เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 161 พิธีแต่งงาน ผิดนัด……

“ที่รัก เธออย่าตื่นเต้นไปเลย” หนานกงเฉินเห็นสีหน้าเธอเปลี่ยนไป ใช้นิ้วบีบแก้มเธอเบาๆ: “ผมแค่คิดว่าตอนที่เธอเรียกผมว่าสามีน่ารักดี เริ่มตั้งแต่ตอนนี้ต้องเรียกผมแบบนี้ทุกวันนะ”
แม้ว่าเขาจะเปลี่ยนผู้หญิงคนแล้วคนเล่า แต่ที่กล้าเรียกเขาว่าสามีเธอเป็นคนแรก และเขากลับรู้สึกว่ารื่นหูซะด้วย
“แค่นี้หรอ? ง่ายมาก!” ไป๋มู่ชิงกรอกตามองบน เธอคิดว่าเรื่องอะไรซะอีก? เธอตกใจมาก
เธอคิดมาตลอดว่าหนานกงเฉินน่าจะไม่ชอบที่ตนเรียกแบบนั้น ไม่คิดเลยว่าเขาจะเสนอตัวให้เธอเรียกเอง แม้ว่าเธอเองก็ไม่ชิน แต่ก็ยอมเรียกตามนั้น
ช่วงบ่าย หนานกงเฉินพาไป๋มู่ชิงไปยังร้านชุดเจ้าสาวแห่งหนึ่งในเมืองซี ชุดเจ้าสาวมีหลากหลายรูปแบบมาก พนักงานพาพวกเธอเดินชมรอบๆ อย่างมีมารยาท
แม้ว่ารูปแบบชุดในร้านจะมีหลากหลาย แต่ก็ไม่ค่อยถูกใจไป๋มู่ชิง
“ตกลงเธอชอบแบบไหนหรอ?” หนานกงเฉินเห็นเธอเลือกไปเกือบร้อยชุดแล้วยังไม่เจอแบบที่ชอบ จึงถามขึ้นอย่างสงสัย
“ฉันอยากได้แบบโรแมนติกสง่างาม รูปแบบไม่เวอร์เกินไป เหมือนชุดที่ฉันใส่คราวก่อน” ไป๋มู่ชิงพูดประโยคนี้โดยไม่ได้คิดอะไร
น้ำเสียงของหนานกงเฉินเปลี่ยนไปทันที: “ชุดไหน?”
“ชุดที่ตอนหลังถูกคุณเผาไป”
“เห็นไม่ชัด!” หนานกงเฉินแทบจะกัดฟันด้วยความโกรธ
คนที่ความรู้สึกช้าอย่างไป๋มู่ชิงเริ่มรู้ตัวว่าตัวเองเหยียบระเบิดเข้าอีกแล้ว ใจสั่นเล็กน้อย แต่ยิ้มหวานแล้วพูดว่า: แกล้งคุณเล่นหน่ะ จริงๆ แล้วฉันไม่ชอบชุดนั้นเลยสักนิด ขี้น้อยใจชะมัด”
หนานกงเฉินกรอกตาอย่างจนคำพูด: “ถ้ายั่วผมอีก ระวังผมจะยกเลิกงานแต่งนะ”
“คุณกล้าหรอ?”
“เธอคิดว่าผมกล้าไหมล่ะ”
“เอาเถอะ ขอโทษนะ” ไป๋มู่ชิงเอนตัวพิงเขาเล็กน้อย: “คุณอย่ายกเลิกงานแต่งเลยนะ ฉันร้องไห้ตายแน่ๆ”
“ขอร้องผมสิ” หนานกงเฉินใช้มือเชิดคางเธอขึ้นอย่างเคยชิน
ไป๋มู่ชิงรีบพนมมือขึ้นทันที: “ขอร้องคุณสามี อย่ายกเลิกงานแต่งเลยนะคะ!”
“อย่างนี้ค่อยใช้ได้หน่อย” หนานกงเฉินปล่อยคางเธอ แล้วพูดกับพนักงานว่า: “ยังมีแบบชุดอื่นอีกไหม? รบกวนยกออกมาให้เธอเลือกทั้งหมด”
พนักงานส่ายหน้าเล็กน้อยอย่างมีมารยาท: “ขออภัยด้วยค่ะ แบบทั้งหมดอยู่นี่หมดแล้ว”
หนานกงเฉินจึงต้องหันไปหาไป๋มู่ชิง: “งั้นพวกเราไปร้านอื่นไหม?”
เมื่อพนักงานได้ยินว่าพวกเขาจะไป รีบพูดขึ้นว่า: “คุณผู้หญิงคะ พอจะบอกแบบที่ชอบกับดิฉันได้ไหมคะ ดิฉันจะลองไปหาดูให้ว่ามีหรือไม่ค่ะ”
“จริงๆ แล้วฉันชอบแบบนี้ค่ะ” ไป๋มู่ชิงหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋า เปิดรูปแบบร่างชุดเจ้าสาวจากคลังภาพขึ้นมาภาพหนึ่ง ยื่นให้หนานกงเฉินดู ยิ้มหวานพลางพูดว่า: “สวยไหม? นี้ฉันใช้เวลาทั้งวันในการวาดออกมาเลยนะ”
หนานกงเฉินพิจารณาแบบร่างในมือถือ โรแมนติกสง่างามเหมือนที่เธอบอกไว้ รูปแบบง่ายแต่งานละเอียด ก็เหมาะกับเธอดีนะ
เขาไม่ได้ชมการออกแบบของเธอ กลับใช้มือผลักหัวของเธอเบาๆ : “ไม่เลวเลยนี่ รับเงินเดือนจากผมแต่แอบทำงานส่วนตัวในเวลางาน”
“ครั้งแรก โปรดยกโทษ” ไป๋มู่ชิงพนมมือกล่าวขอโทษเขาเหมือนเมื่อครู่ แล้วหันมือถือให้พนักงานดู
พนักงานดูแบบร่างของเธอ ส่ายหน้าเบาๆ อย่างผิดหวังเล็กน้อย: “ในร้านของเราไม่มีแบบนี้จริงๆ ”
พูดจบ ก็รีบพูดต่อว่า: “แต่ว่าถ้าพวกท่านไม่ได้รีบใช้ สามารถสั่งตัดได้นะคะ”
“รีบสิ ต้องใช้วันเสาร์นี้”
“วันเสาร์? เหลือเวลาไม่ถึงสามวันไม่ทันจริงๆค่ะ ต้องขออภัยด้วยนะคะ”
ก็รู้อยู่แล้วว่าไม่ทันหรอก ไป๋มู่ชิงจึงไม่ได้หยิบแบบร่างออกมาตั้งแต่แรก เธอผิดหวังเล็กน้อยรับคำเบาๆ เก็บมือถือเข้ากระเป๋าไป
ทั้งสองกลับมาที่รถพร้อมกัน ไป๋มู่ชิงคิดสักครู่แล้วพูดว่า: “ไม่ต้องไปร้านอื่นแล้วดีกว่า เลือกจากร้านนี้ใส่ๆ ไปแล้วกัน”
“งานแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่อันดับต้นๆ ของชีวิตคนคนนึงเลยนะ จะทำลวกๆ ได้ยังไง?” หนานกงเฉินยื่นมือไปหาเธอ: “เอามือถือมาให้ผม”
“คุณจะทำอะไร?” ไป๋มู่ชิงถามพลางยื่นมือถือให้เขา
หนานกงเฉินไม่ได้ตอบเธอ หยิบมือถือเธอแล้วกดเลื่อนไปมา จากนั้นส่งมือถือคืนให้เธอแล้วพูดว่า: “ไปเถอะ ไปกินข้าวกัน เธออยากกินอะไร?”
“จะไปร้านต่อไปไม่ใช่หรอ?”
“ไม่ไปแล้ว”
“ทำไมไม่ไปล่ะ? คุณชายใหญ่ คุณไม่มีความอดทนขนาดนี้เลยหรอ หาไปแค่ร้านเดียวก็ไม่หาต่อแล้วหรอ?”
“วางใจเถอะ ผมเลือกให้เธอแล้ว จะส่งไปตรงหน้าเธอตรงเวลาในวันเสาร์แน่นอน”
“เป็นเรื่องจริงหรอ?”
“เอาอีกแล้วนะ”
ไป๋มู่ชิงรีบหุบปาก นึกขึ้นได้ว่าหนานกงเฉินไม่ชอบที่เธอชอบตั้งคำถามเขาว่าเป็นเรื่องจริงไหมด้วยทัศนคติที่เต็มไปด้วยความสงสัยกับเขา
หลังจากที่ทั้งสองทานมื้อค่ำด้วยกันแล้ว ก็ตรงไปยังห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่เพื่อเลือกแหวน เมื่อเข้าไปในร้าน หนานกงเฉินหันไปถามเธอ: “ได้วาดแบบร่างของแหวนไว้ด้วยไหม? ถ้ามีรีบเอาออกมา”
“คุณคิดว่าฉันมีทักษะรอบด้าน ทำได้ทุกอย่างหรือยังไง?” วิชาที่เธอเรียนสมัยก่อนส่วนใหญ่เป็นการออกแบบบ้านและเสื้อผ้า ไม่เคยเรียนเกี่ยวกับเครื่องประดับ
“อย่างนั้นก็ง่ายเลย”
“หมายความว่ายังไง?”
“คนขายของกลัวเจอคนที่รู้สาขานั้นๆ ดี เธอไม่เคยได้ยินหรอ?” หนานกงเฉยยิ้มตาหยี
เป็นดังคาด การเลือกแหวนคู่ง่ายกว่าเลือกชุดแต่งงานเยอะมาก ใช้เวลาแค่ไม่นาน ยังไงไป๋มู่ชิงก็ไม่มีความรู้ คิดว่าแค่แบบของแหวนดูเก๋ก็ตกลงทันที
คราวที่แล้วตอนเลือกแหวนกับหลินอันหนาน เธอยังกังวลกับแหวนทองฝังหยกที่สวมบนนิ้วนาง กลัวกระทบต่ออารมณ์ของเขา แต่คราวนี้มากับหนานกงเฉิน เธอไม่ต้องกังวลเรื่องนี้อีกเลย และยังสามารถโบกไปมาต่อหน้าเขาอย่างได้ใจ: “ดูสิ แหวนประจำตระกูลหนานกงของพวกคุณ”
หนานกงเฉินคว้ามือเธอไว้ พิจารณาแหวนที่ยังสีสดงดงามเช่นเดิม นี่เป็นแหวนที่บ่งบอกฐานะนายหญิงน้อยของตระกูลหนานกง
“ฉันคิดว่าฉันน่าจะเป็นคู่ครองที่ฟ้าลิขิตที่ตระกูลหนานกงของพวกคุณตามหามาโดยตลอดนะ คุณดูสิ” ไป๋มู่ชิงชี้ไปยังแหวนทองฝังหยก: “ไม่อย่างนั้นทำไมมันจึงเลือกชั้น”
“ที่พูดมาก็มีเหตุผลนะ” หนานกงเฉินพยักหน้า: “ดังนั้นผมจึงผ่านพ้นวันเกิดอายุ 30 ของตัวเองอย่างแข็งแรง
เขาดึงมือของไป๋มู่ชิงไปใกล้ปากแล้วจูบเบาๆ
“จริงด้วย ทำไมฉันไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย?” ไป๋มู่ชิงยื่นมือไปบีบแก้มของเขาไว้: “ที่แท้ที่คุณมีชีวิตอยู่ได้เป็นผลงานของฉันเองหรอ”
“อืม เพื่อคำนึงถึงชีวิตของคุณ ต่อไปฉันจะไม่ไปจากคุณอีก” ไป๋มู่ชิงพยักหน้าพูดอย่างตั้งใจ
หนานกงเฉินโอบเธอไว้ในอ้อมกอด ยิ้มพลางเดินออกจากร้าน: “พอเถอะ อย่าเอาความดีเข้าตัวอีกเลย”
“เกลียดอ่ะ คุณยอมรับสักหน่อยจะเป็นอะไรไป?”
“ผมยอมรับสิ”
“ต่อจากนี้ไป คุณจะไปตามหาคู่ครองที่ฟ้าลิขิตอีกไหม?”
“ไม่หาแล้ว” หนานกงเฉินโน้มตัวลงจูบปากเธอ: “ชีวิตนี้จะมีเพียงเธอ”
ไป๋มู่ชิงยิ้มอย่างพอใจ รู้สึกว่าตัวเองเป็นคู่ครองที่ฟ้าลิขิตของหนานกงเฉินจริงๆ ”
เธอกอดแขนของหนานกงเฉินแน่น เดินไปยังลานจอดรถพร้อมเขา
ทั้งสองจมอยู่กับความสุข ไม่ได้รู้สึกเลยว่าห่างออกไปไม่ไกลมีเงาของคนคนนึงค่อยๆ เคลื่อนตัวออกมา
ซูซี่และเหยาเหม่ยได้ยินว่าไป๋มู่ชิงจะจัดงานแต่งงาน โพล่งออกมาว่า: “เธอจะจัดงานแต่งอีกแล้วหรอ?”
“อะไรคืออีกแล้ว?” ไป๋มู่ชิงพูดไม่ออก
“ไม่ใช่หรอ นี่ก็ครั้งที่ 3 แล้วนะ” เหยาเหม่ยกรอกตาไปมา: “เธอว่าฉันต้องใส่ซองหรือไม่ใส่ดี?”
“ไม่ต้องใส่หรอก” ไป๋มู่ชิงยิ้มกว้างแล้วพูดว่า: “ครั้งนี้ฉันไม่เชิญใครเลย นอกจากเพื่อนรักอย่างพวกเธอสองคนแล้วก็มีแค่บาทหลวง”
ซูซี่ได้ยินดังนั้นก็โกรธทันที: “นี่ไม่รังแกเธอไปหน่อยหรอ? หนานกงเฉินหมายความว่ายังไง? ไม่อยากจัดก็ไม่ต้องจัดสิ จัดทั้งทีมาทำแบบนี้……!”
“ฉันเป็นคนขอเอง” ไป๋มู่ชิงดึงเธอกลับมานั่งบนเก้าอี้ แล้วพูดว่า: “เธออย่าเพิ่งใจร้อนสิ ฟังฉันก่อน”
หลังจากดึงซูซี่กลับมานั่งที่เดิมแล้ว เธอจึงพูดต่อ: “พวกเธอเป็นคนสอนให้ฉันใช้อุบายบ้างไม่ใช่หรอ ตอนนี้ฉันก็ใช้อุบายอยู่ไง……”
“อุบายนี้จะได้ผลได้ไง” ซูซี่ตัดบท: “เธอจะจัดก็จัดให้ดีไปเลย จัดให้คนทั้งโลกรู้ ให้นางคนหน้าไม่อายเห็นความรักระหว่างเธอกับหนานกงเฉิน ให้เธอถอย!”
“ฉันเข้าใจความหมายของเธอ แต่ฉันไม่อยากทำให้คุณผู้หญิงโกรธเพราะเรื่องนี้ เธอแค้นฉันเข้ากระดูกแล้ว ไม่มีทางยอมให้พวกเราจัดงานแต่งงานแน่นอน ถ้าฉันดึงดันจะจัดจริงๆ มีแต่จะทำให้เฉินกับคุณผู้หญิงทะเลาะเปล่าๆ ฉันไม่อยากเป็นภาระของเฉิน”
“นิสัยห่วงหน้าพะวงหลังของเธอเนี่ย เป็นผู้แพ้ตลอดกาลแน่นอน” ซูซี่ส่ายหน้า ไม่พูดอะไรอีก
เหยาเหม่ยพูดสนับสนุน: “จริงด้วย ฉันเห็นด้วยกับการจัดงานให้ใหญ่ไปเลย”
“พวกเธอสองคนฟังฉันนะ” ไป๋มู่ชิงเพิ่มระดับเสียง: “ฉันมาเพื่อแจ้งข่าวพวกเธอ ไม่ได้มาขอความคิดเห็น ยังไงซะพรุ่งนี้ 9 โมงมาให้ตรงเวลาก็พอนะ”
ซูซี่สบตากับเหยาเหม่ย เบะปากแต่ไม่พูดอะไรอีก
เช้าวันเสาร์ ไป๋มู่ชิงได้รับชุดเจ้าสาวจากบริษัทรับตัดชุดเจ้าสาวแห่งหนึ่ง เธอวิ่งลงมาจากชั้นบน รับชุดเจ้าสาวมาจากพนักงานแล้วลองเทียบดู พบว่าชุดนี้ตัดตามแบบร่างที่เธอออกแบบเองอย่างเซอร์ไพร์
หนานกงเฉินทำยังไงให้ทำชุดเจ้าสาวเสร็จภายใน 3 วัน มันช่างวิเศษจริงๆ เลย!
ที่แท้วันนั้นหลังออกจากร้านชุดเจ้าสาว หนานกงเฉินขอมือถือเธอไปเพื่อเอาแบบร่างจากมือถือเธอ นี่เป็นการเซอร์ไพร์ที่เขาตั้งใจจะมอบให้เธอหรอ?
ถ้าใช่ เซอร์ไพร์นี้เธอชอบมากๆ!
“คุณหนูไป๋ พวกเราไปลองสวมที่ชั้นบนดูดีไหม” พนักงานอมยิ้ม
“ได้สิ” ไป๋มู่ชิงพยักหน้า พาพวกเธอขึ้นไปชั้นบน
เมื่อเธอลองสวมชุดเจ้าสาวพอดีตัว เป็นแบบที่ไม่มีสุ่ม ไม่มีหางปลา เป็นชุดกระโปรงที่ปล่อยพริ้วขาว ประดับด้วยดอกกุหลาบสีแชมเปญรอบเอว เพิ่มความสวยงามให้กับชุด
พนักงานนำมงกุฏดอกไม้ที่มีลายเข้ากับชุดสวมลงบนหัวของไป๋มู่ชิง ยิ้มอย่างพอใจแล้วพูดว่า: “เรียบร้อยค่ะ คุณหนูไป๋”
ไป๋มู่ชิงขยับยืนถอยหลังเล็กน้อย พิจารณาตัวเองในกระจกที่สวยดั่งนางฟ้า พยักหน้าอย่างพอใจ พูดพึมพำออกมาแบบไม่ได้ตั้งใจ: “ที่แท้ฉันก็สวยเหมือนกันนะ”
“คุณหนูไป๋สวยมากอยู่แล้วนะคะ ใครบอกว่าไม่สวยกัน” พนักงานพูดพลางยิ้มเบาๆ
หนานกงเฉินไม่เคยชมว่าเธอสวยเลย ไป๋มู่ชิงพูดในใจ
หลังจากที่พนักงานจากไป ไป๋มู่ชิงโทรหาหนานกงเฉิน หนานกงเฉินในปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงอมยิ้ม: “รับได้ชุดเจ้าสาวหรือยัง?”
“ได้รับแล้ว ขอบคุณค่ะที่รัก”
“เธอลืมเรียกสามีนะ”
“ขอบคุณค่ะสามีที่รัก”
“อืม สวยไหม?”
“สวย เหมือนที่ฉันคิดไว้เป๊ะๆ ”
“งั้นก็ดี”
จริงสิสามี พี่เหอเรียกให้คุณกลับไปทำไมหรอ? คุณกลับมาทัน 9 โมงไหม?”
“ไม่มีอะไร แค่คุณย่าเป็นหวัดนิดหน่อย”
“คุณย่าเป็นหวัดหรอ? ท่านโอเคใช่ไหม?”
“โอเคดี เธอให้เสี่ยวหลินไปส่งที่โบสถ์ก่อนเลยนะ อีกสักครู่ผมจะรีบตรงไปที่โบสถ์เลย”
“ได้ งั้นคุณขับรถปลอดภัยนะ”
“รับทราบ แต่งตัวสวยๆ หน่อยนะ” หนานกงเฉินเย้าแล้ววางสายไป
หลังวางสาย ไป๋มู่ชิงดูเวลา ถ้าไปโบสถ์ตอนนี้น่าจะเร็วไป แต่เธอเริ่มอยากไปจะแย่แล้ว จึงให้เสี่ยวหลินไปส่งเธอก่อนเวลา
โบสถ์แห่งนี้เป็นโบสถ์เพียงแห่งเดียวในเมืองซี งดงามตระการตา น่าเกรงขาม
ตอนที่ไป๋มู่ชิงเดินเข้าไป ตกอยู่ในมนต์สะกดของกลิ่นอายความน่าเกรงขามนี้ทันที ในใจรู้สึกตื้นตันขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
กลับเป็นซูซี่และเหยาเหม่ยไม่สำรวมเลยสักนิด เดินเข้ามาจากข้างนอกพร้อมเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนาน แซวพลางเดินเข้ามาด้านใน: “อุ้ย มาไวจัง กลัวว่าจะไม่ได้แต่งหรอ?”
ไป๋มู่ชิงหันไปหาเพื่อนรักทั้งสอง เก็บความรู้สึกตื้นตันใจแล้วโต้กลับ: “พูดอะไรหน่ะ ฉันแต่งงานแล้วนะ?”
“ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าตัวเองไม่ใช่เจ้าสาวป้ายแดง ทำไมยังตื้นตันขนาดนี้อีกล่ะ? ดูสิ ตื้นตันจนตาแดงแล้ว” เหยาเหม่ยยื่นมือออกไปบีบแก้มของเธอ
“พอๆ ห้ามบีบแก้มนะ ฉันลงเครื่องสำอางไว้แล้ว”
“ชิ หนานกงเฉินจูบยังได้เลย พวกเราแตะแค่นิดเดียวก็ไม่ได้”
“นี่เขาเรียกว่ารักแฟนมากกว่าเพื่อน” ซูซี่พูดเสริม
ไป๋มู่ชิงไม่สนใจที่เพื่อนๆ แขวะ ยิ้มแล้วหมุนตัวตรงหน้าทั้งสองคน พูดพลางยิ้มกว้าง: “พูดความจริงนะ ฉันสวยไหม?” พูดจบ เพิ่มความจริงจังในน้ำเสียง: “ฉันต้องการฟังความจริง”
ซูซี่สบตาเหยาเหม่ย ตอบพร้อมกันด้วยรอยยิ้มว่า: “สวยสุดๆ ไปเลย!”
“จริงหรอ?”
“จริงสิ!”
“สมกับเป็นเพื่อนสนิท รักพวกเธอนะ” ไป๋มู่ชิงกอดทั้งสองด้วยมือข้างละคน
อีกครึ่งชั่วโมงก็จะ 9 โมงแล้ว ทั้งสามคนนั่งหยอกล้อกันบนเก้าอี้
ผ่านไป 20 นาที บาทหลวงก็มาถึง
ซูซี่ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา: “นี่ ท่านนั้นของเธอหน่ะ มีความตั้งใจจริงไหม ให้ทุกคนรอเขาคนเดียว”
ไป๋มู่ชิงแก้ตัวแทนหนานกงเฉิน: “บ้านตระกูลหนานกงอยู่ไกลจากที่นี่ มาช้าหน่อยก็เป็นเรื่องธรรมดานะ”
แม้ปากจะพูดแบบนี้ จริงๆ แล้วในใจก็ผิดหวังอยู่ไม่น้อย อีกสิบนาทีก็จะถึงเวลาเข้าพิธีแล้ว หนานกงเฉินกลับยังมาไม่ถึงงาน หรือเขาต้องการทำเหมือนในภาพยนตร์ ผลักประตูเข้างานในวินาทีสุดท้าย เซอร์ไพร์เธอหรอ?
คิดถึงตรงนี้ เธอสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย เริ่มมีความหวังขึ้นมาเล็กน้อย
แต่รอครบ 10 นาทีก็แล้ว เสียงนาฬิกาบอกเวลา 9 โมงดังขึ้น ประตูไม่ได้เปิดออกเหมือนที่จินตนาการไว้ เงาของหนานกงเฉินก็ไม่ได้ปรากฏเหมือนในภาพยนตร์
แม้แต่บาทหลวงบนเวทีก็อดถามขึ้นไม่ได้: “ทำไมคุณชายเฉินยังไม่มาอีก? เลยฤกษ์ไปแล้วนะ”
“นั่นสิ นี่มันยังไงกกัน ฉันบอกแล้วว่าเขาไม่เห็นความสำคัญ” เหยาเหม่ยกล่าว
“มู่ชิง รีบโทรไปหาเขาสิ” ซูซี่พูดรบเร้า
ตอนแรกไป๋มู่ชิงไม่รู้จะทำอย่างไรดี พอถูกซูซี่รบเร้าจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาหนานกงเฉิน เธอโทรติดไวมาก เพียงแต่ไม่มีคนรับสาย
เธอโทรซ้ำๆ ต่อเนื่องอีกหลายรอบแต่ก็ไม่มีคนรับสาย จะตัดสายไปอย่างเสียไม่ได้
“ทำไม? ไม่รับสาย?”
“ใช่”
“หนีงานแต่ง?” เหยาเหม่ยเดาด้วยความกล้า
“เป็นไปไม่ได้” ไป๋มู่ชิงส่ายหน้า
หนานกงเฉินต้องหนีงานแต่งด้วยหรอ? ไม่จำเป็นเลยนี่ อีกอย่างตอนโทรหาเขาเมื่อเช้า เขาก็ปกติดี
ในใจของไป๋มู่ชิงสับสนมากขึ้นเรื่อยๆ คงไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่ไหมเธอคิดในใจ หรือว่าคุณผู้หญิงขังเขาไว้? ขอให้เป็นอย่างหลัง!
เธอสูดหายใจเข้าเบาๆ มองเพื่อนทั้งสองแล้วถามว่า: “พวกเธอคิดว่าจะเป็นเรื่องอะไร?”
เห็นสีหน้ากังวลใจของเธอ ซูซี่และเหยาเหม่ยไม่กล้ากระตุ้นเธออีก เหยาเหม่ยตอบว่า: “น่าจะรถติดแน่ๆ ช่วงนี้เป็นเวลาเข้างานรถติดเป็นเรื่องปกติ”
“อืม เธอบอกว่าเขากลับคฤหาสน์หลังเก่าไม่ใช่หรอ? มีโอกาสที่จะถูกกักบริเวณที่คฤหาสน์หลังเก่านะ” ซูซี่กล่าว
“หรือไม่……” ไป๋มู่ชิงคิดสักครู่หนึ่ง: “เธอโทรไปถามที่คฤหาสน์หลังเก่าเหมือนคราวที่แล้วให้หน่อยสิ?”
“ไม่มีปัญหา” ซูซี่ตอบพลางหยิบมือถือออกมา: “เบอร์อะไรหรอ?”
ไป๋มู่ชิงบอกเบอร์ของคฤหาสน์หลังเก่า หลังจากที่ซูซี่โทรไป ได้คำตอบว่าออกจากบ้านไปเมื่อครู่แล้ว
“เป็นไปได้สูงว่ารถติด” ซูซี่กล่าว: “ดูสีหน้าเธอซีดไปหมด อย่าหลอกตัวเองให้กลัวไปเลย?”
“ฉันเป็นห่วงว่าเขาจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น……”
“ถุย ถ้าเขาเกิดอะไรขึ้นจริง ตำรวจจราจรต้องโทรมาแจ้งเธอเป็นคนแรกตั้งนานแล้ว ต้องรอจนถึงตอนนี้?” เหยาเหม่ยพูดขึ้น
“แต่ว่าทำไมเขาไม่รับสายเลย?”
“หรือว่า……ลืมโทรศัพท์ไว้ที่บ้าน?” ซูซี่เปลี่ยนคำตอบ: “เอาเป็นว่าเธอสบายใจได้ ไม่มีเรื่องอะไรแน่นอน”
ไป๋มู่ชิงไม่พูดอะไรอีก แต่ความกังวลในใจยังคงไม่ดีขึ้นจากคำปลอบของเพื่อนๆ เลยแม้แต่น้อย หนานกงเฉินเป็นคนรักษาเวลาโดยตลอด แต่กลับมาสายในวันสำคัญขนาดนี้ นี่ไม่เข้ากับนิสัยของเขาเลย
หลังจากรอไปอีก 20 นาที ยังคงไม่มีเงาของหนานกงเฉิน บาทหลวงเดินลงจากเวที พูดกับไป๋มู่ชิงด้วยสีหน้ารู้สึกผิด: คุณหนูไป๋ ต้องขออภัยด้วย ผมมีงานแต่งงานอีกที่หนึ่งตอน 10 โมง หากไม่รีบไปตอนนี้จะสายเอา”
ไป๋มู่ชิงเห็นบาทหลวงจะไป รีบกล่าว: “คุณอยากเพิ่งไปสิ คุณชายเฉินใกล้จะมาถึงแล้ว”
“ต้องขออภัยจริงๆ ผมไม่สามารถผิดนัดงานคนอื่นเพื่อคุณได้”
“แต่ว่า……”
“ขออภัยด้วยครับ” บาทหลวงตัดบท แล้วหมุนตัวกำลังจะจากไป
ซูซี่เห็นว่าเขาจะไปจริงๆ โกรธจนตบโต๊ะ: “คุณลุง! ทำไมคุณทำแบบนี้ล่ะ? เจ้าบ่าวของงานยังมาไม่ถึงเลย คุณก็จะไปแล้ว? ถ้าหากว่าอีกเดี๋ยวเจ้าบ่าวมาถึงงานล่ะ?”
“คุณหนู ผมทำตามกฏทุกอย่างนะครับ ตอนนี้ก็เลยเวลาไป 40 นาทีแล้วเจ้าบ่าวยังไม่มาเลย ต่อให้มาตอนนี้ ผมก็ไม่ทันแล้ว”
“คุณชายเฉินจองให้คุณเป็นประธานจัดงานแต่งงาน 1 ครั้ง ไม่ได้ให้จับเวลา”
“งั้นตอนนี้ผมไม่รับงานแล้ว ได้หรือยัง?” บาทหลวงเริ่มโกรธ
“คุณกล้าหรอ คุณรู้ไหมว่าคุณชายเฉินเป็นใคร? คุณกล้าทิ้งงานของเขา ถ้าฉันบอกคุณคงตกใจจนฉี่ราดแน่ๆ ”
“ไม่มีใครทำให้ตาแก่อย่างผมตกใจจนฉี่ราดได้หรอกครับ ขอตัวล่ะ” คุณลุงหมุนตัวจากไปทันที
ซูซี่โกรธจนกระทืบเท้า กำลังจะตามเขาไป ไป๋มู่ชิงยื่นมือไปดึงเธอไว้: “ช่างเถอะ เสี่ยวซี่ ฉันคิดว่าฉันไปหาเขาตามทางที่เขามาดีกว่า”
“เธอว่าอะไรนะ?” ซูซี่หันตัวกลับ ประเมินเธอด้วยความประหลาดใจ: “เธอจะไปตามหาเขา?”
“ใช่ ฉันจะไปดูว่าตกลงเขารถติดอยู่บนถนนเส้นไหน หรือว่า……เกิดอะไรขึ้น” ไป๋มู่ชิงพูดจบ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นพอดี
เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ ซูซี่และไป๋มู่ชิงตื่นเต้นไม่ต่างกัน: “มีสายเข้า รีบดูว่าหนานกงเฉินเป็นคนโทรมาหรือเปล่า”
ไป๋มู่ชิงรีบหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋า เมื่อเห็นเบอร์ที่ขึ้นหน้าจอเป็นเบอร์ของเลขาเหยียน หัวใจของไป๋มู่ชิงแทบหยุดเต้น ทำไมเลขาเหยียนโทรมาไม่ใช่หนานกงเฉินล่ะ?
เธอไม่มีอารมณ์จะวิเคราะห์อะไรอีก รีบรับสาย ทักทาย’ฮัลโหล’ด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย
เลขาเหยียนในปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า: “นายหญิงน้อย รู้สึกขออภัยที่ต้องแจ้งให้ท่านทราบว่า ที่บริษัทเกิดเรื่องด่วนขึ้นหลายเรื่อง คาดว่าคุณชายเฉินจะไปที่โบสถ์ไม่ทันค่ะ”
หัวใจของไป๋มู่ชิงหล่นลงมาครึ่งหนึ่ง แค่เรื่องของบริษัทหรอ? ยังดีที่ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นกับตัวของหนานกงเฉินเอง
เธอคลายความตื่นเต้นลงเล็กน้อย จึงถามขึ้นว่า: “เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่บริษัทหรอ? ร้ายแรงมากไหม?”
“นายหญิงน้อยสบายใจได้ค่ะ คุณชายเฉินจัดการเองได้”
“อ้อ แล้วตอนนี้เขา……”
“เขากำลังเรียกประชุมด่วนในห้องประชุมค่ะ ไม่สามารถโทรหาคุณได้เร็วๆ นี้”
“ได้ค่ะ ฉันทราบแล้ว”
“คุณชายเฉินฝากมาแจ้งว่า ให้คุณกลับไปรอเขาที่บ้าน”
“อืม” ไป๋มู่ชิงพยักหน้า วางสายด้วยความรู้สึกหดหู่ใจ
หลังจากเธอวางสาย เหยาเหม่ยรีบถามขึ้นทันที: “เกิดเรื่องที่บริษัท? จึงมาไม่ได้?”
ไป๋มู่ชิงพยักหน้า สบายใจขึ้นเบาะหนึ่งหลังทราบว่าหนานกงเฉินไม่ได้เป็นอะไร หลังจากความสบายใจก็เป็นความรู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรง วันนี้เป็นวันแต่งงานของเธอและหนานกงเฉิน กลับมีเรื่องฉุกเฉินเกิดขึ้นที่บริษัท ช่างโชคร้ายจริงๆ !
“เห็นไหม ฉันบอกแล้วว่าเขาไม่เห็นความสำคัญของเธอ เรื่องงานสำคัญกว่างานแต่งงานของพวกเธออีก!” เหยาเหม่ยเริ่มบ่นอีกครั้ง: “สมัยนี้นะคนรวยล้วนเอาแต่ใจทั้งนั้น เห็นงานแต่งงานเป็นเรื่องเล่นๆ ไป!”
ซูซี่ใช้นิ้วจิ้มที่เอวของเหยาเหม่ย เป็นการบอกให้เธอหยุดพูด แล้วจ้องไป๋มู่ชิงพลางพูดปลอบ: ช่างเถอะ ยังดีที่ไม่มีญาติและเพื่อนๆ มาร่วมงานด้วย ไม่อย่างนั้นคงเสียมารยาทแย่เลย พวกเราไปกันเถอะ”
“เอ่อ……” เหยาเหม่ยเห็นสีหน้ากังวลของไป๋มู่ชิง จึงรีบกลับคำ: “นั่นสิ คนไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว งานแต่งงานจัดพรุ่งนี้ก็ได้”
ไป๋มู่ชิงถูกเพื่อนรักทั้งสองดึงตัวออกจากโบสถ์ ยืนอยู่ใต้แสงแดดที่แยงตา จริงๆ แล้วอบอุ่นมากแต่เธอกลับรู้สึกหนาวเข้ากระดูก ไม่คิดเลยว่าผลลัพธ์จะเป็นแบบนี้ เธอมาด้วยความรู้สึกที่เปี่ยมไปด้วยความยินดี แต่ต้องกลับไปด้วยความรู้สึกที่สุดจะผิดหวัง
หลังจากที่ซูซี่มาส่งไป๋มู่ชิงหน้าคฤหาสน์หลังเล็กแล้ว พิจารณาไป๋มู่ชิง: “มู่ชิง ให้พวกเราเข้าไปกับเธอ?”
ไป๋มู่ชิงส่ายหน้า: “ไม่ต้องหรอก พวกเธอไปจัดการธุระของตัวเองเถอะ”
ระหว่างทาง เธอคิดได้เยอะขึ้น ก็เหมือนอย่างที่ซูซี่บอกงานแต่งไม่มีแขกที่มาร่วมงาน จึงไม่ได้เสียมารยาท หนานกงเฉินเลือกบริษัทเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว อีกอย่างบริษัทก็สำคัญมากเหมือนกัน สำคัญมากกว่างานแต่งงานแบบเด็กๆ ครั้งนี้
หลังจากที่คิดได้แล้ว เธอก็เสียใจน้อยลง
“เธอไม่เป็นไรใช่ไหม?” เหยาเหม่ยพิจารณาดูเธออย่างไม่สบายใจนิดๆ
ไป๋มู่ชิงส่ายหน้าและยิ้มบางๆ : “ไม่เป็นไร ฉันกับคุณชายเฉินเป็นสามีภรรยากันแต่แรกอยู่แล้ว พิธีการแบบนี้มีหรือไม่มีก็ได้”
“เธอคิดได้แบบนี้ก็ดี”
“อืม พวกเธอกลับไปเถอะ”
“ไม่อยากให้พวกเราอยู่เป็นเพื่อนจริงๆ ใช่ไหม?”
“ไม่ต้องหรอก ไปเถอะ” ไป๋มู่ชิงพลักประตูรถออกแล้วลงจากรถไป มือข้างหนึ่งดึงหางกระโปรงยาวไว้ อีกข้างร่ำลาเพื่อนๆ
มองรถของซูซี่ที่ขับออกไป เธอเดินเข้าบ้านโดยมีสายตาแปลกๆ ของ รปภ. ที่มองตาม เดินเข้าไปยังห้องหลักด้านใน
เสี่ยวหยวนเห็นเธอกลับมา ประเมินเธอแล้วถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ: “นายหญิงน้อย คุณไปเข้าพิธีแต่งงานไม่ใช่หรอคะ? ทำไมกลับมาคนเดียวคะ?”
ไป๋มู่ชิงยิ้มให้เล็กน้อย: “จบงานเรียบร้อยแล้ว คุณชายใหญ่ไปธุระเรื่องงานต่อแล้ว”
“แต่งงานยังไม่ลืมเรื่องงานอีกหรอ? คุณชายใหญ่ช่างสู้งานจริงๆ ” เสี่ยวหยวนพูดพึมพำอย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ
“นั่นสิ คุณชายใหญ่เป็นคนบ้างานแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะ” ไป๋มู่ชิงยิ้มให้เธอ ไม่ได้อยู่ต่อ เดินไปยังชั้นบน
หลังไป๋มู่ชิงกลับมาถึงห้องนอน ก็ทิ้งตัวลงบนโซฟาไม่ขยับไปไหน เธอไม่ได้ถอดชุดเจ้าสาวที่สวมอยู่ออก ยังคงคาดหวังอยู่ในใจ เธอคาดหวังว่าหนานกงเฉินจะรีบเคลียร์งานทั้งหมดที่บริษัทแล้วกลับมาหาเธอ แม้ว่ากลับมาดูแค่ชุดเจ้าสาวที่เธอสวมอยู่ก็ยังดี
เสี่ยวหยวนเดินเข้ามาเห็นสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนักของเธอ จึงถามว่าต้องการดื่มน้ำไหม เธอส่ายหน้า เสี่ยวหยวนได้แต่เดินออกไปอย่างกังวล
ไม่รู้ว่านั่งอยู่บนโซฟานานแค่ไหน ในที่สุดก็ได้ยินเสียงรถอันคุ้นเคยดังมาจากชั้นล่าง
ไป๋มู่ชิงเด้งตัวยื่นขึ้นจากโซฟาอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกมีความสุขแวบขึ้นมาในใจ เธอที่กำลังจะลงไปชั้นล่างหยุดฝีเท้าลง หมุนตัวกลับไปหน้ากระจก จัดมงกุฏดอกไม้บนหัว และชุดเจ้าสาวที่เธอสวมอยู่ จนพอใจแล้วจึงหมุนตัวเดินไปยังประตูห้องนอน
เธอเดินลงบันไดตามขั้นบันได เธอผู้ซึ่งไม่อาจสะกดกลั้นความดีใจภายในใจจะต้องกระโดดขึ้นตัวเขาแล้วกอดเขาแน่นๆ หลังเจอหนานกงเฉิน
แต่ทว่า นี่เป็นแค่ฉากหนึ่งที่แวบเข้ามาในสมองของเธอแค่นั้น ความเป็นจริงมักจะโหดร้ายกว่าที่วาดฝันไว้เยอะ
เมื่อเธอเห็นในอ้อมกอดของหนานกงเฉินอุ้มหญิงสาวที่ตัวเปียกปอน ผมยาวดำแล้วเข้ามาอย่างรวดเร็ว ในใจรู้สึกเย็บเฉียบขึ้นมาทันที แม้หน้าของผู้หญิงคนนั้นจะซุกอยู่ในอ้อมกอด แต่ดูจากรูปร่างและผมนุ่มสลวยของเธอแล้ว ผู้หญิงคนนี้จะต้องเป็นคุณหนูจูคนนั้นที่อยู่ในใจของหนานกงเฉินมาโดยตลอด
เธอเหมือนถูกแช่แข็งอยู่บนบันได ไม่สามารถก้าวขาไปไหนได้
หนานกงเฉินอุ้มคุณหนูจูก้าวเข้าประตูบ้าน ขณะที่เดินผ่านไป๋มู่ชิงชะงักไปเล็กน้อย สายตามองเธอครึ่งวินาที แล้วเดินขึ้นชั้นบนไป
เวลาที่หนานกงเฉินหยุดอยู่ที่เธอ แค่ครึ่งวินาที!
ขาของไป๋มู่ชิงอ่อน เกือบจะล้มลง ใช้มือกำราวบันไดไว้แน่น
เสี่ยวหยวนพิจารณาเธอจากชั้นล่างอยู่ครู่หนึ่ง จึงถามขึ้นอย่างระวัง: “ผู้หญิงคนเมื่อกี้คือใครหรอคะ?”
ไป๋มู่ชิงได้สติกลับมาเล็กน้อย ส่ายหน้า: “ไม่รู้สิ”
เธอหมุนตัว เดินขึ้นชั้นบนไปอย่างยากลำบาก
หนานกงเฉินอุ้นคุณหนูจูเข้าห้องนอนของเขา เขาให้คนอื่นไปนอนห้องของเขา!
ไป๋มู่ชิงยืนอยู่นอกห้อง คอยฟังเหตุการณ์ด้านใน
หนานกงเฉินน่าจะอุ้มคุณหนูจูเข้าไปในห้องน้ำ เสียงน้ำไหลดังขึ้นจากด้านใน ตามมาด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความหมดหวังของคุณหนูจู: “ให้ฉันตายเถอะ ทำไมไม่ปล่อยให้ตายให้จบๆ ไป……!”
“จูจู คุณอย่าเพิ่งวู่วามขนาดนั้นสิ” ในห้องน้ำ หนานกงเฉินพลางพยุงร่างของจูจูที่ไม่หยุดดิ้น พลางพูดปลอบ: “คุณสบายใจเถอะ ผมจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเอง คุณอาบน้ำก่อนนะ เดี๋ยวไม่สบายเอา”
“เสียงร้องไห้ของจูจูไม่เกรี้ยวกราดอีก แต่เต็มไปด้วยความเศร้า สายตาทั้งคู่ที่เต็มไปด้วยน้ำตาจ้องหนานกงเฉิน: “ทำไมฉันถึงได้มีพ่อแม่แบบนี้? ฉันทำอะไรผิดหรอสวรรค์ถึงได้ลงโทษฉันแบบนี้? เพราะอะไรหรอ……เฉิน……”
“เราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรอ เรื่องนี้ผมจัดการเอง ผมรับรองว่านี่จะเป็นคร้้งสุดท้ายดีไหม?”
“จริงหรอ?”
“จริงสิ” หนานกงเฉินปัดผมที่หล่นข้างแก้มไปทัดหลังหูอย่างอ่อนโยน: “ผมให้เสี่ยวหยวนขึ้นมาเปลี่ยนชุดให้คุณนะ”
“ไม่เอา เฉิน คุณอย่าไปจากฉัน” จูจูเห็นเขาจะไป รีบกอดแขนเขาไว้ด้วยความกลัวทันที น้ำตาใหลดั่งสายฝน
เสื้อของเธอร่นขึ้นเล็กน้อย แนบอยู่ตรงหน้าอกอวบอิ่มแน่น หนานกงเฉินเบนสายตาออกอย่างรวดเร็ว แตะแขนเธอเบาๆ แล้วพูดว่า: “เป็นเด็กดีนะ คุณจะแช่น้ำแบบนี้ตลอดไม่ได้”
พูดจบ เขาแกะแขนสองข้างที่กอดตัวเองไว้แน่นออก แล้วเดินออกจากห้องน้ำไป เดินไปกดเบอร์ภายในตรงหัวเตียง ไม่นานเสี่ยวหยวนรีบขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
หนานกงเฉินให้เธอไปหาชุดจากห้องเสื้อผ้าชั้นสามมาให้จูจูชุดหนึ่ง เสี่ยวหยวนวิ่งเบาๆ ไปยังชั้นสาม หยิบชุดนอนชุดหนึ่งจากห้องเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าหลากหลายแบบ ขณะที่เดินผ่านหน้าห้องนอนของหนานกงเฉิน เธอมองไป๋มู่ชิงที่ยังคงยืนอยู่หน้าห้องด้วยความรู้สึกแปลกๆ แล้วเดินเข้าห้องไป
หนานกงเฉินให้เสี่ยวหยวนช่วยจูจูในห้องน้ำแล้วเดินออกมา
เขาเห็นไป๋มู่ชิงที่ยืนเหม่ออยู่หน้าห้องทันที ชะงักเล็กน้อยแล้วเดินเข้าไปหา ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ พิจารณาชุดเจ้าสาวบนตัวเธอแล้วพูดว่า: “ผมขอโทษ……” ด้วยความรู้สึกผิด
เมื่อเห็นไป๋มู่ชิงไม่พูดอะไร เขาจึงพูดต่อว่า: “งานแต่งงานพวกเราไปซ่อมพรุ่งนี้นะ อภัยให้ผมด้วย”
ไป๋มู่ชิงจ้องเขา ครู่ใหญ่จึงยิ้มออกมาอย่างขมขื่น แล้วพูดว่า: “รู้ไหมทำไมฉันถึงอยากจัดงานแต่งงานนี้?”
หนานกงเฉินไม่ตอบ กำลังรอให้เธอพูดต่อ น้ำตาของไป๋มู่ชิงไหลออกมา: “เพราะฉันรู้ว่าเธอจะปรากฏตัวในอีกไม่นาน เหมือนในตอนนี้ รุนแรงจนฉันไม่อาจต้านไหว”
“มู่ชิง เธออย่าทำแบบนี้สิ” หนานกงเฉินกล่าว: “จูจูถูกแม่ของเธอบีบจนกระโดดลงแม่น้ำ เกือบจมน้ำตาย”
“ถ้าเธอไม่กระโดดน้ำ คุณจะพาเธอเข้าบ้านหรอ? และยังพาเธอเข้าห้องของตัวเองด้วย!” ไป๋มู่ชิงพูดด้วยน้ำเสียงไม่ดีนัก
คิ้วของหนานกงเฉินขมวดเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าไม่ชอบที่เธอพูดแบบนี้
ในตอนนี้เอง เสียงร้องแหลมด้วยความตกใจดังมาจากห้องน้ำ เป็นเสียงของเสี่ยวหยวน
หนานกงเฉินพุ่งตัวเข้าไปแทบไม่ต้องคิด ถามด้วยความร้อนรน: “เป็นอะไร? เกิดอะไรขึ้น?”
“คุณดูแผ่นหลังของคุณหนูจูสิคะ……” เสี่ยวหยวนชี้ไปยังแผ่นหลังของคุณหนูจู หน้าซีดด้วยความตกใจ
จูจูที่ฟุบอยู่ในอ่างอาบน้ำ จริงๆ แล้วควรจะผิวขาวราวหิมะ แต่กลับมีรอยเขียวๆ ม่วงๆ สลับกับแผลเปิดหลายรอย ทนดูแทบไม่ได้
“อย่าแตะต้องฉัน……เจ็บ……” จูจูกำมือแน่นบริเวณขอบอ่าง หน้าเริ่มซีดด้วยความเจ็บ
หนานกงเฉินไม่สนใจอะไรอีกต่อไป อุ้มเธอขึ้นจากอ่างอาบน้ำ ให้ผ้าเช็ดตัวคลุมตัวเธอไว้ อุ้มเธอออกจากห้องน้ำพลางพูดว่า: “ผมจะพาคุณไปโรงพยาบาล”
“ไม่ ฉันไม่ไปโรงพยาบาล……ฉันไม่ไป……!” จูจูดิ้นทันทีเมื่อได้ยินคำว่าโรงพยาบาล
“แผลของเธอกำลังอักเสบ”
“ไม่ ฉันไม่ไป……เฉิน……ถ้าคุณยังบังคับฉันอีก……ฉันจะตายให้คุณดู!”
ประโยคนี้ได้ผลจริงๆ ด้วย หนานกงเฉินหยุดฝีเท้า วางเธอลงบนเตียวอย่างอดไม่ได้
เขาพยุงเธอนอนคว่ำบนเตียงอย่างอ่อนโยน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเห็นใจ: “ทำไมไม่ไปโรงพยาบาลล่ะ?”
“เพราะว่า……พวกเขาจะหาฉันเจอ” จูจูหันมาทั้งน้ำตา: “เฉิน อย่าส่งฉันไปไหนเลยได้ไหม? คุณเคยบอกว่าจะปกป้องฉัน”
“พาคุณไปโรงพยาบาลผมก็ปกป้องคุณได้เหมือนกัน”
คุณหนูจูยังคงส่ายหน้า: “พวกเขาจะตามหาฉันเจอ ฉันกลัว……”
หนานกงเฉินหมดหนทาง จึงได้แต่ให้เสี่ยวหยวนไปหากล่องยามา เสี่ยวหยวนหมุนตัวกำลังจะไปหากล่องยา นึกขึ้นได้กระทันหัน: “จริงสิ คราวที่แล้วนายหญิงน้อยนำกล่องยาไปที่ห้องของเธอเองที่ชั้น 3”
หนานกงเฉินได้ยินว่ากล่องยาอยู่ในห้องของไป๋มู่ชิง แค่หันไปมองไป๋มู่ชิงที่ยังคงยืนอยู่หน้าห้องนอน
ไป๋มู่ชิงรับรู้ได้ถึงแววตาที่แฝงการขอร้องอยู่เล็กน้อยของเขา ในใจรู้สึกเย็นขึ้นอีกครั้ง สายตาของเธอมองแผลบนหลังของจูจู แผลนั้นไม่เหมือนของปลอม หรือว่าคุณหนูจูคนนี้เจอเรื่องลำบากอยู่จริงๆ ไม่ได้แกล้ง?
ชีวิตคนสำคัญกว่า เธอคงไม่มีทางนำกล่องยาไปซ่อน อีกอย่างหนานกงเฉินให้ความสำคัญกับคุณหนูจูขนาดนี้ ถ้าเธอแอบกล่องยาไว้ เขาคงโกรธจนเป็นบ้าแน่ๆ
ถ้าทำให้หนานกงเฉินโกรธเธอเองก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเหมือนกัน เธอไม่ได้โง่ขนาดนั้นอยู่แล้ว
เธอหมุนตัว เดินไปยังชั้นบน
นำกล่องยาออกมายื่นให้เสี่ยวหยวน เธอไม่ได้ตามลงไปชั้น 2 ตามลงไปมีแต่จะทำให้ตัวเองเจ็บปวดมากขึ้น
หนานกงเฉินทายาให้จูจูด้วยตัวเอง และอยู่เป็นเพื่อนเธอพักใหญ่ กว่าจะกล่อมให้เธอหลับได้
เมื่อเขากลับมาถึงห้องนอน ไป๋มู่ชิงได้ถอดชุดเจ้าสาว มงกุฏดอกไม้ออกไปแล้ว เครื่องสำอางบนหน้าก็ถูกล้างออกจนหมด
เธอนั่งอยู่บนโซฟา ประโยคแรกที่เจอหนานกงเฉินคือ: “ฉันกินอิ่มแล้ว คุณรีบไปกินเถอะ”
“ผมไม่หิว” หนานกงเฉินเข้าไปในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เปลี่ยนชุดที่เปียกไปครึ่งหนึ่งของเขา แล้วมานั่งข้างเธอ กุมมือเธอไว้
ไป๋มู่ชิงไม่พูดอะไร เจ็บจมูกจนแทบหายใจไม่ออก
ครู่ใหญ่ หนานกงเฉินจึงพูดว่า: “จริงๆ แล้ววันนี้ผมรีบไปที่โบสถ์แล้วนะ แต่ตอนใกล้จะถึงได้รับข่าวว่าจูจูกำลังกระโดดน้ำ ผมตามหาตลอดทาง กว่าจะเจอที่กำลังจมน้ำ โชคดีที่มีคนกระโดดลงไปช่วยเธอก่อนผมไปถึง แต่เธออยากตายอย่างเดียว ยากมากกว่าผมจะกล่อมเธอแล้วอุ้มเธอกลับมาได้……”

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset