เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 166 บาดเจ็บ

เขาหันกลับไปปิดประตูห้องจากนั้นก็กดแขนเธอลงให้แนบชิดกับประตู ส่วนมืออีกข้างก็กอดตัวเธอไว้ให้ใกล้ชิดตัวเองด้วย
“คุณจะทำอะไร? เอาแต่ทำแบบนี้ไม่เบื่อหรอ?” ไป๋มู่ชิงปัดมือของเขาข้างที่จับคางตัวเองไว้ออก
“วันๆคุณเอาแต่ทำหน้าตึงแบบนี้ไม่เบื่อหรอไง” หนานกงเฉินยกมือข้างที่เธอปัดลงขึ้นแล้วหยุดลงที่คอเสื้อเธอ จากนั้นก็ปลดกระดุมทีละเม็ด
“แล้วคุณล่ะ? วันๆเอาแต่สวีทกับรักแรกของคุณต่อหน้าฉันไม่เบื่อหรอ?”
“ไม่เบื่อ พรุ่งนี้ก็จะสวิตต่อหน้าคุณอีกจนคุณทนไม่ไหว” กระดุมเสื้อของเธอถูกปลดโดยนิ้วของเขาทีละเม็ดจนเห็นเรือนร่างที่สวยของเธอ
ไป๋มู่ชิงรู้สึกถึงความเย็นที่สัมผัสกับผิวกายแล้วปลายนิ้วที่อุ่นร้อนของเขาที่ลากผ่านร่างกายเธอไป จนไป๋มู่ชิงรู้สึกขนลุกขึ้นมาทั้งตัว
เธอพยายามผลักเขาออกพร้อมขู่เสียงเข้มว่า “ถ้าคุณยังไม่หยุดอีก ฉันก็จะตะโกนเรียกรักแรกของคุณมาดู”
“เอาเลย คุณตะโกนสิ” หนานกงเฉินยิ้มอ่อนแล้วจับคางเธอขึ้นจากนั้นก็ก้มลงไปจุมพิตลงที่ริมฝีปากเธอ แล้วขยับไปกัดติ่งหูของเธอ “ถ้าคุณไม่รู้สึกอายแล้วทำไมผมต้องรู้สึกอายด้วย”
“คุณ……ไม่กลัวเธอโกรธจนไปจากคุณหรอ?” ไป๋มู่ชิงถูกเขาจูบจนหายใจไม่เป็นจังหวะ น้ำเสียงก็ไม่อ่อนโยนเหมือนเดิม
“ข้างกายมีภรรยาแบบคุณโผล่มา เธอคงเสียใจพอแล้วล่ะ แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก” หนานกงเฉินใช้แรงกัดไปที่หูเธออีกครั้ง “แต่ผมขอเตือนคุณไว้เลย อย่าใช้นิสัยของคุณมาทดสอบความอดทนของผม โดยเฉพาะตอนที่อยู่ต่อหน้าจูจู ไม่งั้นคุณได้เสียใจทีหลังแน่!”
เมื่อหนานกงเฉินพูดจบ จากนั้นก็กระชากเสื้อเธอออกแล้วอุ้มเธอขึ้นบนตัวเขา
เวลานี้เธอไม่มีกระจิตกระใจมาฟังคำเตือนเขาหรอก เธอเอาแต่ใช้กำปั้นทุบไปที่ไหลเขาพร้อมพูดว่า “คุณปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้ ฉันจะล้มแล้ว”
แต่น่าเสียดาย คำขู่ของเธอไม่มีผลอะไรกับหนานกงเฉินเลย เขาไม่ได้ปล่อยเธอ แต่กลับลงโทษเธอหนักกว่าเดิม
ไป๋มู่ชิงรู้ว่าตัวเองขอร้องเขาก็คงไม่มีประโยชน์ก็เลยไม่ขอร้องดีกว่า แต่ในใจ……ค่อยๆเปลี่ยนจากการต่อต้านมาเป็นการยอมรับแทน
“ถ้าคุณสัญญากับผมว่าต่อไปจะไม่เจอหน้ากับเฉียวเฟิงอีก ผมก็จะให้อภัยคุณ” หนานกงเฉินพูด
ไป๋มู่ชิงลืมตาขึ้นแล้วพูดอย่างเอาแต่ใจ “ถ้าคุณสัญญากับฉันได้ว่าอีกหน่อยจะไม่เจอหน้ากับคุณหนูจู ฉันก็จะตกลง”
หนานกงเฉินเริ่มหงุดหงิดจากนั้นกดตัวเธอลงไป “คุณรู้อยู่แล้วว่าผมทิ้งเธอแบบนั้นไม่ได้”
ไป๋มู่ชิงจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ไม่เกรงกลัว “คุณก็รู้อยู่แล้วว่าฉันกับคุณชายรองตระกูลเฉียวเป็นไปไม่ได้ แต่คุณก็ยังบังคับฉันอีก”
“คุณ……”
“ฉันทำไม?” ไป๋มู่ชิงลุกขึ้นนั่งจากบนเตียงแล้วจองเขาด้วยสีหน้าหงุดหงิด “อย่าคิดว่าตอนนี้คุณมีรักแรกนี้เข้ามาแล้วฉันจะกลัวคุณ กลัวว่าจะเสียคุณไป ฉันบอกคุณไว้เลยฉันคิดได้ตั้งนานแล้ว ถ้าคุณจะหย่าฉันพร้อมตลอดเวลา ถ้าคุณจะแต่งงานกับรักแรกของคุณฉันก็พร้อมจะสละตำแหน่งนี้ให้ แต่ถ้าคุณอยากให้ฉันอยู่อย่างสงบสุขกับรักก็ได้ของคุณ ปรนนิบัติสามีคนเดียวกัน ฉันทำไม่ได้! แล้วฉันก็ไม่ได้ต่ำขนาดนั้นด้วย!”
หนานกงเฉินโกรธจนต้องสูดหายใจเข้า จากนั้นก็ใช้สายตาที่โมโหถามขึ้น “คุณพูดอีกรอบหนึ่งสิ?”
“ฉันพูดว่า……”
“คุณยังกล้าพูดอีก!” หนานกงเฉินโกรธจนจูบปิดริมฝีปากเธอ จนเธอต้องกลืนคำพูดกับไป
เขาทนกับอารมณ์งี่เง่าของเธอได้ แต่คำพูดที่เธอพูดออกมาโดยไม่คิด เขาไม่สามารถทนได้กับการที่เธอเอาแต่พูดว่าจะหย่า ในใจเธอเขาไม่สำคัญขนาดนั้นเลยหรอ? แค่ทะเลาะกันเล็กๆน้อยๆก็ทำให้มีความคิดที่จะหย่าร้าง?
แต่เขาล่ะ? ไม่ว่าเธอกับหลินอันหนานจะเป็นยังไงหรือกับคุณชายรองตระกูลเฉียวจะเป็นยังไง นอกจากโกรธแล้วเขาก็ไม่เคยเอ่ยว่าจะหย่ากับเธอ ไม่เคยเลยสักครั้ง!
ไป๋มู่ชิงถูกเขาผลักลงไปบนเตียงแล้วจูบอย่างหนักหน่วงจนต้องหุบปากไป เธอจ้องตาขึ้นโตมองผู้ชายที่สีหน้าหงุดหงิดตรงหน้า ไม่คิดหรือว่าแค่คำพูดเดียวของตัวเองจะทำให้เขาโมโหได้ขนาดนี้ ต่อจากนี้คงต้องสู้รบกันอีกแน่ๆ
รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่มีทางไล่จูจูออกไป ถ้ารู้อย่างนี้ก็คงไม่พูดออกไปโดยที่ไม่คิดหรอก
ทั้งสองพัวพันกันอยู่อีกครั้ง
เช้าวันต่อมาไป๋มู่ชิงตื่นขึ้นที่ห้องทำงานเพราะมีเสียงเคาะประตูดังจนทำให้สะดุ้งตื่น
เธอขยับตัวค่อยๆแล้วลืมตาขึ้นมองก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองนอนเปลือยกายอยู่ในอ้อมแขนของหนานกงเฉิน
เสียงเคาะประตูดังขึ้นไม่หยุดเธอเลยใช้มือผลักไปที่ตัวหนานกงเฉิน หนานกงเฉินขยับตัวแล้วพูดเอ่ยไปทางประตู “มีอะไร?”
เสียงของจูจูดังขึ้นจากประตู “เฉิน มู่ชิง ตื่นไปทำงานได้แล้ว”
น้ำเสียงของเธอดูสดใสมากในยามเช้า ดูเหมือนอารมณ์จะดี ลำบากเธอมากที่ต้องแกล้งทำเสียงแบบนี้ ไป๋มู่ชิงยิ้มเยาะเย้ยในใจแล้วลุกขึ้นจากเตียง
เธอมองกว่าไปรอบๆก็เห็นว่าเสื้อผ้าตัวเองกระจัดกระจายอยู่ที่ประตู นึกถึงภาพเมื่อวานที่หนานกงเฉินกดเธอลงกับประตู ใบหน้าเธอก็ร้อนแดงขึ้นมาทันที
เธอก้มลงมองตัวเองที่เปลือยกายอยู่ จากนั้นก็ดึงผ้าห่มมาไว้บนตัวกำลังจะไปเก็บเสื้อผ้าตัวเอง แต่ผ้าห่มกลับถูกหนานกงเฉินนอนทับอยู่
เธอใช้แรงดึงผ้าห่มแต่ก็ไม่ขยับเลย จากนั้นเลยหันหน้ากลับไปดู
หนานกงเฉินตื่นแล้ว รู้ว่าเธอกำลังจะทำอะไรแต่ก็ไม่ขยับร่างกายแถมยังใช้สายตาที่ยั่วอารมณ์จ้องมองไปที่เธออีก
ไป๋มู่ชิงหงุดหงิดแล้วโยนผ้าห่มกลับไปที่ตัวเขา จากนั้นก็เดินไปเก็บเสื้อผ้าทั้งที่ยังเปลือยกายอยู่ ในเมื่อเขาเห็นหมดแล้วก็ไม่ต้องใส่ใจกับครั้งนี้หรอก เธอพยายามปลอบใจตัวเองที่รู้สึกอายมากในใจ
หลังจากสวมเสื้อผ้าตัวเองเสร็จเธอก็เปิดประตูห้องทำงานเดินออกไปโดยที่ไม่หันกลับมามองเลย
จากนั้นก็รีบไปอาบน้ำแปรงฟัน แล้วลงมาหยิบขนมปังจากโต๊ะอาหารกินไปด้วยแล้วเดินออกไปข้างนอกด้วย
จูจูรีบตามขึ้นมาแล้วดึงแขนเธอด้วยสีหน้าจริงจัง “มู่ชิง เธอนั่งรถของเฉินไปบริษัทเถอะ ฉันจะนั่งรถเมย์ไป”
ไป๋มู้ชิงก้มลงไปมองกวาดมือที่เธอจับแขนตัวเองไว้ เธอรู้ว่ากำลังแสดงให้หนานกงเฉินดู จากนั้นเธอก็ยิ้มอ่อนให้ “ไม่ต้อง ร่างกายเธอไม่แข็งแรงไม่ควรไปเบียดในรถเมล์”
“มู่ชิง เธอให้อภัยเถอะ ฉันกับเขาไม่มีอะไรจริงๆ เขาแค่คิดกับฉันแค่น้องสาว”
“ฉันรู้ ฉันก็คิดว่าเธอเป็นน้องสาวเหมือนกัน” ไป๋มู่ชิงยกมือขึ้นตบที่บ่าเธอเบาๆ “รีบไปทานอาหารเช้าเถอะ ฉันไปก่อนล่ะ”
พูดจบ เธอก็ไม่สนใจหนานกงเฉินที่เดินลงมาด้วยสีหน้าอารมณ์เสีย จากนั้นก็หันหลังเดินออกไปทางประตู
มองตามแผ่นหลังของไป๋มู่ชิงที่เดินออกไป จูจูก็หันกลับมาแล้วจ้องไปที่หนานกงเฉินด้วยสีหน้าลำบากใจ “ทำยังไงดีเฉิน มู่ชิงยังเข้าใจเราผิดอยู่”
“ไม่เป็นไร ให้เธองี่เง่าไม่กี่วันก็หายแล้ว” หนานกงเฉินมองไปทางประตูแว็บเดียวแล้วพูดว่า “ไปทานอาหารเช้าเถอะ”
จูจูตามเขาเดินเข้าไปในห้องอาหารแล้วนั่งลงเก้าอี้ตรงข้ามเขา จากนั้นก็พูดด้วยรู้สึกผิด “เฉิน ฉันย้ายไปที่ที่พักพนักงานเถอะ เอาแต่อยู่ที่นี่ก็จะทำให้มู่ชิงเข้าใจผิดเปล่าๆ”
“ก็บอกกับคุณแล้วไม่ใช่หรอว่าให้เธองี่เง่าไปไม่กี่วันก็หายแล้ว”
“แต่พอเธอเห็นฉันก็ไม่มีความสุข ฉันคิดว่าฉันย้ายออกไปดีกว่า”
“คุณไม่กลัวว่าแม่ของคุณจะจับคุณไปแต่งงานกับตาแก่นั่นหรอ?”
หนานกงเฉินพูดจบ จูจูก็สะดุ้งไป สายตามีแต่ความกังวลกลัว “ฉันกลัวสิแต่ว่า……”
“ถ้ากลัวก็อยู่ที่นี่เถอะ ส่วนมู่ชิงเดี๋ยวผมจัดการเอง”
“คุณจะจัดการยังไง?”
“เธอ……” อยู่ๆหนานกงเฉินก็ยิ้มอย่างมีเลศนัยขึ้น “ผมไม่เคยใส่ใจความหงุดหงิดของเธอหรอก”
ตามใจเธอเถอะ ก็คิดซะว่าให้โอกาสเธอระบายความไม่พอใจในใจออกมา พอเธอระบายหมดแล้วก็คงจะดีขึ้น
จูจูพูดยิ้มยิ้ม “เขาว่ากันว่าถ้าตีเพราะห่วง ถ้าด่าก็เป็นเพราะรัก ดูเหมือนพวกคุณจะเป็นอย่างนี้สินะ”
เดินจากบ้านมาที่ป้ายรถเมล์ต้องใช้เวลาประมาณสิบนาที เพราะว่าเมื่อคืนฝนเพิ่งตกบนถนนเลยเปียกลื่น เธอเลยเดินไปกินแซนด์วิชในมือไปด้วยแล้วเดินอย่างระมัดระวัง
เมื่อได้ยินเสียงรถดังมาจากข้างหลัง เธอก็ขยับยืนไปชิดข้างทาง
รถแล่นผ่านข้างตัวเธอไปอย่างรวดเร็วแล้วทำให้น้ำที่พื้นก็กระเด็นใส่ตัวเธอจนกางเกงเธอเปียกหมด
เธอยืนนี่อยู่กับที่แล้วมองตามหลังรถที่แล่นผ่านไปอย่างคุ้นเคยแล้วโวยวายออกมาว่า “หนานกงเฉิน! มีรถแล้วจะทำไม? ไอ้บ้า!”
ภาพที่เธอยืนกระทืบเท้าอย่างหงุดหงิดถูกสะท้อนให้เห็นที่กระจกมองหลังรถของหนานกงเฉิน มุมปากเขาเลิกขึ้นแฝงด้วยความเยาะเย้ย
ถูกหนานกงเฉินทำแบบนี้ใส่ ไป๋มู่ชิงก็ต้องจำใจกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้าน เมื่อเธอออกมาจากบ้านอีกครั้ง ขึ้นรถเมล์แล้วนั่งรถไฟฟ้าไปถึงบริษัทก็เลยเวลาทำงานมายี่สิบนาทีแล้ว
ผู้จัดการหวงพูดกับเธอด้วยสีหน้าเข้มงวด “มู่ชิงเดือนนี้เธอมาสายสองครั้งแล้ว ยังมีโอกาสอีกหนึ่งครั้ง”
ไป๋มู่ชิงเข้ามาในบริษัทวันแรกก็อ่านกฎของบริษัทอย่างครบถ้วนแล้ว ภายในหนึ่งเดือนถ้ามาสายเกินหนึ่งครั้งก็จะถูกหักเบี้ยขยันไป ถ้ามาสายมากกว่าสองครั้งก็จะถูกทำทัณฑ์บน ถ้ามาสายเกินสามครั้งก็จะเลิกจ้างทันที เมื่อเธอเห็นกฎของบริษัทอย่างนี้ก็คิดว่าหนานกงเฉินช่างใจดำเหลือเกิน แม้แต่กฎบริษัทยังต้องเข้มงวดขนาดนี้
เธอก้มหน้าลงไปอย่างรู้สึกผิด “ขอโทษค่ะ ต่อไปฉันจะมาเร็วกว่านี้ค่ะ”
“อื้อ” ผู้จัดการหวงรู้สึกอึดอัด “เป็นเพราะคุณชายเฉินเคยบอกว่า ถึงแม้เจ้านายจะทำผิดก็ต้องใช้กฎบริษัทเดียวกับพนักงานในบริษัท เพราะฉะนั้น……”
นี่กำลังจงใจแกล้งเธอชัดๆ ไป๋มู่ชิงคิดอย่างหงุดหงิด ถ้าเปลี่ยนมาเป็นเซิ่งเคอมาสายจะถูกลงโทษเหมือนพนักงานทั่วไปหรอ? ไม่มีทาง!
“ฉันรู้แล้วค่ะ” เธอยิ้มกับผู้จัดการหวงจากนั้นก็กลับไปที่ที่นั่งของตัวเอง
หลังจากกลับมาบ้านตอนบ่ายก็เห็นในบ้านมีคนแปลกหน้าเดินเข้าเดินออก ดูเหมือนจะเป็นพนักงานของที่ไหนสักที่ แถมที่หน้าประตูบ้านยังจอดรถขนของคันใหญ่อยู่
เธอถามเสี่ยวหยวนว่าคนเหล่านี้มาทำอะไร เสี่ยวหยวนก็ตอบยิ้มยิ้มไปว่า “คุณชายซื้อเปียโนให้คุณหนูจู พนักงานมาส่งเปียโนพอดีค่ะ”
ไป๋มู่ชิงมองกวาดไปที่หลังรถขนของเลยเห็นว่ามีเปียโนสีขาวงาช้างอยู่เครื่องหนึ่ง ดูไปแล้วคงแพงน่าดู
“เปียโนนี้น่าจะแพงมากเลยใช่ไหม” เธอถามแฝงด้วยความหึง
“แพงมากค่ะสามแสนกว่าหยวนมั้งคะ” เสี่ยวหยวนพูด
“อื้อ” ไป๋มู่ชิงพยักหน้าให้แล้วหันหลังเดินเข้าบ้านไป จูจูก็เดินออกมาจากบ้านพอดีแล้วพูดยิ้มยิ้มว่า “อย่าฟังที่เสี่ยวหยวนพูดไปเรื่อยเลย เงินที่ซื้อเปียโนฉันยืมจากเฉิน ฉันคุยกับเขาแล้วว่าจะใช้เงินเดือนค่อยๆคืนเขา”
ไป๋มู่ชิงมองไปที่ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเธอนั้น เป็นสีหน้าที่กำลังยั่วอารมณ์ชัดๆ
เธอยิ้มอ่อน “สามแสนกว่าหยวน เธอคงต้องทำงานที่บริษัทหนานกงสามปีค่อยคืนจนครบ”
“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ว่าจะสามปีหรือห้าปีฉันก็จะคืนแน่” จูจูก็ยังยิ้มแย้มเหมือนเดิม “อยู่ฟรีกินฟรีที่นี่ฉันก็รู้สึกเกรงใจมากแล้ว จะให้เฉินซื้อของที่แพงขนาดนี้ให้ฉันได้ยังไง”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก เธอเป็นน้องสาวของเฉิน ซื้อให้เธอก็ไม่เห็นแปลกอะไร” ไป๋มู่ชิงยิ้มอ่อนให้เธอ ไม่ได้พูดอะไรต่อแล้วเดินผ่านตัวเธอเข้าไปในบ้าน
พอเธอเดินเข้าไปในบ้านก็เห็นหนานกงเฉินถือแก้วน้ำเดินลงมาพอดี
ทั้งสองเจอกันที่บันไดเธอมองตาขวางใส่เขาจากนั้นก็เดินผ่านตัวเขาไป
หนานกงเฉินเรียกเธอไว้ด้วยน้ำเสียงไม่รีบไม่ร้อน “ชอบหรอ? ซื้อให้เธออีกเครื่องเอาไหม?”
“ฉันจะเอามาทำซากอะไร” ไป๋มู่ชิงพูดใส่อารมณ์ตอบเขาไป
หนานกงเฉินขมวดคิ้ว “หยาบคายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
“ตั้งแต่เกิด!” ไป๋มู่ชิงจ้องไปที่หน้าเขาอีกครั้งจากนั้นก็หันหลังเดินก้าวขึ้นไปต่อ
เปียโนสามแสนหยวนสำหรับหนานกงเฉินเป็นแค่อะไรเล็กๆน้อยๆ เขาให้เธออยู่ที่นี่ได้ ให้เธอไปทำงานที่บริษัทได้ นี่ก็แค่เปียโนเครื่องหนึ่งไม่ใช่เหรอ?
ไป๋มู่ชิงก้มมองไปที่สองแขนสองขาของตัวเองอย่างหงุดหงิด ไป๋ยิ่งอันเต้นรำเป็น คุณหนูจูเล่นเปียโนเป็น แต่เธอเป็นถึงคุณหญิงน้อยของตระกูลหนานกงกลับทำอะไรไม่เป็นเลย
เธอส่ายหัวไปมา คิดในใจว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่? ทุกคนมีค่าที่แตกต่างกันเด็กๆยังชื่นชมที่เธอวาดรูปเป็นเลย เธอไม่ใช่คนที่ไม่เอาไหน!
วันหยุดหนานกงเฉินก็กลับไปทานข้าวกับคุณหญิงที่บ้านใหญ่ ไป๋มู่ชิงก็นอนเล่นอยู่บนเตียงแต่ก็ได้ยินเสียงเปียโนที่ดังมาจากข้างนอก ไป๋มู่ชิงนำหมอนที่ปิดหัวตัวเองออก จากนั้นก็ลุกขึ้นมานั่ง
เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นดูเวลา ตอนนี้เก้าโมงแล้ว ถ้าจะนอนต่อก็คงนอนไม่หลับลุกดีกว่า
อยู่ในบ้านก็รู้สึกอึดอัด ไป๋มู่ชิงเลยโทรไปหาเหยาเหม่ยแล้วนัดเธอออกมาข้างนอก
เมื่อวางโทรศัพท์แล้วก็รีบแต่งหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าจากนั้นก็เปิดประตูห้องเดินออกมา
ไม่รู้ว่าเสียงเปียโนหยุดดังเมื่อไหร่ จูจูก็เดินออกมาจากห้องเวลานี้พอดี เห็นเธอใส่ชุดที่จะออกไปข้างนอกแล้วถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย “มู่ชิง เธอไม่ได้กลับไปทานข้าวกับเฉินที่บ้านใหญ่หรอ?”
ไป๋มู่ชิงมองกวาดไปที่เธอแล้วยิ้มอ่อน “ไม่ไป”
“ทำไม? ขนาดนี้แล้วคุณหญิงยังไม่ให้อภัยเธออีกหรอ?” จูจูพูดจบก็สังเกตุเห็นสีหน้าของไป๋มู่ชิงเปลี่ยนไปแล้วพูดขึ้นอีกว่า “ขอโทษ ฉันก็ได้ยินคนอื่นพูดขึ้น ฉันไม่ควรถามเรื่องเธอใช่ไหม?”
“ได้ยินเสี่ยวหยวนพูดล่ะสิ?” ไป๋มู่ชิงมองผ่านไหล่เธอไปแล้วหยุดสายตาลงที่เสี่ยวหยวน
ตอนนี้ทั้งสองใกล้ชิดกันจนจะเป็นเพื่อนสนิทกันอยู่แล้ว ยังคลุกเล่นด้วยกันในห้อง
เสี่ยวหยวนรับรู้ถึงสายตาของไป๋มู่ชิงที่มองกวาดมา ก็รีบก้มหน้าลงไปอย่างลนลาน
มุมปากไป๋มู่ชิงเลิกขึ้นแล้วยิ้มไปทางเธอ “ถ้าอยู่ที่บ้านใหญ่ เธอคงโดนไล่ออกไปแล้ว อย่าเอาความเมตตาที่ฉันมีต่อเธอมาทำร้ายฉัน อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่าเธอแอบทำอะไรลับหลังฉันบ้าง แค่ฉันไม่อยากเปิดโปงแค่นั้น ไม่ใช่ไม่กล้า”
พูดจบเธอก็หันกลับมาที่จูจู “คุณหนูจู วันนี้หนานกงเฉินไม่อยู่ที่นี่ คุณก็ไม่ต้องเสแสร้งแล้ว คงเหนื่อยน่าดู”
เสียงโทรศัพท์เธอดังขึ้น เลยล้วงโทรศัพท์ออกกระเป๋ามาแล้วรับโทรศัพท์ขึ้นพูด “ซูซี่เธอถึงแล้วหรอ……ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้……”
“เธอจะออกมาทำไม เดี๋ยวพวกเราเข้าไปเอง”
“เธอจะเข้ามาทำไม?”
“ฉันเข้าไปไม่ได้หรอ? ฉันก็จะไปดูนังหน้าไม่อายไงล่ะ”
“เธอคิดจะทำอะไร?” สายตาไป๋มู่ชิงเปลี่ยนไป ในใจก็คิดว่าผู้หญิงคนนี้ต้องก่อเรื่องอีกแน่แน่ เพราะว่าความคิดกับการกระทำของซูซี่ เธอตามไม่ทันเลย!
“อยู่ในที่ของหนานกงเฉิน ฉันทำอะไรได้ล่ะ?” ซูซี่พูดอย่างหงุดหงิด “รีบเรียกยามมาเปิดประตูให้ฉันเดี๋ยวนี้ แล้วก็บอกนังหน้าไม่อายด้วยว่าเพื่อนเก่ามาหา”
ไป๋มู่ชิงวางโทรศัพท์ไปเลยหันไปพูดกับเสี่ยวหยวน “ไปบอกยามให้เปิดประตูหน่อย เพื่อนฉันมาหา”
หลังจากที่เสี่ยวหยวนโดนสั่งสอนไปก็รีบพยักหน้าแล้วรีบบอกให้ยามเปิดประตู
ไป๋มู่ชิงมองไปที่จูจูที่ยืนอยู่ที่เดิมแล้วยิ้มขึ้น “เพื่อนเก่าเธอมาหา เธอจะลงไปนั่งด้วยกันไหม?”
“ไม่ล่ะ ฉันไม่สนิทกับเธอ” จูจูยิ้มอย่างมีมารยาท “อีกสามวันก็งานประจำปีแล้วฉันยังต้องซ้อมอีก”
เธอก็นิสัยแบบนี้แหละ ไม่ว่าไป๋มู่ชิงจะเสียดสีเธอ สงสัยเธอ เธอก็จะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังใบหน้าที่ยิ้มแย้มไว้จนทุกครั้งเหมือนไป๋มู่ชิงทำตัวไร้สาระจนต้องถอยออกมา
“งั้นเธอก็ซ้อมไปเถอะ ขอให้โด่งดังจนคนทั้งบริษัทรู้” ไป๋มู่ชิงพูดจบก็หันหลังเดินไป
เมื่อไป๋มู่ชิงเดินลงมาข้างล่างก็เห็นซูซี่กับเหยาเหม่ยกำลังเดินเข้ามาในห้องรับแขก เมื่อเห็นเธอเดินลงมาคนเดียวก็ถามขึ้นว่า “เพื่อนเก่าฉันล่ะ? ทำไมไม่ลงมาต้อนรับฉัน?”
“อีกสามวันเธอจะแสดงที่งานประจำปีของบริษัท กำลังซ้อมอยู่” ไป๋มู่ชิงแค่เอ่ยขึ้นกับจูจู ในใจเธอก็ไม่หวังว่าจะลงมาเพราะเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าซูซี่คิดจะทำอะไร
ซูซี่เป็นคนที่โดนมือที่สามเล่นงานจนเละไม่เป็นท่า เธอเกลียดมือที่สามมากกว่าฆาตกรที่ฆ่าพ่อของตัวเองอีก ถ้าสถานการณ์ควบคุมไม่ได้ก็แย่ล่ะสิ
“การแสดง? เธอยังจะไปแสดงที่งานประจำปีบริษัทอีกหรอ?” เหยาเหม่ยเลิกตาขึ้นมองบน “เธอกลัวว่าคนอื่นไม่รู้ว่าตัวเองเป็นรักแรกของหนานกงเฉินหรอ? อยากจะแสดงให้หนานกงเฉินดูหรือให้พนักงานดูกันแน่? เป็นมือที่สามแล้วยังกล้าทำตัวเด่นขนาดนี้เลย!”
“หนานกงเฉินไม่เข้าร่วมงานประจำปีหรอก เธอก็เสียเวลาเปล่าๆ” ไป๋มู่ลิงมองไปที่เสี่ยวหยวนที่กำลังรินน้ำชาให้แล้วพูดว่า “เธอไปทำอย่างอื่นเถอะ ที่นี่มีฉันก็พอแล้ว”
“ได้ค่ะ คุณหญิงน้อย” เสี่ยวหยวนก้มหน้าให้แล้วถอยออกไป
เมื่อเสี่ยวหยวนออกไป เหยาเหม่ยก็รีบหันกลับมาถาม “ทำไมฉันคิดว่านังมือที่สามไร้น้ำยา?”
“แล้วจะทำยังไงถึงจะเรียกว่ามีน้ำยาล่ะ?” ไป๋มู่ชิงงง “แสดงตัวว่าเป็นมือที่สามแล้วตบกับฉันหรอ?”
“การแสดง ฉันคิดว่ามันไร้สาระมาก ใช่ป่ะ?” เหยาเหม่ยมองไปทางซูซี่
“เธออาจจะอยากให้หนานกงเฉินเห็นภาพที่เธอสวยที่สุด เพราะมู่ชิงของเราแค่ร้องเพลงยังผิดคีย์เลยอย่าพูดถึงเล่นเปียโนเลย” ซูซี่พูด
“อย่าเอาฉันไปเปรียบขนาดนั้นได้ไหม?” ไป๋มู่ชิงรู้สึกไม่สบอารมณ์ ถึงแม้เมื่อคืนเธอจะคิดทบทวนแล้วแต่ว่า……
แต่ดวงตาที่สวยของซูซี่กลับมีประกายบางอย่างแล้วพูดขึ้นว่า “ถ้าตอนที่เธอกำลังแสดงทำพลาดจะเป็นยังไง?”
“ก็ขายหน้าน่ะสิ” เหยาเหม่ยพูดต่อ
ไป๋มู่ชิงมองขวางใส่ทั้งสอง “พวกเธออย่าปัญญาอ่อนแบบนี้ได้ไหม”
“ที่รัก พวกเรากำลังช่วยเธอรักษาตำแหน่งไว้ต่างหาก”
“ไม่ต้อง เรื่องแบบนี้ยิ่งทำก็ยิ่งยุ่งยาก แล้วอีกอย่างหนานกงเฉินก็ไม่คิดที่จะไปงานประจำปีสักหน่อย” ไป๋มู่ชิงมองไปทางชั้นบนแล้วทำท่าทางให้เพื่อนทั้งสองหยุดพูดแล้วพูดเสียงเบาว่า “เราไม่ทำตัวแบบนี้ได้ไหม? พูดนินทาคนอื่นต่อหน้าคนอื่นเนี่ย”
ด้วยนิสัยของคุณหนูจู คงแอบฟังอยู่สักมุมแน่ๆ
ทั้งสามพูดคุยกันที่ห้องรับแขกสักพัก ซูซี่ก็พูดขึ้นว่า “ในเมื่อนังมือที่สามนั้นไม่กล้าลงมา งั้นเราก็ออกไปหาอะไรทำข้างนอกแล้วกินข้าวเที่ยงข้างนอกเถอะ”
“ก็ดีนะ ฉันก็คิดว่าข้างนอกคงรู้สึกสบายมากกว่าที่นี่” ไป๋มู่ชิงอยากให้พวกเธอรีบไปเร็วๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นจากโซฟา
เมื่อเธอพูดจบ จูจูก็เดินออกมาที่ทางบันไดชั้นสองแล้วเดินลงมาแล้วพูดไปด้วยว่า “ทำไม? เพิ่งมาก็จะไปแล้วหรอ?”
ทั้งสามเงยหน้ามองไปที่เธอพร้อมกัน ไป๋มู่ชิงไม่คิดว่าเธอจะลงมาเวลานี้ ทั้งทั้งที่เธอพูดว่าไม่อยากลงมา
แต่เมื่อซูซี่เห็นเงาของเธอก็รีบยิ้มขึ้นมา “ได้ยินว่าเธอกำลังยุ่งอยู่กับการซ้อมการแสดง ฉันเลยไม่อยากไปรบกวน กำลังจะไปพอดี”
“เมื่อกี้ฉันก็อยากจะซ้อมอยู่ที่ห้อง แต่ในเมื่อเพื่อนเก่ามาทั้งที ถ้าฉันเอาแต่อยู่ในห้องก็คงไร้มารยาทเกินไป” ขณะจูจูพูดก็เดินมาตรงหน้าทั้งสามแล้ว
“ก็ไร้มารยาทจริง จะทำให้คนอื่นรู้สึกว่าเธอกำลังกลัว” ซูซี่พูด
“กลัว? ฉันกลัวอะไรหรอ?”
“คนที่เป็นมือที่สามก็ต้องกลัวอยู่แล้ว แถมยังกลัวแสงสว่างด้วย”
ไป๋มู่ชิงรีบดึงชายเสื้อของซูซี่ไว้ เธอไม่อยากให้ซูซี่ทะเลาะกับจูจูต่อหน้าคนอื่น
แต่เธอไม่เข้าใจจูจูเลย เธอคงไม่ประทะคารมกับคนอื่นต่อหน้าแบบนี้หรอก
จูจูไม่โกรธแต่กลับยิ้ม “เสี่ยวซี่ ดูเหมือนเธอจะเข้าใจผิดเหมือนกับมู่ชิงเลยสิ เรื่องของฉันกับคุณชายเฉินผ่านไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้เราเป็นแค่เพื่อนกันธรรมดา ฉันแค่อาศัยอยู่ที่นี่ชั่วคราวเท่านั้น”
เธอเดินไปที่ข้างโต๊ะวางชาแล้วบอกกับทุกคน “นั่งลงเถอะ เรายังไม่ได้คุยกันดีดีเลย”
“ไม่ล่ะ พวกเรากำลังจะออกไป……” ไป๋มู่ชิงยังพูดไม่จบ ซูซี่ก็รีบพูดตัดเธอ “ได้สิ ฉันก็ไม่ได้เจอเพื่อนเก่าคนนี้มันนาน ก็ต้องคุยกันดีดีสักหน่อย”
พูดจบก็ลากไป๋มู่ชิงกลับไปนั่งลงบนโซฟา
จูจูนั่งลงข้างโต๊ะชา รินน้ำชาไปด้วยแล้วพูดด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “มู่ชิง ฉันรู้ว่าการกระทำช่วงนี้ของฉันทำให้เธอไม่พอใจ ฉันอยากจะขอโทษกับเธอ แล้วฉันสัญญากับเธอว่าจะไม่คิดเกินเลยอะไรกับคุณชายเฉิน เธอให้อภัยฉันได้ไหม?”
เธอนำชาที่รินเสร็จยื่นไปต่อหน้าไป๋มู่ชิงด้วยสีหน้าน่าเอ็นดูน่าสงสาร “มู่ชิง ช่วงนี้ฉันลำบากจริงๆเลยต้องมารบกวนเธอกับคุณชายเฉินที่นี่ ความจริงฉันก็อยากจะไปอยู่ข้างนอกแต่ว่าคุณชายเฉินไม่ไว้ใจเลยบอกให้ฉันอยู่ที่นี่ เธอก็รู้ในใจคุณชายเอาแต่คิดถึงฉัน เขาปล่อยฉันไปไม่ได้แล้วก็ไม่อยากทำร้ายเธอด้วย เพราะฉะนั้น……ขอโทษจริงๆนะ”
ไป๋มู่ชิงจ้องมองไปที่เธอ มือทั้งสองข้างที่วางอยู่บนตักก็จับเสื้อของตัวเองแน่น
พูดได้ช่างน่าฟังเหลือเกิน จนไป๋มู่ชิงทนฟังไม่ได้ ยิ่งซูซี่กับเหยาเหม่ยทนฟังไม่ได้มากว่า
“เคยเห็นคนที่ต่ำ แต่ไม่เคยเห็นต่ำขนาดนี้เลย!” ซูซี่พูดขึ้นอย่างหงุดหงิดแล้วยื่นมือไปปัดถ้วยชาที่เธอยื่นมาต่อหน้าไป๋มู่ชิง “เก็บการกระทำเสแสร้งของเธอเถอะ! หนานกงเฉินไม่ใช่คนโง่!”
น้ำชาในถ้วยสาดไปทั่ว ครึ่งนึงสาดลงบนนิ้วของจูจู ส่วนอีกครึ่งหนึ่งก็สาดลงที่ขาของไป๋มู่ชิง
ไป๋มู่ลิงรู้สึกว่าเจ็บร้อนขึ้นที่ขา แต่จูจูกลับโอดร้องขึ้นเสียงดัง ถ้วยชาก็ตกลงพื้นไปด้วย
“มู่ชิง เราไปกันเถอะ ถ้าอยู่ที่นี่ต่อฉันคงจะอ้วก!” ซูซีทดึงแขนของไป๋มู่ชิงแล้วให้เธอลุกขึ้นจากโซฟา
“บอกเธอแล้วว่าไม่ต้องเข้ามา จนตอนนี้รู้สึกสะอิดสะเอียนไหมล่ะ!” เหยาเหม่ยก็ถือกระเป๋าขึ้นแล้วลุกออกไป
เมื่อทั้งสามขึ้นมาบนรถ ซูซี่ก็พูดด้วยสีหน้าโมโห “ดูเหมือนเราจะดูถูกเธอไป ปากของผู้หญิงคนนี้ช่างร้ายกาจเหลือเกิน”
“บอกกับพวกเธอตั้งนานแล้ว ถ้าใครได้ต่อปากต่อคำกับเธอก็ต้องหงุดหงิดแบบนี้แหละ” ไป๋มู่ชิงกลับสงบสติอารมณ์ได้ ความเสแสร้งของเธอเห็นจนชินแล้ว วันนี้ไม่ใช่ครั้งแรกแล้วด้วย
“เธอก็ด้วย ทำไมถึงอ่อนแอขนาดนี้? ถ้าเป็นฉันฉันคงตบหน้าไปแล้ว” ซูซี่หันกลับมาตำหนิไป๋มู่ชิง
“ถ้าตบเธอไปแล้วเธอไปฟ้องหนานกงเฉิน คนที่เสียเปรียบก็ต้องเป็นมู่ชิงสิ?” เหยาเหม่ยตบบ่าเธอ “บอกตั้งนานแล้วว่าเธอไม่ใช่คู่แข่งของมือที่สามนั้นหรอก เธอก็หยุดสร้างเรื่องให้มู่ชิงได้แล้ว”
“นั่นแหละ ไปกันเถอะ วันนี้ทั้งวันฉันยังไม่ได้กินอะไรเลย” ไป๋มู่ชิงพูดเร่งขึ้นมา
หนานกงเฉินไม่คิดว่าคุณหญิงจะสนใจเรื่องงานประจำปีของบริษัท เขาเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจแล้วมองสำรวจคุณหญิง “คุณย่าครับ คุณย่าไม่สนใจเรื่องพวกนี้ไม่ใช่หรอครับ?”
“ตอนนี้ฉันก็ไม่คิดที่จะสนใจหรอก” คุณหญิงพูด “ตอนนี้แกไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว ในเมื่อเปิดเผยต่อหน้าสาธารณะชนแล้วก็ไม่มีข้ออ้างที่จะไม่เข้าร่วมงานประจำปี เพราะฉะนั้นปีนี้แกต้องเข้าร่วมด้วย”
“คุณย่าครับ เซิ่งเคอจะเข้าร่วมแทนผม”
“เซิ่งเคอไม่ใช่แก” คุณหญิงมองไปที่เขา “ทำไม? ไม่ว่างหรอ?”
“เปล่าครับ”
“งั้นก็ไปโผล่หน้าซะ แค่ขึ้นกล่าวอะไรก็ยังดี”
หนานกงเฉินคิดไปคิดมาแล้วพยักหน้า “ครับ ผมขอคิดดูก่อน”
“เรื่องเล็กขนาดนี้ยังต้องคิดอีกหรอ?”คุณหญิงพูดอย่างอารมณ์เสีย “แกทำอะไรชักช้าแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ฉันว่าแกโดนผู้หญิงคนนั้นทำให้เสียการซะแล้ว”
“คุณย่าครับ ผู้หญิงคนนั้นเป็นหลานสะใภ้คุณย่านะครับ” หนานกงเฉินพูดเตือนขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ฉันไม่เคยนับว่าเธอเป็นหลานสะใภ้” พูดถึงเรื่องนี้สีหน้าคุณหญิงก็เข้มขึ้นแล้วพูดกับเขา “ฉันอยากจะถามแก เมื่อไหร่แกจะแยกจากเธอซะ? แล้วแต่งงานกับคนที่แกควรจะแต่งงานด้วย?”
“คุณย่าครับผมอิ่มแล้ว” หนานกงเฉินวางตะเกียบลงแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้
คุณหญิงเห็นว่าเขากำลังจะหลีกเลี่ยงคำถามนี้เลยวางตะเกียบตามอย่างหงุดหงิด “แกหยุดเดี๋ยวนี้!”
“คุณย่าครับ ทำไมคุณย่าอารมณ์เสียอีกแล้ว?” หนานกงเฉินเดินเข้าไปตบบ่าท่านเบาเบา “คุณหมอบอกว่าคุณย่าต้องทำใจโล่งๆไว้แบบนี้อายุจะได้ยืนร้อยปี”
“แกหุบปากเดี๋ยวนี้!” คุณหญิงผลักมือเขาออกแล้วมองเขาด้วยสีหน้าเข้มงวด “ตอนนี้แกบอกฉันมาตรงๆเลย จะกลับมาเมื่อไหร่? จะแยกกับผู้หญิงคนนั้นเมื่อไหร่?”
สีหน้าของหนานกงเฉินก็เข้มงวดขึ้นแล้วพูดว่า “คุณย่าครับ ผมก็บอกกับคุณย่าไปตั้งนานแล้วไม่ใช่หรอครับ? ผมจะไม่หย่ากับยิ่งอัน คุณย่ายอมรับเธอเมื่อไหร่ผมก็จะย้ายกลับมาพร้อมเธอเมื่อนั้นครับ”
“แก……”
“คุณย่าครับ เหมือนทุกครั้งที่ผมกลับมาก็จะทำให้คุณย่าอารมณ์เสีย ถ้าอย่างนั้นอาทิตย์หน้าผมจะกลับมาดีไหมครับ?”
“แกคิดที่ ไม่กลับมาทั้งชีวิตเลยหรอ?”
“ผมก็ไม่ได้ใจดำขนาดนั้น เพราะยังไงคุณย่าก็เป็นครอบครัวของผม ผมแค่คิดว่าทุกครั้งที่ผมกลับมาก็จะทำให้คุณย่าอารมณ์เสียก็เลยรู้สึกผิดครับ” หนานกงเฉินถอนหายใจออกเบาแล้วตบบ่าท่าน “คุณย่าครับ อย่าบังคับผมเลย อย่าทำให้ตัวเองอารมณ์เสียด้วย”
“ถ้าแกไม่อยากให้ฉันอารมณ์เสียจนตาย แกก็ทำตามใจตัวเองไปเลย!” คุณหญิงพูดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
หนานกงเฉินเห็นว่าท่านก็ยังหัวแข็งเหมือนเดิมก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไรต่อเลยก้าวเดินออกจากห้องอาหาร
ไป๋มู่ชิงทานข้าวเที่ยงกับพวกเธอข้างนอกแล้วกลับมา จากนั้นก็นอนกลางวันอย่างสบายใจ ไม่ได้ยินเสียงเปียโนที่ลอยมาจากข้างห้อง แล้วก็ไม่มีใครมารบกวนด้วย
จนกระทั่งถึงเวลาอาหารเย็นก็ถูกเสี่ยวหยวนปลุกจากความฝันโดยบอกกับเธอว่าควรจะลงไปทานอาหารแล้ว เธอค่อยลุกขึ้นจากเตียงแล้วไปล้างหน้าจากนั้นก็เดินลงไปข้างล่าง
บนโต๊ะอาหารวางอาหารไว้เต็มโต๊ะ ดูเหมือนจะทำสำหรับหลายหลายคน แต่ก็ไม่เห็นเงาของจูจูเลย
ตอนนั้นเธอก็ไม่มีอารมณ์ที่จะไปถามถึงคนอื่น ถึงเธอจะไม่ลงมากินก็คงมีคนยกเข้าไปให้เธอถึงห้อง
เธอเพิ่งนั่งลงแล้วหยิบตะเกียบขึ้นกำลังจะเริ่มทาน ที่หน้าประตูก็มีเสียงรถยนต์ดังขึ้น
“เหมือนคุณชายจะกลับมาแล้วค่ะ” เสี่ยวหยวนพูดขึ้น
ไป๋มู่ชิงมองไปที่อาหารบนโต๊ะอาหาร ยังดี ยังพอสำหรับเขา
เมื่อหนานกงเฉินเดินเข้ามา เสี่ยวหยวนก็รีบถามขึ้นอย่างมีมารยาทว่า “คุณชายทานข้าวหรือยังคะ?”
“ยัง” หนานกงเฉินมองกวาดไปที่โต๊ะอาหาร เมื่อไม่เห็นเงาของจูจูเลยถามขึ้นว่า “คุณหนูจูล่ะ?”
เขาใช้สายตาที่สงสัยจ้องมองไปที่เสี่ยวหยวน แล้วเสี่ยวหยวนก็มองไปทางไป๋มู่ชิง แล้วทำท่าทางเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง
ไป๋มู่ลิงสังเกตุเห็นสายตาที่เธอมองมาในใจก็รู้สึกมีลางสังหรณ์แปลกๆแล้วจ้องพูดกับเธอว่า “เธอจะมองฉันทำไม?”
เสี่ยวหยวนพูดอย่างระมัดระวัง “มือของคุณหนูจูถูกน้ำร้อนลวก เธออาจจะร่วมการแสดงที่งานเลี้ยงประจำปีไม่ได้ เธอร้องไห้เสียใจมากเลยค่ะ”
สมองของไป๋มู่ชิงเหมือนถูกระเบิดโยนมาใส่ งงไปหมด
“มือของเธอถูกน้ำร้อนลวกได้ยังไง?” หนานกงเฉินถามขึ้นอย่างขมวดคิ้ว
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ คุณหนูจูบอกว่าเธอกำลังลินชาให้คุณหญิงน้อยไม่ระวังเลยโดนน้ำร้อนลวก……” เสี่ยวหยวนทำท่าทางที่จะพูดอะไรบางอย่างอีกครั้ง
ไป๋มู่ชิงเข้าใจสักที คุณหนูจะเล่นแบบนี้หรอ เธอไม่สังเกตุเห็นเลยแถมยังออกไปกินข้าวกับซูซี่ด้วยแล้วยังนอนหลับอย่างสบายใจ
เธอโง่ขนาดไหนกันนะ ถึงรู้สึกถึงความอันตรายนี้ไม่ได้?
ชาที่จูจูยื่นมาให้เธอเป็นชาที่เสี่ยวหยวนชงเสร็จตั้งนานแล้ว ไม่ได้ร้อนอะไรขนาดนั้นแล้วถ้วยชานั่นก็สาดลงที่ขาของตัวเองเหมือนกัน ตอนนั้นแค่รู้สึกร้อนนิดหน่อยแต่ไม่ถึงขั้นลวก
เธอเงยหน้าขึ้นก็เพิ่งรู้ว่าไม่เห็นเงาของหนานกงเฉินแล้ว คงขึ้นไปดูคุณหนูจูของเขาแล้วล่ะ
ไป๋มู่ชิงสูดหายใจเข้าเบาๆ จนทำให้เธอไม่มีความรู้สึกหิวทันที จากนั้นก็วางตะเกียบแล้วเดินขึ้นบ้านไป

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset