เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 153 เมาแล้ว

“เสี่ยวซี่……”
“ไม่ต้องพูด เราดื่มกันต่อเถอะ” ซูซี่รินเหล้าให้ทุกคนเต็มแก้ว จากนั้นก็ยิ้มอย่างร่าเริง : “พวกเราไม่ได้ดื่มด้วยกันแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้ว ? ลองคิดดูสิ เหมือนว่าหลังจากที่ทุกคนแต่งงานกันไปก็ไม่เคยมาดื่มด้วยกันอีกเลย ถูกไหม ?”
“อืม ไม่ได้ดื่มด้วยกันมานานแล้ว” ไป๋มู่ชิงชูแก้วเหล้าของตนเองขึ้นแล้วชนแก้วกับเธอ จากนั้นก็ก้มหน้าดื่มจนหมดแก้ว จากนั้นก็พูดว่า : “เสี่ยวซี่ เธอไม่เคยคิดว่าจะหย่ากับคุณชายเฉียวเลยเหรอ ?”
“แล้วเธอล่ะ ? เคยคิดว่าจะเลิกกับหนานกงเฉินบ้างหรือเปล่า ?” ซูซี่ส่ายแก้วเหล้าในมือไปพร้อมถามกลับ
ไป๋มู่ชิงครุ่นคิดชั่วครู่ จากนั้นก็ตอบอย่างขมขื่น : “ฉันอยากเลิกนะ แต่เขาไม่ยอม”
“ใช่น่ะสิ ผู้ชายรวย ๆ เขาก็เป็นอย่างนี้กันหมดไม่ใช่หรือไง ? ในบ้านมีตัวจริงอยู่แล้ว แต่ดันไปเลี้ยงพวกชะนีอยู่ด้านนอก” ซูซี่ยกแก้วขึ้นดื่มเข้าไปหนึ่งอึก : “หย่าเหรอ ? ฉันอยากจะตายชัก !”
ทั้งสามคนดื่มด้วยกันจนถึงห้าทุ่มกว่า ในที่สุดก็ดื่มต่อไปไม่ไหวแล้ว ต่างคนต่างเมาจนยืนไม่ไหว
พวกเธอพยุงกันพร้อมทั้งหัวเราะคิกคักออกมาจากบาร์ หลังจากนั้นหนานกงเฉินที่รอคอยมานานจึงได้เปิดประตูลงรถไป พร้อมเดินมุ่งไปหาพวกเธอทั้งสามคนทันที
ตั้งแต่ที่ทราบว่าไป๋มู่ชิงและซูซี่มาดื่มเหล้าอยู่ที่นี่แล้วนั้น หนานกงเฉินก็ได้ขับรถตามมา พร้อมทั้งรออยู่ในรถยนต์จนกระทั่งพวกเธอออกมา
ขณะที่เขาเดินไปข้างหน้า ก็ได้รับไป๋มู่ชิงที่กำลังเดินโซซัดโซเซเกือบจะก้มหน้าคะมำลงพอดิบพอดี เมื่อศีรษะของไป๋มู่ชิงกระแทกกับหน้าอกของเขา เธอจึงรีบกล่าวขอโทษโดยอัตโนมัติทันที : “ขอโทษค่ะ ขอโทษ……”
“ไม่เป็นไร” มุมปากของหนานกงเฉินเผยถึงความขี้เล่นเล็กน้อย : “ที่รัก ดื่มฟินหรือเปล่า ?”
เมื่อได้ยินเสียงอันคุ้นเคยนี้ ทั้งสามคนที่เมาเละเทะจึงเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกัน
“ทำไมถึงเป็นคุณเนี่ย ?” ไป๋มู่ชิงขยี้ตาที่เลือนลางของตนไปมา นึกว่ามองผิดคนไป
“ถ้าไม่ใช่แล้วเธออยากให้เป็นใครล่ะ ?”
“ฉันอยากให้เป็น……” ไป๋มู่ชิงยิ้มขึ้นอย่างมีเล่ห์กล : “ไม่บอกหรอก”
สีหน้าของหนานกงเฉินบึ้งตึงขึ้นมาทันที : “ไป๋มู่ชิง ฉันจะจัดการเธอให้เข็ดเลยเชื่อไหม ?”
“กล้าเหรอ ?” ซูซี่เดินโซเซขึ้นมาข้างหน้า จากนั้นก็กระชากไป๋มู่ชิงออกมาจากอ้อมอกของหนานกงเฉิน แล้วจ้องหน้าเขาตาเขม็งพร้อมด่าทอด้วยความโมโห : “มู่ชิงไม่ได้เป็นอะไรกับนายสักหน่อย……นายมีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าจะลากกลับก็กลับได้ อยาก……ไล่ออกมาก็ไล่ออกมากันน่ะฮะ ? นายคิดว่ารวยแล้วจะทำอะไรก็ได้งั้นเหรอ ? ฉันจะบอกนายให้นะ……มู่ชิงเพื่อนฉันมีแต่เศรษฐีหนุ่มหล่อมาจีบเพียบ”
“งั้นเหรอ ? สกปรกแบบนี้แล้วยังมีเศรษฐีหนุ่มหล่อกล้ามาจีบอีกงั้นเหรอ ? เป็นเศรษฐีหนุ่มหล่อคนไหนกันล่ะ ? ฉันสงสัยมากเลย” หนานกงเฉินยื่นมือเชิดคางของไป๋มู่ชิงขึ้น จากนั้นก็มองใบหน้าเล็ก ๆ ที่แปดเปื้อนของเธอแล้วหัวเราะ
“แน่……แน่นอนสิ !” ซูซี่ปัดมือของเขาที่จับคางของไป๋มู่ชิงอยู่ออก : “น้องชายสามีของฉันคนนั้นไง……เขาเคยชมมู่ชิงว่าน่ารักด้วย เขา……เขา……”
ซูซี่ทนไม่ได้กับความกระอักกระอ่วนที่ดันขึ้นภายในท้องของเธอ จึงได้หันหลังแล้วนั่งยองยองลงไปอาเจียนยกใหญ่
“ซูซี่……เธออย่าพูดซี้ซั้วนะ !” แม้จะกำลังเมาอยู่ ทว่าไป๋มู่ชิงยังคงจำได้ดีว่าหนานกงเฉินนั้นขี้หึงเอามาก ๆ ทั้งยังมีนิสัยแย่ ๆ ที่ชอบทำตัวเป็นหมาหวงก้างอีกด้วย
“เรื่องจริงหรือไม่กันแน่ ?” หนานกงเฉินก้มมองไป๋มู่ชิงที่เมาจนเลอะเลือนอยู่ในอ้อมอกตนด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก
ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน เขาอาจจะไม่เก็บคำพูดนี้ของซูซี่มาใส่ใจ ทว่าตอนนี้ไม่เหมือนกัน เนื่องจากเมื่อคืนก่อน ๆ มีรถของเฉียวเฟิงมารับไป๋มู่ชิงไปจริง ๆ
ไป๋มู่ชิงเมื่อถูกเขาถามมาเช่นนี้ อยู่ ๆ ก็ไม่พอใจขึ้นมา : “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณ……คุณทำฉันเจ็บ”
“เธอบอกว่ามันเกี่ยวอะไรกับฉันงั้นเหรอ ?” หนานกงเฉินหิ้วแขนเธอเดินมุ่งไปหารถยนต์ที่จอดอยู่
ไป๋มู่ชิงขัดขืนไปพร้อมทั้งพูดโวยวายไป : “คุณจะพาฉันไปไหน……ฉันไม่อยากอยู่กับคุณ……ฉันจะกลับคอนโดซูซี่”
หนานกงเฉินพาเธอเดินมาข้างรถ จากนั้นก็พูดกับเสี่ยวหลินว่า : “นายไปจัดการผู้หญิงสองคนนั้นที”
เสี่ยวหลินทอดสายตามองซูซี่และเหยาเหม่ยที่เมาแทบยืนไม่ไหว สีหน้าแดงก่ำขึ้นมา จึงพูดตะกุกตะกักขึ้นว่า : “คุณชายเฉิน นี่มัน……ไม่ค่อยดีมั้งครับ ? ถ้าเกิดคุณชายเฉียวทราบเรื่องเข้าจะตัดคอผมหรือเปล่า ?”
“ถ้างั้นก็โทรบอกให้เขามารับไปเอง”
“อ้อ ครับ” เสี่ยวหลินพยักหน้ารับทราบ
ไป๋มู่ชิงถูกหนานกงเฉินลากบังคับให้ขึ้นไปบนรถ และขณะที่หนานกงเฉินขับรถอยู่บนท้องถนนแล้ว ไป๋มู่ชิงก็เริ่มออกอาการโวยวายขึ้นมา เธอกระชากแขนของเขาไปมา พร้อมทั้งตะโกนเสียงดังว่า : “หนานกงเฉินคุณจะพาฉันไปไหน ? ฉันไม่อยากกลับไป……ฉันไม่อยากกลับบ้านตระกูลหนานกงอีกต่อไปแล้ว……ไม่เอาอีกแล้ว……”
หนานกงเฉินถูกเธอกระชากแขนจนทำให้พวงมาลัยเอียงซ้ายเอียงขวา เขาจึงอดไม่ได้ที่ต้องกล่าวตักเตือนเธอไป : “ถ้าขยับอีกฉันจะจับเธอโยนออกไปแล้วนะ !”
“คุณโยนฉันออกไปสิ……แน่จริงก็โยนฉันออกไปเลย คิดว่าฉันกลัวคุณหรือไงฮะ……!” ไป๋มู่ชิงไม่เพียงแต่ไม่หยุดการกระทำ มิหนำซ้ำยังกระชากแขนเขาแรงขึ้นกว่าเดิมอีก
หนานกงเฉินจนปัญญากับการกระทำของเธอ ทำได้เพียงหยุดรถข้างทาง
เขาหันมาเพื่อที่จะรัดเข็มขัดนิรภัยให้เธออยู่กับที่ ทว่าทันใดนั้นเองไป๋มู่ชิงก็ตบหน้าต่างรถอย่างแรง : “เปิดประตู ฉันจะลงรถ……ฉันอยากอ้วก……!”
หนานกงเฉินเห็นว่าเธอมีท่าทางที่อยากจะอ้วกจริง ๆ จึงทำได้เพียงกดเปิดประตูรถให้ เมื่อประตูรถเปิดออกไป๋มู่ชิงจึงได้วิ่งโซเซลงรถไป จากนั้นก็พุ่งไปยังขยะเบื้องหน้าแล้วอาเจียนออกอย่างรุนแรง
หนานกงเฉินลงรถตามเธอไป จากนั้นก็หยิบขวดน้ำแร่และกล่องกระดาษทิชชูออกมาจากท้ายรถ มือหนึ่งของเขาพยุงร่างอันอ่อนปวกเปียกของเธอไป อีกมือยื่นขวดน้ำแร่ส่งให้เธอ แล้วกล่าวตำหนิด้วยสีหน้าอันบูดเบี้ยวว่า : “ดื่มเหล้าไม่เก่งแถมยังไปเลียนแบบคนอื่นสินะ”
เขาไม่ทราบจริง ๆ ว่าหากคืนนี้เขาไม่โผล่หน้ามา สามสาวเหล่านี้จะทำเช่นไร จะเดินโซเซกลับคอนโดอย่างนั้นหรือ ? หากเดินจากหน้าบาร์กลับคอนโดซูซี่ไม่รู้ว่าพวกเธอจะถูกรถชนกี่รอบ
หลังจากที่อาเจียนของที่อยู่ในท้องออกหมดแล้ว ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็รู้สึกค่อยยังชั่วขึ้นมา
หนานกงเฉินเดินไปเปิดประตูรถให้เธอขึ้น ทว่ากลับถูกปฏิเสธ : “ฉันรู้สึกไม่สบาย……ไม่อยากนั่งรถ……”
“แล้วเธอจะเอายังไง ? เดินกลับไปเหรอ ?” หนานกงเฉินขมวดคิ้วแล้วถาม
“ถึงยังไงฉันก็ไม่นั่งรถ” ไป๋มู่ชิงสะบัดฝ่ามือของเขาออก พร้อมทั้งหันหลังเดินเซไปเบื้องหน้า
คนที่เมาเหล้าพูดกล่อมยาก และไร้เหตุผลที่สุดแล้ว สำหรับเวลานี้หนานกงเฉินทำได้เพียงอดกลั้นไว้ในใจ ใครใช้ให้เขากระส่ายกระสับจนต้องบึ่งมาบาร์เลยเมื่อได้รับข่าวคราวว่าเธอดื่มเหล้าอยู่ในบาร์กันเล่า ?
บอกให้เลขาเหยียนใช้ลูกน้องมาแบกเขากลับไปเลยจะดีเสียกว่า จะได้ไม่เสียเวลาเช่นนี้ !
ไป๋มู่ชิงเดินนำหน้า ส่วนหนานกงเฉินเดินตามหลังมา ถนนที่พวกเขาเดินอยู่คือถนนที่สองข้างทางเป็นต้นไม้ทึบตลอดสาย แสงไฟสาดส่องทะลุใบไม้ที่กำลังร่วงหล่นปลิวลงมา ซึ่งกระทบบนตัวของทั้งสองคน
เมื่อเดินมาได้สักระยะหนึ่ง ทันใดนั้นไป๋มู่ชิงก็ร้องเพลงขึ้นมา พร้อมทั้งกระโดดโลดเต้นอย่างไร้ภาพลักษณ์
หนานกงเฉินมองไปรอบ ๆ โชคดีที่ตอนนี้ใกล้เที่ยงคืนแล้ว คนที่เดินผ่านไปมามีไม่เยอะเท่าไรนัก !
เขาสาวท้าวยาว ๆ ตามเธอไป แล้วจับที่แขนของเธอพลางพูดว่า : “เล่นสนุกพอใจหรือยัง ? รีบกลับขึ้นรถกับฉันเดี๋ยวนี้”
ไป๋มู่ชิงหันหน้ามามองเขาเมื่อเขาลากแขนของเธอ ดวงตากลมโตคู่นั้นเปล่งประกายความฉงนสงสัยออกมา เธอมองสำรวจใบหน้าหนานกงเฉินพลางสอบถามไปอย่างไม่เข้าใจว่า : “แกเป็นใคร ? ทำไมต้องตามฉันตลอดแบบนี้……ฉันจะบอกให้นะ……ฉันมีสามีแล้วนะโว้ย !”
“ฉันไงสามีของเธอ” หัวคิ้วของหนานกงเฉินขมวดแน่นขึ้นเล็กน้อย
“ไอ้หน้าไม่อาย !” ทันใดนั้นไป๋มู่ชิงก็ตบเข้าไปที่ใบหน้าของเขา
หนานกงเฉินไม่ทันได้เตรียมตัว จึงได้ถูกเธอตบเข้าใบหน้าไปเต็ม ๆ
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาถูกผู้หญิงตบหน้าเช่นนี้ สีหน้าของเขาโมโหจนดูไม่ได้ยากที่จะพรรณนา !
“สามีของฉันหล่อกว่าแกเยอะ ฉัน……จะแจ้งตำรวจจับแก……ถ้ายังตามฉันอยู่อีก……ฉันจะเรียกสามีมาเฉือนอัณฑะแก” ไป๋มู่ชิงหัวเราะในลำคอและขู่จะแจ้งตำรวจ
หนานกงเฉินจ้องเธอตาเขม็ง พร้อมกัดฟันกรอบ
“มองอะไรยะ ? ถ้าจ้องอีกฉันจะควักลูกตาแกออกมาให้หมากินคอยดู !” ไป๋มู่ชิงออกอาการโวยวาย
หนานกงเฉินสุดจะทน จึงคว้าท้ายทอยของเธอเอาไว้แล้วดึงเธอเข้ามาในอ้อมอกของตนเอง จากนั้นก็ก้มหน้าพรมจูบริมฝีปากของเธอ ลิ้นสอดแทรกเข้าไปส่วนลึกของปาก หลังจากเล่นสนุกเสร็จแล้วจึงปล่อยเธอ แล้วส่งรอยยิ้มเยือกเย็นไปให้ : “เป็นยังไง ? ฉันไม่เพียงแค่ตามเธอมา ยังจ้องหน้าเธอ แถมจูบเธออีก แน่จริงก็เรียกสามีเธอออกมาสิ !”
“แก……กล้าจูบฉันเหรอ ?ฉัน……” คำพูดอันโมโหของเธอจุกที่อยู่คอ ครั้นเธอถูกหนานกงเฉินผลักไปพิงต้นไม้ใหญ่ด้านหลัง หลังจากนั้นก็พรมจูบเธอลึกซึ้งขึ้นกว่าเดิม ไป๋มู่ชิงขัดขืนเขาด้วยสันชาตญาณ พร้อมเปล่งเสียงอื้อ ๆ เพื่อขัดขืนการกระทำของเขา : “สารเลว ! แกกล้าจูบฉันเหรอ……สามีฉันเอาแกตายแน่……อื้อ……สารเลว……ปล่อยฉันนะ……!”
ไป๋มู่ชิงร้องห่มร้องไห้และโวยวายหนักขึ้นเรื่อย ๆ ถึงขั้นไม่รู้ตัวว่าลิ้นของหนานกงเฉินออกมาจากปากของเธอแล้ว
หนานกงเฉินมองเธอที่กำลังหลับตาปี๋ และกระวนกระวายจนน้ำตาไหลอาบเต็มหน้า หลังจากหยุดการกระทำลงเขายิ้มขึ้นและโอบเธอเข้าสู่อ้อมกอดไว้ พร้อมทั้งตบไหล่ของเธอแล้วพูดปลอบใจด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนว่า : “ใจเย็น ๆ นะที่รัก สามีมาแล้ว มาช่วยเธอแล้ว”
ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็เลิกขัดขืน แล้วเงยหน้าขึ้นมองเขาจากในอ้อมกอด จ้องเขาด้วยดวงตาที่น้ำตาคลอเบ้า : “คุณชายใหญ่……ทำไมคุณถึงเพิ่งมาล่ะ เมื่อกี้มีไอ้สารเลวขืนใจฉัน……”
“ฉันรู้ ฉันอัดมันจนหนีไปแล้ว” หนานกงเฉินลูบไหล่ของเธอต่อไป แล้วพูดขึ้นอย่างใจเย็นว่า : “เด็กดี พวกเราไปขึ้นรถโอเคไหม ? ดึกมากแล้ว”
“ไม่เอา ฉันเมารถ……”
“แล้วเธออยากทำยังไง ?”
“ฉันอยากให้คุณแบกฉันกลับ” ไป๋มู่ชิงทำสีหน้าน้อยใจ
หนานกงเฉินอับจนหนทาง ทำได้เพียงหันหลังแล้วโค้งตัวลง
ไป๋มู่ชิงขึ้นหลังเขาไปโดยไม่มีความเกรงใจเลยสักนิด สองมือโอบคอของเขาแน่น ใบหน้าเรียวเล็กแนบชิดข้างหูเขา มุมปากเผยรอยยิ้มอันชั่วร้ายที่สังเกตเห็นได้ยากออกมา
ตัวของเธอไม่ได้หนักมาก หนานกงเฉินแบกเธอไว้ด้านหลังจึงไม่รู้สึกลำบากอันใด เพียงแค่เขาไม่เคยแบกผู้หญิงคนไหนมาก่อนเลย อีกทั้งยังอยู่บนทางเดินอันกว้างเช่นนี้อีก จึงเกิดความรู้สึกเคอะเขินบ้าง
หลังจากเดินไประยะหนึ่งแล้ว ไป๋มู่ชิงพูดถามขณะที่นอนแนบอิงอยู่บนหลังเขา : “คุณชายใหญ่……คุณจะแบกฉันไปที่ไหนเหรอ ?”
“กลับบ้าน”
“ฉันไม่อยากกลับบ้าน” ไป๋มู่ชิงดิ้นขัดขืนลงมาจากบนหลังของเขา คราวนี้เธอไม่ได้แสร้งทำ : “ฉันไม่อยากกลับไป……”
หนานกงเฉินมองเธอตาขวาง : “ทำไม ? เที่ยวเล่นอยู่ข้างนอกหลายวันแบบนี้แล้วยังไม่พออีกหรือไง ? ยังอยากเที่ยวเล่นต่อไปอีกงั้นเหรอ ?”
“ฉัน……ถึงยังไงฉันก็ไม่อยากกลับไป” แค่ไป๋มู่ชิงนึกถึงใบหน้าขณะที่คุณผู้หญิงด่าทอเหยียดหยามเธอก็มีน้ำโหขึ้นมาทันที
“ทำไม ?” หนานกงเฉินถาม
“บ้านตระกูลหนานกงของคุณไล่ฉันออกมา ฉันไม่อยากกลับไปอีกแล้ว……” ไป๋มู่ชิงยังมีแอลกอฮอล์อยู่ในร่างกาย จึงทำให้มีความกล้าหาญขึ้นมาก เธอสะบัดตัวแล้วถอยหลังไปหนึ่งก้าว จากนั้นก็ชี้นิ้วใส่หน้าเขา : “หนานกงเฉิน……ฉันตัดสินใจออกมาจากชีวิตคุณแล้ว……ทำไมคุณต้องจับฉันกลับไปอีกด้วย ? ทำไมถึงไม่ยอมปล่อยฉันไปสักที ?”
เธอพูดไปพูดมาก็ร้องไห้โฮ : “ทั้งที่คุณบังคับขู่เข็นจับฉันกลับไปเองแท้ ๆ แต่ทำไมทุกคนถึงคิดว่าฉันเห็นแก่สมบัติของตระกูลหนานกง ทุกคนต่างก็ดูถูกฉัน……”
“คุณย่าพูดไม่เพราะมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เธอไม่ต้องเก็บมาใส่ใจหรอก” หนานกงเฉินลองยื่นมือออกไปจับมือเธอดู แต่ดันถูกเธอสะบัดออก : “อย่ามาแตะเนื้อต้องตัวฉันนะ ! ไอ้คนบ้า ! ทำไมถึงไม่ยอมปล่อยฉันไปสักที ? ทำไม……”
กว่าหนานกงเฉินจะปรับอารมณ์ให้สงบนิ่งลงได้ ทว่าก็ต้องบึ้งตึงขึ้นมาอีกครั้ง : “เธออยากให้ฉันปล่อยเธอไปมากขนาดนั้นเลยหรือไง ?”
“ถูกต้อง ! ฉันไม่อยากกลับบ้านตระกูลหนานกงอีกแล้ว ไม่อยากกลับไปอยู่ข้างกายคุณ” ไป๋มู่ชิงตะโกนขึ้นด้วยความอารมณ์ร้อน
“อย่าลืมว่าตอนนี้เธอเป็นภรรยาฉัน”
“ฉันไม่อยากเป็นภรรยาคุณแล้ว ได้ไหม ? ขอร้องละ……” ไป๋มู่ชิงร้องไห้โฮขึ้นมา
ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากเป็นภรรยาของเขา ทว่าเธอไม่สามารถแบกรับภาระอันหนักหน่วงแบบนี้ได้เลย คุณผู้หญิงพูดไว้แล้วว่าเธอไม่เหมาะสมกับเขา เธอไม่มีสิทธิ์เป็นภรรยาของเขา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วเหตุใดเธอต้องยืนหยัดต่อไปด้วย ? เธอมีอะไรให้ยืนหยัดต่อไปงั้นหรือ ?
“ไป๋มู่ชิงเธอตั้งใจฟังนะ !” หนานกงเฉินจับแขนของเธอเอาไว้แน่น แล้วดึงเธอเข้าสู่อ้อมกอด จากนั้นก็ก้มมองหน้าเธอสีหน้าราบเรียบ : “ตอนนี้ฉันยังไม่มีแผนที่จะหย่ากับเธอ เพราะงั้นเธออย่าเอาประเด็นที่เป็นไปไม่ได้แบบนี้มายั่วโมโหฉันจะดีที่สุด ไม่อย่างนั้นคนที่ทุกข์ทรมานจะมีแค่ตัวเธอเองเท่านั้น”
“ทำไมคุณถึงรุนแรงแบบนี้ ?”
“เป็นมาแต่เกิด !” หนานกงเฉินดึงเธอกลับเข้าอ้อมกอดอีกครั้ง เมื่อล็อกตัวเธอได้แล้วจึงบังคับลากเธอกลับขึ้นรถ
ไป๋มู่ชิงทั้งร้องไห้ทั้งโวยวาย และสุดท้ายหนานกงเฉินจึงยอมไม่พาเธอกลับคฤหาสน์หลังเก่า แต่พาเธอกลับคฤหาสน์หลังเล็กแทน
หลังจากขับรถมาถึงคฤหาสน์หลังเล็กแล้ว ไป๋มู่ชิงโหวกเหวกโวยวายอีกรอบ ทั้งทุบตีร่างกายของเขาทั้งตะคอก : “ทำไมคุณพาฉันกลับมาที่นี่อีก ? คุณจะขังฉันอีกแล้วใช่ไหม ? หนานกงเฉินทำไมคุณถึงเลือดเย็นไร้ความรู้สึกขนาดนี้ฮะ ? ฉัน……”
หนานกงเฉินอุ้มเธอโยนลงบนเตียง แล้วจ้องหน้าเธอ : “แล้วเธออยากกลับไปที่ไหนกันแน่ ?”
“ฉันจะกลับคอนโดซูซี่……ฉันไม่อยากกลับคฤหาสน์เก่า ไม่อยากอยู่ที่นี่เหมือนกัน……”
“ฉันเห็นว่าเธอแรงเยอะดีนะ โวยวายไม่หยุดหย่อน” หนานกงเฉินขึ้นคล่อมตัวเธอเหมือนเป็นการลงโทษ แล้วฉีกเสื้อผ้าของเธอออกด้วยมือเดียว
เห็นทีว่าเขาจำเป็นต้องปลดปล่อยสติของเธอออกทั้งหมดเสียก่อน ไม่เช่นนั้นเธอคงสงบลงไม่ได้แน่นอน
ไป๋มู่ชิงขัดขืนตามสันชาตญาณ ทว่าแรงของเธอนั้นไม่สู้แรงของหนานกงเฉิน ไม่นานเธอก็ถูกเขาควบคุมอยู่ภายใต้ร่างกาย
ครั้นวิธีการเช่นนี้กลับได้ผล หลังจากถูกทรมานแล้ว ไป๋มู่ชิงจึงไม่มีแรงโวยวายแล้ว
หนานกงเฉินมองไป๋มู่ชิงที่นอนคว่ำอย่างสบายอยู่บนเตียง จึงได้สูดหายใจเข้าลึก ๆ หลังจากที่มองเธอเป็นเวลาพอสมควรแล้ว จึงได้เดินโทง ๆ เข้าไปในห้องอาบน้ำ
เขาเปิดน้ำร้อนลงอ่างอาบน้ำ จากนั้นก็อุ้มไป๋มู่ชิงขึ้นจากเตียงแล้วเดินเข้าห้องอาบน้ำไป จากนั้นก็วางตัวเธอลงในอ่างน้ำอุ่น ๆ อย่างระมัดระวัง
ความรู้สึกอบอุ่นซึมซาบเข้าสู่ผิวหนัง ถึงแม้ไป๋มู่ชิงจะตกอยู่ในห้วงนิทราก็ตาม ทว่าเธอเองก็สามารถรับรู้ถึงความรู้สึกอันสุดแสนสบายที่เข้ามาสู่ร่างกายอย่างเฉียบพลันนี้ได้เช่นกัน เธอครางเสียงจากนั้นก็หันลำตัว หนานกงเฉินจึงได้รีบจับศีรษะเธอเอาไว้ทันที เพื่อไม่ให้เธอจมลงสู่น้ำ
เพื่อที่จะให้เธอได้ดื่มด่ำกับความสบายภายในอ่างอาบน้ำที่ดียิ่งกว่า หนานกงเฉินจึงได้ดึงร่างของเธอขึ้นมาอย่างเบามือ จากนั้นตนก็ลงไปแช่น้ำด้วย แล้วให้เธอแนบพิงอยู่บนร่างกายของเขาด้วยท่าทางที่สบายที่สุด
ทรมานมาทั้งคืน ไป๋มู่ชิงเองคงเหนื่อยจนแทบแย่ เธอไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดว่าตนลงมาแช่อ่างน้ำตั้งแต่เมื่อไร ทั้งยังแช่พร้อมกับหนานกงเฉินแล้วนอนหลับใหลอย่างสงบต่อไปอีกด้วย
ร่างกายของเธอนุ่มนิ่มและเนียนลื่น รูปร่างส่วนเว้าส่วนโค้งอันเซ็กซี่ของเธอเลือนลางอยู่ใต้น้ำ หนานกงเฉินที่เพิ่งอิ่มเอมไปเมื่อสักครู่นี้ ทันใดนั้นเองก็เริ่มกระหายขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อตื่นขึ้นมาเช้าวันที่สอง ไป๋มู่ชิงนึกว่าตนเองฝันไป ฝันว่าตนเองทำศึกอันเร้าร้อนกับหนานกงเฉินอยู่ในน้ำหนึ่งชั่วโมงเต็ม ๆ
เธอลูบใบหน้าตนเองอย่างเอือมละอา เมาจนเลอะเลือนไปแล้วจริง ๆ คิดไม่ถึงว่าฝันแบบนี้ก็ฝันถึงได้
เธอกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ที่นี่คือห้องนอนอันคุ้นเคย เธอจำได้ว่าเป็นห้องของหนานกงเฉินในคฤหาสน์หลังเล็ก เธอชะงักไปชั่วขณะแล้วหลับตาลง เรื่องราวทุกอย่างของเมื่อคืนฉายขึ้นมาเป็นฉาก ๆ ราวกับการกรอหนัง
เธอจำได้ว่าตนไปดื่มที่บาร์กับซูซี่และเหยาเหม่ย จากนั้นก็เจอหนานกงเฉินที่หน้าทางเข้าบาร์ แถมยังตบหน้าหนานกงเฉินไปอีก
ตบหน้าหนานกงเฉินงั้นหรือ เธอตบหน้าหนานกงเฉินหรือนี่ !
เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ รู้สึกผิดแทบแย่ เหล้าเป็นสิ่งที่ไม่ดีจริง ๆ ไม่เพียงแต่ทำให้คนกล้าหาญเด็ดเดี่ยวขึ้น แถมยังทำให้ควบคุมการกระทำของตนเองไม่ได้ด้วย
หนานกงเฉินจะต้องโมโหมากแน่เลยใช่ไหม ? เขาเป็นคนที่รักศักดิ์ศรีเช่นนี้ จะรับเรื่องที่มีผู้หญิงมาตบหน้าได้อย่างไร ?
นอกจากนั้น เธอยังจำได้อีกว่าตนนั้นโวยวายใส่หนานกงเฉินตลอดทาง ถึงขั้นกลับมาที่คฤหาสน์หลังเล็กแล้วยังโวยวายต่ออีก หลังจากนั้นเธอก็ถูกหนานกงเฉินคล่อมไว้เสียแล้ว
ไป๋มู่ชิงก้มหน้ามองสำรวจสภาพตัวเอง ภายใต้ผ้าห่มคือร่างอันเปลือยเปล่าของเธอ เห็นได้ชัดว่าได้ผ่านศึกหนักมา
หรือว่าเมื่อคืนนี้จะไม่ใช่ความฝัน ? แต่คือความจริง ? เธอทำศึกกับหนานกงเฉินในน้ำหนึ่งชั่วโมงจริง ๆ งั้นหรือ ?
ทว่า……เหตุใดเธอจึงจำไม่ได้เลย ?
เธอลุกขึ้นนั่งบนเตียง ตบหัวของตัวเองไปพร้อมทั้งนึกย้อนเรื่องราวระหว่างเธอกับหนานกงเฉินเมื่อคืนนี้ไป จนกระทั่งเสียงของหนานกงเฉินดังขึ้นมาจากหน้าประตู : “ตื่นแล้วเหรอ ?”
ไป๋มู่ชิงชะงักไป เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็พบกับชายใบหน้าอันหล่อเหลาสวมเสื้อผ้าดูดีทั้งตัวเดินเข้ามาหน้าประตู
เธอจึงรีบจับผ้าห่มขึ้นมาบดบังร่างกายอันเปลือยเปล่าของเธอไว้ด้วยความเขินอายทันที หลังจากที่มองสังเกตใบหน้าของเขาที่กำลังเดินเข้ามา แล้วพบว่าเขาไม่ได้โมโหเหมือนอย่างที่คิดไว้ หัวใจที่เต้นแรงจึงได้สงบนิ่งลงช้า ๆ
ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้สนใจตบของเธอเมื่อคืนนี้เลย โชคดีเสียจริง !
“เมื่อคืน……ฉันเมาใช่ไหม ? ทำเรื่องน่าอายไว้เยอะใช่ไหม ?” เธอจ้องหน้าเขาแล้วค่อย ๆ ถาม จงใจแสร้งทำเหมือนว่าตนเองจำเรื่องเมื่อคืนนี้ไม่ได้เลยอย่างไรอย่างนั้น
หนานกงเฉินพยักหน้า : “ถูกต้อง ขาดแค่ไม่ได้เปลื้องผ้าเต้นบนถนนเท่านั้น”
มีเหตุการณ์เช่นนี้ด้วยหรือ ? ไป๋มู่ชิงมองหน้าเขาด้วยความงงงวย ? เหตุใดเธอจึงจำไม่ได้เลยสักนิด ?
เมื่อเห็นใบหน้าอันแดงก่ำของเธอแล้วนั้น หนานกงเฉินจึงฉีกยิ้มขึ้นด้วยความหยอกล้อ จากนั้นก็สาวเท้าเดินไปอยู่เบื้องหน้าแล้วมองสำรวจเธอ : “ยังไม่สวมเสื้อผ้าอีกเหรอ ? คงไม่ใช่อยากยั่วให้ฉันมาจัดหนักอีกรอบหรอกใช่ไหม ?”
“เปล่าสักหน่อย” ไป๋มู่ชิงเอาผ้าห่มคลุมตัวไว้จากนั้นก็รีบลงจากเตียง พร้อมมองหาเสื้อผ้าของตนเองทั่วห้อง
“เสื้อผ้าอยู่นี่” หนานกงเฉินโยนเสื้อผ้าที่อยู่บนเก้าอี้ไปให้เธอ
ไป๋มู่ชิงเดินเข้าไปยังห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ขณะที่เปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่นั้นก็ได้หวนคิดว่าเมื่อวานนี้มีเหตุการณ์ใดอีกบ้างที่ตนได้ลืมไป เปลื้องผ้าเต้นหรือ ? เป็นไปไม่ได้ ! ตั้งแต่เด็กมาเธอไม่เคยมีความสามารถแบบนี้อยู่เลย
เมื่อเธอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จจึงได้หันหลังเตรียมออกจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า จึงพบกับหนานกงเฉินที่ไม่ทราบว่ามายืนอยู่ด้านหลังของตนตั้งแต่เมื่อไหร่
เธอจึงกุมหน้าอกด้วยความตกใจ แล้วพูดด้วยสีหน้าไม่ชอบใจนัก : “ที่แท้คุณก็มีงานอดิเรกชอบแอบมองคนอื่นเปลี่ยนเสื้อผ้าเองเหรอ ?”
หนานกงเฉินกวาดสายตามองรูปร่างของเธอ โดยไม่คิดว่าตนนั้นมีความจำเป็นที่จะต้องตอบคำถามนี้แต่อย่างใด เขาต้องแอบมองร่างกายของเธอด้วยงั้นหรือ ? เห็นมานับไม่ถ้วนตั้งนานแล้ว
สายตาของเขาหยุดอยู่บนใบหน้าที่กำลังตกใจของเธอจากนั้นก็ถามว่า : “ถามหน่อย เธอไปญาติดีกับเฉียวเฟิงตั้งแต่เมื่อไหร่ ?”
“เฉียวเฟิงเหรอ ?” แวบแรกไป๋มู่ชิงยังตอบสนองไม่ทันว่าที่เขาพูดถึงนั้นคือผู้ใด ผ่านมาชั่วครู่จึงได้สอบถามเขาไป : “คุณหมายถึงคุณชายรองตระกูลเฉียวเหรอ ? ญาติดีกันตั้งนานแล้ว !”
เมื่อพูดจบเธอก็สาวเท้าเดินเฉียดตัวเขาไป โดยไม่สนใจสีหน้าที่เปลี่ยนไปฉับพลันของเขาเลยแม้แต่น้อย
“พูดใหม่อีกทีซิ ?” หนานกงเฉินกระชากแขนของเธอดึงเข้ามาหาตน ด้วยสีหน้าเยือกเย็นน่าเกรงขาม

คิดไม่ถึงว่าเธอจะประกาศอย่างโจ่งแจ้งว่าเธอกับคุณชายรองตระกูลเฉียวญาติดีกันตั้งนานแล้วเช่นนี้ ? อยากตายงั้นหรือ !
ไป๋มู่ชิงมองดูใบหน้าอันบึ้งตึงของเขา จากนั้นก็ยกมือขึ้นไปบีบแก้มของเขา : “ดูหน้าเล็ก ๆ ของหนุ่มหล่อคนนี้สิ อย่างกับถูกหมักอยู่ในขวดน้ำส้มสายชูงั้นแหละ”
“ไป๋มู่ชิง ! เธอจะตอบมาได้หรือยัง ? ไปญาติดีกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ดีกันถึงขั้นไหน ?”
ไป๋มู่ชิงเห็นว่าเขาโมโหขึ้นมาจริง ๆ แล้ว จึงไม่คิดหยอกล้อเขาต่อ เลยตอบไปว่า : “ก็เคยเจอกันตอนวันเกิดของคุณนายเฉียว ที่ชั้นสอง ไม่ได้คุยอะไรกันเลย ระดับนี้แหละ”
“แล้วทำไมเขาต้องมารับเธอแถวบ้านตระกูลหนานกงตอนกลางดึกแบบนั้นด้วย ?”
“เขาบอกว่าผ่านมาทางนี้พอดี เลยเห็นฉัน” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ อยู่ ๆ ไป๋มู่ชิงก็เงยหน้าจ้องตาเขา : “คุณยังมีหน้ามาหึงหวงอีกหรือไง ถ้าคืนนั้นไม่ใช่เพราะเขารับฉันไปส่งที่คอนโดซูซี่ ยังไม่รู้เลยว่าฉันจะถูกขอทานตัวเหม็นคนไหนฉุดไปน่ะ”
“ฉันขอถามคุณบ้าง ทำไมทั้งที่คุณรู้ว่าคุณผู้หญิงไล่ฉันออกจากบ้านไปแล้ว แต่กลับไม่มีการเคลื่อนไหวของการตามหาฉันเลยล่ะ ? ในใจของคุณภรรยาอย่างฉันมันไม่สำคัญขนาดนั้นเลยหรือไง ?” เธอกัดฟันกรอบ แล้วพูดต่อไปว่า : “แน่นอนว่าฉันไม่สนหรอก จะดีที่สุดถ้าคุณไม่ออกมาตามหาฉันตลอดชีวิต ! เราจะได้ไม่ติดค้างอะไรกันอีกนับแต่นี้ไป แต่ทำไมคุณต้องจับฉันกลับมาที่นี่ในวันที่สามด้วย ? นี่มันหมายความว่ายังไงฮะ ?”
“เธอไม่สนงั้นเหรอ ?”
“ถูกต้อง ฉันไม่สนหรอก !”
“แล้วทำไมเธอต้องโกรธขนาดนี้ด้วย ?”
“ฉัน……ที่ฉันโกรธก็คือทำไมคุณต้องตามหาฉันแล้วพากลับมาด้วย ฉันพักอยู่ที่คอนโดซูซี่อย่างมีความสุขและมีอิสระแล้วแท้ ๆ ดีมากเลยคุณรู้หรือเปล่า ?”
“ฉันรู้”
“แล้วคุณยังลากฉันกลับมาอีกเนี่ยนะ ?”
“ให้เธอได้ใช้ชีวิตเต็ม ๆ สามวันแล้วไม่ใช่หรือไง ? ยังไม่พอใจอีกเหรอ ?”
“……” ไป๋มู๋ชิงพูดไม่ออก
“ทำไมเธอถึงไม่คิดถึงความดีของคนอื่นบ้างล่ะ ?” หนานกงเฉินยกมือขึ้นแล้วเคาะศีรษะเธอ : “ใช้สมองหมูของเธอคิดหน่อยสิ ถ้าฉันไม่ออกมาตามหาเธอ แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าเธอถูกคุณชายรองตระกูลเฉียวรับไป ? แล้วทำไมถึงรู้ว่าเธอพักอยู่ที่คอนโดซูซี่ รู้การเคลื่อนไหวของเธอทุกอย่าง ?”
ในใจของไป๋มู่ชิงมีความประหลาดใจแวบเข้ามา เขาหมายความว่าอย่างไร ?
ความหมายของเขาคือ เขารู้ว่าเธอพักอยู่ที่คอนโดซูซี่ เพียงแค่อยากให้ตนอยู่บ้านซูซี่ให้สบายใจเสียก่อน จึงไม่ได้มาลากเธอกลับบ้านมาโดยตลอดเช่นนั้นหรือ ?
“ฉันไม่เชื่อหรอก” ผ่านมาชั่วครู่ เธอจึงพูดโพล่งขึ้นมา
“ไม่เชื่ออะไร ?”
“ฉันไม่เชื่อว่าคุณจะดีแบบนั้น”
“เธอมีสิทธิ์ที่จะไม่เชื่อ” หนานกงเฉินกอดหน้าอก แล้วมองหน้าเธอด้วยสายตาอันฉงนสงสัย : “ถึงตาเธอแล้ว ทำไมผ่านมาตั้งสามวันแล้วไม่เห็นเธอมาหาฉันเลย ? แม้แต่โทรก็ไม่โทรมาสักสาย ?”
“ฉัน……”
เขาต้อนถามต่อไป : “ถ้าฉันไม่ไปตามหาเธอ เธอก็คิดว่าจะไม่มาหาฉันแล้วตลอดไปเลยอย่างนั้นใช่ไหม ? คุณหนูไป๋ เธอเห็นสามีอย่างฉันอยู่ในสายตา อยู่ในใจหรือเปล่า ?”
การที่เขาไม่ไปหาเธอสามวันนั้น หนึ่งก็เพื่ออยากให้เธอใช้ชีวิตอย่างมีความสุขสักหน่อย สองก็คืออยากจะทดสอบความรู้สึกที่เธอมีต่อตนบ้าง ดูว่าเธอจะมาหาตนหรือไม่ ครั้นผลสุดท้ายกลับ……ทำให้เขาผิดหวัง !
“ฉันถูกคุณผู้หญิงด่าทอแล้วไล่ออกจากบ้านตระกูลหนานกงมา ถ้าฉันหันหัวแจ้นไปหาคุณ ฉันก็กลายเป็นผู้หญิงหน้าไม่อายขี้ประจบประแจง เห็นแก่สมบัติของตระกูลหนานกง ตามที่คุณเขาพูดไม่ใช่หรือไง ? แม้ฉันจะจนแต่ก็มีศักดิ์ศรีนะเข้าใจไหม ?”
ไป๋มู่ชิงพูดจบด้วยความโมโห จากนั้นก็ก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว : “ถึงยังไงฉันก็ไม่กลับบ้านตระกูลหนานกง ให้ตายยังไงก็ไม่กลับ”
“เธออยู่กับคุณย่ามาตั้งนาน ยังไม่รู้นิสัยของท่านอีกเหรอ ?”
“ฉันรู้ แต่ว่ารู้แล้วยังไง ? ต้องจำยอมทนต่อไปงั้นเหรอ ?”
“เธอไม่กลัวแม้กระทั่งความตายเพื่อฉัน แต่แค่อดทนกับความน้อยเนื้อต่ำใจนิดหน่อยไม่ได้เลยงั้นเหรอ ?”
“ฉัน……” ไป๋มู่ชิงถูกคำพูดของเขาทำให้ชะงักไป น้ำตาเริ่มคลอเบ้า : “ฉันไม่กลัวตาย แต่ฉันกลัวว่าพวกคุณจะเข้าใจผิด ถูกพวกคุณดูถูกเหยียดหยาม เพราะฉันไม่เคยคิดที่จะฮุบสมบัติของตระกูลหนานกงเลย ถ้าคุณตกลง ฉันจะหย่ากับคุณตอนนี้เลยก็ได้ ไม่เอาเงินจากตระกูลหนานกงสักสตางค์ด้วย”
หนานกงเฉินมองใบหน้าอันน้อยเนื้อต่ำใจของเธอ จึงได้ยกมือโอบเธอเข้ามาในอ้อมกอด แล้วพรมจูบบนหน้าผากของเธอ : “เลิกคิดเรื่องหย่าได้แล้ว ฉันยังไม่อยากหย่าตอนนี้”
“แล้วคุณอยากหย่าตอนนั้นกันแน่ ?”
“เดี๋ยวค่อยว่ากัน ถึงยังไงไม่ยอมให้เธอสมใจนึกแน่นอน”
“……”
หนานกงเฉินลูบเส้นผมของเธอ แล้วคลายเธอออก : “ในเมื่อเธอไม่อยากกลับคฤหาสน์หลังเก่า ถ้างั้นก็พักอยู่ที่นี่ไปก่อน ค่อยกลับไปตอนที่เธออยากกลับก็แล้วกัน”
“เวลาไหนฉันก็ไม่อยากกลับไปทั้งนั้นแหละ”
“เธอพิจารณาให้ดี ๆ นะ ไม่มีคนธรรมดาคนไหนที่จะเข้าคฤหาสน์หลังเก่าของตระกูลหนานกงได้ ถ้าเธอไม่อยากเข้า ก็มีผู้หญิงมากมายที่อยากเข้านะ”
“ชิ ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าใครก็เข้าได้ทั้งนั้นนะ ?”
“เธอหมายถึงสองพี่น้องเซิ่งเคอและเหลียนเหยาเหรอ ?” หนานกงเฉินยิ้มขึ้น : “พวกเขาไม่เหมือนกัน พวกเขาคือหลานชายแท้ ๆ ของคุณย่าและก็หลานสะใภ้ ”
ไป๋มู่ชิงไม่กล่าวอันใดเสริมแล้ว ถึงแม้ผู่เหลียนเหยาจะปฏิบัติต่อเธออย่างมีมารยาท เป็นมิตรกับเธอ ทว่าไม่ทราบเนื่องด้วยเหตุอันใด เธอจึงได้หวาดกลัวเขาจากก้นบึ้งในจิตใจ ทุกครั้งที่อยู่กับเขานั้นก็มักรู้ว่าไม่เป็นตัวของตัวเองเลย
เธอมองตามหนานกงเฉินที่เดินออกจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า จึงได้เดินตามออกไป : “ฉันพักอยู่ที่นี่ตลอดไปเลยได้จริง ๆ เหรอ?”
“อืม พักอยู่จนกว่าเธอจะเบื่อ”
“แล้วคุณจะไล่ยามหน้าประตูไปด้วยหรือเปล่า ?” ไป๋มู่ชิงสอบถามด้วยสีหน้ารอความหวัง
หนานกงเฉินหันหน้ามามองเธอ แล้วส่ายหน้า : “ก่อนที่เธอจะตกหลุมรักฉัน ฉันเชื่อใจเธอไม่ลงจริง ๆ”
นี่มันคำพูดอะไรกัน……
ไป๋มู่ชิงกลอกตาใส่เขาด้วยความเอือมละอา เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่ยอมคืนเสี่ยวอี้ให้เธอเป็นเวลานานเพียงนี้งั้นหรือ ?
ทว่าหากมองในทางกลับกัน เมื่อเธอได้เป็นอิสระจริง ๆ แม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่กล้ารับประกันได้ว่าเธอจะวิ่งหนีไปในสักวันหรือไม่เช่นกัน
“งั้นฉันขอถามคำถามสุดท้ายกับคุณหน่อยได้ไหม ?”
“ถามว่า”
“ใครเคยพักห้องนี้มาก่อน ?” เมื่อไป๋มู่ชิงพูดจบ จึงได้ชี้นิ้วไปทางเขา : “อย่าคิดโกหกฉันนะ ฉันรู้ว่าจะต้องเป็นผู้หญิงแน่ ๆ เลย แล้วเป็นผู้หญิงคนไหนของคุณกันแน่ ?”

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset