เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 164 จุดประสงค์ของจูจู 3

คุณหนูจูไม่ต้องอธิบายก็ได้ค่ะ ในเมื่อเฉินเขาบอกแล้วว่าจะดูแลคุณหนูจูเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง ก็ย่อมมีหน้าที่ช่วยคุณแก้ไขปัญหา แต่ยังไงซะเฉินก็เป็นผู้ชายที่มีภรรยาแล้ว ครั้งหน้าถ้าจะกอดเขาก็ช่วยเบาๆหน่อยนะคะ เพราะภรรยาเขาอาจจะไม่พอใจได้
“ใช่มั้ยคะ คุณสามี” เธอยิ้มให้หนานกงเฉินและขยิบตาให้เขา
หนานกงเฉินยิ้มและปรายตามองเธอเล็กน้อย: “อืม ที่บ้านมีไหน้ำส้มสายชู”
“ไปเถอะ ไหน้ำส้มสายชูหิวข้าวแล้ว ขอสั่งให้คุณรีบขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อแล้วลงมากินข้าวกัน” ไป๋มู่ชิงคล้องแขนหนานกงเฉินไว้ ก่อนจะพูดกับจูจู: “คุณหนูไป๋ คุณก็รีบขึ้นไปเตรียมตัวลงมาทานข้าวเถอะค่ะ”
“ได้” จูจูเช็คน้ำตาบนหน้า
ไป๋มู่ชิงคล้องแขนหนานกงเฉินขึ้นชั้นบนไป ส่วนจูจูก็ขึ้นไปพร้อมเสี่ยวหยวน
พอถึงห้องนอนไป๋มู่ชิงก็ปล่อยมือจากแขนของหนานกงเฉิน เธอนำเสื้อและกระเป๋าไปแขวนไว้ พอเธอเปลี่ยนเสื้อเสร็จออกมาก็ไม่เห็นหนานกงเฉินอยู่ในห้องแล้ว
เธอมองไปรอบไปห้อง สายตากระทบเข้ากับเสื้อที่พาดอยู่บนโซฟา พลางทำให้นึกถึงภาพเมื่อครู่ที่จูจูเช็คน้ำตาบนเสื้อเขา เธอรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อทิ้งลงในตระกล้าผ้าที่เตรียมนำไปซัก
ไป๋มู่ชิงลงมาถึงชั้นล่างก็พบว่าจูจูล้างหน้าล้างตามาเรียบร้อยแล้ว แต่ดวงตาทั้งคู่ยังบวมช้ำจนน่าสงสาร
เธอนั่งอยู่ตรงข้ามหนานกงเฉิน ท่าทางดูหมองเศร้า
“มู่ชิง มาแล้วเหรอ” เธอทักขึ้นอย่างมีมารยาท
ไป๋มู่ชิงยิ้มให้เธอเล็กน้อย ก่อนจะนั่งข้างๆหนานกงเฉิน
หนานกงเฉินปกติก็เป็นคนไม่ค่อยพูดขณะรับประทานอาหารอยู่แล้ว ยิ่งเป็นสถานะการณ์ที่มีแฟนเก่าและภรรยาร่วมโต๊ะแบบนี้แล้ว เขายิ่งไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร
บนโต๊ะอาหารมีแต่เสียงช้อนชามกระทบกันดังขึ้นเบาๆ ไป๋มู่ชิงเพิ่งกินได้ไม่ทันไร จูจูก็วางตะเกียบลงพร้อมพูดขึ้น: “ฉันอิ่มแล้ว พวกคุณค่อยๆทานนะ”
หนานกงเฉินเงยหน้าขึ้นมองเธอ: “ทำไมกินน้อยจัง?”
“ฉันไม่ค่อยหิวค่ะ” เธอตอบ
“ทำไม? ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?” ไป๋มู่ชิงก็เงยหน้าขึ้นถาม
“ไม่มีอะไร แค่นึกถึงเรื่องวันนี้แล้วรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา พักซะแปบคงจะดีขึ้น”
“งั้นก็ขึ้นไปพักก่อนเถอะ” หนานกงเฉินพูดขึ้นอย่างเป็นห่วงใย
จูจูที่กำลังจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ ทำท่านึกอะไรขึ้นมาได้ ก่อนจะหันกลับมามองหนานกงเฉินและพูดว่า: “ใช่แล้ว เฉิน ฉันคิดว่าไม่ควรอยู่ห้องคุณไปตลอด ฉันว่าจะย้ายกลับไปที่ห้องนอนตัวเอง”
ห้องนอนของเธอ……ไป๋มู่ชิงกำช้อนแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
อันที่จริงครั้งแรกที่เธอเห็นในห้องนอนที่มีห้องเสื้อผ้าในตัว ก็พอเดาได้ว่าเธอเคยอยู่ห้องนั้น ไม่งั้นจะมีเสื้อผ้ารองเท้าสวยๆมากมายได้ยังไง?
เธอไม่ได้ถามหนานกงเฉินวาเสื้อผ้าพวกนั้นเป็นของใคร ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะว่าเธอกลัวจะรู้ความจริง กลัวสิ่งที่หนานกงเฉินจะบอกเธอ
แต่ผู้หญิงคนนี้พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง? ต้องการบอกให้เธอรู้ว่าห้องนอนที่ดีที่สุดของคฤหาสน์หลังนี้เคยเป็นของเธอ ห้องเสื้อผ้าที่ใหญ่ที่สุดก็เคยเป็นของเธอ?
“ไม่ต้องหรอก ยังไงตอนนี้ฉันก็ไม่ได้ใช้” หนานกงเฉินยิ้มให้เธอเล็กน้อย
“มันก็ไม่ค่อยดี ฉันกลับไปห้องตัวเองจะสะดวกมากกว่า” จูจูยิ้มเล็กน้อย
หนานกงเฉินไม่ได้ขัดเธอ ก่อนจะพยักหน้าแล้วพูด: “ตามใจเธอละกัน”
ขอบคุณค่ะ เธอพูด รอยยิ้มค่อยๆจางลง ก่อนจะพูดขึ้นอีก: “แล้วก็ ฉันกลัวที่จะต้องอยู่บ้านคนเดียว ให้ฉันไปเริ่มงานที่บริษัทฯเลยได้มั้ยคะ”
ไป๋มู่ชิงวางถ้วยและตะเกียบลง มองเธอยิ้มๆ: “คุณหนูจู คุณไม่กลัวว่าออกจากที่นี่แล้วจะโดนจับกลับไปอีกเหรอ?”
“ฉันก็กลัวนะ” จูจูพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป: “แต่ฉันกลัวว่าเขาจะพาคนมาหาที่นี่ ดังนั้น…….”
เธอพูดเบาๆก่อนจะเงียบลง ตามด้วยสีหน้าที่ดูน่าสงสาร
หนานกงเฉินที่ทนเห็นท่าทางเจ็บปวดของเธอไม่ได้ บวกกับสภาพของเธอที่ไม่สามารถสู้รบปรบมือกับใครได้ เขาลังเลเล็กน้อยก่อนพูด: “ก็ถ้าร่างกายคุณยังไหว ก็เข้าไปเริ่มงานได้ตลอด”
“แผลบนร่างกายไม่รู้สึกเจ็บอะไรแล้วค่ะ”
“งั้นก็ดีแล้ว”
หลังทานข้าวเสร็จ พอขึ้นมาถึงห้อง ไป๋มู่ชิงก็ถามหนานกงเฉิน: “คุณให้เธอทำตำแหน่งอะไรเหรอ?”
หนานกงเฉินปรายตามองเธอ: “เธอเลือกตำแหน่งเลขา”
“เลขาคุณเหรอ?”
“เธอคิดว่าฉันจะกล้ามั้ย? ไหน้ำส้มสายชู” หนานกงเฉินหัวเราะก่อนจะหยิกแก้มเธอ
ไป๋มู่ชิงกลับไม่มีอารมณ์จะล้อเล่นกับเขา เธอถามเขาอย่างอึดอัด: “แล้วเธอจะไปเป็นเลขาให้ใคร?”
“เลขาเหยียนจัดให้เธอไปเป็นลูกน้องของรองประธานหยู”
“งั้นก็อยู่ชั้นเดียวกับคุณ?”
“อืม” หนานกงเฉินหัวเราะเล็กน้อยก่อนกอดเธอ: “ถ้าเธอไม่ไว้ใจ ย้ายเธอมาเป็นเลขาฉันมั้ย?”
ไม่เอา ไป๋มู่ชิงดันแขนเขาออก : “เป้าหมายชีวิตฉันไม่ใช่การแย่งผู้ชาย ฉันจะไม่ละทิ้งตำแหน่งที่ชอบเพื่อเรื่องแบบนี้”
“ผู้ชายสำคัญน้อยกว่างานเหรอ?”
“ก็ใช่น่ะสิ มีคนมาแย่งคุณไปก็ดี ฉันจะได้เป็นอิสระ”
“ปากไม่ตรงกับใจ” หนานกงเฉินปรายตามองเธอ: “หลายวันมานี้ไม่รู้ใครขี้หึงจนกลายเป็นไหน้ำส้มสายชูไปแล้ว”
“ฉันเปล่านะ” ไป๋มู่ชิงพูดจบก็เตรียมดันประตูเข้าห้อง
หนานกงเฉินดึงเธอเข้าสู่อ้อมกอด หอมผมเธอนิดหนึ่งก่อนพูด: “ยังไงก็ตาม หลายวันมานี้ทำให้เธอลำบากใจแล้วนะ และขอบใจที่เธอเข้าใจ”
“รู้ว่าฉันลำบากใจก็ดีแล้ว”
“รู้สิ ฉันรู้”
ได้ยินเขาพูดแบบนี้เธอซึ้งใจจนต้องหลับตาลง ขอแค่เขายังรักษาสัญญา เธอก็จะถือว่าทั้งหมดนี้คุณหนูจูเข้าหาเขาอยู่ฝ่ายเดียว
เธอยกมือขึ้นตบเบาๆบนบ่าเขา: “รีบไปห้องหนังสือเถอะ รีบเคลียร์งานให้เสร็จจะได้รีบเข้านอน”
“ได้ เธอนั่งเล่นคนเดียวไปก่อน” หนานกงเฉินปล่อยเธอ แล้วตรงไปเคลียร์งานที่ห้องหนังสือ
ไป๋มู่ชิงนั่งอ่านหนังสือเกี่ยวกับการออกแบบบ้านคนเดียวอยู่ในห้องนอน อ่านไปสักพักก็ได้ยินเสียงดังตึงตังขึ้น เธอวางหนังสือลงก่อนจะเดินไปเงียบหูฟังอยู่หลังประตู ได้ยินเสียงของเสี่ยวหยวนกับจูจูพูดกันเบาๆ
เสี่ยวหยวนพูดด้วยสีหน้ตื่นตะลึง: “คุณหนูจู ฉันอยู่ที่นี่มานานไม่หยักกะรู้ว่าที่นี่มีห้องหรูและใหญ่ขนาดนี้ซ่อนอยู่ด้วย ใหญ่กว่าห้องคุณชายเฉินและนยาหญิงน้อยอีก
“ชูว์ อย่าพูดไปเรื่อยนะ นายหญิงน้อยเป็นยิ่งกว่าดวงใจของคุณชายเฉิน แค่เธอไม่อยากมาอยู่ห้องนี้เองต่างหาก” จูจูพูดเสียงเบา
เสี่ยวหยวนตอบ’ค่ะ’ ก่อนจะพูดยิ้มเล็กยิ้มน้อย: “ก็ใช่อยู่นะ จำได้ว่าครั้งก่อนคุณชายใหญ่ให้นายหญิงน้อยเก็บข้าวของในห้องออกแล้วย้ายเข้ามาอยู่ แต่นายหญิงน้อยก็ไม่ได้ทำอะไรสงสัยขี้เกียจย้ายของพวกนี้”
“จริงเหรอ…….”น้ำเสียงจูจูสั่นเล็กน้อย
“ใช่ค่ะ” เสี่ยวหยวนพูด: “คุณหนูจูคุณจะย้ายของพวกนี้ออกไปมั้ยคะ? ให้ฉันช่วยได้ค่ะ”
“ไม่ต้อง”
“คุณหนูจู ฉันว่าคุณชายใหญ่มองคุณเป็นน้องสาวแท้ๆคนหนึ่งนะคะ เขาต้องซื้อให้คุณใหม่แน่นอนค่ะ ไม่จำเป็นต้องใช้ของที่คนอื่นใช้แล้วหรอก”
“ของที่นี่ไม่เคยมีใครใช้ ที่นี่เป็นห้องที่ฉันเคยอยู่”
“อ้าว………..”
“เธอดูนี่ซิกำไรอันนี้คุณชายใหญ่ซื้อให้ฉันเมื่อครั้งก่อน แต่ตอนนี้ฉันแก่แล้วไม่ค่อยเหมาะที่ใส่แล้ว ฉันให้เธอนะ”
“คุณว่าอะไรนะ? ยกกำไรให้ฉัน? แต่นี่มันเป็นทองคำขาวนะ”
“แบบมันดูเด็กไปน่ะ เหมาะกับเธอใส่มากกว่า”
“ขอบคุณค่ะคุณหนูไป๋” น้ำเสียงของเสี่ยวหยวนเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ
ไป๋มู่ชิงเดินกลับไปยืนอยู่กลางห้อง เธอมองไปรอบๆไปห้อง ห้องนี้ก็สวยไม่น้อยแล้วนะ เธอนึกอยากเห็นขึ้นมากว่าห้องคุณหนูจูจะสวยแค่ไหนถึงขนาดทำให้เสี่ยวหยวนตื่นตะลึงได้ขนาดนั้น?
แน่นอน เธอแค่คิด ไม่ได้กะจะไปดูจริงๆ
ห้องฝั่งตรงข้ามยังเสียงดังมาเป็นช่วงๆ ไป๋มู่ชิงนั่งอ่านนังสืออยู่พักหนึ่งก่อนจะดูเวลาบนนาฬิการแวบหนึ่ง ได้เวลาคั่วยาแล้ว เธอจะมัวหลบอยู่ในห้องไม่ได้แล้ว
เธอเดินกลับไปที่ประตูอีกครั้ง ก่อนจะดึงประตูออกแล้วเดินออกไป
ประตูห้องตรงข้ามเปิดอยู่ คุณหนูจูก็เดินออกมาพอดี เห็นไป๋มู่ชิงเข้าเธอก็ทักขึ้นอย่างมีมารยาท: “มู่ชิง”
“จัดห้องเรียบร้อยหรือยัง? ต้องการให้ช่วยอะไรมั้ย?” ไป๋มู่ชิงถามขึ้นขณะที่มองเข้าไปที่ห้องเธอแวบหนึ่ง
คุณหนูจูพยักหน้าตอบ: “เรียบร้อยแล้ว เหลือแค่ภาพวาดอันนี้ไม่รู้จะแขวนไว้ตรงไหนดี มู่ชิงเธอเข้ามาช่วยฉันดูหน่อยได้มั้ย?”
ไป๋มู่ชิงคิดชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้าและเดินตามเธอเข้าไป
เป็นห้องที่ทั้งใหญ่และหรูหรามากจริงๆ ใหญ่กว่าห้องของเธอและหนานกงเฉินมาก ด้านในจัดวางแต่ของใช้ของผู้หญิง บนผนังหัวเตียงยังมีภาพถ่ายแขวนอยู่ เธอในภาพถ่ายดูสวยใสน่ารัก
“รูปนี้เป็นรูปที่เฉินถ่ายให้ฉัน สวยมากใช่มั้ย?” จูจูยิ้มกว้าง
“สวยมากจริงๆ ฉันยังนึกว่าเป็นภาพถ่ายศิลปะซะอีก” ไป๋มู่ชิงยิ้มบางเบา ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากตรอกกลับ แต่คิดว่าการที่เธอจะเอารูปถ่ายที่เธอจูกกับหนานกงเฉินในทุ่งลาเวนเดอร์ที่ฝรั่งเศษออกมาโชว์นั้น มันเป็นการอวดที่ค่อนข้างไม่มีความหมาย
” ภาพวาดรูปนี้ เธอคิดว่าแขวนไว้ตรงไหนดี?” จูจูหยิบภาพวาดสีน้ำมันที่เป็นภาพวาดหน้าเธอขึ้นมา ไป๋มู่ชิงมองไปรอบห้อง: “เมื่อก่อนแขวนไว้ตรงไหนก็แขวนไว้ที่เดิมเถอะ อันนี้ฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่”
ไป๋มู่ชิงกวาดสายตาผ่านไปทางโต๊ะเครื่องแป้ง เห็นรูปถ่ายปึกหนึ่งที่วางอยู่อย่างไม่ตั้งใจ มองไปไกลๆก็รู้ว่าเป็นรูปที่เธอถ่ายคู่กับหนานกงเฉิน
จูจูเห็นเธอมองไปที่รูปถ่าย ก็วางภาพวาดลงแล้วเดินไปเก็บรูปถ่ายพร้อมพูด: “เป็นของในอดีตที่ผ่านไปแล้วทั้งนั้น ฉันกำลังจะเก็บออกไป มู่ชิงเธออย่าเข้าใจผิดว่าฉันยังคิดอะไรเฉินอยู่นะ”
“ไม่หรอก” ไป๋มู่ชิงเดินไปหยิบรูปขึ้นมาดูก่อนพูด: “เรื่องของเธอเฉินเคยเล่าให้ฉันฟังแล้ว เขากล้าที่จะเปิดเผยกับฉันแสดงว่าเขาเองก็ลืมเรื่องที่ผ่านมาได้แล้ว ฉันก็ไม่ใช่คนขี้หวงอะไร ทุกคนย่อมมีอดีต ฉันเองก็เคยมีผู้ชายที่เป็นรักแรก แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปแล้ว ชีวิตคนเราจะอาจมีความรักได้หลายครั้ง แต่จะมีแค่รักเดียวที่จับมือไปด้วยกันตลอดชีวิต”
บนรูปถ่ายมีทั้งรูปที่ทั้งสองคนสนิทแนบชิด และรูปที่ดูมีความสุขกันมาก ไป๋มู่ชิงยอมรับว่าเธอดูรูปแล้วก็ไม่สบายใจเท่าไหร่ คำพูดพวกนี้ที่พูดก็เพื่อเตือนจูจูอย่าทำอะไรที่มันไม่มีความหมายพวกนี้อีก และเตือนตัวเองอย่าไปถือสาอดีตที่ผ่านมาของหนานกงเฉิน เพราะเธอเองก็มีอดีตเหมือนกัน
“คุณหนูจู เมื่อก่อนเฉินอาจจะรักคุณมาก แต่ตอนนี้ฉันเป็นภรรยาของเขา อันนี้คงเรียกว่าเรามีวาสนาต่อกัน ฉันหวังว่าคุณจะเข้าใจ และหาผู้ชายที่เป็นของคุณสักคนแต่งาน”
จูจูหน้าเสียงไปเล็กน้อยก่อนจะยิ้มเจื่อน: “มู่ชิง เธอเข้าใจฉันผิดจริงๆด้วย”
“เข้าใจผิดหรือไม่คุณย่อมรู้ดีกับใจ ฉันแค่อยากเตือนคุณไว้ ต่อไปอย่าเอาเรื่องแบบนี้มาลองใจฉัน” ไป๋มู่ชิงหยิบรูปถ่ายขึ้นมาโชว์ในมือก่อนจะวางกลับไปบนโต๊ะเหมือนเดิม เธอยิ้มเล็กน้อย: คุณชายเฉินบอกว่ารูปถ่ายแบบนี้เป็นการถ่ายของเด็กหนุ่มและสาวน้อย แต่เขาในตอนนี้อายุมากแล้วเหมาะที่จะถ่ายแบบนี้มากกว่า” ไป๋มู่ชิงหยิบมือถือขึ้นมาเลือกรูปในอัลบั้มที่ทั้งสองจูบกันในทุ่งลาเวนเดอร์ขึ้นมา
ตอนแรกไป๋มู่ชิงไม่คิดที่จะนำขึ้นมาโชว์ แต่เป็นเพราะคุณหนูจูคนนี้บังคับเธอเอง
คุณหนูจูเห็นรูปแล้วสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้เหมือนเดิม เธอพูดยิ้มๆขณะที่ดูรูปไปด้วย: ” เธอทั้งสองน่ารักมาก รูปก็สวยมาก”
เธอก็เป็นแบบนี้ ไม่ว่าจะทำอะไรหรือพูดอะไร เธอก็จะทำเป็นไม่รู้สึกรู้สา
“มู่ชิง เธอไม่ต้องคิดมากนะ” จูจูดึงมือเธอไปจับไว้: “ฉันแค่รู้สึกคิดถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา ไม่ได้ตั้งใจจะทำอะไรให้เธอไม่สบายใจ และไม่เคยคิดจะแย่งเฉินกับเธอ”
“ขอโทษนะ เรื่องนี้ฉันค่อนข้างอ่อนไหวง่าย” ไป๋มู่ชิงดึงมือออกจากอุ้มมือเธอ “ที่แท้ฉันก็เข้าใจเธอผิดไปเอง”
“คุณชายเฉินมีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่ใช่ว่าฉันอยากกลับไปแล้วเขาจะกลับมาหาฉันได้ เธอสบายใจได้”
“ขอบคุณที่ปลอบใจฉันนะ ฉันรู้สึกสบายใจขึ้นแล้ว” ไป๋มู่ชิงยกยิ้มมุมปากให้เธอ: “งั้นฉันออกไปก่อนนะ ห้องใหญ่ขนาดนี้ เธอค่อยๆจัดไปนะ”
“ได้ เธอไปพักผ่อนเถอะ”
ไป๋มู่ชิงเพิ่งเดินออกไปจากห้องก็มีเสียงพูดขึ้น: “คุณ ทำไมวันนี้กลับมาเร็วจัง? เสร็จงานแล้วเหรอ?
“วันนี้ไม่มีงานอะไรมาก เธอมาทำอะไรที่นี่?” หนานกงเฉินถาม
“ฉันก็มาดูคุณหนูจูไง”
“เธอเป็นไงบ้าง?”
“สบายดี เข้ามาเถอะ ฉันจะเปิดน้ำอุ่นให้คุณอาบน้ำ”
เสียงค่อยๆหายไปหลังประตูที่ปิดลง ไม่ได้ยินเสียงของทั้งสองอีก จูจูกำรูปถ่ายไว้ในมือแน่น สีหน้าสลับแดงซีดก่อนเธอจะโยนรูปในมือลงในถังขยะ
วันถัดมา จูจูเตรียมพร้อมที่จะไปทำงานแต่เช้า
ทั้งสามคนเดินทางไปทำงานพร้อมกัน เธอต้องนั่งรถไปกับหนานกงเฉิน
ไป๋มู่ชิงเปิดประตูหลังออกให้จูจูขึ้นไปนั่ง เห็นว่าจูจูยืนลังเลไม่ขึ้นไป ไป๋มู่ชิงก็หัวเราะเยาะขึ้น: “คุณหนูจูคงไม่ใช่เวียนรถจนนั่งด้านหลังไม่ได้ใช่มั้ย?”
“ไม่ใช่ ฉันแค่รู้สึกว่านั่งเป็นก้างขวางคอคุณทั้งสองแบบนี้ดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ให้ฉันนั่งรถสาธารณะไปเองจะดีกว่า” เธอพูดด้วยสีหน้าเกรงใจ
“ตรงนี้ไม่มีรถสาธารณะวิ่งผ่าน ขึ้นรถเถอะ” หนานกงเฉินพูด
“ใช่ ขึ้นรถเถอะ” ไป๋มู่ชิงยิ้มเย็นในใจ เธอเป็นก้างขวางคอตั้งแต่ในบ้านจนถึงบริษัทฯแล้วยังจะมาแคร์อะไรกับแค่ระหว่างทางจากบ้านถึงบริษัทฯ?
หลังจากปิดประตูหลังลง ไป๋มู่ชิงก็ขึ้นไปนั่งข้างคนขับ
ถึงเวลาทานข้าวเที่ยว หนานกงเฉินยังคงเรียกเธอขึ้นไปทานข้าวด้วยเหมือนเดิม กับข้าวยังคงมีแต่ที่เธอชอบ
ขณะที่พี่หูเข้ามาเก็บถ้วยชาม ก็พูดกับหนานกงเฉิน: “คุณชายเฉิน คุณหนูจูบอกว่าต่อไปเธอยากไปทานข้าวที่โรงอาหารค่ะ”
“เธอบอกว่าไม่อยากทำเป็นมีอภิสิทธิ์ในบริษัทฯ”
หนานกงเฉินหยุดคิดก่อนพูด: “งั้นก็ตามใจเธอแล้วกัน”
หลังจากที่พี่หูออกไป ไป๋มู่ชิงก็ยิ้มเยาะพูดขึ้น: “คุณดูจะใส่ใจคุณหนูจูไม่น้อยนะคะ นี่น่าจะเป็นคนที่สามของบริษัทฯที่มีโอกาสได้กินอาหารเที่ยงฝีมือพี่หูใช่มั้ย?”
“ดู เธอหึงอีกแล้ว” หนานกงเฉินมองเธอแวบหนึ่ง
หนานกงเฉินพูดจบยังไม่ทันไร ประตูก็มีเสียงเคาะดังขึ้นพร้อมเปิดออก ตามมาด้วยจูจูเดินเข้ามา
ไป๋มู่ชิงมองหนานกงเฉิน แล้วมองจูจู เธอลุกขึ้นจากโซฟา: “พวกคุณคุยกันไปแล้วกัน ฉันขอตัวลงไปก่อน”
“ไม่เป็นไร มู่ชิง ฉันแค่จะมาขอบคุณเรื่องอาหารเที่ยง ไม่ได้มีเรื่องอะไร” จูจูพูด
“คุณชายเฉินเป็นคนส่งอาหารเที่ยงให้คุณ ขอบคุณเขาก็พอ” ไป๋มู่ชิงยิ้มให้เธอเล็กน้อยก่อนจะเดินออกไปจากห้องทำงานหนานกงเฉิน
หลังจากไป๋มู่ชิงออกไป จูจูก็เดินไปหาหนานกงเฉิน ก่อนจะเอาขนมที่อยู่ด้านหลังออกมายื่นให้เขาพร้อมพูดยิ้มๆ: “อันนี้ฉันแวะซื้อที่ร้านขนมขณะที่ไปดูงานกับรองประธานหยู เห็นมีพายชาเขียวที่คุณชอบพอดี”
หนานกงเฉินหุบตามองขนมแวบหนึ่งก่อนจะพูดขึ้น: “จูจูต่อไปอย่าทำดีกับฉันมากนักเลย มู่ชิงเห็นเข้าจะไม่พอใจเอาได้”
“ฉันรู้แล้ว ก็เลยไม่ให้เธอเห็นไง” จูจูโบกมือไปมาพูด: “ไม่มีอะไรจริงๆนะ ฉันแค่ผ่านไปเห็นว่าร้านขนมมีขายพายชาเขียว เลยทำให้นึกถึงภาพของเมื่อก่อนที่ฉันชอบซื้อรสชาเขียวให้คุณบ่อยๆ เลยอดไม่ได้ที่จะ……….”
ดวงตาเธออยู่ๆก็แดงขึ้นมา ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย: “ขอโทษที ฉันไม่คิดว่าฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะซื้อขนมให้คุณแล้ว”
“ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”
“แล้วคุณหมายความว่ายังไง”
“ฉันหมายความว่าฉันกับไป๋มู่ชิงแต่งงานกันแล้ว ฉันเป็นผู้ชายที่มีภรรยาแล้ว ทำดีกับฉันมากไปจะเป็นที่ครหาได้”
“อืม เข้าใจแล้ว ต่อไปฉันจะระวังให้มาก “จูจูหยิบขนมที่วางอยู่บนโต๊ะกลับไป: “ถ้างั้นฉันเก็บขนมกลับไปนะคะ”
“ไม่เป็นไร วางไว้เถอะ”
“ค่ะ” จูจูวางขนมกลับดังเดิม เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก่อนจะสุบลมหายใจเล็กน้อยแล้วพูดยิ้มๆ: “เพื่อไม่ให้คุณกับมู่ชิงเกิดความเข้าใจผิดกัน ฉันไปก่อนนะคะ”
“อืม กลับไปตั้งใจทำงานเถอะ”
ช่วงบ่ายหนานกงเฉินออกไปทานข้าวกับลูกค้า ไป๋มู่ชิงก็นัดซูซี่และเหยาเหม่ยกินข้าวกัน
ทั้งสามเจอหน้ากันปุ๊บซูซี่ก็ยิ้มเยาะมาที่เธอ: “ทำไมถึงมีเวลานัดพวกเราออกมากินข้าวล่ะ? ไม่ต้องรีบกลับไปเฝ้าหนานกงเฉินกับแมวขโมยเหรอ?”
ไป๋มู่ชิงหรี่ตามองทั้งสองแวบหนึ่ง ก่อนพูด: “พวกเธออย่าพูดไปเรื่อยนะ ถึงแม้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะวาดลาดลายเก่งไม่น้อย แต่คุณชายเฉินเขาค่อนข้างมั่นคงนะเขาไม่ขึ้นไปนอนเล่นบนเตียงกับเธอแน่นอน”
“ผู้ชายนะ รู้หน้าไม่รู้ใจ ถ้าปากไม่ตรงกับใจขึ้นมาเธอก็ทำอะไรเขาไม่ได้” ซูซี่พูด “จากที่เธอเล่า หนานกงเฉินเองก็ยังรักผู้หญิงคนนั้นอยู่ไม่น้อย เห็นหน้าผู้หญิงที่ตนรักอยู่ทุกวันแต่จับต้องไม่ได้ ผู้ชายที่ไหนจะไปทนได้?”
ไป๋มู่ชิงยิ้มอย่างเหนื่อยใจ: “พวกเธอก็มีแต่จะขู่ให้ฉันกลัว”
“ก็พวกเราเป็นห่วงแทนเธอ”
“พอแล้ว พวกเธอพูดอะไรที่ทำให้ฉันอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อยได้มั้ย ช่วงนี้ฉันรู้สึกหดหู่มากพอแล้ว” นึกถึงชีวิตช่วงนี้เธอกับคุณหนูจูทีฟาดฟันกันเงียบแล้วก็อดขำตัวเองไม่ได้ เมื่อก่อนเธอไม่ได้เป็นคนแบบนี้นะ พอเจอคู่แข่งหัวใจเข้าหน่อยกลายเป็นเป็นคนน่าเบื่อแบบนี้ขึ้นมาซะงั้น
เหยาเหม่ยไหวไหล่เล็กน้อย: “เราสองคนดูเหมือนคนที่มีเรื่องสนุกที่จะเล่าให้เธออารมณ์ดีมั้ย?”
ไป๋มู่ชิงมองทั้งสองแวงหนึ่ง ดูแล้วก็ไม่มีจริงๆ
ทั้งสามกินข้าวเสร็จก็ไปดูหนังกันต่อ
ขณะกำลังเดินออกมาพวกเธอก็เห็นรถของเฉียวเฟิงจอดอยู่หน้าประตูทางออก เหยาเหม่ยถามขึ้นอย่างแปลกใจ: “เสี่ยวซี่ นี่ไม่ใช่รถของน้องสามีเธอเหรอ?”
“ใช่ ไหนฉันลองไปดูซิ” ซูซี่เดินไปคุยกับเฉียวเฟิงที่อยู่บนรถชั่วครู่ก่อนจะกลับมาบอกไป๋มู่ชิง: “มู่ชิง เฉียวเฟิงจะผ่านไปบ้านเธอพอดี เธอกลับรถเขาแล้วกัน ส่วนฉันไปส่งเสี่ยวเหม่ยเอง”
ไป๋มู่ชิงมองไปที่รถเฉียวเฟิงแวบหนึ่ง ถึงแม้ว่าบ้านเธอและบ้านเหยาเหม่ยจะไปกันคนละทาง แต่ดึกขนาดนี้แล้วให้ผู้ชายไปส่งที่บ้านถ้าหนานกงเฉินเห็นเข้าจะว่ายังไง?
เธอรีบปฏิเสธ: “ไม่ดีกว่า มันดูไม่เหมาะ เดี๋ยวฉันเรียกรถกลับเองดีกว่า”
“ไม่เหมาะยังไง เธอเรียกรถกลับเองซิไม่เหมาะ อยู่คฤหาสน์หลังใหญ่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นคนมีตังค์ เขาจะข่มขืนแล้วฆ่าไม่รู้ตัว” ซู่ซี่ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ดึงมือไป๋มู่ชิงไปที่รถของเฉียวเฟิง ก่อนจะเปิดประตูรถแล้วโน้มตัวเข้าไปพูดกับเฉียวเฟิง: “รบกวนด้วยนะ คุณชายรอง”
เฉียวเฟิงมองหน้าไป๋มู่ชิงนิดหนึ่งก่อนตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม: “ไม่ต้องเกรงใจ”
ไป๋มู่ชิงโดนดันให้ขึ้นไปนั่งในรถยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็ได้ยินเสียงเฉียวเฟิงพูดขึ้น: “ลุงจาง ออกรถได้”
เหยาเหม่ยดึงสายตาจากรถเบนท์ลี่ย์ มาจ้องมองซูซี่: “นี่กำลังทำอะไร? กลัวสองสามีภรรยาเขาไม่ตีกันไง?”
ไม่กระตุ้นหนานกงเฉินหน่อย เดี๋ยวเขาจะคิดว่ามู่ชิงเราอ่อนปลวกเปียก ยอมทำตามเขาไปซะทุกอย่าง” ซูซี่ไหวไหล่เล็กน้อย: “ตีกันสิดี ทะเลาะกันขึ้นมาบ้างจะได้รู้ว่าหนานกงเฉินยังแคร์มู่ชิงอยู่”
“เธอนี่ร้ายจริงๆ เจ้าแผนการที่สุด” เหยาเหม่ยอดไม่ได้ที่จะชม
” แน่ล่ะ ตอนฉันไล่จับกิ๊ก เธอยังนั่งเล่นโครนอยู่เลย”
“ก็ใช่ ตอนเธอโดนพวกกิ๊กเหยียจมดิน ฉันก็กำลังนั่งเล่นดินโครนอยู่” เหยาเหม่ยทำเสียงในลำคอก่อนจะเดินไปทางโรงจอดรถโดยไม่ได้หันกลับมามองซูซี่ที่ยืนกระทบเท้าอยู่
ไป๋มู่ชิงที่นั่งอยู่ในรถของเฉียวเฟิงยิ้มให้เขาอย่างอึดอัด: “ต้องขอโทษด้วยนะคะ รบกวนคุณอีกแล้ว”
“ไม่ต้องเกรงใจ เรื่องเล็กน้อยครับ” เฉียวเฟิงตอบเธอด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
ไป๋มู่ชิงเหล่มองเฉียวเฟิงที่สวมเสื้อโค้ทผ้าลินินดูดีและสง่า ขณะเดียวกันก็นึกในหัวว่าจะพูดอะไรต่อดี
เธอเห็นว่าผู้ชายคนนี้หน้าตาหล่อเหลาไม่น้อย ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ซูซี่พูดเลย เสียดายที่พิการ
“จริงสิ คุณมาทำอะไรที่ไชน่าเซ็นทรัลเพลสเหรอคะ?”
“ผมผ่านมาทางนี้ พี่สะใภ้โทรฯมาให้ช่วยส่งคนคนหนึ่งกลับบ้าน”
ไป๋มู่ชิงรู้สึกแปลกใจ ซูซี่โทรฯหาเขาตอนไหนกัน? ทำไมเธอไม่รู้เลย อีกอย่างถ้าต้องหาคนส่งเธอกลับบ้านจริงๆ ก็ไม่ควรหาคนที่สองขาไม่สะดวกอย่างเขามั้ย? หาคนอื่นก็ได้มั้ย?
“คุณล่ะ? กับหนานกงเฉินดีกันเหมือนเดิมหรือยัง?” เขาหยุดไปชั่วครู่ก็พูดขึ้นอีก
ไป๋มู่ชิงดึงสติกลับมาตอบเขายิ้มๆ: “เรารักกันดี ขอบคุณที่เป็นห่วงค่ะ”
“งั้นก็ดีแล้ว” เฉียวเฟิงยิ้มให้บางๆก่อนจะหันกลับไปโดยไม่พูดอะไรอีก
หนานกงเฉินทานข้าวกับลูกค้าเสร็จก็กลับบ้าน พอถึงบ้านแล้วไม่เห็นไป๋มู่ชิง เลยไปถามเสี่ยวหยวนถึงรู้ว่าเธอยังไม่กลับบ้าน
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรฯหาไป๋มู่ชิง แต่ปรากฏว่าปิดเครื่อง
เขาจึงโทรฯไปหาซูซี่ เมื่อซูซี่รับสายก็บอกว่ามู่ชิงไปดูหนังกับเพื่อนคนหนึ่ง ถามเธอว่าเพื่อนคนไหน เธอบอกแค่ว่าไม่แน่ใจ
ไป๋มู่ชิงปกติแล้วนอกจากอยู่กับซูซี่และเหยาเหม่ย ก็จะมีนัดกินข้าวจ้าวเฟยและภรรยาบ้าง
นึกดูแล้ววันนี้เธอก็ไม่มีอะไรผิดปกติ เห็นดังนั้นหนานกงเฉินก็วางใจเขาเดินเข้าไปทำงานต่อในห้องหนังสือ
ตั้งแต่สองทุ่มจนถึงสี่ทุ่ม ระหว่างทำงานอยู่เขาดูไม่มีสมาธิเอาซะเลย ทุกๆครึ่งชั่วโมงเขาจะออกมาดูว่าไป๋มู่ชิงกลับมาหรือยัง
ชั้นล่าง จูจูกำลังถือจานผลไม้นั่งดูโทรทัศน์อยู่ พอเห็นเขาเดินลงมาก็ทักขึ้น: “เฉิน คุณจะออกไปข้างนอกเหรอ?”
“เปล่า” หนานกงเฉินเก็บโทรศัพท์มือถือ แล้วมองไปที่เธอ: “ทำไมเธอยังไม่นอนอีก?”
“ปกติฉันนอนห้าทุ่ม คุณล่ะ? ทำไมยังไม่นอนอีก?”
“กำลังรอไป๋มู่ชิง” หนานกงเฉินพูด
“อ๋อ มู่ชิงไปไหนเหรอ?”
“เห็นว่าไปดูหนังกับเพื่อน”
“งั้นก็น่าจะใกล้กลับละ” จูจูเงยหน้ามองนาฬิกาบนผนัง แล้วทำมือให้เรียกเขา: “เฉิน มานั่งรอเถอะ จะได้คุยเป็นเพื่อนฉันด้วยดีมั้ย?”
หนานกงเฉินไม่ได้ตอบรับเธอ จูจูจึงพูดขึ้นอีก: “เราเจอกันสักพักแล้วยังไม่ได้นั่งคุยกันดีๆเลย อีกอย่างเรื่องพ่อแม่ฉันไปถึงไหนแล้วคะ?”
หนานกงเฉินเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามเธอ: “ฉันให้เลขาเหยียนจัดการให้อยู่ คิดว่าไม่นานก็น่าจะรู้ผล เธอไม่ต้องกังวลใจไปนะ”
“กังวลแค่ว่าแม่จะไม่ยอมยกเลิกสัญญาแต่ง” จูจูพูดด้วยสีหน้าสลด
“ฉันจะหาทางทำให้ท่านยอมเอง เธอวางใจเถอะ”
“อืม ฉันเชื่อคุณ” จูจูใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มแคนตาลูปชิ้นหนึ่งยื่นไปที่ปากเขา “แคนตาลูปที่ป้าใบ้ซื้มมาหวานมาก ลองชิมดู”
“ไม่เป็นไร ฉันไม่ชอบกินผลไม้” หนานกงเฉินพูดขณะนั่งเล่นโทรศัพท์ในมือ
“ทำไมไม่กินผลไม้ กินผลไม้เยอะๆดีต่อร่างกายนะ ปกติมู่ชิงไม่ทำให้คุณเหรอ?” จูจูยังดื้อดึงที่จะป้อนผลไม้ให้เขากิน หนานกงเฉินหลบไม่ได้จึงจำต้องรับเข้าปาก กินเสร็จจึงพูดขึ้น: “มู่ชิงน่าเบื่อก็ตรงที่ชอบบังคับให้ฉันกินยา ผลไม้และถั่วนี่แหละ”
“กินถั่วต่างๆก็ดีต่อร่างกายนะ ดูแล้วมู่ชิงก็รู้เรื่องการดูแลสุขภาพนะ” จูจูฟังออกว่าหนานกงเฉินถึงปากจะพูดเหมือนว่า แต่ในใจเต็มไปด้วยความสุข
เธอยื่นผลไม้ไปที่ปากเขาอีกชิ้นแล้วพูดยิ้มๆ: “ฉันบังคับคุณกินแบบนี้ คุณคงเริ่มเบื่อฉันด้วยแล้วใช่มั้ย?”
หนานกงเฉินดันผลไม้ออกเล็กน้อยก่อนพูด: “เธอกินเถอะ”
“งั้นฉันไม่บังคับคุณละ” จูจูเอาผลไม้กลับเข้าปากตัวเองพูดขณะเคี้ยวไปด้วย: “คุณรู้มั้ย หลายปีที่อยู่เมืองนอกฉันคิดถึงภาพที่เรากินผลไม้ด้วยกันมากที่สุด จำได้ตอนนั้นคุณไม่ชอบกินผลไม้แต่ต้องคอยกินผลไม้เป็นเพื่อนฉัน จนต้องลองกินผลไม้หลายอย่าง พอไปอยู่เมืองนอกเวลาคิดถึงคุณฉันก็จะเอาผลไม้มานั่งกินไปดูโทรทัศน์ไปแบบนี้ ให้ตัวเองรู้สึกว่ามีคุณอยู่ข้างๆ”
หนานกงเฉินจ้องมองเธอจากด้านข้าง ทั้งๆที่เธอยิ้มอยู่ แต่ดูแล้วกลับเหมือนทุกข์ใจเหลือเกิน ทำให้หัวใจเขารู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาเล็กน้อย
สิ่งที่เขากลัวที่สุดและไม่อยากทำที่สุดก็คือการย้อนความหลังกับเธอ เพราะระหว่างเขาและเธอยังมีไป๋มู่ชิงขั้นกลางอยู่ เรื่องราวระหว่างเธอและเขามันเป็นแค่ความทรงจำไปแล้วจริงๆ
“เพราะฉะนั้นวันนี้คุณนั่งกินผลไม้เป็นเพื่อนฉันดีๆสักครั้งได้มั้ย ถือซะว่าย้อนความอบอุ่นของวันวานเป็นเพื่อนฉันหน่อย” จูจูมองมาที่เขาด้วยสีหน้าที่คาดหวังอย่างน่าสงสาร
ยังไงซะก็เป็นผู้หญิงที่ตัวเองเคยรักมาก่อน สถานะการณ์แบบนี้ต่อให้เป็นผู้ชายคนไหนก็คงต้องรู้สึกหวั่นไหว หนานกงเฉินจ้องมองเธออยู่ชั่วครู่ ก่อนจะพูดขึ้นเบาๆ: “จูจู ทำแบบนี้จะยิ่งทำให้เธอจำฝังใจมากขึ้น ยิ่งจะลืมมันไม่ลง จะทำแบบนี้ไปทำไม?”
“ไม่หรอก ตอนนี้ฉันย้อนวันวานกับคุณในถานะเพื่อน บางทีอาจจะทำให้ลบเลือนความสัมพันธ์แบบแฟนในอดีตได้ด้วยซ้ำ คุณสบายใจเถอะ ฉันเคยบอกคุณแล้วว่าฉันจะไม่คิดอะไรกับคุณแบบนั้นอีก เหมือนที่เขาพูดกันไง การรักใครซะคนทำได้หลายวิธี มีอยู่วิธีหนึ่งที่ว่าการเห็นคนที่เรารักมีความสุข เราก็จะมีความสุขไปด้วยไง”
“ขอบใจที่เธอเข้าใจนะจูจู” หนานกงเฉินยกมือตบเบาๆบนไหล่เธอ ก่อนจะหยิบไม้จิ้มฟันไปจิ้มผลไม้ขึ้นมากินคำหนึ่ง
ขณะนั้น ก็มีเสียรถยนต์ดังมาจากทางประตู
คนทั้งสองที่นั่งอยู่ในห้องรับแขกมองออกไปพร้อมกัน จากมุมนี้สามารถมองเห็นประตูทางเข้าพอดี และสามารถมองเห็นมู่ชิงที่กำลังลงจากรถเบนท์ลี่ย์คันหนึ่ง ก่อนจะโบกมือลาคนที่นั่งอยู่ในรถ
“มู่ชิงกลับมาแล้ว ผู้ชายที่มาส่งเธอคือใครกัน?” จูจูถามอย่างแปลกใจ
ไฟตรงประตูใหญ่ไม่มืดนัก ถึงจะเห็นไม่ชัดว่าผู้ชายในรถคือใคร แต่หนานกงเฉินก็จำได้ว่าเป็นรถของเฉียวเฟิง
สีหน้าเขาเข้มขึ้นเรื่อยๆ เฝ้าดูไป๋มู่ชิงที่ยิ้มลาเฉียวเฟิง รอจนกระทั่งรถกลับออกไปเธอถึงได้เดินเข้าบ้าน
เธอเดินเข้ามาอย่างกระฉับกระเฉง ดูอารมณ์ดีไม่น้อย
ไป๋มู่ชิงที่เดินเข้ามาในบ้านแล้วพบว่าจูจูนั่งถือจานผลไม้ ส่วนหนานกงเฉินเองในมือมีผลไม้อยู่ชิ้นหนึ่ง จากที่เธอเจอสภาพเขาและเธอที่ปฏิบัติต่อกันราวกับเป็นแฟนกันมาหลายวันทำให้เธอมีภูมิคุ้มกันมากขึ้น จนเธอสามารถทำเป็นไม่สนใจอะไรได้
แต่แปลกก็ตรงสายตาที่ทั้งสองมองมาที่เธอ โดยเฉพาะหนานกงเฉินที่ดูไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
สุดท้าย เธอก็นึกขึ้นได้ว่าหนานกงเฉินน่าจะเข้าใจเธอและเฉียวเฟิงผิด
จูจูพูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความห่วงใย: “มู่งชิง เธอไปไหนมาเหรอ? โทรศัพท์ก็ไม่รับ เฉินเขาเป็นห่วงเธอทั้งคืนเลย”
สายตาไป๋มู่ชิงมองหนานกงเฉินถือแคนตาลูปที่เขาไม่ชอบที่สุดในอยู่ในมือ ก่อนจะย้ายไปมองหน้าเธอ จากตอนแรกที่รู้สึกผิดเล็กน้อยนาทีนี้ความรู้สึกนั้นได้หายไปทันที เธอยกริมฝีปากขึ้นยิ้มเยาะ: “ฉันว่าพวกคุณก็ดูสนุกกันดีอยู่นี่ สงสัยก็แค่นั่งรอฉันไปด้วยมั้ง?”
จูจูรีบพูด: “มู่ชิงอย่าเข้าใจผิดนะ เฉินเขาเพิ่งออกมาจากห้องหนังสือ เราเพิ่งคุยกันได้แปบเดียวเอง”
“อ๋อ ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง” ไป๋มู่ชิงพยักหน้าตอบ
หนานกงเฉินจ้องมองเธอด้วยสายตาเย็นชา: “ทำไมไม่รับโทรศัพท์”
ไป๋มู่ชิงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเห็นว่าเครื่องปิดไปแล้ว ยังไงกัน? ตั้งแต่กินข้าวเสร็จเธอยังไม่ได้แตะโทรศัพท์เลยนี่นา
“แบตหมด” เธอตอบไปส่งๆ
โทรศัพท์มือถือเธอเพิ่งชาร์จเมื่อเช้า ทำไมถึงเริ่มใช้งานได้ไม่นานขึ้นมาแล้วล่ะ?” หนานกงเฉิน​ลุกขึ้นจากโซฟาเดินเข้าไปหาเธอ: “ได้ข่าวว่าไปดูหนังมาเหรอ? ไปกับเฉียวเฟิงเหรอ?”
เขารู้ได้ไงว่าเธอไปดูหนัง? ไป๋มู่ชิงนึกแปลกใจ ก่อนจะก้มหน้ามองโทรศัพท์แวบหนึ่ง แล้วนึกถึงเรื่องที่บังเอิญเจอเฉียวเฟิงอีก ทันใดนั้นเธอก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ต้องเป็นแผนการของซูซี่แน่ ไอ้ผู้หญิงที่กลัวว่าใต้ฟ้าจะไม่มีสงคราม!
เห็นเธอนิ่งไป สีหน้าหนานกงเฉินยิ่งดูไม่ดีมากขึ้น เขาลากเธอไปยันชั้นบน
ไป๋มู่ชิงโดนเขากึ่งลากกึ่งจูงไปตลอดทางจนเธอเกือบจะหกล้ม โชคดีที่หนานกงเฉินดึงเธอเข้าไปโอบเอาไว้ ก่อนจะใช้มือจับไปที่เอวทั้งลากทั้งอุ้มจนพาเธอขึ้นไปถึงชั้นสาม
“หนานกงเฉิน คุณทำรุนแรงกับฉันแบบนี้ ไม่กลัวจูจูของคุณจะกลัวหรือไง?” ไป๋มู่ชิงพูดประชดประชัน
หนานกงเฉินพาเธอเข้าไปในห้องนอน ก่อนจะโยนเธอลงบนโซฟาและโน้มตัวลงมาใช้สองมือกดตัวเธอไว้: “อย่ามาทำเป็นเปลี่ยนเรื่อง ฉันกับจูจูเป็นยังไงเธอรู้ดีที่สุด หลายวันมานี้ฉันเองก็ไม่เคยอยู่กับเขาตามลำพักลับหลังเธอ มีแต่เธอนี่แหละ ไม่รู้ว่ามีความสัมพันธ์ยังไงกับคุณชายรองของบ้านตระกูลเฉียว ครั้งก่อนก็บอกว่าเขาแค่ผ่านไปทางคฤหาสน์หลังเก่าไม่ใช่เหรอ? เห็นว่าเคยเจอกันแค่สองครั้งไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมถึงได้ไปดูหนังด้วยกันได้? ยังยอมให้เขาส่งกลับบ้านอีกมันยังไง?
เขาเข้าใจผิดแล้วจริงๆ เห็นสีหน้าหึงหวงของเขาแล้ว เธอกลับรู้สึกดีใจขึ้นมาซะงั้น ถึงแม้จะไม่รู้ว่าคืนนี้เขากับจูจูทำอะไรกันไปบ้าง แต่ดูจากริ้วรอยความหึงหวงบนหน้าเขา และท่าทางโมโหเธอที่ทำต่อหน้าจูจูนั้น แสดงว่าในใจเขาก็ยังมีเธออยู่ใช่มั้ย?

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset