เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 159 ตาต่อตาฟันต่อฟัน

หลินอันหนานใช้สองมือจับที่ไหล่พร้อมทั้งเขย่าเธอด้วยความโมโห : “ต่อให้คุณไม่สนว่าเขาจะเคยทำร้ายคุณ ถ้างั้นคุณไม่สนเรื่องที่ว่าเขาเคยทำร้ายยายของคุณจนตายงั้นเหรอ ? คุณลืมเรื่องนี้ไปตั้งนานแล้วใช่ไหม ?”
“หลินอันหนาน ! พอได้แล้ว !” ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ เธอผลักหน้าอกเขาเต็มแรง : “เรื่องของฉัน ฉันรู้ว่าต้องทำยังไงคุณไม่ต้องมาเตือน !”
“ดูสิคุณละอายใจแล้วใช่ไหมล่ะ ? คุณไม่ได้ลืมเรื่องการตายของยายคุณใช่ไหม ? แต่ว่าคุณยังแต่งงานกับเขา แถมยังแจ้นมาฮันนีมูนที่ฝรั่งเศสกับเขาอีก คุณไร้ศักดิ์ศรีแบบนี้ไม่กลัวคุณยายที่อยู่ในยมโลกโกรธหรือไง ?”
“พูดพอใจแล้วหรือยัง ? พอหรือยัง !” ไป๋มู่ชิงตะโกนพร้อมน้ำตาไหลพรากลง โมโหจนอยากเอาอะไรสักอย่างมาอุดปากเขาไว้
ทำไมต้องบอกเธอเรื่องนี้ด้วย ? เธอได้กล่อมให้ตนเองลืมความเคียดแค้นในอดีตไปจนหมดสิ้นแล้ว เหตุใดต้องขุดเรื่องของคุณยายมาให้เธอทรมานใจด้วย ?
“ทำไมไม่ให้ผมพูด ? คุณละอายใจอยู่งั้นเหรอ ?”
“ฉันไม่ได้ละอายใจ ! หนานกงเฉินไม่ได้จงใจทำให้ยายฉันตาย ฉันไม่โทษไม่เกลียดเขาตั้งนานแล้ว”
“เธอมัน……ไร้ยางอาย !” หลินอันหนานโพล่งคำเหล่านั้นออกมาพูดดูหมิ่นเธอ
“ถูกต้อง ฉันมันไร้ยางอาย แต่ว่าไม่เกี่ยวกับคุณเลย……!” ไป๋มู่ชิงใช้แรงผลักเขาออกเต็มที่ จากนั้นก็หันหลังวิ่งหนีออกจากตรงนี้ซึ่งแม้แต่เสื้อสเวตเตอร์บนพื้นก็ไม่ทันได้ก้มลงเก็บ
หลินอันหนานยื่นมือไปหมายจะคว้าแขนเธอเอาไว้ ครั้นน่าเสียดายที่จับไว้ไม่อยู่
ไป๋มู่ชิงวิ่งออกมาจากตรอกนั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้คนด้านนอกเดินกันขวักไขว่ หลินอันนานจึงไม่กล้าวิ่งตาม ทำได้เพียงจ้องมองเธอวิ่งหนีไป
เมื่อเห็นเงาของเธอหายไปท่ามกลางผู้คนมากมาย หลินอันหนานโมโหจนกระทืบเสื้อสเวตเตอร์ที่อยู่บนพื้นอย่างแรง ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำเนื่องจากความเดือดดาล
หลังจากที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเป็นเวลาชั่วครู่แล้ว เขาจึงคืนสีหน้ากลับมาเป็นเหมือนเดิม สายตาจ้องมองไปยังทิศทางที่ไป๋มู่ชิงวิ่งหายไปพร้อมทั้งกัดฟันแน่น : “ฉันไม่ยอมวางมือยุติทุกอย่างแบบนี้แน่ มู่ชิงคอยดูเถอะ !”
หลังจากที่ไป๋มู่ชิงวิ่งออกจากตรอกแคบนั่นแล้ว ก็ได้วิ่งมุ่งไปยังคฤหาสน์ราวกับคนบ้าอย่างไรอย่างนั้น เธอเป็นกังวลว่าหลินอันหนานจะวิ่งตามมาและจะจับเธอกลับไปดูหมิ่นและขืนใจจูบเธออีก
เธอวิ่งมาตลอดทางไม่หยุด บนหน้าผากร้อนผ่าวจนมีเหงื่อไหลรินลงมา
จนกระทั่งเห็นคฤหาสน์อยู่เบื้องหน้า จึงได้หยุดเท้าลง เธอหันหลังกลับไปดูจึงพบว่าหลินอันหนานไม่ได้วิ่งตามมา เธอนั่งยองยองอยู่บนพื้นและหายใจหอบ
ไม่ง่ายเลยกว่าจะโล่งอกมาได้บ้าง เธอมุดหน้าลงระหว่างหัวเข่าสองข้างพร้อมทั้งปิดตาลงด้วยความรู้สึกทรมาน
เธอคิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าจะเจอหลินอันหนานที่ฝรั่งเศส อีกทั้งยังเจอกันในสถานการณ์เช่นนี้อีกด้วย
เป็นเธอเองที่ละเลยหลินอันหนาน เธอนึกว่าหลังจากที่หลินอันหนานถูกส่งไปอยู่ต่างประเทศแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างตนกับเขาก็จะขาดกันไปเอง เธอคิดว่าหลินอันหนานจะถอยเนื่องด้วยความลำบาก และไม่คิดอันใดกับเธออีก ครั้นคิดไม่ถึงว่า……
ตัวเธอไม่รู้จริง ๆ ว่าควรทำอย่างไร และเธอควรจัดการความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับหลินอันหนานเช่นไร ?
เมื่อหนานกงเฉินกลับคฤหาสน์มาและไม่เห็นเงาของไป๋มู่ชิง จึงสอบถามเสี่ยวอี้ถึงทราบว่าเธอไปเดินซื้อของคนเดียว
เขาหยิบโทรศัพท์โทรหาไป๋มู่ชิง ทว่ากลับไม่มีคนรับเลย
เขายืนโทรศัพท์อยู่ระเบียงชั้นสอง เวลาต่อมาก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังเข้ามาจากประตูใหญ่ นั่นคือเสียงโทรศัพท์ที่เขาตั้งค่าให้ไป๋มู่ชิงโดยเฉพาะ
เขาคิดว่าไป๋มู่ชิงมาถึงบ้านแล้ว ทว่ารอเป็นระยะเวลาหนึ่งก็ไม่เห็นเธอเข้ามาสักที เขาจึงหันหลังเดินลงไปชั้นล่าง มุ่งไปยังประตูใหญ่
เมื่อเขามองเห็นไป๋มู่ชิงกำลังมุดหน้าอยู่ระหว่างหัวเข่า พร้อมทั้งใบหน้าอันเจ็บปวด เขาจึงรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจขึ้นมา เห็นดังนั้นเขาจึงวิ่งเข้าไปคุกเข่าลงต่อหน้าเธอทันที จากนั้นก็มองสำรวจตัวเธอแล้วถามว่า : “มู่ชิงเป็นอะไรไป ? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า ?”
ไป๋มู่ชิงค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมา ขอบตาแดงก่ำคล้ายกำลังจะร้องไห้ ริมฝีปากแตกกร้าน มีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย
“เธอเป็นอะไรเหรอ ? ถูกคนรังแกมาใช่ไหม ?” เมื่อเห็นสภาพเธอหนานกงเฉินก็เป็นกังวลใจเพิ่มมากขึ้น
ไป๋มู่ชิงส่ายหน้า พร้อมจ้องหน้าเขาน้ำตาไหลพราก : “เมื่อกี้ฉันเจอหลินอันหนานบนถนน”
“หลินอันหนานเหรอ ?” เมื่อได้ยินชื่อนี้ สีหน้าของหนานกงเฉินก็บึ้งตึงขึ้นมาทันที เขาไต่สวนต่อไปอย่างร้อนรนใจ : “แล้วไงต่อ ? เขารังแกเธองั้นเหรอ ?”
เขาใช้มือเชิดคางของเธอขึ้นมา พร้อมมองริมฝีปากที่แตกกร้านและมีเลือดซึมออกมา สีหน้าก็ยิ่งบึ้งตึงเข้าไปใหญ่ : “ปากเธอถูกเขากัดจนเป็นแผลใช่ไหม ? เขาจูบเธองั้นเหรอ ?”
ไป๋มู่ชิงไม่รู้ว่าควรตอบคำถามนี้อย่างไรดี และไม่ทราบว่าควรเล่าเหตุการณ์เมื่อสักครู่ที่เธออยู่กับหลินอันหนานให้เขาฟังเช่นไรดี ความเงียบของเธอก็คือการยอมรับ ทันใดนั้นหนานกงเฉินก็ลุกพรวดพราดขึ้น : “บอกฉันมา มันอยู่ไหน?”
ไป๋มู่ชิงยืนขึ้นตามเขา จากนั้นก็ดึงเขาไว้พลางพูดว่า : “เฉิน อย่าเพิ่งใจร้อนเลย ที่เขามาหาฉันหลัก ๆ เป็นเพราะ……”
“เธอกำลังขอร้องแทนมันอยู่เหรอ ?” หนานกงเฉินพูดตัดบทเธอ อารมณ์โมโหเดือดดาลขึ้น : “หรือว่าเธออยากเกี่ยวพันกับมันต่อไป ?”
“ถ้าฉันอยากเกี่ยวพันกับเขาต่อไป คงไม่วิ่งกลับมาแบบนี้หรอก คงไปหาที่นั่งคุยย้อนความหลังกับเขาแล้วละ และคงไม่เล่าเรื่องที่ฉันเจอเขาเมื่อกี้ให้คุณฟังด้วย” ไป๋มู่ชิงส่ายหน้า : “ฉันแค่ไม่อยากให้คุณจัดการปัญหาด้วยความใจร้อนเท่านั้น ทำแบบนั้นมีแต่จะยั่วอารมณ์ความอยากแก้แค้นให้กับเขาเท่านั้น และจะไม่ส่งผลดีต่อเราทั้งสองคนเลย”
เมื่อเห็นว่าหนานกงเฉินไม่พูดไม่จา ไป๋มู่ชิงจึงพูดต่อไปว่า : “การที่เขามาหาฉันจนเจอ เป็นเพราะตอนนั้นที่เขาช่วยเหลือฉันจากน้ำมือของสวีหย่าหรง ฉันไปรับปากกับเขาว่าจะแต่งงานด้วย เขาคิดว่าฉันควรรักษาคำพูด ควรกลับไปอยู่เคียงข้างเขา”
“ถ้างั้นเธอตอบมันไปว่ายังไง ?”
“ฉันบอกเขาไปว่าฉันแต่งงานอย่างเป็นทางการกับคุณแล้ว จากนั้นเขาก็โมโหแล้วจูบฉันด้วยแรงโกรธ” ไป๋มู่ชิงยังจับแขนของหนานกงเฉินเอาไว้อยู่ : “เฉิน ตอนนั้นฉันรับปากว่าจะแต่งงานกับเขาจริง ๆ ตอนนี้คนที่ผิดคำมั่นสัญญาคือฉัน เพราะงั้น……”
“ฉันขอถามเธอหน่อย นอกจากเธอบอกมันไปว่าเธอแต่งงานกับฉันอย่างเป็นทางการแล้ว ยังบอกอะไรอีก ?” หนานกงเฉินค่อนข้างทิ้งน้ำหนักที่ปัญหานี้
“ฉันบอกเขาว่าคนที่ฉันรักคือคุณ เขาเลยโมโหจนโยนเสื้อสเวตเตอร์ที่ฉันซื้อให้คุณทิ้งเลย……อื้อ……” ไป๋มู่ชิงรับรู้ถึงความเจ็บแปลบที่ริมฝีปาก เธอเบิกตาขึ้นจ้องใบหน้าอันหล่อเหลาเบื้องหน้าจากนั้นก็อึ้งไป
เนื่องจากบนริมฝีปากของเธอมีบาดแผลอยู่ หนานกงเฉินจึงไม่กล้าจุมพิตเธอแรงจนเกินไป หลังจากที่จุมพิตเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วนั้นก็ได้คลายเธอออก จากนั้นก็ดึงเธอเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของตน พร้อมพรมจูบไปยังเส้นผมของเธอแล้วพูดว่า : “แค่นี้ก็พอแล้ว”
“อะไรพอเหรอ ?” ไป๋มู่ชิงสับสนงงงวยเล็กน้อย
“ขอแค่เธอยอมบอกมันไปว่าคนที่เธอรักคือฉัน เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”
“แต่ว่า……”
“เธอไม่ต้องห่วงนะ ฉันไม่มีทางทำอะไรมันหรอก” หนานกงเฉินกล่าว : “เรื่องที่มันขืนใจจูบเธอ ฉันไม่ควรปล่อยเลยไป แต่เห็นแก่ที่มันเคยช่วยชีวิตเธอหนึ่งครั้ง และเธอผิดคำมั่นสัญญาที่มีไว้กับมันหนึ่งครั้ง ฉันจะปล่อยมันไปสักครั้ง อีกอย่างถ้าเรื่องนี้ยกเลิกหมด เธอก็ไม่ต้องไปรู้สึกผิดกับมันอีกต่อไปแล้ว แต่ว่าห้ามมีครั้งหน้าเด็ดขาด”
ไป๋มู่ชิงจ้องหน้าเขาด้วยความตกตะลึง : “ความหมายของคุณคือ คุณจะไม่ไปตามหาเขาแล้วงั้นเหรอ ?”
“ทำไม ? เธอเป็นห่วงมันมากงั้นเหรอ ?”
“ไม่ใช่ ฉันแค่ไม่อยากให้คุณมีเรื่องกับเขาอีกครั้ง ถึงยังไงเรื่องที่ฉันเป็นภรรยาของคุณก็ทำร้ายเขามากพอแล้ว เรื่องนี้ช่างมันเถอะ”
“โอเค ครั้งนี้ฉันจะเชื่อเธอก็แล้วกัน” หนานกงเฉินปาดคราบเลือดบนมุมปากของเธอออกแล้วพูดว่า : “ไปเถอะ กลับห้อง”
ไป๋มู่ชิงพยักหน้าพร้อมสูดหายใจเข้าเบา ๆ จากนั้นก็เดินเข้าไปในบ้านพร้อมกับเขา
จูฮุ่ยเห็นสีหน้าของไป๋มู่ชิงไม่ค่อยดีจึงเดินเข้ามา พร้อมมองสำรวจเธอจากนั้นก็สอบถามอย่างเป็นห่วง : “มู่ชิง ลูกเป็นอะไรไป ? เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า ?”
ไป๋มู่ชิงส่งรอยยิ้มให้เธอ : “เปล่าค่ะ”
“ปากของลูก……”
“อ้อ พอดีเจอคนประหลาดเลยตกใจน่ะค่ะ แล้วก็เลยกัดปากตัวเอง” เมื่อไป๋มู่ชิงพูดจบ ก็ได้เดินขึ้นไปชั้นบนพร้อมหนานกงเฉิน
หลังจากเดินเข้ามาในห้องนอนแล้ว หนานกงเฉินก็ได้รินน้ำให้เธอดื่ม จากนั้นก็มองแผลรอยแตกบนริมฝีปากของเธอและขมวดคิ้ว : “เจ็บไหม ?”
“ไม่เจ็บ” ไป๋มู่ชิงใช้ลิ้นเลียริมฝีปาก จากนั้นก็จ้องหน้าเขาพลางถามไปว่า : “จริงสิ หลังจากพวกเรากลับประเทศวันพรุ่งนี้แล้ว ถ้าหลินอันหนานมาหาแม่กับเสี่ยวอี้จะทำยังไง ?”
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะไม่ยอมให้เขามีโอกาสนี้แน่นอน” ปัญหานี้หนานกงเฉินก็เพิ่งนึกขึ้นได้เช่นกัน
ไป๋มู่ชิงพยักหน้า ไม่ได้กล่าวอะไรอีก
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ทั้งสองคนจะต้องเดินทางไปสนามบินเพื่อกลับประเทศแล้ว
ก่อนที่จะออกเดินทาง เสี่ยวอี้จับมือไป๋มู่ชิงไม่ยอมตัดใจให้เธอไป ไป๋มู่ชิงมองหนานกงเฉินแวบหนึ่ง จากนั้นก็ลูบศีรษะน้อย ๆ ของเขาพร้อมพูดปลอบใจว่า : “เสี่ยวอี้ รอให้อาการป่วยของหนูดีจนหายขาดแล้ว ก็จะกลับประเทศได้และก็จะเห็นหน้าพี่ทุกวันเลย”
“แต่ว่าอีกนานเลยนี่ครับ”
“ไม่นานมากหรอก อย่างมากสุดสองเดือนก็กลับไปได้แล้ว”
“จริงไหมครับ ?” เสี่ยวอี้หันหน้าไปทางหนานกงเฉิน พร้อมทั้งส่งสายตาอ้อนวอนไปให้เขา
หนานกงเฉินพยักหน้า : “แน่นอนอยู่แล้ว คุณหมอก็บอกแบบนั้นเลย”
“ที่คุณหมอพูดผมฟังไม่รู้เรื่องเลย”
“เพราะงั้น หนูจะต้องตั้งใจเรียนกับครูสอนพิเศษนะ เมื่อโตขึ้นก็จะไม่เป็นเหมือนพี่สาวที่ออกนอกประเทศมาก็พูดไม่ได้แม้แต่ชื่อตัวเอง”
“คุณเอาฉันมาล้อเล่นอีกแล้วนะ” ไป๋มู่ชิงกระทุ้งเอวของเขาอย่างไม่พอใจ
หนานกงเฉินโอบไหล่ของเธอเอาไว้ด้วยรอยยิ้ม หลังจากที่บอกลาจูฮุ่ยและเสี่ยวอี้เสร็จก็เปิดประตูรถพร้อมขึ้นไปนั่ง
ภายในสนามบิน หนานกงเฉินไปทำการเช็คอิน ส่วนไป๋มู่ชิงก็ยืนเล่นโทรศัพท์อยู่ในห้องโถงใหญ่ของสนามบิน
เธอกำลังลังเลว่าจะส่งข้อความบอกลาหลินอันหนานหรือเปล่า และถือโอกาสเตือนสติเขาสักหน่อยว่า ตัวเธอได้แต่งงานไปแล้ว ให้เขาอย่าทำเรื่องบ้า ๆ เพื่อเธออีกต่อไปแล้ว
เมื่อวานนี้ตอนที่อยู่ในตรอกแคบ หลินอันหนานบอกไว้ว่าเขากำลังวางแผนชิงเธอกลับไป เธอไม่ทราบว่าเป็นแผนการอันใด ไม่ว่าจะเป็นอะไรเธอก็ไม่หวังให้เขาเสียเวลาและกำลังกายกำลังใจเพื่อไปทำร้ายหนานกงเฉินอีกแล้ว
ยังไม่ทันรอให้เธอได้พิจารณาว่าควรส่งข้อความไปหรือไม่ ทว่าทันใดนั้นเองก็มีเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นมาเบื้องหน้า : “มู่ชิง”
ไป๋มู่ชิงเงยหน้าขึ้นด้วยความตกตะลึง และพบว่าหลินอันหนานกำลังยืนตัวตรงอยู่เบื้องหน้าเธอเหมือนอย่างที่คิดไว้จริง ๆ
เธอหันหน้าไปมองหนานกงเฉินที่กำลังทำการโหลดกระเป๋าเดินทางอยู่ จากนั้นจึงคว้าข้อมือของหลินอันหนาน ลากเขามาข้าง ๆ ด้วยความกระวนกระวายใจ พร้อมพูดว่า : “คุณมาที่นี่ทำไม ? ครั้งที่แล้วคุณทำร้ายคุณชายเฉินแล้วนะ หรือว่าตอนนี้ยังอยากทำร้ายเขาอีกงั้นเหรอ ?”
หลินอันหนานหันหน้าไปมองหนานกงเฉินแวบหนึ่ง และพูดขึ้นอย่างไร้ซึ่งความหวาดกลัว : “ผมจะมาเจรจากับมัน”
“ไม่มีอะไรต้องเจรจากันแล้ว หนานกงเฉินไม่อยากเจรจากับคุณหรอก”
“ทำไมไม่มีอะไรต้องเจรจากันแล้ว ? เธอไม่อยากให้พวกเราเจรจากันเหรอ ?” หลินอันหนานหรี่ตาถามกลับ
“อันหนาน……” สีหน้าของไป๋มู่ชิงเต็มไปด้วยความเอือมละอา : “เมื่อวานนี้ฉันพูดไว้ชัดเจนแล้วว่าฉันแต่งงานกับหนานกงเฉินแล้ว ระหว่างเรามันเป็นไปไม่ได้ โปรดล้มเลิกความตั้งใจและไปแต่งงานกับผู้หญิงที่รักคุณจริง ๆ อย่ามายั่วโมโหคุณชายเฉินอีกเลย”
“ผมบอกแล้วไง คนที่ผมรักคือคุณ เพราะงั้นผมแค่ต้องการเจรจากับเขาเท่านั้น……”
“คุณชายหลิน” อยู่ ๆ เสียงของหนานกงเฉินก็แทรกตัดบทเขา พร้อมทั้งเดินเข้ามาขนานข้างไป๋มู่ชิงและโอบไหล่ของเธอไว้ เขามองใบหน้าของหลินอันหนานผู้ที่อยู่ต่อหน้า ผ่านมาชั่วครู่จึงได้กล่าวขึ้นมาน้ำเสียราบเรียบ : “ขอบใจนะที่ครั้งนั้นนายยกไป๋มู่ชิงให้ฉัน ในเมื่อยกให้แล้วก็อย่ามาเสียใจภายหลังอยากได้คืนไปสิ อย่าบอกว่ามู่ชิงไม่ใช่สิ่งของที่จะยกให้คนอิื่นได้ แม้ว่าเธอจะเป็นอย่างนั้นฉันก็ไม่ใช่คนที่ชอบเล่นสนุกกับสิ่งของเป็นชีวิตจิตใจสักหน่อย และรับไม่ได้กับเรื่องที่มีคนให้สิ่งของฉันแต่สุดท้ายก็มาโวยวายอยากได้คืน”
“เพราะงั้น……การมาเจรจากับฉันเนี่ยไม่ต้องหรอก อ้อ ฉันขอฝากนายไว้สักประโยคนะ ก่อนที่ความอดทนของฉันจะยังไม่ถูกนายบดขยี้จนหมด กรุณาหายไปจากสายตาของฉันโดยเร็ว ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน”
ไป๋มู่ชิงกระพริบตาส่งสัญญาณเพื่อบอกให้เขารีบไป ทว่าหลินอันหนานไม่ยอม เขากัดฟันกรอบพร้อมพูดว่า : “ตอนนั้นที่มู่ชิงเกือบถูกสวีหย่าหรงทำร้ายปางตาย ฉันเป็นคนช่วยเหลือเธอออกมาเอง ไม่ใช่นายหนานกงเฉิน มู่ชิงได้สาบานต่อหน้าบาทหลวงกับฉัน และแลกแหวนกันแล้วด้วย งานแต่งงานของเราจัดขึ้นท่ามกลางสักขีพยานของทุกคน”
ไป๋มู่ชิงกระวนกระวายใจ มองหนานกงเฉินด้วยความเป็นกังวล
สีหน้าหนานกงเฉินกลับไม่เปลี่ยนไปเลย ยังคงยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางพูดขึ้นว่า : “ที่นายพูดคือตอนที่อยู่โรงแรมครั้งนั้นน่ะเหรอ ? นั่นมันเป็นแค่ละครตลกฉากหนึ่งเท่านั้น แต่การแต่งงานของฉันกับมู่ชิงเชื่อมโยงไปถึงการคุ้มครองทางกฎหมายเชียวนะ”
หนานกงเฉินหยุดชะงักไป จากนั้นก็พูดต่อไปว่า : “เมื่อวานเรื่องที่นายขืนใจจูบมู่ชิง ตอนแรกฉันไม่อยากปล่อยนายไปเลย แต่ในเมื่อมู่ชิงขอร้องแทนนายแล้ว เรื่องนี้ก็ถือว่าแล้วกันไป ถือซะว่าคืนบุญคุณที่นายเคยช่วยเหลือเธอเอาไว้ตอนนั้นก็แล้วกัน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ระหว่างนายกับเธอไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก ฉันหวังว่านายจะจำเรื่องนี้ใส่หัวไว้นะ”
หนานกงเฉินพูดจบ ก็ได้โอบไหล่ของไป๋มู่ชิงแน่นพร้อมพูดว่า : “เมียจ๋า เราไปกันเถอะ”
ไป๋มู่ชิงมองหน้าหลินอันหนาน จากนั้นก็หันหลังเดินไปพร้อมเขา
ทันใดนั้นหลินอันหนานก็ตะโกนใส่หนานกงเฉินว่า : “มู่ชิงมีความคิดเป็นของตัวเอง นายควรเคารพการตัดสินใจของเธอ”
หนานกงเฉินหันหน้ามาสบตากับเขาอีกครั้ง : “มู่ชิงเลือกที่จะแต่งงานกับฉันแล้ว”
“เธอต้องถูกนายบังคับแน่นอน”
หนานกงเฉินครุ่นคิดชั่วครู่ จากนั้นก็คลายไป๋มู่ชิงออกพร้อมยิ้มขึ้นจาง ๆ : “ได้เลย งั้นก็ให้มู่ชิงเลือกอยู่ตรงนี้อีกครั้งสิ ถ้าเกิดเขาเลือกฉัน ถ้างั้นจากนี้ไปคุณชายหลินกรุณาอยู่ห่าง ๆ เธอด้วยนะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของหนานกงเฉิน ไป๋มู่ชิงขนลุกซู่ทันที
เขาให้เธอเลือกต่อหน้าทั้งสองคนหรือนี่ ?
เขาเงยหน้าขึ้นมองหลินอันหนาน ประสานกับสายตาอันสับสนที่เขามองมา ภายในสายตานั้นมีความตั้งตารอคอย ความรักใคร่ และความอ้อนวอนแอบแฝงอยู่เล็กน้อย ?
“มู่ชิง เธอมองพวกเราตอนนี้แล้วบอกมาว่า เธออยากอยู่กับใคร” หนานกงเฉินมองหน้าไป๋มู่ชิงแล้วถามขึ้น
เมื่อเขาที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมเห็นไป๋มู่ชิงนิ่งเงียบไป จึงเริ่มกระวนกระวายใจเหมือนหลินอันหนานขึ้นมาทันที สายตาที่จ้องมองเธอนั้นมีความเดือดดาลสุดขีด เขาไม่เคยคิดเอาไว้ก่อนว่าหากในเวลานี้ไป๋มู่ชิงดันไปเลือกหลินอันหนาน ถ้างั้นเขาควรทำเช่นไรดี ? หรือว่าต้องยอมสนับสนุนพวกเขาจริง ๆ งั้นหรือ ?
ไม่สิ เขารู้ดีว่าตนเองจะต้องทำไม่ได้แน่นอน !
หลังจากที่เงียบสงัดไปได้ชั่วครู่ ไป๋มู่ชิงจึงเงยหน้ามองหลินอันหนานพร้อมพูดว่า : “อันหนาน เมื่อก่อนฉันเคยรักคุณจริง ๆ แต่หลังจากที่เกิดเรื่องแต่งงานแทนครั้งนั้น และตอนที่มองเห็นคุณอยู่ในห้องน้ำกับไป๋ยิ่งอัน ความรู้สึกที่ฉันมีต่อคุณได้หายวับไปชั่วข้ามคืนแล้ว คนที่ฉันรักตอนนี้คือหนานกงเฉิน และฉันแต่งงานกับเขาแล้ว ฉันรู้สึกซาบซึ้งใจที่คุณช่วยเหลือฉันในครั้งนั้นมาก ฉันยอมตอบแทนคุณด้วยวิธีไหนก็ได้ นอกจาก……แต่งงาน”
เธอหยุดพูดสักพัก จากนั้นก็พูดต่อ : “ขอโทษด้วย คุณทำกับฉันไม่ดีหนึ่งครั้ง ฉันติดค้างคุณหนึ่งครั้ง เราสองคนหายกันแล้วนะ”
เธอแทบจะไม่กล้าสบสายตาของหลินอันหนานโดยตรง เพราะทนไม่ได้ที่จะต้องเห็นความผิดหวังในสายตาของเขา
หลินอันหนานผิดหวังจนถึงขีดสุดจริง ๆ ผิดหวังจนเลือดซึมอยู่ในใจ
หนานกงเฉินถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ในที่สุดก็สบายใจขึ้นมาสักที เขาไม่ได้พูดอะไรมาก ยื่นมือไปโอบไหล่ของไป๋มู่ชิงเอาไว้แล้วพูดขึ้นว่า : “มู่ชิง พวกเราไปกันเถอะ”
ไป๋มู่ชิงพยักหน้า หลังจากมองหน้าหลินอันหนานเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจึงได้เดินไปยังทางเข้าตรวจเช็กความปลอดภัยพร้อมหนานกงเฉิน
หลินอันหนานยื่นอยู่ท่ามกลางผู้คนขวักไขว่ภายในห้องโถงใหญ่ของสนามบิน มองเงาหลังของสองคนที่กำลังโอบกันเดินจากไป ความผิดหวังบนใบหน้าค่อย ๆ กลายเป็นความโกรธแค้น เดือดดาลขึ้นมาทีละน้อย
ความจริงเขาเดาออกตั้งนานแล้วว่าจะกลายเป็นจุดจบเช่นนี้ ทว่ายังคงมาสนามบินตามความต้องการของตนอยู่ดี เป้าหมายคืออะไรนั้นแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่ชัดเจน
ตั้งแต่เข้าประตูตรวจเช็คความปลอดภัยจนขึ้นไปบนเครื่อง ไป๋มู่ชิงไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว
ขณะที่เครื่องเริ่มออกตัวบินขึ้นแล้ว ในที่สุดหนานกงเฉินก็อดไม่ได้จนต้องหันหน้าไปจ้องหน้าเธอ : “เป็นอะไร ? ยังเศร้าอยู่เหรอ ?”
ไป๋มู่ชิงเรียกสติกลับคืนมาเล็กน้อย พร้อมทั้งส่ายหัว : “เปล่านี่”
“แล้วทำไมหลังจากออกมาจากมันเธอถึงไม่พูดอะไรเลยล่ะ ?” การที่เธอเลือกตนต่อหน้าหลินอันหนานได้นั้นเขารู้สึกดีใจกับเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง ทว่าเขาไม่ชอบที่เธอหน้าบูดบึ้งเพราะผู้ชายคนอื่น
ไป๋มู่ชิงถอนหายใจออกมาเบา ๆ สองมือโอบแขนของเขาเอาไว้ พร้อมเอียงศีรษะไปแนบอิงบนไหล่ของเขา : “ใครใช้ให้ฉันเป็นคนมีเมตตาแบบนี้ล่ะ ตั้งแต่เด็กจนโตมีแต่คนอื่นโกหกฉัน รังแกฉัน แต่ฉันไม่เคยตัดใจทำร้ายคนอื่นลงเลยสักครั้ง แม้หลินอันหนานจะเคยให้ร้ายฉันมาก่อน แต่ว่าเขาก็ถือว่ารู้จักเปลี่ยนแปลงตัวเอง และเขาก็เป็นคนช่วยเหลือฉันออกมาจากน้ำมือของสวีหย่าหรงเอง ตอนนั้นเขายืนอยู่ด้านหน้าแล้วให้ทางเลือกสองอย่างกับฉัน หนึ่งคืออยู่ในห้องใต้หลังคาต่อไปแล้วถูกสวีหย่าหรงกักขัง สองคือแต่งงานกับเขา เพื่อที่จะได้มีชีวิตรอดออกมาฉันเลยเลือกข้อสอง แต่ว่า……”
เธอส่ายหน้า พร้อมถอนหายใจเบา ๆ อีกครั้ง : “คิดไม่ถึงว่าฉันก็มีตอนที่ผิดคำมั่นสัญญาและทำร้ายคนอื่นด้วย ฉันที่เป็นอย่างนี้แตกต่างอะไรกับไป๋ยิ่งอันล่ะ ?”
หนานกงเฉินยกมือขึ้นมาลูบหัวเธอ : “เอาล่ะ เลิกคิดมากได้แล้ว เมื่อกี้เธอพูดเองไม่ใช่หรือไงว่ามันเคยทำไม่ดีกับเธอหนึ่งครั้ง และเธอก็ติดค้างมันหนึ่งครั้ง ทั้งสองเลิกแล้วต่อกัน”
“แต่ฉันยังคิดเหมือนเดิมว่า……”
“ห้ามคิดอย่างอื่นอีกแล้ว” หนานกงเฉินพูดตัดบทเธอ : “เธอควรคิดแบบนี้ต่างหาก ถ้าตอนนั้นมันไม่ร่วมมือกับบ้านตระกูลไป๋ส่งเธอมาบ้านตระกูลหนานกง แล้วจะมีเรื่องต่อจากนั้นได้ยังไง และทำไมต้องให้มันมาช่วยเธอออกจากห้องใต้หลังคาด้วย ?”
ไป๋มู่ชิงเงยหน้ามองเขา ก็จริงเหมือนอย่างที่เขาว่ามา เมื่อเขาพูดมาเช่นนั้น ความรู้สึกผิดในใจของเธอจึงลดลงไม่น้อยในทันใด
“แต่ว่า……”
“หืม ?” หนานกงเฉินขมวดคิ้ว สายตาที่มองมามีความไม่พอใจ
“ถ้าไม่เป็นเพราะเขา คุณจะหาเมียที่ดีแบบนี้ได้ยังไง ?”
“วู้ว” หนานกงเฉินมองหน้าเธอแอบยิ้มอยู่ในใจ : “ไปเรียนรู้ความช่างพูดแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ?”
“เลียนแบบคุณไง”
“ได้ เห็นกับที่เขาอุทิศตัวครั้งยิ่งใหญ่ ฉันยกโทษให้เขาก็ได้”
“ความหมายของคุณคือ……จะให้เขากลับประเทศแล้ว ?”
“แน่นอนว่าไม่ใช่” หนานกงเฉินส่ายหน้า : “ฉันจะปล่อยเขากลับประเทศมาแย่งเมียฉันได้ยังไง ?”
“ดูสิ ยังมีหน้ามาบอกว่ายกโทษให้เขาแล้วอีก”
“ทำไม ? ไม่พอใจเหรอ ?”
“เปล่านะ ฉันแค่คิดว่าสิ่งที่คุณเป็นกังวลมันเยอะเกินไป คุณเห็นว่าฉันเป็นคนหลายใจขนาดนั้นหรือไง ?”
“ฉันคิดว่าเธอหลอกง่ายมากเลย แค่คำพูดหวานหยดย้อยไม่กี่คำก็หลอกเธอได้แล้ว”
“ไม่จริง !” ไป๋มู่ชิงต่อยเขาอย่างไม่ยอมแพ้
หนานกงเฉินคว้ามือเล็ก ๆ ของเธอเอาไว้มือเดียวและก้มหน้าพรมจูบ จากนั้นก็ทำมือส่งสัญญาณบอกให้เธอเงียบ
ถึงแม้ที่นี่จะเป็นพื้นที่ส่วนตัวของที่นั่งโดยสารชั้นหนึ่ง ทว่าจะเสียงดังเอะอะโวยวายเกินไปไม่ได้
ไป๋มู่ชิงหยุดการกระทำของตน จากนั้นหนานกงเฉินจึงโน้มตัวลงมากระซิบข้างใบหูของเธอ : “แต่ลองคิดดูดี ๆ แล้ว ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าตัวเองทำอะไรไปถึงทำให้เธอติดกับตกหลุมรักฉันซะแล้ว”
ไป๋มู่ชิงครุ่นคิดสักครู่ เธอก็ไม่ทราบเช่นกัน
“ยกตัวอย่างหนึ่งถึงสองข้อมาให้ฟังหน่อยสิ ?”
สองมือของไป๋มู่ชิงคล้องอยู่บนคอของเขา เธอครุ่นคิดอย่างหนักต่อไป หลังจากผ่านมาชั่วครู่แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “น่าจะเป็น……ตอนที่คุณช่วยเด็ก ๆ หาที่พักอาศัย ? ไม่สิไม่เร็วขนาดนั้น เป็นตอนที่คุณดึงฉันขึ้นมาจากใต้สะพานลอย และตอบตกลงให้ฉันมีลูกให้ ? หรือว่าจะเป็นตอนที่คุณช่วยเหลือฉันจากขอทานขี้เรื้อนคนนั้น ? จำไม่ได้แล้ว ถึงยังไงก็หลงรักเข้าอย่างน่าเสียดายแล้ว”
“ระวังคำคุณศัพท์ของเธอด้วย อะไรคือหลงรักเข้าอย่างน่าเสียดาย ?” หนานกงเฉินรู้สึกว่าตนมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการพูดคำหวานซึ้ง ที่พูดไปพูดมาก็พูดเพี้ยนไปอย่างอื่นของเธอเสียแล้ว
“หลงรักคนที่สูงส่งอย่างคุณ ไม่ใช่เรื่องที่น่าเสียดายหรือไง ?”
“ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าหน้าเธอเต็มไปด้วยความสุขทั้งนั้นเลยนะ ?”
“ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน” สีหน้าของไป๋มู่ชิงค่อย ๆ บึ้งตึงขึ้นเรื่อย ๆ เธอจ้องหน้าเขาแล้วพูดว่า : “ทุกครั้งที่มีความสุข ฉันมักจะมีลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดีเกิดขึ้นเรื่อยเลย มักรู้สึกเสมอว่าชีวิตนี้ของฉันไม่ควรเงียบสงบอย่างนี้ต่อไป ลำดับต่อไปจะยังมีบททดสอบที่ยากลำบากกว่านี้รอฉันอยู่”
หนานกงเฉินครุ่นคิดชั่วครู่ จากนั้นก็ยิ้มขึ้น : “ถ้างั้นเธอเคยสัมผัสล่วงหน้าได้ไหมว่ามันเป็นบททดสอบยังไงกันแน่ ?”
“ฉันคิดว่า……ส่วนมากจะเกี่ยวกับคุณละมั้ง”
“ฉันเหรอ ?” หนานกงเฉินชี้มายังตัวเอง : “อย่าบอกนะว่าเธอเชื่อว่าฉันจะมีชีวิตยืนยาวเหมือนกันน่ะ ?”
“ไม่ใช่แน่นอน” ไป๋มู่ชิงต่อยไปยังหน้าอกอันกำยำของเขาหนึ่งครั้ง : “ร่างกายแข็งแรงของคุณเนี่ย ฉันว่าอย่างน้อยยังใช้ชีวิตได้อีก 60 ปี ฉันตายแล้วอาจยังไม่ถึงตาคุณก็ได้”
“พูดอะไรบ้า ๆ เธอจะต้องมีชีวิตยืนยาวกว่าฉัน ไม่งั้นใครจะเก็บศพให้ฉันล่ะ”
“งั้นถ้าคุณตายแล้ว ใครจะเก็บศพให้ฉันล่ะ” ไป๋มู่ชิงถามยอกย้อน
“ไม่ก็……เราใช้ชีวิตต่ออีก 60 ปี พอใจแล้วก็ไปตายพร้อมกัน ?”
“ดีเลย งั้นให้ ลูก ๆ หลาน ๆ เก็บศพให้พวกเรา”
หนานกงเฉินยิ้มพลางก้มลงไปพรมจูบยังริมฝีปากของเธอ : “ตอนนี้ยังมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีแบบนั้นอยู่หรือเปล่า ?”
ตอนนี้……
ไป๋มู่ชิงมองหน้าเขา จากนั้นก็โผเข้าไปกอดเขาพร้อมรอยยิ้ม เธอไม่ได้บอกเขาไปว่ายังมีอยู่เหมือนเดิม ยังคงรู้สึกว่าความสุขมาหาตนง่ายเกินไป
ทั้งที่ความสุขมาหลังจากผ่านความทุกข์ยากมาแท้ ๆ เธอดันคิดว่ามาง่ายเกินไปงั้นหรือ ?
เธอเงยหน้ามองหนานกงเฉิน เหตุใดเขาจึงไม่มีความกลัดกลุ้มใจเช่นนี้อยู่เลยเล่า ?
เครื่องบินแลนดิ้ง ณ สนามบินนานาชาติเมืองซีตามเวลาที่กำหนด เมื่อเดินออกจากสนามบิน ไป๋มู่ชิงก็หลับตาลงพร้อมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด จากนั้นก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า : “แม้ฝรั่งเศสจะสวยแค่ไหน แต่บ้านเกิดของตัวเองสบายที่สุดอยู่ดี ความรู้สึกได้กลับบ้านนี่มันดีจริง ๆ”
หนานกงเฉินมองหน้าเธอด้วยรอยยิ้ม : “ไม่อยากพักในคฤหาสน์ลาเวนเดอร์แล้วเหรอ ?”
“ไม่อยาก” ไป๋มู่ชิงยิ้มแห้ง ๆ
หนานกงเฉินโอบไหล่ของเธอ : “ไปกันเถอะ กลับบ้านไปนอน”
ทั้งสองคนกลับคฤหาสน์หลังเล็กพร้อมกัน และได้ทำกับข้าวอย่างง่าย ๆ รับประทานจากนั้นก็กลับห้องนอนไปพักผ่อน
วันทำงานวันแรกหลังจากที่กลับมาจากฝรั่งเศส ไป๋มู่ชิงไปบริษัทพร้อมหนานกงเฉินเช่นเคย
เมื่อถึงที่ทำงานแล้วไป๋มู่ชิงจึงได้แบ่งของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับเพื่อนร่วมงาน และเธอก็พูดกับทุกคนด้วยความเคอะเขินว่า : “ขอโทษทีนะ ไม่ใช่ของที่พิเศษอะไรเลย ทุกคนอย่ารังเกียจนะ”
“จะเป็นไปได้ยังไง ฉันอยากได้น้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์ของฝรั่งเศสมาตั้งนานแล้ว” เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งนำน้ำมันหอมระเหยขึ้นมาสูดดม : “อืม……กลิ่นหอมบริสุทธิ์ ไม่เหมือนกับที่ซื้อในประเทศจริง ๆ ด้วย”
“ตอนนี้คือฤดูเก็บเกี่ยวของดอกลาเวนเดอร์นี่นา ตอนแรกซื้อมาเยอะมากเลย แต่ว่า……” ไป๋มู่ชิงอายที่จะบอกทุกคนว่าถูกหนานกงเฉินเอาไปแช่ให้เธอลงอาบหมดแล้ว จึงทำได้เพียงพูดว่า : “กลัวจะโดนเช็กตอนเข้าด่านน่ะ เลยทิ้งครึ่งหนึ่งเอาไว้ที่นั่น”
“ไม่เป็นไรเลย การที่นายหญิงของท่านประธานกรรมการบริหารเอาของขวัญมาฝากพวกเรา ก็รู้สึกประทับใจมากพอแล้ว ต่อให้เป็นใบไม้หนึ่งใบพวกเราก็จะดีใจมากอยู่ดี” เสี่ยวเถียนมองไปยังเพื่อน ๆ ที่อยู่รอบ ๆ : “ทุกคนว่าไหม”
“ใช่แล้ว ๆ……” ทุกคนพยักหน้าด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส
ไป๋มู่ชิงรู้สึกเอือมละอาเล็กน้อย : “พวกเราคุยกันแล้วไม่ใช่หรือไง ว่าฉันเป็นคนใหม่สำหรับที่นี่ เป็นคนใหม่ที่ต้องการให้ทุกคนดูแล ไม่ใช่นายหญิงของท่านประธานกรรมการบริหาร”
“ถูก ๆ เลขาเหยียนก็เคยบอกแบบนี้เหมือนกัน พวกเราตื่นเต้นดีใจเกินไปจนลืมเองน่ะ” เสี่ยวเถียนพูดพลางโบกไม้โบกมือให้ทุกคน : “ทุกคนแยกย้ายกันได้แล้ว ตั้งใจทำงานตัวเองไปเลย”
“ถึงยังไงก็ขอบใจเธอนะ มู่ชิง” ทุกคนแยกย้ายกันกลับไปทำงานยังโต๊ะทำงานของตัวเอง
ไม่มีใครนึกเลยว่าไป๋มู๋ชิงจะเป็นคนที่เป็นกันเองเช่นนี้
ไป๋มู่ชิงรับคำสั่งสอนจากการถูกตีผลงานกลับครั้งที่แล้ว เธอจึงศึกษาแผ่นงานออกแบบที่ผ่านมาของบริษัทอย่างตั้งใจ จากนั้นก็ปรับแนวคิดของตนเองใหม่
ผู้อื่นต่างก็คิดว่าเธออาจเป็นนายหญิงอยู่ที่บ้านแล้วมันน่าเบื่อเกินไป จึงมาเล่นที่แผนกออกแบบ มีเพียงตัวเธอผู้เดียวเท่านั้นที่รู้ดีว่าตนชอบงานนี้เป็นอย่างมาก จึงใช้ใจในการทำให้งานออกมาดีที่สุด
ช่วงเที่ยงขณะที่กำลังรับประทานอาหารอยู่ในแคนทีนกับเพื่อนร่วมงานอยู่นั้น ไป๋มู่ชิงนึกขึ้นได้ว่าหนานกงเฉินคงกำลังทานข้าวอยู่ชั้นบนสุดอย่างโดดเดี่ยวอยู่เป็นแน่ คิดได้ดังนั้นรอยยิ้มอันชั่วร้ายขึ้นผุดขึ้นมาในใจ เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายมื้ออาหารและบรรยากาศอันคึกคักบนโต๊ะอาหารส่งไปให้เขาดู แถมยังแนบคำพูดไปอีกประโยคว่า : “คุณชายเฉินคะ ทานข้าวหรือยัง ?”
ไม่นานหนานกงเฉินก็ตอบกลับเธอมาหนึ่งคำ : “ยัง”
“ถ้างั้นให้ฉันห่อไปให้ไหม ?”
“ไม่ต้องหรอก”
“ทำไมเหรอ ? ดูถูกมื้อเที่ยงของแคนทีนเหรอ ?”
“ไม่ใช่ ฉันแค่ไม่อยากให้นายหญิงเหนื่อยน่ะ”
“ฉันยอมทำเพื่อรับใช้เจ้านายอยู่แล้ว แต่ว่าเดิมทีคุณชายเฉินทานข้าวคนเดียวก็เหงาจนกลืนข้าวไม่ลงพออยู่แล้ว ถ้ามีกับข้าวจากแคนทีนไปเสริมอีก น่าจะต้องอกแตกตายมั้งคะ ?” หลังจากที่ไป๋มู่ชิงส่งข้อความนี้ไป ก็ไม่ได้รับข้อความตอบกลับของหนานกงเฉินเป็นเวลานานมาก
เธอจึงครุ่นคิดในใจว่าเขาโกรธหรือเปล่า ? ขี้งอนขนาดนี้เชียวหรือ ?
“คุณชายเฉิน เป็นอะไรหรือเปล่า ? อย่าบอกนะว่าโกรธฉัน ?” ไป๋มู่ชิงส่งข้อความไปอีก
“คุณชายเฉิน……”
“ที่รัก……”
“สามี……”
ไม่ว่าเธอจะส่งข้อความเรียกเขาเช่นไร ปลายทางก็ยังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นเดิม
เจ้าคนขี้งอน เธอบ่นพึมพำจากนั้นก็วางโทรศัพท์ลง พร้อมทั้งหยิบตะเกียบขึ้นมาเตรียมรับประทานมื้อเที่ยงต่อ และเมื่อเงยหน้าขึ้นมาจึงพบว่าโต๊ะอาหารที่เดิมมีความคึกคักได้เปลี่ยนเป็นบรรยากาศอันเงียบงันและเจื่อนไปทันใด อีกทั้งหนานกงเฉินได้มานั่งอยู่ตรงข้ามเธอ พร้อมทั้งกำลังรับประทานมื้อเที่ยงในถาดอยู่อย่างช้า ๆ
ไป๋มู่ชิงตกใจแทบแย่ และได้พูดขึ้นทันทีว่า : “ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ ?”
“ฉันเหงาจนกลืนข้าวไม่ลง เพราะนายหญิงไม่ยอมขึ้นไปกินข้าวกับฉัน เลยทำได้แค่ลงมาทานกับนายหญิงด้วยตัวเองแบบนี้แหละ” หนานกงเฉินคีบเนื้อไก่ในถาดวางไว้ในจานของเธอ : “ลองกินไก่ตุ๋นเห็ดหอมของฉันดูสิ อร่อยสุด ๆ ไปเลย”
ความเร็วนี้ ไม่ใช่ความเร็วธรรมดา !
ไป๋มู่ชิงหันหน้ามองข้าง ๆ จึงพบว่าพวกเสี่ยวเถียนย้ายไปโต๊ะข้าง ๆ ซึ่งไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร และกำลังโบกไม้โบกมือให้เธออย่างมีลับลมคมใน
ใบหน้าของเธอร้อนผ่าว เธอจ้องหน้าหนานกงเฉินแล้วพูดเชิงตำหนิว่า : “คุณไล่พวกเขาไปแบบนั้นมันไม่ดีมั้ง ?”
“ฉันไล่พวกเขาที่ไหนกัน พวกเขาเห็นฉันมาก็ไปเองต่างหาก” หนานกงเฉินพูดด้วยสีหน้าไร้เดียงสา
หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงคิดว่าการที่ทุกคนหลบเขาเนื่องจากกลัวอาการป่วยของเขา ทว่าหลังจากที่เขาใช้ชีวิตอยู่กับไป๋มู่ชิงแล้วนั้น เขาจึงไม่น้อยเนื้อต่ำใจแล้ว และไม่สนใจอาการป่วยของตนเองแล้ว
“เพราะงั้นคุณไม่ควรมา เห็นไหมทำลายระเบียบหมดเลย” ไป๋มู่ชิงกวาดสายตามองทั่วทิศ จึงพบว่าไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงต่างก็จับจ้องมาที่หนานกงเฉินรวมเป็นจุดเดียวกันหมด
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้ที่เจอตัวได้ยากในวันปกติอยู่แล้ว ทุกคนต่างก็มีความสงสัยเกี่ยวกับตัวเขาเป็นอย่างยิ่ง และที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจก็คือการที่เขามารับประทานมื้อเที่ยงในแคนทีนของบริษัทซึ่ง ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้
แม้วันปกติจะทำงานอยู่ในตึกเดียวกัน ทว่าหนานกงเฉินมีที่จอดรถส่วนบุคคล ลิฟต์ส่วนบุคคล ห้องทำงานส่วนบุคคล เพราะฉะนั้นปกติแล้วทุกคนจะเจอะเจอเขาได้ยากมากนอกจากผู้บริหารระดับสูงของบริษัท
“เธอบอกฉันเองไม่ใช่หรือไงว่า ไม่กลัวขี้เหร่ ไม่กลัวโรคภัย ขอเพียงยืนอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์อย่างกล้าหาญได้ ทุกคนก็จะไม่คิดว่าเธอเป็นสัตว์ประหลาด” หนานกงเฉินกล่าว
ไป๋มู่ชิงครุ่นคิดชั่วครู่ : “ฉันเคยพูดคำพูดนี้เหรอ ?”
“เคยพูด ช่วงแต่งงานใหม่ ๆ” ถึงแม้ประโยคเดิมจะไม่ใช่เช่นนี้ ทว่าความหมายคล้ายกัน ตอนนั้นเมื่อเขาได้ยินเธอพูดประโยคนี้ ในใจก็มีความสั่นคลอนขึ้นเล็กน้อย มิเช่นนั้นเขาคงไม่ไปช่วยเหลือเธอออกมาจากงานแต่งงานของหลินอันหนานและไป๋ยิ่งอัน และคงไม่ยอมเผยโฉมหน้าออกมาท่ามกลางงานเลี้ยงตระกูลหนานกงหรอก
ไป๋มู๋ชิงพยักหน้า ในที่สุดก็นึกขึ้นได้แล้ว
แม้ว่าจะพูดเช่นนั้นไม่ผิด การสนิทสนมกับลูกน้องไว้มาก ๆ ไม่ผิด ทว่าการที่เขามารับประทานอาหารที่แคนทีนจากเดิมรับประทานอาหารระดับหรูชั้นบนสุดของตึกจนชินแล้ว มันโหดร้ายกับเขามากเกินไปแล้ว
เพื่อเป็นการไม่ให้เขาถูกจับจ้องจากสายตาผู้คนรอบ ๆ ไป๋มู่ชิงจึงรีบทานอาหารของตน หลังจากที่ทานเสร็จแล้วก็ได้ลากแขนเขาแล้วเดินมุ่งไปยังลิฟต์
หลังจากเข้ามาในลิฟต์แล้ว หนานกงเฉินจึงพูดขึ้นด้วยความไม่พอใจว่า : “ฉันยังกินไม่อิ่มเลย ทำไมต้องลากฉันออกมาด้วย”
“คุณชายใหญ่ เลิกล้อเล่นได้แล้ว” ไป๋มู่ชิงกดชั้นบนสุด พร้อมคล้องแขนเขาแน่น เมื่อถึงแล้วก็เดินออกไปพร้อมกัน
มื้อเที่ยงของเขาถูกจัดเรียงไว้เต็มโต๊ะอย่างสวยงามเหมือนอย่างที่คิดไว้
อาหารสีสันสวยงาม พร้อมทั้งกลิ่นอันหอมกรุ่น แค่มองดูก็รู้สึกน่ากินแล้ว
ไป๋มู่ชิงลากเขาให้เดินมานั่งบนเก้าอี้ พร้อมพูดว่า : “นี่ถึงจะเป็นที่นั่งเฉพาะของคุณ จากนี้ไปอย่าแจ้นไปอ่อยที่ชั้นหนึ่งอีกแล้วเข้าใจไหม ?”
“อะไรคืออ่อย ?” หนานกงเฉินไม่พอใจกับคำพูดนี้ของเธอเป็นอย่างมาก
“แล้วมันไม่ใช่เหรอ ? ตอนคุณลงไปตาของพนักงานหญิงในแคนทีนก็เป็นประกายแล้ว จนแทบอยากกลืนกินคุณลงไป”
“ที่แท้ก็หึงนี่เอง” หนานกงเฉินยิ้มพลางใช้มือบีบปลายจมูกน้อย ๆ ของเธอ
เมื่อถูกเขารู้ทันเช่นนั้น ไป๋มู่ชิงจึงรู้สึกเขินอายในใจ ทว่าบนใบหน้าของเธอกลับไม่ได้แสดงออกมา ครั้นกลับใช้ส้อมจิ้มชิ้นเสต๊กเนื้อเข้าปาก : “ฉันกินเนื้อไม่กินน้ำส้มสายชู”
เธอหันหลังเพื่อจะเดินออกไป หนานกงเฉินจึงคว้าเธอกลับมา : “มาทานเป็นเพื่อนผมสักครู่”
จากนั้นเขาก็อุ้มเธอขึ้นวางบนขา มือหนึ่งโอบเอวของเธอมือหนึ่งหยิบตะเกียบคืบเนื้อยื่นให้เธอ ไป๋มู่ชิงมองเนื้อที่เขาคีบมาพร้อมพูดขึ้นว่า : “เมื่อกี้ฉันเพิ่งกินไป คุณกินเองเถอะ”
“เมื่อกี้ฉันก็เพิ่งกินไปเหมือนกัน”
ไป๋มู่ชิงเห็นว่าเขาดื้อดึง จึงทำได้เพียงอ้าปากรับ
หนานกงเฉินใช้ตะเกียบคีบเนื้อและเอาใส่ปากตัวเอง
ดังนั้น ไป๋มู่ชิงที่ทานมื้อเที่ยงมาแล้วก็ถูกเขาบังคับให้ทานอีกมื้อจนได้ และเมื่อหนานกงเฉินปล่อยเธอลงมาจากบนขาตนแล้วนั้น เธอรู้สึกอิ่มจนต้องนั่งพิงบนโซฟาจนไม่อยากขยับตัวเลย
หนานกงเฉินรินน้ำให้เธอจากนั้นพูดว่า “ถ้าเหนื่อยก็พักผ่อนอยู่ที่นี่ก่อนก็ได้ ถึงยังไงฉันก็ง่วงพอดี”
“คุณชายใหญ่ ฉันมาทำงานนะคะ ไม่ได้มากินข้าวหรือนอนเป็นเพื่อนคุณ” ไป๋มู่ชิงขัดขืนลุกขึ้นยืนจากโซฟา : “ฉันกลับไปทำงานก่อนนะคะ ขอบคุณมื้อเที่ยงของคุณด้วย”
อยู่พักผ่อนกลางวันกับเขางั้นหรือ เธอไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะให้เธอได้มีโอกาสนอนหลับ ดีไม่ดีนอนไปนอนมาอาจจบลงที่กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่บนเตียงก็เป็นได้
“ถ้างั้นเลิกงานอย่าลืมรอฉันที่ด้านล่างตึกด้วยล่ะ” หนานกงเฉินพูดขณะที่เธอกำลังหันหลังเดินออกไป
ไป๋มู่ชิงหันกลับมาจ้องหน้าเขา : “ตอนค่ำมีงานฉลองวันเกิดของคนในทีม ฉันอยาก……”
“ห้ามอยากอะไรทั้งสิ้น” หนานกงเฉินพูดตัดบทเธอ จากนั้นก็สาวเท้าก้าวมาเบื้องหน้าพร้อมทั้งบีบคางของเธอเอาไว้ จากนั้นก็ก้มลงไปพรมจูบบนริมฝีปากของเธอ : “ใครอนุญาตให้เธอสร้างวงจรชีวิตเอง หลังจากเลิกงานแล้วเธอเป็นของฉันเท่านั้น”
“คุณดูสิ ป่าเถื่อนอีกแล้ว”
“ตอนไหนที่ฉันไม่ป่าเถื่อน ?” หนานกงเฉินยิ้มอย่างชั่วร้าย และทันใดนั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา หนานกงเฉินจึงเดินไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากบนโต๊ะและมองดู จากนั้นก็พูดกับไป๋มู่ชิง : “เธอลงไปก่อนเถอะ”
เขาไล่เธอลงไป ครั้นเธอกลับไม่ลงไป เดินไปหมายจะคว้าโทรศัพท์ของเขามา หนานกงเฉินจึงยกมือปัดแขนของเธอออก : “เธอจะทำอะไร?”
“ฉันอยากดูว่านังแมวยั่วสวาทคนไหนที่มันโทรหาคุณตอนทำงานแบบนี้” ไป๋มู่ชิงเขย่งเท้าเพื่อคว้าโทรศัพท์จากเขา หลังจากที่แย่งอยู่นานสองนานก็เอามาไม่ได้ เธอจึงจ้องหน้าเขาตาเขม็งแล้วพูดขึ้นอย่างโมโหว่า : “ทำไมไม่กล้าให้ฉันดู ? หรือว่าเป็นนังแมวยั่วสวาทโทรมาจริง ๆ ?”
“ไม่ใช่นังแมวยั่วสวาท”
“แล้วเป็นใคร”
“เป็นคนที่……น่ากลัวกว่าแม่มดแก่อีก” ในที่สุดหนานกงเฉินก็ลดโทรศัพท์ลง ไป๋มู่ชิงมองเห็นบนหน้าจอโทรศัพท์เขียนว่าเป็นเบอร์ของคฤหาสน์หลังเก่า
หนานกงเฉินกดรับ จากนั้นปลายสายนั้นก็มีเสียงอันเกรี้ยวกราดของคุณผู้หญิงดังเข้ามา : “หนานกงเฉิน ! ถ้าคืนนี้หลานไม่กลับมาก็อย่ากลับมาอีกเลย !”
หลังจากตะคอกคำนี้เสร็จ คุณผู้หญิงก็ขว้างโทรศัพท์ทิ้งทันที
ภายในห้องทำงานเงียบสงัดเป็นเวลาชั่วครู่ ไป๋มู่ชิงมองหน้าเขาและพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วงว่า : “ทำไงดี ? คุณย่า……”
“ไม่ต้องห่วง คืนนี้ฉันกลับไปเกลี่ยกล่อมท่านก็หายแล้ว”
“แต่ดูท่าทางท่านจะโมโหมากเลยนะ”
“ไม่เป็นไร” หนานกงเฉินยกมือขึ้นตบไหล่ของเธอ : “คืนนี้เธอเป็นอิสระแล้ว แต่ฉันต้องขอเตือนเธอไว้ก่อนนะ ห้ามเที่ยวจนดึกดื่นเกินไป”

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset