไปที่รูปถ่ายบนนั้นแล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่แยแส “ทำไมเธอไม่หัวเราะตัวเองล่ะ?”
ไป๋มู่ชิงพยายามจะไม่พูดถึงรูปของตัวเอง “ฉันโดนบังคับให้แต่งงาน จะขี้เหร่ก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว”

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด
Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset