เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 160 คุณหนูจู

ไป๋มู่ชิงยังคงจมอยู่ในห้วงสนามอารมณ์ของสายที่โทรมาเมื่อสักครู่ เธอมองไปที่หนานกงเฉิน รู้สึกว่าเขาไม่ได้กังวลเลยสักนิด เธอที่ได้ยินคุณผู้หญิงโกรธเธอขนาดนี้ ตกใจจนจิตกระเจิงไปหมด แต่เขากลับ……
“ทำไมนายดูไม่ได้ใส่ใจที่คุณผู้หญิงโกรธเลย?”
“บอกแล้วว่าเดี๋ยวคืนนี้จะกลับไปง้อเอง” หนานกงเฉินไม่ใช่ไม่ได้ใส่ใจ แต่คือเขารู้ว่าถึงคุณผู้หญิงจะโกรธ เขาก็สามารถทำให้เธอหายโกรธได้ เขารู้แม้กระทั่งเหตุผลที่คุณผู้หญิงเรียกเขากลับไป มันก็คือเรื่องที่จะเกลี้ยกล่อมให้เขาเลิกกับไป๋มู่ชิง หาคนที่เป็นคู่ครองอะไรนั่น
นี่ก็เป็นเหตุผลที่เขาเลี่ยงที่จะกลับคฤหาสน์หลังเก่านั่น!
ที่จริงไม่ใช่เขาเองที่รู้ ไป๋มู่ชิงเองก็คิดได้เหมือนกัน เธอรู้ว่าช่วงนี้คุณผู้หญิงกำลังหาวิธีทำให้เธอออกไปจากหนานกงเฉิน เพราะฉะนั้นเธอเลยมีความกังวลมากว่าเขา
การไปงานเลี้ยงวันเกิดเพื่อนร่วมงาน เป็นแค่ข้ออ้างที่เธอโกหกหนานกงเฉิน คืนนี้เขากลับไปที่คฤหาสน์หลังเก่าแล้ว เธอกับเพื่อนร่วมงานเดินออกมาจากที่ทำงานเป็นที่เรียบร้อย แล้วเธอก็โทรหาซูซี่
ซู่ซี่เรียนการเต้น ช่วงนี้เธอจึงกำลังซ้อมเต้นกับวงหนึ่งเล่นๆอยู่ ตอนที่ไป๋มู่ชิงโทรหาเธอ เธอกำลังซ้อมท่าเต้นอยู่ที่ห้องซ้อมเต้น ซูซี่รับสายแล้วพูดว่า“มู่ชิง เธอจะถามเรื่องลูกสาวเธอใช่ไหม? ต้องขอโทษด้วยนะ ตอนนี้ฉันยังไม่มีเบาะแสอะไรเลย”
ไป๋มู่ชิงรู้ว่าคำตอบจะเป็แบบนี้ แต่ก็ยังรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยอยู่ดี
“เสี่ยวซี่ ตอนนี้เธอว่าหรือเปล่า?”
“กำลังจะเลิก ทำไมหรอ?”
“มาทานข้าวด้วยกันสิ”
“คนๆของเธออนุญาตให้เธอออกมาเที่ยวเล่นเองแบบนี้ได้แล้วหรอ?”
“เขากลับคฤหาสน์หลังเก่าไปแล้ว”
“ได้ เธออยู่ไน เดี๋ยวฉันจะไปรับ”
“อยู่ข้างล่างของบริษัทหน่ะ”
วางสายได้ไม่นาน ซูซี่ก็มาพร้อมกับเหยาเหม่ย
พอไป๋มู่งชิงขึ้นรถ เหยาเหม่ยก็ใช้ศอกของเธอสะกิดที่แขนของเธอเบาๆว่า“ดูท่าแล้ว ความสุขของเธอก็ใกล้เข้ามาแล้วสิ ถึงขั้นเข้ามาทำงานในบริษัทหนานกงกรุ๊ปแล้วนิ”
“ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าความโชคร้ายของฉันกำลังจะมาถึงล่ะ?”ไป๋มู่ชิงพูดขึ้นเบาๆ คืนนี้ไม่รู้ว่าหนานกงเฉินจะโดนอะไรบ้าง
“เธอเนี่ย เป็นเพราะโดนข่มขู่มากเกินไป จนตอนนี้กลายเป็นคนขี้ระแวงไปหมด” ซูซี่หันกลับมามองแล้วพูดว่า“ใช่ เรื่องลูกสาวของเธอ ฉันยังไม่ได้ถอดใจที่จะช่วยหานะ อย่าโกรธฉันล่ะ”
“ฉันจะกล้าโกรธเธอได้ยังไง ถ้าฉันมีเรื่องกับเธอ แล้วใครจะช่วยฉันตามหาลูกล่ะ?”
“มันก็จริง”ซูซี่พยักหน้า“เอ่อใช่ พวกเธอสองคนอยากกินอะไรกัน? ฉันเลี้ยงเอง”
“ก็ต้องเป็นเธอเลี้ยงอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นจะเป็นฉันหรือไง?” เหยาเหม่ยที่เล่นโทรศัพท์อยู่เงยหน้าขึ้นพูด
“เราไปกินอาหารร้านตะวันตกที่อยู่ๆข้างลำธารไหม?”
“ดีเลย ฉันไม่ได้กินอาหารตะวันตกมานานแล้วด้วย” เหยาเหม่ยกล่าวเห็นด้วย แล้วหันไปถามไป๋มู่ชิงว่า“เธอล่ะมู่ชิง?”
“ฉันยังไงก็ได้”
ซูซี่ขับรถพาทั้งสองมาถึงร้านอาหารหยวนกู้ที่มีชื่อเสียงอย่างมากที่บริเวณริมลำธาร ซูซี่รู้จักกับเจ้าของร้าน เลยเลือกที่นั่งที่ดีที่สุดตรงริมลำธารตามอำเภอใจ
ทั้งสามนั่งลง เริ่มสั่งน้ำผลไม้ไปไม่กี่แก้ว จากนั้นก็นั่งเกาะอยู่ที่รั้วกั้น มองทิวทัศน์ของลำธารนี้
เหยาเหม่ยชอบดึงมู่ชิงมาถ่ายรูปกับเธอ ซูซี่ที่เห็นดังนั้นก็พูดอย่างน้อยใจว่า “นี่ๆ พวกเธอสองคนนี้ยังไงกัน? ตั้งใจจะเมินฉันหรอ?”
“เธอสวยเกินอ่ฉันไม่อยากถ่ายด้วยหรอก” เหยาเหม่ยโอบไหล่ของไป๋มู่ชิงเข้ามาแล้วพูดว่า“มู่ชิง เธอมองไปที่ไหนนะ? มองกล้องเร็ว”
เห็นไป๋มู่ชิงที่ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับเลยเอามือไปโบกไปมาตรงหน้าเธอ แต่เธอก็ยังเหมือนโดนอะไรสักอย่างที่อยู่ข้างนั้นสะกดจิตไว้
ซูซี่ปล่อยหลอดที่คาบไว้ที่ปากลง เธอกับเหยาเหม่ยมองตามที่สายตาของไป๋มู่ชิงที่มองไป แล้วก็เห็นตรงรั้วกั้นข้างหน้ามีผู็หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ ผู็เหมือนคนนั้นเหมือนกำลังดูทิวทัศน์ของลำธาร แต่ก็เหมือนว่าเธอนั้นกำลังยืนเหม่อ
ซูซี่เรียกไป๋มู่ชิง“ทำไม? ผู้หญิงคนนั้นเป็นหนึ่งในคนรักของหนานกงเฉินหรอ?”
ไป๋มู่ชิงพยักหน้า
“ว่าไงนะ?” ซูซี่ลุกยืนขึ้น“ฉันทายถูกแล้วงั้นหรอ?”
ไป๋มู่ชิงเก็บสายตาที่มองไปยังหญิงคนนั้นแล้วหันกลับมาที่เดิม พูดกับซูซี่และเหยาเหม่ยว่า“เธอคนนั้นคือรักแรกของหนานกงเฉิน”
“ก็คือคราวก่อนที่เธอเคยบอก ว่าคือคนที่นามสกุลจูที่เจอบ่อยๆตอบไปตลาดอ่ะนะ?”
“ใช่” ไป๋มู่ชิงเดินไปนั่งลงข้างๆซูซี่แล้วพูดว่า“เสี่ยวซี่ เธอว่าเมืองซีใหญ่ไหม?”
“ใหญ่”
“ฉันถึงเจอเธอครั้งแล้วครั้งเล่าล่ะ?”
“ยัง”
“ยังต้องให้พูดอีกหรือ ไม่ใช่เธอก็ผู้หญิงคนนั้นที่ตั้งใจ?”
“ฉันจะตั้งใจได้ไง ฉันเนี่ยแทบจะอยากหนีออกห่างจากผู้หญิงคนนั้นให้อยู่ห่างกันยิ่งกว่าทางช้างเผือกอีก”
“ถ้าอย่างนั้นก็เป็นผู้หญิงคนนั้นที่ตั้งใจ”
“แล้วผู้หญิงคนนั้นจะทำอะไรกันแน่?” เหยาเหม่ยนั่งลงตาม แอบมองไปที่ผู้หญิงคนนั้นเป็นระยะๆ
ซูซี่นิ่งคิดแล้วพูดว่า“ตั้งใจที่จะเข้าใกล้มู่ชิง เพื่อที่จะรู้ถึงลักษณะนิสัยของเธอ แล้วหาทุกโอกาสที่จะลงมือและจัดการเธอทิ้ง”
ไป๋มู่ชิงตกใจกับคำพูดของซูซี่อย่างมาก“อย่าพูดให้มันน่ากลัวขนาดนี้ได้ไหมล่ะ!”
“เธอไม่เคยรับมือกับมือที่สามเนี่ย เธอไม่รู้หรอกว่าพวกมันร้ายกาจได้ขนาดไหน” ซูซี่หัวเราะในลำคอ กระแอมกระไอแล้วพูดว่า“ถ้างั้น……ให้ฉันไปเจอผู้หญิงคนนั้นแทนเธอหน่อยไหม?”
“เธอจะทำอะไร?”
“ฉันแค่ไปคุยกับผู้หญิงคนนั้นเฉยๆ”
“ฉันว่าอย่าเลยดีกว่า” ไป๋มู่ชิงพูดห้าม พูดกันแล้วจะได้อะไรขึ้นมา? ถ้าให้หนานกงเฉินรู้ว่าเธอทำอะไรกับรักแรกของเขาละก็ เขาต้องไม่ชอบใจอย่างมากแน่
ถึงแม้ตอนนี้เธอจะไม่รู้ว่าหนานกงเฉินกับคุณหนูจูคนนี้ยังติดต่อกันอยู่ไหม แต่ดูจากการกระทำของหนานกงเฉินที่มีแต่เธอแล้ว น่าจะไม่มีการติดต่อกันแล้ว
แต่ที่ฉันพูดก็ถูก ถ้าสามีของคุณอยู่ๆก็ดีกับคุณมากๆเนี่ย แปดในสิบที่เขามีผู้หญิงอื่น
ช่วงนี้หนากงเฉินก็ดีกับเธอมาก แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า……ถึงหนานกงเฉินจะนอกใจเธอ ก็ไม่มีเหตุผลที่เขาจะปิดบังเธอนิ แล้วยังมาทำดีด้วยแบบนี้อีก แต่ก่อนเขาก็เคยบอกแล้ว เขาจะมีผู้หญิงคนอื่นหรือไม่ เธอก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไไปยุ่ง
ไม่รอให้เธอตั้งสติกลับมาใหม่ ซูซี่ก็ลุกยืนขึ้นแล้วเดินออกไป“คุณพระ นี่เธอคือจูๆใช่ไหม อะไรอ่ะ? ทำไมถึงทำหน้าแบบนี้หล่ะ? จำฉันไม่ได้แล้วหรอ? ฉันคือซูซี่ เคยอยู่ทีมมารยาทของโรงเรียนไง ฉันโตกว่าเธอสองปีหน่ะ”
คุณหนูจูยังคงมองหน้าของเธอด้วยสีหน้างงงวย ไม่รู็จักคนตรงหน้า
“ดูเธอสิ ลืมแล้วใช่ไหมเอ่ย? จำฉันไม่ได้แล้วใช่หรือเปล่า?”
“ต้องขอโทษด้วยนะคะ ฉันจำไม่ได้แล้วจริงๆ” คุณหนูจูถอยห่างเธอไปหนึ่งก้าว ซูซี่ใช้จังหวะนี้เดิมเข้าไปดึงเธอมาที่โต๊ะ แล้วแนะนำไป๋มู่ชิงกับเหยาเหม่ยที่นั่งอยู่ให้เธอรู้จัก“เอ่อใช่ สองคนนี้คือเพื่อนสนิทของฉันเอง สองคนนี้เป็นคนดีมาเลยนะ นั่งลงด้วยกันหน่อยสิ”
พูดจบเธอก็หันไปยิ้มให้กับคุณหนูจู“ดูเหมือนเธอกำลังรอใครอยู่เลย แฟนหรือเปล่า? ไม่ป็นไรมานั่งรอด้วยกันก่อนก็ได้”
คุณหนูจูถูกซูซี่ดึงมานั่งที่เก้าอี้อีกตัวที่อยู่ตรงข้ามกับไป๋มู่ชิง ไป๋มู่ชิงมองไปที่เธอ นี่เป็นครั้งแรกที่ที่ได้อยู่ใกล้กันขนาดนี้ สามารถมองผู้หญิงตรงหน้าได้ชัดๆ
มองได้สักพัก ไป๋มู่ชิงก็สั่งน้ำผลไม้ให้เธอแก้วหนึ่ง
คุณหนูจูผ่อนคลายได้อย่างรวดเร็ว มองทุกคนแล้วพูดว่า“ถ้าอย่างนั้นฉันจะไม่เกรงใจทั้งสามแล้วนะคะ”
“พูดอะไรอย่างนั้นหน่ะ?”ซูซี่ยิ้มตอบ“พวกเขาเป็นเพื่อนสนิทฉันเอง ไม่ถืออะไรหรอก อีกอย่างเราไม่ได้เจอหน้ากันนานแล้ว เจอกันครั้งนี้ก็ต้องมารำลึกความหลังกันหน่อย”
“ใช่ เราไม่ได้เจอกันนานเลย” คุณหนูจูถือแก้วน้ำไว้ มองไปที่ซูซี่“ฉันพึ่งจะกลับมาจากต่างประเทศหน่ะ เพื่อนหลายๆคนก็ไม่ได้ติดต่อกันแล้ว ไม่ร้ว่าพวกเขาตอนนี้ไปทำอะไรกันบ้างแล้ว เธอก็ด้วย ช่วงนี้กำลังยุ่งอะไรอยู่หรือเปล่า?”
“ฉันก็ เต้นบ้าง เดินตลาดบ้าง เที่ยวเล่นไปงั้นแหละ” ซูซี่ถามเธอกลับว่า“แล้วเธอหล่ะ? ทำไมอยู่ๆถึงกลับมาหล่ะ? กลับมาแล้วมีแผนจะทำอะไรหรอ?”
“ตอนนี้ยังไม่มีแผนอะไรหรอก อายุนี้แล้ว ก็คงต้องหาผู้ชายที่เหมาะสมกันแต่งงานแล้วล่ะ”
ไป๋มู่ชิงที่ได้ยินเธอพูดแบบนั้น จากที่ก้มหน้าดื่มน้ำอยู่นั้นก็เงยหัวขึ้นมอง หาผู้ชายคนนึงแต่งงานงั้นหรอ? คนที่เธอจะหาคงไม่ใช่หนานกงเฉินหรอกใช่ไหม?
“ยังอายุน้อยอยู่เลยก็จะแต่งแล้วหรอ?” ซูซี่พูดอย่างยิ้มๆ
“ไม่น้อยแล้วน้า จะเข้า25แล้ว”
“ก็จริงนะ 25ก็แต่งได้แล้วแหละ” เหยาเหม่ยที่อยู่ข้างๆพูดขึ้น“ดูเราสามคนสิ ก็แต่งงานมาหลายปีแล้ว รวมทั้งมู่ชิงเองก็พึ่งแต่งเข้าตระกูลหนานกงเมื่อปีที่แล้วเอง เวลานี่ไม่ยอมให้ใครจริงๆ”
คุณหนูจูมองไปที่ไป๋มู่ชิงอีกรอบ ในสายตาที่เธอไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรออกมา
ไป่มู่ชิงยิ้มให้เธอบางๆ“ตอนนี้อายุยังน้อย หาผู้ชายดีคนหนึ่งแต่งก็ไม่เลวนะ”
“ใช่ ฉันก็คิดแบบนี้เหมือนกัน” คุณหนูจูยิ้มส่งให้เธอ
เธอพูดจบ ก็ยกแขนขึ้นดูเวลาแล้วพูดว่า“ต้องขอโทษด้วยนะ ฉันอยู่ช่วยดูร้านให้เพื่อนที่นี่หน่ะ ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว ฉันคงต้องขอตัวไปทำงาน”
เธอลุกยืนขึ้น พูดกับซูซี่ว่า“รุ่นพี่ทานต่อกับเพื่อนๆเลยนะคะ เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง”
“ได้เลย ในเมื่อเธอพูดคำนี้ออกมาแล้ว ฉันก็จะไม่เกรงใจแล้วนะ” ซูซี่ปากยิ้มหน้าไม่ยิ้ม แล้วพูดกับเธอว่า“วันหลังค่อยนัดกันใหม่เนอะ”
“อื้ม วันหลังค่อยนัดกันใหม่” คุณหนูจูไม่ได้ระวังเท้าของซูซี่ที่ตั้งใจยื่นออกมา ทำให้เธอนั้นล้มลงไปที่พื้นอย่างจัง ตามด้วยเสียงกรี้ดอันแสบหู เธอล้มลงไปอย่างหมดสะภาพ
“จูจูเธอเป็นอะไรหนือเปล่า? ระวังหน่อยสิ” ซูซี่รีบก้มตัวลงไปช่วยพยุงเธอ ปัดกระโปรงให้เธอไปด้วยและถามด้วยความเป็นห่วงว่า“เป็นยังไงบ้าง? เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”
คุณหนูจูกัดฟันลุกขึ้นจากพื้น หันไปส่ายหน้าน้อยๆให้กับซูซี่ หลังจากนั้นก็เดินกระเผกๆออกไปจากร้าน
ซูซี่มองแผ่นหลังของเธอ ริมฝีปากบางนั้นก็พ่นออกมาสองคำ“ยัยปีศาจ”
“หลังจากที่คุณหนูจูเดินเข้าไป ไป๋มู่ชิงก็หันไปถามซูซี่“เมื่อกี้เธอเป็นคนขัดขาเธอหรอ?”
“ไม่งั้นหล่ะ?”
“เธอไม่กลัวเขาหาคนมาหาเรื่องหรือไง?”
“ดูออกหรือยัง? คุณหนูจูนั่นทนไว้ตลอด เพราะฉะนั้น แม้ว่าเธอจะล้มจนขาหักก็ตาม เธอก็ไม่โกรธหรอก”
“หมายความว่าไง?”
“ถ้าเป็นปกติแล้ว โดนฉันขัดขาขนาดนี้ ต้องกระโดดมาตบหน้าฉันนานแล้ว แต่เธอนั้นไม่ แสดงว่าเธอกำลังทนไว้อยู่ ถ้าในใจของเธอไม่ได้คิดอะไรไม่ดีทำไมต้องทนด้วยล่ะ?” ซูซี่ถอนหายใจเบาๆ เอนตัวไปตบไหล่ของไป๋มู่ชิง“ฉันรู้สึกว่าเธอคือคู่แข่งคนต่อไปของเธอแล้วหล่ะ เตรียมตัวให้พร้อม”
“เธอหมายความว่า……คุณหนูจูกับหนานกงเฉินจะคืนดีกันงั้นหรอ?” ไป๋มู่ชิงมองไปยังทิศทางที่คุณหนูจูเดินไป ในน้ำเสียงของเธอนั้นเต็มไปด้วยความกังวล
ซูซี่พยักหน้า“ฉันรู้สึกว่าจะใช่”
เหยาเหม่ยละสายตาจากในร้านมามองที่ซูซี่ แล้วพูดว่า“ทำไมฉันถึงไม่รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้จะน่ารักตรงไหนเลย? หนานกงเฉินชอบอะไรในตัวผู้หญิงคนนี้กัน?”
“เธอเคยช่วยชีวิตของหนานกงเฉินไว้” ไป๋มู่ชิงพูดเสียงเบา
“OH ON เป็นทั้งคนช่วยชีวิต แล้วยังเป็นรักแรกอีก มู่ชิง ฉันรู้สึกว่าโอกาสที่เธอจะชนะเนี่ย มันน้อยมากเลยนะ” เหยาเหม่ยพูดด้วยการไหวไหล่เล็กน้อย
ไป๋มู่ชิงมองทั้งสองคนแล้วพูดขึ้นว่า“เพื่อนที่ไหนเค้าพูดแทงใจกันแบบนี้?”
“ที่พวกเราพูดนี่ความจริงล้วนๆเลยนะ”
“บางทีเธออาจจะไม่ได้เป็นแบบที่พวกเธอคิดกันล่ะ? ตอนนั้นที่เธอออกไปจากหนานกงเฉินก็เพราะกลัวโรคที่เขาเป็น ตอนนี้โรคที่หนานกงเฉินเป็นยังไม่หาย เธอก็คงต้องกลัวอยู่แน่ๆ เพราะฉะนั้นเนี่ยเธออาจจะไม่ได้คิดจะกลับไปหาหนานกงเฉินเลยก็ได้ เป็นเพราะเราเองที่ไร้สาระกันเกินไป”
ไป๋มู่ชิงรู้สึกว่าคำพูดนี้ไม่ได้เป็นการปลอบใจเพื่อนทั้งสองหรอก แต่เป็นคำพูดที่ปลอบใจเธอเองทั้งนั้น
ตอนนั้นเป็นเพราะคุณหนูจูเชื่อในข่าวลือนั่น คิดเหมือนไป๋ยิ่งอันว่าหนานกงเฉินมีชีวิตได้ไม่ถึงอายุสามสิบปี ผู้หญิงที่แต่งงานกับเขาก็มีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงเดือน ฉะนั้น เธอเลยหนีเพราะเธอกลัว
ตอนนี้หนานกงเฉินใช้ชีวิตถึงอายุสามสิบแล้ว เธอที่เป็นภรรยานั้นก็อยู่ดีมีสุข นี่เป็นการทำให้ล้างข่าวลือพวกนั้นโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย แต่ถ้าคุณหนูจูคนนี้จะมีความคิดที่เหมือนกับไป๋ยิ่งอันละก็ มันก็ช่วยอะไรไม่ได้
แต่คุณหนูจูเป็นรักแรกที่หนานกงเฉินยังคงลืมไม่ได้ แววที่เธอจะชนะมันมีมากกว่าไป๋ยิ่งอันหลายร้อยเท่าเสียอีก พระเจ้า……เธอควรทำยังไงดี?
ถ่าคุณหนูจูจะแย่งหนานกงเฉินไปจากเธอจริงๆ เธอควรทำยังไงดี?
“อีกอย่าง ถ้าเธอมีใจที่อยากจะแย่งหนานกงเฉินจากฉันจริงๆ ทำไมเธอถึงไม่ไปหาหนานกงเฉินเลยหล่ะ?” ไป๋มู่ชิงพูดคำพูดปลอบใจตังเองออกมาโดยไม่รู้ตัว
ปีที่แล้วที่ไปเมืองเหยียนเธอเคยเจอคุณหนูจูมาแล้ว แต่ว่าเธอไม่เคยมาหาหนานกงเฉินเลยไม่ใช่หรอ?
“เพราะฉะนั้นผู้หญิงคนนี้เป็นคนแผนสูง” ซูซี่เคาะโต๊ะ“เธอกำลังรอโอกาสอยู่ รอโอกาสที่ทั้งฟ้าละคนเป็นใจ แล้วกำจัดเธอทิ้ง”
“อะไรกัน มั่วกันไปหมด เธอหยุดพูดให้มู่ชิงกลัวได้แล้ว” เหยาเหม่ยชี้ไปที่อาหารที่พึ่งมาเสริฟ์ว่า“รีบกินข้าวก่อนเถอะ เดี๋ยวมันเย็นแล้วก็ไม่อร่อยกันพอดี”
“ใช่ๆ กินข้าวๆ” ไป๋มู่ชิงยิ้มให้ทั้งสอง ก้มหัวกินอย่างไม่รู้รสชาติของมัน
พอกินเสร็จ โทรศัพท์ของไป๋มู่ชิงก็ดังขึ้น
เหยาเหม่ยยื่นหน้าเข้ามาดีหน้าจอ ยิ้มแซวว่า“ตอนนั้นคนที่เสียใจมากที่สุด ตอนนี้กลายเป็นคนที่มีความสุขมากที่สุดในบรรดาพวกเราสามคน นี่พึ่งจะกินเสร็จ สามีก็อยากจะมารับกลับบ้านแล้ว”
“นี่เธอตั้งใจจะแซะฉันใช่ไหม?” ซูซี่มองไปที่เธอ
“มันก็แซะตัวฉันเองด้วยแหละน่า ใครให้เราไม่มีสามีที่ดีๆคนนึงหล่ะ”
ไป๋มู่ชิงมองไปที่มั้งสอง แล้วกดรับสาย
น้ำเสียงอ่อนโยนของหนานกงเฉินดังขึ้น“งานเลี้ยงเลิกหรือยัง?ให้ผมไปรับคุณกลับด้วยเลยไหม”
“พึ่งจะกินข้าวเสร็จเอง” ไป๋มู่ชิงถามขึ้นอย่างไว“คุณย่าท่านไม่ได้ขังคุณไว้ใช่ไหม?”
หนานกงเฉินยิ้มตอบ“บริษัทยังต้องการผมอยู่ คุณยายท่านขังผมได้วันนึงแต่ขังไม่ได้สองวันหรอก”
“ฟังจากน้ำเสียงคุณแล้ว เหมือนว่าคืนนี้จะไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดนะ” เธอคิดว่าคุณผู้หญิงจะโกรธจนขังเขาเอาไว้ จนกว่าจะยอมหย่ากับเธอสะอีก
“ตอนกลางวันผมก็บอกคุณไปแล้วนี่ ว่าอย่าคิดมากจนทำให้ตัวเองกลัว” หนานกงเฉินถามต่ออีกว่า“บอกผมหน่อยว่าคุณอยู่ที่ไหน ตอนนี้ผมถึงเขตตัวเมืองแล้ว”
ไป๋มู่ชิงกำลังจะบอกหนานกงเฉินว่าเธออยู่ร้านอาหารตะวันตกหยวนกู้ กำลังจะพูดออกปากก็เก็บเข้าไปเหมือนเดิมแล้วพูดว่า“เฉิน คุณกลับไปก่อนเลย ฉันกับเพื่อนยังกินอยู่ ใกล้เสร็จแล้วหล่ะ พวกเขาจะส่งฉันกลับเอง”
เธอจะให้หนานกงเฉินมาที่นี่ไม่ได้ เธอจะไม่สร้างโอกาสที่จะให้ทั้งสองเจอกัน ถึงแม้ว่าจะทำอะไรไม่ได้มาก แต่ยื้อเวลาที่จะไม่ให้พวกเขาได้เจอกันยื้อได้วันหนึ่งคือวันหนึ่ง ก็ได้แค่นี้แหละ
พอเธอพูดจบ เหยาเหม่ยก็ยกนิ้วโป้งขึ้นบอกเธอว่าทำดีมาก
หนานกงเฉินไม่ได้ทำให้เธอลำบากใจ แค่บอกว่าขับรถระวังด้วย จากนั้นก็วางสายไป
ไป๋มู่ชิงวางโทรศัพท์ลง เหยาเหม่ยก็พูดขึ้นว่า“ต้องแบบนี้สิ ถ้าอยากที่จะรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้ก็ต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมหน่อย อย่าเป็นอย่างซูซี่เชียวหล่ะ ทำสงครามอารมณ์กับคุณชายเฉียว ทำไปทำมาเขามีลูกเรียบร้อย”
“อรึ้ม……”ซูซี่พูดอย่างไม่พอใจว่า“ตอนที่สอนไป๋มู่ชิงเรื่องพวกนี้เนี่ย อย่าเอาฉันไปเป็นแบบอย่างได้ไหม?”
“ไม่ใช้เธอแล้วจะใช้ใคร อีกอย่าง พี่น้องกันเองจะทำเป็นขี้เหนียวไปทำไมล่ะ”
ไป๋มู่ชิงใช้ศอกดันเหยาเหม่ยเบาๆ“ซูซี่เค้าก็ไม่สบายใจอยู่ เธอก็อย่าเอาเรื่องเค้ามาพูดเลย”
“เธอไม่สบายใจนั่นเป็นเพราะตัวเธอเองทั้งนั้น สมน้ำหน้า” เหยาเหม่ยพูดด้วยสีหน้าไม่ได้ดั่งใจว่า“ตอนนั้นฉันบอกแล้วว่าตัดซัมติงของพวกเขาสองคนสะ แต่เธอไม่ฟัง ตอนนี้เป็นไงหล่ะ ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองตอนนี้ มีดก็ตัดไม่ขาดแล้ว”
“อืม เด็กเป็นตัวยึดเยื่อใยความสัมพันธ์ของสามีภรรยาไว้ อันนี้ฉันเห็นด้วยกับเสี่ยวเหม่ย”ไป๋มู่ชิงพูด
ซูซี่พูดแทรกทั้งสองอย่างไม่ชอบใจ“พอละ เธอสองคนจะจบได้หรือยัง อิ่มแล้วใช่ไหม? อิ่มแล้วก็แยกย้ายกันได้แล้ว” พูดจบ ซูซี่ก็ลุกยืนขึ้น แล้วเรียกคุณหนูจูที่อยู่ทางนั้นว่า“จูจู รบกวนมาเช็คบิลหน่อยค่ะ”
คุณหนูจูวางของในมือลงแล้วเดินไปหา พูดอย่างยิ้มๆว่า“วันนี้ฉันจะเป็นคนเลี้ยงนิคะ”
“ได้ยังไงหล่ะ เธอพึ่งจะกลับมาอะไรๆก็ยังไม่สะดวกสักเท่าไหร่ รอเธอมั่นคงแล้วค่อยเลี้ยงฉันละกัน” ซูซี่ยื่นธนบัตรให้เธอ“ครบพอดีเลย”
“อ้อ แล้วพวกเธอจะกลับกันแล้วหรอ? แล้วมีคนมารับหรือเปล่า? ”
“มี สามีของมู่ชิงจะมารับหน่ะ แต่ตอนนี้เขายังมาไม่ถึง พวกเราว่าจะออกไปรอข้างนอก” เหยาเหม่ยพูด
ไป๋มู่ชิงมองไปที่เหยาเหม่ย แต่ไม่ได้พูดอะไร
ทั้งสามออกจากร้าน ขณะที่เดินไปที่ถนนปิงเจียงที่อยู่ตรงข้ามที่จอดรถ เหยาเหม่ยดึงชายเสื้อของไปูมู่ชิงและซูซี่ พูดด้วยเสียงเบาๆว่า“เห็นหรือยัง? เธอเดินตามเรามา”
ไป๋มู่ชิงไม่กล้าหันกลับไปมอง แต่เธอรู้สึกได้ว่ามีคนตามหลังเธอมา เธอถามด้วยความไม่เข้าใจว่า“เธอว่าเขาต้องการจะทำอะไรกันแน่?”
“จะมาดูความสัมพันธ์ของเธอกับหนานกงเฉินนะสิ ยังจะทำอะไรอีก?” ซูซี่พูดด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจ
“ปะ สลัดมันทิ้ง”ซูซี่เดินนำไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ต แล้วก็เดินออกไปทางประตูหลังของร้าน
หลังจากกลับมาที่รถของซูซี่ ไป๋มู่ชิงรู้สึกว่าเมื่อสักครู่เธอเหมือนกำลังทำตัวเป็นไส้ศึกที่ส่งข่าวเลย ดีที่รอบๆไม่เห็นคุณหนูจูแล้ว พวกเธอถึงจะขับรถออกไป
กลับถึงคฤหาสน์ ไป๋มู่ชิงที่ไม่เห็นหนานกงเฉินที่นั่งอยู่ที่ห้องรับแขก เลยเดินขึ้นไปห้องสมุดที่อยู่ชั้นบน ส่วนใหญ่หนานกงเฉินจะทำงานทุกอย่างให้เสร็จก่อนเข้านอน
เธอเดินเข้าไปในห้องสมุด เห็นหนานกงเฉินอยู่ในนี้ตามที่คาดไว้ เขากำลังคุยโทรศัพท์และมืออีกข้างก็กำลังเปิดเอกสารตามด้วย พอได้ยินเสียงเปิดประตู เขาเงยหน้าขึ้นมอง
ไป๋มู่ชิงที่เห็นเขายุ่งอยู่กับงาน เลยชี้บอกเขาว่ากลับไปรอที่ห้องนอน หลังจากนั้นเธอก็ออกเดินออกมาพร้อมกับปิดประตู
กลับถึงห้องเธอเข้าไปอาบน้ำก่อนเลย พออาบเสร็จเดินออกมา หนานกงเฉินเดินเข้ามาในห้องพอดี หนานกงเฉินเห็นเธอที่เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยสภาพนี้ ความกังวลที่กลับมาจากคฤหาสน์หลังเก่าก็หายไปหมดเลย
“งานเสร็จแล้วหรอคะ?” ไป๋มู่ชิงมองเขาแล้วถามขึ้น
“เสร็จแล้ว” หนานกงเฉินเดินเข้ามาหาเธอแล้วกอดเธอไว้ในอ้อมกอด สูดดมไปตามตัวของเธอ“หอมมาก”
ไป๋มู่ชิงดันตัวของหนานกงเฉิน“รอบเดือนฉันมา คุณอย่าเล่นกับไฟแล้วเผาตัวเองนะ”
“รอบเดือนคุณมาหรอ?” สีหน้าของหนานกงเฉินนั้นเต็มไปด้วยความผิดหวัง“แบบนี้ความพยายามที่ผมทั้งมาทั้งเดือนก็ไม่มีประโยชน์เลยใช่ไหม?”
“คุณรู้ไหมเนี่ยว่าอะไรคือการเก็บแรงเอาไว้ ถ้าทำบ่อยเกินไปจะทำให้อัตราการตั้งท้องน้อยลงได้นะ
“ผมรู้อยู่แล้ว “มันก็ควบคุมไม่ได้ไหมล่ะ?
“เพราะฉะนั้น เดือนนี้ทั้งเดือน คุณต้องฟังที่ฉันพูด” ไป๋มู่ชิงพูดด้วยความจริงจัง ในใจก็คิดไปด้วยว่าเธอต้องท้องกับหนานกงเฉินให้ได้เร็วที่สุด ต้องท้องก่อนที่คุณหนูจูจะลงมือ ไม่อย่างนั้นเธอไม่มีอะไรที่จะไปสู้กับคุณหนูจูที่เป็นรักแรกของเขาได้เลย
ลูก คือหนึ่งความผูกพันที่สำคัญต่อคนที่เป็นสามีและภรรยา นี่คือคำพูดที่เธอบอกกับซูซี่มาโดยตลอด ตอนนี้เธอจะเอาคำนี้มาใช้กับตัวของเธอเอง
หนานกงเฉินมองเธอความพิจารณา พูดด้วยสีหน้ายิ้มๆว่า“ทำไม? ตอนนี้คุณอยากได้ลูกแล้วหรอ?”
“อื้ม เด็กเป็นปัจจัยสำคัญของครอบครัวนี่นา” ไป๋มู่ชิงมองไปที่เขา“อีกอย่าง……ถ้าฉันคลอดลูกของคุณ คุณก็จะไม่มีวันไปจากฉันใช่ไหม?”
“ถึงคุณจะไม่คลอดลูกของเรา ผมก็ไม่มีวันทิ้งคุณไปหรอก” หนานกงเฉินพูดด้วยสีหน้าจริงใจ
“แล้วถ้าจูจูของคุณปรากฎตัวล่ะ?” ไป๋มู่ชิงอดไม่ได้ที่จะถามคำถามนี้ออกไป
หนานกงเฉินชะงัก คิดไม่ถึงว่าเธอจะถามคำถามนี้ออกมากระทันหันแบบนี้ ปกติเธอจะไม่ถามถึงบุคคลคนนี้เลย เพราะเธอรู้ว่าเขาไม่อยากให้คนอื่นถามถึง เป็นเพราะเหตุใดที่ทำให้เธอถามถึงผู้หญิงคนนั้นด้วยน้ำเสียงกังวลเช่นนี้?
เห็นหนานกงเฉินที่เงียบไปนั้น ใจของไป๋มู่ชิงก็หวิวขึ้นมา
ฉันรู้ว่าคุณหนูจูนั้นไม่ได้อยู่ในสัญญาที่เขาให้ รู้ว่าคุณหนูจูคนนี้เป็นข้อยกเว้นสำหรับเขา
“คุณตอบสิ?” เธออดไม่ได้ที่จะไปกระตุ้นเอาคำตอบจากเขา
หนานกงเฉินดึงสติตัวเองกลับมา วางมือทั้งสองข้างจับไหล่ของเธอไว้แล้วพูดว่า“ตอนนั้นเป็นเขาเองที่ทิ้งผมไป ผมไม่มีวันจะกลับไปมีความสัมพันธ์ใดๆกับเธออีก อีกอย่าง…….” เขายิ้มแซะตัวเองว่า“คุณลืมแล้วหรอ เขากลัวผม เพราะฉะนั้นคุณวางใจได้เลย เขาไม่กลับมาหรอก”
ไป๋มู่ชิงมองเขา ขอบตาค่อยๆเคลือบขึ้นด้วยหมอกจางๆ
ดูท่าแล้วหนานกงเฉินคงจะไม่รู้จริงๆว่าคุณหนูจูของเขานั้นได้กลับมาจากต่างประเทศแล้ว อละอยู่ที่เมืองซี
เขามั่นใจว่าคุณหนูจูของเขาไม่มีวันกลับมา เลยตัดสินใจที่จะปลอยเธอไป แต่ถ้าเกิดสิ่งที่ซูซี่คาดคิดไว้เป็นความจริงขึ้นมาล่ะ คุณหนูจูที่กำลังหาวิธีที่ทำให้เธอได้ใกล้ชิดกับหนานกงเฉินล่ะ? เขาจะทำอย่างไร?
“เกิดเธอกลับมาล่ะ?” ไป๋มู่ชิงไม่ตายใจ ถามเขาต่อ
“ไม่เกิดขึ้นแน่นอน” หนานกงเฉินจับเธอหันไป แล้วดันเธอไปทางเตียงนอน แล้วพูดว่า“เข้านอนเถอะครับ ไม่ต่องคิดมากคิดมาก”
ไป๋มู่ชิงโดนเขาดันลงไปนอนที่เตียง มองไปยังใบหน้าของเขา“คุณไม่เตรียมตัวเข้านานหรอคะ?”
“งานของผมยังเหลืออีกนิดหน่ะ คุณนอนก่อนเถอะ” หนานกงเฉินก้มลงไปจุมพิตที่หน้าผากมนของเธอเบาๆ “ฝันดีครับ”
“คุณก็อย่าดึกมากนะคะ”
“ครับ” หนานกงเฉินหันตัวเดินออกไป
ตอนเช้าตรู่ ไป๋มู่ชิงมองหนานกงเฉินที่นั่งตรงข้ามบนโต๊ะอาหาร ถามออกมากระทันหันว่า“คุณชายใหญ่คะ ฉันพึ่งจะนึกได้”
“เรื่องอะไรครับ?” หนานกงเฉินเงยหน้าขึ้นมอง แล้วก้มลงไปทานข้าวต่อ
“เหมือนว่าเราจะยังไม่เคยจัดงานแต่งกันเลย”
“คุณอยากจัดงานแต่ง?” หนานกงเฉินเงยหน้าขึ้นมองเธออีกครั้ง มองเธอด้วยสีหน้าตกใจ ตามที่เขารู้เนื่อง เธอไม่ใช่คนที่ต้องการพิธีการอะไรแบบนี้ ทำไมอยู่ดีๆถึงคิดอยากจะจัดงานแต่งขึ้นมาล่ะ?
“อื้ม” ไป๋มู่ชิงพยักหน้า
ไม่รู้ว่างานแต่งจะทำให้ชีวิตการแต่งงานของเธอมั่นคงขึ้นไรอเปล่า? น่าจะได้แหละ นี่คือวิธีที่เธอคิดขึ้นได้จากเมื่อคืนที่นอนไม่หลับ
ตั้งแต่ที่เธอได้เจอกับจูจู เธอรู้สึกว่าตัวเองเหมือนจะเป็นโรคประสาทเข้าไปทุกที เธอไม่เคยรู้สึกกลัวที่จะเสียผู้ชายคนตรงหน้านี้ไปขนาดนี้เลย!
หนานกงเฉินนิ่งคิด พยักหน้ารับ“ถึงแม้ว่าตอนนี้พูดเรื่องนี้กับคุณย่าแล้ว ท่านยากที่จะตอบตกลง แต่ผมจะพยายามคุยกับคุณย่าดู”
“ไม่ ไม่ต้องหรอก”ไป๋มู่ชิงรีบพูดขึ้น“ฉันไม่ได้อยากให้มีแขกรับเชิญมากมาย แล้วก็ไม่ได้อยากได้ดอกไม้สวยงานหรือไวน์ชั้นเลิศ ฉันแค่อยากใส่ชุดเจ้าสาว เพียงสาบานกับศิษยาภิบาลในคริสตจักรกับคุณก็เพียงพอแล้ว”
“แบบนี้จะไม่เรียบง่ายไปหน่อยหรอ?”
ไป๋มู่ชิงส่ายหัวเบาๆ“ไม่หรอก คุณก็รู้ว่าฉันเป็นคนไม่ชอบประกาศให้คนรู้ไปทั่ว แล้วก็ไม่อยากให้คุณย่าต้องโกรธด้วย ฉันแค่อยากใช้โอกาสนี้ให้เราทั้งสองรู้ว่าเราได้เป็นสามีภรรยากันอย่างลึกซึ้งแล้ว ”
“เป็นความคิดที่ดีนะ” หนานกงเฉินพยักหน้าเห็นด้วย“แบบบนี้ต่อไปผมก็ไม่ต้องห่วงว่าคุณจะโดนหลินอันหนานหรือผู้ชายที่ไม่กลัวตายคนไหนแย่งไปอีก”
“ใช่ ฉันก็คิดแบบนี้ หลังจากนี้ฉันก็ไม่ต้องมาคอยห่วงว่าคุณจะโดนสาวคนไหนที่คิดไม่ซื่อกับคุณ มาแย่งคุณไปอีก” ไป๋มู่ชิงคิดไม่ถึงว่าเขาจะตอบตกลงเร็วแบบนี้ เธอดีใจมากจริงๆ
“ถ้าอย่างนั้น……วันนี้หลังเลิกงานผมพาคุณไปลองชุด? เลือกแหวน?”
“อื้ม”
“แล้วฤกษ์ยามล่ะ?”
“เสาร์นี้เป็นไง? วันที่ 19 ก้าวไปด้วยกัน”
“เวลาสามวัน เร่งเกินไปหรือเปล่า?” หนานกงเฉินนิ่งคิด“แต่ถ้าไม่จัดงานเลี้ยง เวลาสามวันก็เพียงพอแล้ว”
“อื้ม เรื่องลองชุดกับแหวนแต่งงานแต่วันเดียวก็เรียบร้อยแล้ว”
“โอเค ถ้าอย่างนั้นก็เสาร์นี้จัดงานแต่ง”
“ขอบคุณค่ะคุณสามี” ไป๋มู่ชิงยิ้มด้วยความดีใจ ก็มีแค่ตอนที่เธอมีความสุขนั่นแหละที่เธอจะเรียกอีกฝ่ายว่า สามี
ผู่เหลียนเหยาเคยบอกกับเธอว่า ถ้าหนานกงเฉินได้เอ็นดูผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นมาจะน่ากลัวมากๆ ตามคาด ช่วงนี้เขาไม่เหมือนกับตัวเขาเลย
หนานกงเฉินก้มตัวลงมาใกล้เธออย่างกระทันหัน มองเธอในระยะอันใกล้ชิด“แต่ผมมีข้อแม้นะครับ”
รอยยิ้มบนหน้าของไป๋มู่ชิงหายไปทันที ถามด้วยสีหน้าอันเครียดว่า“ข้อแม้อะไรหรอคะ?”

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset