เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 167 หาเธอทั้งคืน

หนานกงเฉินมาถึงหน้าประตูห้องของจูจูก็ยกมือขึ้นเคาะประตู เมื่อได้ยินเสียงตอบรับแล้วค่อยเปิดประตูเข้าไป
เมื่อเขาเดินเข้าไป จูจูก็หันกลับพอดีแล้วรีบเช็ดคราบน้ำตา จากนั้นก็หันมามองเขา “เฉิน ทำไมเป็นคุณ?”
ขอบตาเธอแดงก่ำ ถึงแม้ไม่มีน้ำตาแต่ก็รู้ว่าเพิ่งร้องไห้
หนานกงเฉินมองกวาดไปที่เธอจากนั้นสายตาก็หยุดลงที่ผ้าพันแผลบนข้อมือเธอ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงว่า “ได้ยินว่าคุณถูกน้ำร้อนลวก? สาหัสหรือเปล่า?” ขณะพูดเขาก็เดินไปจับมือข้างขวาของเธอที่บาดเจ็บขึ้น
“ไม่เป็นอะไร” จูจูรีบดึงมือตัวเองออกมาจากฝ่ามือเขาด้วยสีหน้าเกรงกลัว “เฉิน คุณอย่ามาในห้องฉันดีกว่า ฉันกลัวมู่ชิงจะเห็น”
หนานกงเฉินไม่ได้ตอบในสิ่งที่ถาม “โดนลวกได้ยังไง?”
“ฉัน……ไม่ระวังเอง”
“ได้ยินเสี่ยวหยวนบอกว่ามู่ชิงเป็นคนทำ?”
จูจูเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจแล้วรีบอธิบายกับเขา “เฉิน คุณอย่าเข้าใจผิดนะ อย่าโทษมู่ชิงเลย ฉันทำให้เธอโกรธก่อน”
“คุณทำให้เธอโกรธยังไง?”
“ฉัน……แค่หลงตัวเองแล้วก็ทำตัวไม่ได้เรื่อง รู้ว่ากี่วันนี้เธออารมณ์ไม่ดีแต่ก็ยังจะไปลินชาแล้วขอโทษกับเธอ แต่สุดท้ายเธอก็……”
เธอไม่ได้พูดต่อแล้วทำตัวเหมือนกับเด็กที่ทำอะไรผิด
“คุณหนูจูคะ ทำไมคุณไม่กล้าพูดความจริงกับคุณชายคะ?” เสี่ยวหยวนที่ยืนอยู่ข้างนอกทนฟังไม่ได้เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าโมโห “ความจริงเป็นเพราะคุณหญิงน้อยนัดเพื่อนมารังแกคุณ บอกว่าคุณเข้าร่วมงานแสดงในงานเป็นเพราะอยากได้หน้า อยากจะโปรยเสน่ห์ใส่คุณชาย แถมยังด่าคุณว่าเป็นมือที่สาม ด่าคุณว่าต่ำอีก แถมยังสาดน้ำชาใส่คุณแล้วออกไปหน้าตาเฉยอีก”
“เสี่ยวหยวน……” จูจูจ้องเธอตาขวางอย่างไม่สบอารมณ์
“ไม่ใช่หรอคะ? คุณหนูตั้งใจไปขอโทษ ถึงแม้ในใจจะโกรธก็ไม่ควรใช้น้ำชาที่ร้อนสาดคนไม่ใช่เหรอคะ? ฉันไม่ได้พูดมั่วนะคะ ถ้าคุณชายไม่เชื่อคุณชายเรียกคุณหญิงน้อยมาได้เลยค่ะ”
สีหน้าของหนานกงเฉินเข้มขึ้นจนน่ากลัว จากนั้นก็หันหลังเดินออกจากห้องของจูจูไป
จูจูรีบดึงชายเสื้อของเขาแล้วพูดว่า “เฉิน คุณอย่าไปโทษมู่ชิงเลย ฉันผิดเอง ฉันไม่ควรอยู่ที่นี่ ถึงเธอจะเข้าใจผิดหรือว่าโกรธก็เป็นเรื่องปกติ จริงๆมือฉันไม่เจ็บแล้ว ฉันแค่กังวลว่าจะมีผลกระทบกับการแสดงอีกสามวันข้างหน้า ไม่มีอะไรจริงๆ”
“เฉิน ให้เรื่องนี้จบแค่นี้ได้ไหม?” จูจูพูดทั้งน้ำตา “คุณช่วยหายาที่รักษาแผลลวกนี้ให้ฉัน พรุ่งนี้มือฉันก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”
หนานกงเฉินจับมือข้างขวาเธอแล้วมองไปที่แผลบนนั้น “คุณไว้ใจเถอะ ผมจะหายาที่ดีที่สุดมาให้”
“แค่นี้ก็พอแล้ว” จูจูเผลอยิ้มออกมา
“ไปกินข้าวกันเถอะ”
“ไม่ล่ะ เดี๋ยวฉันค่อยกิน” พอพูดถึงทานข้าวสีหน้าของจูจูก็มีความก็รู้สึกกลัว
เสี่ยวหยวนที่ยืนอยู่ข้างๆก็ย้ำเตือนขึ้นว่า “คุณหนูจูคะ คุณอย่ากลัวเลย คุณหญิงน้อยกลับห้องไปแล้วค่ะ”
นี่ก็เลยทำให้จูจูโล่งอกไป แล้วเดินลงไปข้างล่างพร้อมหนานกงเฉิน
หนานกงเฉินกับจูจูทานอาหารค่ำด้วยกัน เสี่ยวหลินก็ส่งยาที่รักษาแผลมาให้
หนานกงเฉินให้จูจูนั่งอยู่บนโซฟาแล้วช่วยเธอทำแผลด้วยตัวเอง ผ้าแผลถูกมือเขาแกะออก แผลที่บวมแดงก็เผยออกมา หนานกงเฉินยกมือเธอขึ้น แล้วมองไปที่เธอ พอเห็นเธอกัดริมฝีปากพยายามกลั้นความเจ็บปวดไว้ ในใจก็รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา
“เจ็บมากเลยหรอ?” เขาถามอย่างอ่อนโยน
“ไม่เจ็บ” จูจูส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “ให้เสี่ยวหยวนทำเถอะ”
“คุณอดทนหน่อยนะ” หนานกงเฉินไม่ฟังคำพูดของเธอแล้วช่วยเธอทำแผล หยิบเอาแอลกอฮอล์มาฆ่าเชื้อที่แผลเธอแล้วทายาจากนั้นก็พันผ้าพันแผลให้
หลังจากที่ทำแผลเสร็จ จูจูก็ลุกขึ้นย้ำกับหนานกงเฉิน “เฉิน คุณอย่าโทษมู่ชิงเลย พวกคุณสองคนโกรธกันนานขนาดนี้แล้ว ควรจะดีกันได้แล้ว ไม่งั้นฉันจะรู้สึกผิดนะ”
“คุณไม่ต้องรู้สึกผิด ทำที่นี่ให้เหมือนบ้านตัวเองก็พอ” หนานกงเฉินพูดด้วยน้ำเสียงราบลื่น
จูจูพยักหน้าให้จากนั้นก็เดินกลับห้องไป
เมื่อจูจูเดินออกไปไม่นาน หนานกงเฉินก็ขึ้นไปชั้นบน เขาไม่ได้ไปห้องทำงานแต่กลับเปิดประตูห้องของไป๋มู่ชิงแล้วเดินเข้าไป
ไป๋มู่ชิงกำลังนั่งวาดรูปอยู่บนโซฟา มือข้างหนึ่งจับกระดานวาดรูปไว้ ส่วนอีกข้างหนึ่งก็ถือดินสอไว้ ไม่มีหัวข้อที่จะวาด แค่วาดเล่นๆเท่านั้น
เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู เธอก็เงยหน้าขึ้นแล้วพูดเสียดสีว่า “ทำไม ฟังที่รักแรกฟ้องจบแล้วกำลังจะจัดการกับฉันหรอ?”
หนานกงเฉินถูกการกระทำที่ไม่รู้สึกผิดของเธอกระตุ้น จากนั้นก็เร่งฝีเท้าก้าวเข้าไปแล้วจับดินสอในมือเธอโยนลงพื้น พูดตำหนิเสียงเยือกเย็น “ไม่ว่าจะยังไง คุณก็ไม่ควรจะเอาน้ำชาไปทำร้ายเธอ”
เมื่อฝ่ามือว่างเปล่า ไป๋มู่ชิงก็เลยต้องวางกระดานวาดรูปไว้ข้างๆ เธอเงยหน้าจ้องมองไปที่หนานกงเฉิน “แล้วตอนนี้คุณจะเอายังไง? ใช้น้ำร้อนสาดฉันคืนหรอ?”
“คุณ……กำลังหมายความว่ายังไง?” สีหน้าของหนานกงเฉินเข้มงวดขึ้น
“ฉันทำให้เธอบาดเจ็บแล้วยังไง? ฉันด่าเธอแล้วยังไง? เธอไม่ควรถูกน้ำร้อนลวกหรอ? ไม่ควรด่าหรอ? เธอใช้วิธีเป็นร้อยเป็นพันมาโปรยเสน่ห์ใส่คุณไม่ใช่หรอ? ฉันบอกคุณไว้นะ ที่ฉันทำเธอบาดเจ็บก็ให้หน้าคุณแล้ว ถ้าถึงตอนที่ฉันไม่แยแสอะไรกับการกระทำของเธอ คุณก็ควรรู้ว่าเพราะอะไร”
“ก็เธอสัญญากับคุณแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะไม่คิดเกินเลยกับผม? ผมก็สัญญากับคุณแล้ว คุณจะเอายังไงอีก?”
“ฉันอยากให้เธอใส่หัวออกไปจากที่นี่ซะ!”
“คุณ……”
“ใช่ ฉันก็งี่เง่าแบบนี้แหละ ฉันไม่ได้ใจกว้างขนาดนั้น ฉันอิจฉาเธอที่เธอได้ขึ้นไปแสดง ฉันเลยทำให้มือเธอบาดเจ็บ ฉันจะให้เธอขึ้นไปแสดงไม่ได้ ฉัน……”
“ไป๋มู่ชิง!” หนานกงเฉินจับแขนของเธอไว้แล้วดึงเธอขึ้นจากโซฟา “คุณตั้งสติหน่อย!”
ไป๋มู่ชิงตกใจไปจากนั้นก็พยักหน้า “ได้ ฉันตั้งสติ คุณค่อยๆถามฉันได้เลย”
“ก่อนจะถามคุณ ผมให้โอกาสคุณอธิบาย” หนานกงเจับแขนของเธอแน่นขึ้นแล้วจองไปที่เธอ “ขอให้คุณอธิบายเหตุผลที่สมเหตุสมผลว่าทำไมต้องด่าเธอแล้วสาดน้ำชาใส่มือเธอด้วย”
ในความทรงจำของเขา ไป๋มู่ชิงเป็นคนที่ไม่ทำร้ายคนอื่นแล้วก็ไม่ได้ใจดำถึงขั้นนี้ด้วย
แต่มือของจูจูได้รับบาดเจ็บนี่คือเรื่องจริงแถมยังบาดเจ็บสาหัสขนาดนั้น
ไป๋มู่ชิงจ้องไปที่เขาแล้วหัวเราะเยือกเย็น “ในสายตาคุณ เธอเป็นคนที่ยอมเสียสละชีวิตเพื่อช่วยคุณ เป็นผู้หญิงที่ใสสะอาดที่คุณรอมาสิบกว่าปี แต่ฉันเป็นคนที่โกหกคุณครั้งแล้วครั้งเล่าเป็นผู้หญิงเลือดเย็นที่ทำร้ายคุณครั้งแล้วครั้งเล่า คุณจะเชื่อคำอธิบายของฉันหรอ? คำอธิบายของฉันมีประโยชน์หรอ?”
หนานกงเฉินจ้องมองไปที่เธอ ผ่านไปครู่หนึ่งค่อยเอ่ยขึ้น “แม้แต่ลองคุณยังไม่ลองแล้ว จะให้ผมเชื่อคุณได้ยังไง?”
“ใช่ ซูซี่พูดคำพูดที่ไม่น่าฟังนั้นจริง แต่อารมณ์ร้อนของซูซี่คุณก็รู้ดี ชาก็เป็นซูซี่ที่ปัดทิ้ง แต่ว่า……” ไป๋มู่ชิงกัดฟันแน่น “น้ำร้อนในชาชงไปพักนึงแล้ว บวกกับเวลาที่เทลงแก้ว น้ำนั่นไม่ร้อนเลย น้ำในชาส่วนนึงสาดไปที่มือเธอ ส่วนหนึ่งก็สาดมาที่ขาฉันด้วย”
ไป๋มู่ชิงถกชุดนอนขึ้นให้เห็นขาของเธอแล้วชี้ไปที่ขาของตัวเอง “คุณดูสิ ตอนนั้นอาจจะแดงบ้าง แต่ตอนนี้เป็นอะไรหรือเปล่า?”
หนานกงเฉินมองไปที่ขาของเธอ สีหน้าก็ยังเยือกเย็นเหมือนเดิม “ถ้านั่นเป็นน้ำชาที่ร้อนเดือดล่ะ?”
“ฉันไม่ได้บอกว่าถ้า ฉันกำลังบอกคุณว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังเสแสร้ง”
“แต่แผลบนข้อมือเธอ ผมเป็นคนเห็นกับตา”
ไป๋มู่ชิงไม่รู้จะพูดยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอเองก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกัน
“ไม่สนเรื่องแผลของเธอจะสาหัสแค่ไหน แต่วิธีการที่พวกคุณทำกับเธออย่างนั้น……ถ้าเกิดในแก้วเป็นน้ำกรดล่ะ? พวกคุณก็จะสาดไปอย่างงั้นเลยหรอ?”
“แล้วตอนนี้คุณหมายความว่ายังไง?” ไป๋มู่ชิงจ้องมองเขาด้วยสีหน้าไม่เกรงกลัว “ถ้าตอนนี้คุณกำลังหมายถึงว่าฉันรังแกเธอ ฉันไม่ยอมรับ แต่ถ้าคุณกำลังโทษว่าฉันทำอะไรไม่คิด……ฉันยอมรับ อีกหน่อยฉันก็จะระวัง”
“คุณทำให้มือเธอสาหัสขนาดนั้นแล้ว!”
“ฉันบอกแล้วไงว่าเธอเสแสร้ง!” ไป๋มู่ชิงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงโมโห
ดูเหมือนเขาจะยังโทษเธออยู่ โทษที่เธอทำให้คุณหนูจูของเขาบาดเจ็บ ในใจเธอก็รู้สึกผิดหวังขึ้นมา
“คุณหมายความว่า แผลบนมือเธอ เธอเป็นคนทำเองงั้นหรอ?”
“ฉันจะรู้ได้ยังไง?” ไป๋มู่ชิงยกมือขึ้นผลักเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “ตอนนี้ด่าก็ด่าแล้ว สั่งสอนก็สั่งสอนแล้ว คุณออกไปได้หรือยัง?”
หนานกงเฉินจับมือของเธอที่กำลังทุบตีเขา “ทำไมคุณถึงเลือดเย็นขนาดนี้? แม้แต่ความรู้สึกผิดก็ไม่มีเลยหรอ?”
“เพราะว่าฉันไม่ได้ทำอะไรผิด” ไป๋มู่ชิงกระพริบตาไม่ให้น้ำตาไหลออกมาแล้วเธอก็ยิ้มอย่างเยือกเย็น “ฉันอธิบายกับคุณแล้ว ในเมื่อคุณเลือกที่จะเชื่อเธอ งั้นก็เชื่อเธอไปเถอะ ฉันไม่รู้จะพูดยังไงต่อ”
หนานกงเฉินจ้องมองไปที่เธออย่างกัดฟันแน่น จากนั้นก็หันหลังเดินไปทางประตู
ในห้องกลับมาสงบสักที ไป๋มู่ชิงหลับตาลงแล้วหายใจเข้าลึกๆ น้ำตาแห่งความโกรธสุดท้ายก็ไม่ได้เอ่อล้นออกมา
เธอเข้าใจซูซี่แล้วว่าทำไมยอมอยู่ในคอนโดก็ไม่ยอมกลับไปที่บ้านใหญ่ตระกูลเฉียว อยู่กับผู้ชายที่ไม่เข้าใจแล้วก็ไม่เชื่อใจตัวเองเป็นเรื่องที่ยากเหลือเกิน แถมข้างกายเธอยังมีคุณหนูจูอีก ตอนนี้ชีวิตเธอคงลำบากมากกว่าซูซี่เลยสินะ!
เพราะว่าไม่ได้ทานอาหารเย็น ไป๋มู่ชิงนอนอยู่บนเตียงนอนยังไงก็นอนไม่หลับ สุดท้ายก็ลุกขึ้นจากบนเตียงแล้วเดินไปหาของกินที่ห้องครัวชั้นหนึ่ง
สุดท้ายก็เจอบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในลิ้นชัก เธอก็ขี้เกียจต้มเลยกินแห้งอย่างงั้นในมุมห้องครัวเลย
อาจจะเป็นเพราะหิวมาก เธอเลยรู้สึกว่าบะหมี่นี้อร่อยมาก ทั้งหอมทั้งกรอบ
เธอกินไปด้วยแล้วนึกย้อนคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้
หนานกงเฉินบอกว่าแผลบนมือของผู้หญิงคนนั้นเป็นแผลจริงเป็นไปได้ยังไง? เพื่อที่จะใส่ร้ายเธอถึงขั้นลงทุนขนาดนี้ ใช้น้ำร้อนราดใส่ตัวเองอีกครั้งเหรอ?
พอนึกถึงภาพที่น้ำร้อนราดไปบนมือ ไป๋มู่ชิงก็รู้สึกขนลุกขึ้นมา ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงผู้หญิงคนนี้คงบ้าไปแล้ว น่ากลัวมาก ถ้าเทียบกับไป๋ยิ่งอันที่ใสบื้อ คนนี้น่ากลัวมากกว่า!
อาจจะเป็นเพราะคิดจนเพลินเกินไป เธอเลยไม่รู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังเดินเข้าใกล้ จนกระทั่งหนานกงเฉินนั่งลงข้างกาย เธอค่อยรู้สึกตัวแล้วสะดุ้งตกใจ
เธอมองกวาดไปที่หนานกงเฉินที่นั่งอยู่ข้างตัว แล้วมองไปที่นาฬิกาบนผนัง ตอนนี้เที่ยงคืนกว่าแล้วเขายังไม่นอน?
“ทำไมคุณถึงนอนไม่หลับ? กำลังเป็นห่วงคนรักของคุณหรอ?” เธอเอ่ยขึ้นอย่างเสียดสี
“ใช่ ผมกำลังคิดว่าถ้ามีรอยแผลเป็นบนมือเธอจะทำยังไง? ตอนเล่นเปียโนคงน่าเกลียด” หนานกงเฉินหันมองไปที่เธอ “แล้วคุณล่ะ? ทำไมถึงนอนไม่หลับ?”
ไป๋มู่ชิงกัดฟันแน่นตัดสินใจที่จะไม่ทะเลาะกับเขา “ฉันไม่ได้กินข้าวเย็นเลยหิว”
ดูเหมือนเมื่อกี้เขายังทะเลาะไม่พอใจ ตอนนี้ก็จะมาหาเรื่องทะเลาะกับเธออีก
หนานกงเฉินมองไปที่ท่าทางของเธอที่สงบแล้วรู้สึกประหลาดใจ แต่เขาไม่ได้มาเพื่อทะเลาะกับเธอ เขาหิวเหมือนกับเธอเลยลงมาหาอะไรกิน ไม่คิดว่าจะเห็นเธอกำลังกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแห้งที่นี่
เขายื่นมือไปหยิบบะหมี่ในถ้วย ไป๋มู่ชิงก็รีบจับข้อมือของเขาไว้ “คุณจะทำอะไร?”
“กินบะหมี่ไง” หนานกงเฉินมองไปที่มือของเธอที่กำลังจับตัวเองอยู่
“นี่เป็นบะหมี่ของฉัน ถ้าคุณจะกินคุณไปหาเอง” ไป๋มู่ชิงแย่งบะหมี่ในมือเขากลับมาแล้วกอดถ้วยบะหมี่ไว้ในอ้อมกอดแน่น
“แม้แต่บะหมี่ถ้วยเดียวก็จะแบ่งกับผมขนาดนี้เลยหรอ?”
“ใช่ คุณไปกินบะหมี่ถ้วยเดียวกันกับรักแรกของคุณเถอะ” ไป๋มู่ชิงพูดจบลุกขึ้นกำลังจะเดินหนี
แต่หนานกงเฉินกลับจับข้อมือเธอไว้แล้วดึงเธอกลับมา จ้องมองเธออย่างไม่สบอารมณ์ “คุณหนูไป๋ วันนี้คนที่ควรโกรธเป็นผม”
“คุณก็โกรธไปสิ ฉันก็โกรธของฉัน ต่างคนต่างโกรธ” พูดจบไป๋มู่ชิงก็สะบัดมือเขาทิ้งแล้วเดินออกจากห้องอาหาร เดินขึ้นไปชั้นบน
เมื่อไป๋มู่ชิงกลับมาถึงห้องนอนก็นั่งกินบะหมี่ของตัวเองบนโซฟา เดิมทีที่รู้สึกว่าบะหมี่นี้อร่อย แต่พอยิ่งกินไปยิ่งไม่น่ากิน กินไปครึ่งหนึ่งก็กินไม่ลงแล้ว
เธอนำบะหมี่ที่เหลือวางไว้ที่มุม จากนั้นก็หยิบรีโมทขึ้นเปิดทีวีดู
ดูไปได้สักพัก ประตูในห้องนอนก็ถูกใครบางคนเปิดออก เธอยืดตัวตรงจากบนโซฟา ดึกขนาดนี้แล้วมีคนมาเปิดประตูก็น่ากลัว แต่เมื่อเธอเห็นว่าหนานกงเฉินเดินเข้ามาเลยโล่งอกไป
แต่ว่า……เขามาในห้องเธอทำไม? แถมยังถือถ้วยใบใหญ่สองถ้วยมาด้วย
หนานกงเฉินวางถ้วยลงตรงหน้าเธอแล้วมองไปที่บะหมี่ที่เธอทิ้งไว้ตรงมุม “ต่อไปอยากกินอีก มันไม่ดีต่อสุขภาพ”
ไป๋มู่ชิงมองกวาดไปที่ถ้วยบะหมี่บนโต๊ะ “รักแรกทำให้คุณ?”
ถึงแม้บะหมี่ในถ้วยนี้จะดูดี แต่ดูเหมือนน้ำจะใส่น้อยเกินไป เธอไม่คิดว่าหนานกงเฉินจะเป็นคนทำเอง เพราะว่าชีวิตนี้เขาไม่เคยเข้าห้องครัวเลย
หนานกงเฉินแบ่งตะเกียบให้เธอหนึ่งคู่ แล้วพูดด้วยสีหน้านิ่งเฉย “เหลือถ้วยหนึ่งให้คุณไว้คือให้หน้าคุณ อย่าหาเรื่องเลย”
ไป๋มู่ชิงก็รู้สึกหิวอยู่แถมยังอยากลองชิมดูว่าบะหมี่ที่เขาทำรสชาติเป็นยังไง จะแย่มากหรือเปล่า แต่สีหน้าของเขาก็ทำให้เธอกลืนอารมณ์โกรธนี้ไม่ได้ เธอเลยต้องกลั้นใจไว้ “อย่าคิดว่าให้บะหมี่ถ้วยเดียวกับฉันแล้วฉันจะให้อภัยคุณ ไม่มีทาง!”
เธอยกถ้วยบะหมี่ขึ้นกินหนึ่งคำ ยังดี เป็นรสชาติของบะหมี่อยู่
“ผมต้องการให้คุณให้อภัยหรอ?” หนานกงเฉินทอดมองไปที่เธอ “ผมต่างหาก ให้อภัยคุณแล้ว ยังมาส่งบะหมี่ให้คุณอีกคุณก็ควรขอบใจไม่ใช่หรอ?”
“หนานกงเฉิน เอาบะหมี่ของคุณไปเลย” ไป๋มู่ชิงวางตะเกียบลงบนโต๊ะ “ฉันไม่ต้องการการให้อภัยของคุณ ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้ทำให้เธอบาดเจ็บ”
ที่แท้ที่เขานำบะหมี่มาให้เธอไม่ใช่เพราะเชื่อใจเธอ แต่กลับให้เธอยอมแพ้แล้วยอมรับเป็นความผิดของตัวเอง
“คุณพอหรือยัง?” หนานกงเฉินหงุดหงิด
“ฉันไม่ได้งี่เง่า!” ไป๋มู่ชิงจ้องไปที่เขา ความรู้สึกผิดหวังในใจก็เอ่อล้นออกมา
เธอกินไม่ลงจริงๆเลยหันหลังกลับไปบนเตียงแล้วดึงผ้าห่มมาคลุมตัวเองไว้
หนานกงเฉินวางตะเกียบในมือเหมือนกัน หงุดหงิดจนกินไม่ลงจากนั้นก็เอนตัวพิงไปที่โซฟาแล้วทอดมองไปที่เธอ
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาค่อยเดินไปดึงผ้าห่มออกแล้วนอนลงไปกอดเอวเธอไว้แล้วกอดเธอเข้ามาในอ้อมแขนพร้อมพูดข้างหูเธอว่า “เราสงบศึกกันได้ไหม?”
เขาคิดว่าถ้ายังทำสงครามต่อคงเหนื่อยน่าดู อีกไม่กี่วันก็งานประจำปีบริษัทแล้ว ถึงเวลาเธอก็ต้องออกงานในฐานะภรรยาของบอสด้วยกัน ถ้าถึงเวลานั้นทั้งสองคนยังทำหน้าบึ้งตึงอยู่คนอื่นจะคิดยังไง
เพราะฉะนั้น ถึงแม้จะเพื่องานบริษัทในอีกสามวันเขาก็คงปล่อยให้เธอทำตัวแบบนี้ต่อไม่ได้
“ในเมื่อคุณไม่เชื่อใจฉัน ทำไมยังต้องฝืนใจอยู่กับฉันอีก?” ไป๋มู่ชิงพูดขึ้น
“ผมบอกแล้วว่าจะไม่หย่ากับคุณก็จะไม่หย่า ในเมื่อเป็นสามีภรรยากันก็ควรมีท่าทางที่เป็นสามีภรรยากัน” หนานกงเฉินสูดหายใจเข้าเบาๆ “เรื่องวันนี้ผมไม่พูดถึงแล้ว ไม่ว่าใครจะถูกใครจะผิดก็ให้มันผ่านไปเถอะ”
ให้มันผ่านไป เขาพูดได้สบายมาก แต่ความรู้สึกในใจเธอล่ะ? เขาเข้าใจบ้างหรือเปล่า?
ไป๋มู่ชิงหลับตาลง ไม่พูดอะไรแล้ว
ฝ่ามือที่หนานกงเฉินกอดเธอไว้เริ่มออกนอกกฎ ไป๋มู่ชิงนึกถึงเรื่องของวันนี้ก็นำมือเขาออกจากบนตัวของตัวเองอย่างหงุดหงิด จากนั้นก็ใช้ผ้าห่มคุมตัวเองไว้แน่น
เช้าวันต่อมา ถึงทั้งสองจะไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลย แต่กลับออกมาจากห้องนอนพร้อมกัน
จูจูกำลังนั่งอยู่บนโซฟาที่ชั้นหนึ่งให้เสี่ยวหยวนทำแผลให้เธออยู่ เสี่ยวหยวนเพิ่งแกะเอาผ้าพันแผลบนมือเธอออก ก็เห็นแผลบนมือได้อย่างชัดเจน เพราะว่ามือของเธอบวมขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
ก็ว่าทำไมไม่ว่าเธอจะพูดยังไงหนานกงเฉินก็ไม่เชื่อเธอว่าน้ำชาไม่ได้ร้อน แต่พอเห็นแผลบนหลังมือของจูจู ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้ชายคนอื่นก็คงไม่เชื่อเหมือนกัน
พูดได้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้บ้าไปแล้วจริงๆ เพื่อที่เธอจะได้แตกหักกับหนานกงเฉิน ทำร้ายร่างกายตัวเองได้ลงคอ
“อรุณสวัสดิ์” จูจูก็ยังยิ้มทักทายกับพวกเขาเหมือนเดิม
หนานกงเฉินมองไปที่หลังมือเธอแล้วถามขึ้นอย่างเป็นห่วง “มือคุณเป็นยังไงบ้าง? ดีขึ้นหรือยัง?”
“ดีขึ้นแล้ว ยาที่คุณให้ฉันดีมากเลย คุณดูสิดีกว่าเมื่อวานแล้ว” จูจูยกมือที่มีแผลขึ้นให้หนานกงเฉินดูแล้วให้ไป๋มู่ชิงมองได้ชัดเจนขึ้น
หนานกงเฉินจับไปที่มือของเธอแล้วพยักหน้า “ไม่บวมเหมือนเมื่อคืนแล้ว”
“เพราะฉะนั้น ก็ต้องขอบคุณยาที่คนให้ด้วย” จูจูพูดขอบคุณ
เสี่ยวหยวนมองไปที่บาดแผลของจูจูแล้วพูดอย่างกลัว “คุณชายคะ คุณมาช่วยคุณหนูทำแผลเถอะค่ะ ฉันไม่เคยทำแผลดูฉันรู้สึกเกร็ง”
“มีอะไรน่าเกร็ง ก็แค่แผลเล็กๆเอง” จูจูพูดตำหนิ “เรื่องเล็กแค่นี้ยังต้องลำบากคุณชายหรอ? ฉันทำเองก็ได้”
เธอพูดพร้อมกับนำสำลีทำแผนขึ้นทำความสะอาดแผลให้ตัวเอง หนานกงเฉินก็รีบห้ามเธอไว้ “ให้ผมทำเถอะ” ระหว่างพูดเขาก็ยกมือของจูจูข้างที่มีแผลขึ้น อีกข้างก็หยิบสำลีขึ้น
ไป๋มู่ชิงมองไปที่สีหน้าเป็นห่วงของเขา ความหึงในใจก็เอ่อล้นออกมาแล้วพูดว่า “ถ้าพูดถึงการทำแผล ฉันมีประสบการณ์มากกว่าพวกคุณ ให้ฉันมาทำเถอะ”
พูดจบ เธอก็ไม่สนว่าคนอื่นตกลงหรือเปล่า ก็เบียดหนานกงเฉิน แล้วรับมือของจูจูที่มีแผลของมา
ถึงแม้จูจูจะรู้สึกเกร็งเพราะว่าไม่รู้ว่าเธอจะทำอะไรกันแน่ แต่ก็ยังรักษารอยยิ้มที่มีมารยาทแล้วเอ่ยว่า “ขอบใจนะมู่ชิง”
“ไม่ต้องหรอก ฉันเป็นคนทำให้เธอเป็นแบบนี้เองฉันก็ควรจะทำแผลให้เธอสิ” ไป๋มู่ชิงเห็นฝ่ามือเธอเกร็งเลยยิ้มอ่อน “ฉันเคยดูแลเด็กที่สถานรับเลี้ยงเด็ก ไม่ว่าเด็กจะมีแผลหกล้มฉันก็เป็นคนทำแผลให้พวกเขา ประสบการณ์ไม่แพ้พยาบาลเลย เพราะฉะนั้นเธอไม่ต้องเกร็ง ทำตัวสบายๆ”
จูจูยิ้มแห้งไปแต่ก็กั้นหายใจไปด้วย
ไป๋มู่ชิงใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์ล้างแผลให้เธอแล้วเป่าไปที่แผลเธอเบาๆ เพื่อให้แผลไม่เจ็บขนาดนั้น เมื่อสำลีแตะโดนแผลที่เปิดออก เธอก็จงใจออกแรงนิดหน่อย
จูจูกรีดร้องออกมา “อ้า เจ็บจัง!”
ดูเหมือนแผลจะเป็นแผลจริง ไป๋มู่ชิงเงยหน้าขึ้นแล้วพูดด้วยรู้สึกผิด “ล้างแผลก็ต้องเจ็บสิ ทนหน่อยนะ”
พูดจบเธอก็ก้มลงไปทำแผลให้อย่างอ่อนโยน จนสุดท้ายพันผ้า พันแผลเสร็จ จูจูเจ็บจนอยากจะฆ่าคนแล้ว
เธอรู้ว่าไป๋มู่ชิงจงใจเอาคืน ในใจสาบานกับตัวเองว่าวันอื่นจะให้เธอชดใช้คืนเป็นร้อยเท่า!
“เสร็จแล้ว ไปกินอาหารเช้ากันเถอะ” ไป๋มู่ชิงลุกขึ้นจากตรงหน้าเธอแล้วยิ้มให้
จูจูยิ้มอ่อนให้ เมื่อเงยหน้ามองไปที่หนานกงเฉิน ขอบตาก็ชุ่มฉ่ำทันที
หนานกงเฉินจะมองไม่ออกได้ยังไงว่าไป๋มู่ชิงจงใจ? เขาอารมณ์เสียจนอยากจะบีบเธอให้เละ แต่เขาไม่ได้ทำอย่างงั้น แต่กลับจับมือข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บของจูจูไว้ “จูจู คุณบอกว่าคุณอยากกินมูสเค้กข้างนอกไม่ใช่หรอ? ผมพาคุณไปกิน”
จากนั้นเขาก็จูงมือเธอเดินออกไปทางประตู
คุณหนูจูเดินตามเขาไปด้วยแล้วหันกลับมามองไป๋มู่ชิงด้วย รีบพูดขึ้นว่า “แค่เราสองคนไปหรอคะ? ให้มู่ชิงไปกับเราด้วยสิ”
“เธอไม่ชอบมูสเค้ก” พูดจบคำนี้หนานกงเฉินก็เดินออกไปแล้ว
ไป๋มู่ชิงยืนนิ่งอยู่กับที่ ฟังเสียงฝีเท้าของทั้งสองก้าวออกไปนอกประตูแล้วค่อยเดินไปทางห้องอาหาร
ใกล้งานเลี้ยงประจำปีแล้ว ไป๋มู่ชิงได้ยินเพื่อนร่วมงานพูดคุยกันมากที่สุดก็เรื่องที่จะใส่ชุดอะไรในวันงาน ใส่รองเท้าอะไรไปร่วมงาน งานประจำปีนี้จะมีผู้บริหารเบื้องบนหลายท่าน หญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานก็วาดฝันจะใช้โอกาสนี้เพื่อที่จะได้แต่งงานกับคนรวย ส่วนคนที่แต่งงานแล้วก็จะใช้โอกาสนี้ในการประจบประแจ ในใจทุกคนก็เฝ้าตั้งตารอคอยกันหมด
ในห้องทำงานนอกจากไป๋มู่ชิงแล้ว ทุกคนก็กระตือรือร้นกันมาก จนถึงขั้นนัดกันจะไปซื้อเสื้อผ้าด้วยกันหลังเลิกงาน
เสี่ยวเถียนเห็นไป๋มู่ชิงเอาแต่ก้มหน้าก้มตากินข้าวเลยหันกลับมาถาม “มู่ชิง เธอจะไปช้อปปิ้งกับเราหรือเปล่า?”
ไป๋มู่ชิงเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มให้ทุกคน “ฉันไม่ไปแล้วกัน พวกเธอไปเถอะ”
“แล้วพรุ่งนี้เธอจะใส่อะไร?” เสี่ยวเถียนถามแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ว่าคุณชายเฉินไม่ร่วมงานเธอก็จะไม่ร่วมด้วยงั้นหรอ?”
“ฉันไม่ได้ตื่นเต้นกับงานประจำปีขนาดนั้น”
“ทำไม? งานประจำปีสนุกมากๆ ได้เห็นผู้ชายหล่อๆได้กินของอร่อยๆ แถมยังเป็นอาหารหรูหราที่เราเอื้อมไม่ถึงด้วย”
“อาหารหรูหราในสายตาเรา มู่ชิงอาจจะกินจนเบื่อแล้ว” เพื่อนร่วมงานอีกคนพูดขึ้น
เสี่ยวเถียนก็พยักหน้า “ก็จริง”
ไป๋มู่ชิงคิดไปคิดมาแล้วพูดว่า “ฉันไปเดินกับพวกเธอดีกว่า”
ถึงจะกลับไปแล้วก็สร้างปัญหาเปล่าๆ กลับดึกหน่อยดีกว่า
กี่วันนี้จูจูใช้แผลบนมือของตัวเองออดอ้อนต่างๆกับหนานกงเฉิน จนเธอทนดูไม่ได้ เธอกลัวว่าตัวเองจะอาละวาดออกมา
หลังจากเลิกงาน ไป๋มู่ชิงก็ไปเดินซื้อเสื้อผ้ากับกลุ่มเสี่ยวเถียน ทุกคนสีหน้าดูดีใจกระตือรือร้นมาก จนเธอเริ่มอิจฉาชีวิตที่เรียบง่ายของพวกเธอ
มองไปที่พวกเธอลองเสื้อผ้ากันอย่างมีความสุข ไป๋มู่ชิงก็อดใจไม่ไหวก็เริ่มลองเสื้อผ้าเหมือนกัน
เมื่อออกมาจากห้างในมือทุกคนก็ถือถุงไว้ ไป๋มู่ชิงก็ไม่ต่างกัน
เสี่ยวเถียนมองไปที่ไป๋มู่ชิงแล้วถามขึ้น “พวกเราว่าจะไปเสริมสวย เธอจะไปกับพวกเราไหม?”
ไป๋มู่ชิงยกมือขึ้นดูนาฬิกาบนข้อมือ “นี่สามทุ่มแล้วคลินิกคงปิดแล้วมั้ง?”
“เพื่อนฉันเป็นเจ้าของ ฉันบอกเธอแล้วว่าอย่าพึ่งรีบปิด” เพื่อนพนักงานอีกคนจับไปที่หน้าของตัวเองแล้วพูดยิ้มๆ “พรุ่งนี้เลิกงานก็ต้องไปทำผมด้วย ถ้าจะมาร์คหน้าก็คงไม่ทันแล้วแหละ”
ไป๋มู่ชิงไม่รู้จะพูดยังไง ผู้หญิงเหล่านี้ทำเหมือนจะแต่งงาน ยังต้องมาร์คหน้าทำผมอีก!
เธอส่ายหัวแล้วตามพวกเธอไป
สี่ทุ่มแล้วก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าไป๋มู่ชิงจะกลับมา ในใจของหนานกงเฉินก็รู้สึกร้อนลนลานขึ้นมา เขาเดินขึ้นเดินลงวนวนหลายรอบ ก็ไม่เห็นเงาของเธอจากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาซูซี่
เมื่อได้ยินเขาถามหาตัวไป๋มู่ชิง ซูซี่ก็รีบพูดขึ้น “ครั้งนี้ฉันไม่รู้เรื่องนะ ฉันเข้าห้องน้ำอยู่บ้าน ไม่เชื่อคุณก็ฟังเสียงชักโครกสิ”
พูดจบเธอก็ให้เขาฟังเสียงชักโครกจริงๆ
หนานกงเฉินขมวดคิ้ว “หมายความว่ายังไงว่าที่ครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับเธอ? เรื่องครั้งก่อนเกี่ยวกับเธองั้นหรอ?”
“มู่ชิงไม่ได้บอกคุณหรอ? ครั้งก่อนที่ดูเธอหนังดูกับฉัน ฉันจงใจให้เฉียวเฟิงส่งเธอกลับบ้านเอง”
เมื่อหนานกงเฉินได้ยินเธอพูดก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา “เธอจะทำอะไร? จะทำให้เรื่องมันยุ่งยากงั้นหรอ?”
“เปล่า ฉันแค่อยากให้คุณเข้าใจ ไม่ใช่แค่คุณมีรักแรก มู่ชิงของเราผู้ชายก็ชอบเยอะแยะ คุณไม่ต้องการเธอ แต่มีผู้ชายเยอะแยะที่ต้องการ!”
“มู่ชิงไม่ได้บอกคุณหรอ? ตอนนี้ผมกับจูจูก็เป็นแค่เพื่อนกัน อีกหน่อยก็จะเป็นแค่เพื่อนกัน”
“เป็นเกินเพื่อนไปหรือเปล่า?” ซูซี่ยิ้มเยาะเย้ย “เพื่อนของคุณถึงขั้นรังแกมู่ชิงแล้ว คงไม่นานคงไล่มู่ชิงออกจากบ้านไปล่ะสิ?ใช่สิ ตอนนี้มู่ชิงยังไม่กลับ เธออาจจะแอบมีความสุขอยู่ที่ไหนสักที่ก็ได้”
“ซูซี่เธออย่าพูดมั่ว” หนานกงเฉินพูดอย่าหงุดหงิด “อีกอย่าง ผมยังไม่อยากหย่ากับมู่ชิง ขอให้คุณอย่ามาทำลายความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเธอ มีเวลาก็ดูแลสามีตัวเองให้ดีก็พอแล้ว!”
“คุณ……” ซูซี่โกรธเหมือนกัน “ฉันไม่เอาสามีของฉันตั้งนานแล้ว ฉันไม่ต้องสนใจ ตอนนี้ฉันว่าง ฉันเบื่อ ฉันก็จะยุ่งเรื่องคุณนี่แหละ เพราะฉะนั้นคุณบอกกับนังหน้าไม่อายของคุณด้วยว่าให้ทำตัวดีดีไม่งั้นฉันไม่……!”
รอให้ซูซี่พูดจบ หนานกงเฉินก็หงุดหงิดจนตัดสายแล้วโยนโทรศัพท์ลงโซฟา
เขายืนอยู่กับที่สักพักจากนั้นค่อยเดินไปนั่งลงบนโซฟา
จูเขาเดินลงมาจากชั้นบน มองไปที่เขาแล้วเทน้ำอุ่นใส่แก้วยื่นไปที่เขาแล้วถามขึ้นอย่างเป็นห่วง “ดึกขนาดนี้แล้วทำไมคุณยังไม่นอน?”
หนานกงเฉินเงยหน้ามองไปที่เธอแล้วปรับสีหน้าบนหน้า “ผมยังไม่ง่วง”
เมื่อนึกถึงคำพูดที่ซูซี่ด่าเธอ หนานกงเฉินก็อดมองไปที่เธอไม่ได้ ในใจก็รู้สึกเป็นห่วง “คุณล่ะ ทำไมยังไม่นอน”
“ฉันยังไม่ง่วง”
“รีบพักผ่อนดีกว่าเพื่อต้อนรับการแสดงของพรุ่งนี้”
“พรุ่งนี้คุณจะร่วมงานใช่ไหม?” จูจูถาม
หนานกงเฉินลังเลไปครู่นึงแล้วพยักหน้า “ใช่”
“คุณจะร่วมงานประจำปี?” จูจูเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ ใบหน้ามีแต่ความดีใจ “ฉันได้ยินเพื่อนร่วมงานบอกว่าคุณไม่เคยร่วมงานบริษัทเลย ทำไมปีนี้……”
“ปีนี้ไม่เหมือนเดิม ผมมีครอบครัวมั่นคงแล้ว” หนานกงเฉินยิ้มอ่อน
“แล้วคุณก็จะมาดูการแสดงของฉันใช่ไหม? ดีมากเลย!” จูจูเอ่ยขึ้นอย่างดีใจ
หนานกงเฉินไม่อยากจะพูดแทรกเธอ บอกกับเธอว่าความจริงเขาแค่ไปกล่าวเปิดงานก็จะไปแล้ว คงไม่อยู่ดูการแสดง
“เฉิน ฉันขึ้นไปแสดงบนเวทีครั้งแรก ฉันแสดงเป็นลำดับที่สาม ถึงเวลาคุณต้องดูอยู่ข้างล่างเวทีนะ” จูจูกอดแขนเขาไว้อย่างลืมตัวแล้วพูดอย่างดีใจว่า “ไม่คิดว่าฉันขึ้นแสดงครั้งแรกก็จะมีคนที่สำคัญดูอยู่ข้างล่าง แค่คิดก็ดีใจแล้ว”
เมื่อเธอพูดจบก็รีบพูดขึ้นอีกว่า “เฉิน ขอบใจคุณนะ ฉันจะตั้งใจแสดงให้เต็มความสามารถ”
หนานกงเฉินยิ้มอ่อนให้เธอ “ทำเต็มที่ก็พอแล้ว”
เขานำมือทั้งสองของเธอออกจากบนตัวแล้วพูดว่า “รีบขึ้นไปพักผ่อนเถอะ ถ้านอนดึกจะไม่สวย”
“ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ ราตรีสวัสดิ์!” จูจูทำหน้าขี้เหร่ใส่เขาอย่างน่ารักแล้วเดินขึ้นไปอย่างดีใจ
รอยยิ้มบนใบหน้าหนานกงเฉินค่อยค่อยหายไป แล้วมองไปทางนาฬิกาบนผนัง จากนั้นก็ยกโทรศัพท์เพื่อโทรออกแล้วเดินไปทางประตูด้วย
อีกฝั่งโทรศัพท์ก็ยังมีเสียงตอบรับว่าปิดเครื่องอยู่ เขาเลยต้องวางสายแล้วเปิดแอพพลิเคชั่นตำแหน่งที่ไม่ได้เปิดมานาน ในแอพพลิเคชั่นแสดงให้เห็นว่าไป๋มู่ชิงยังอยู่ในตัวเมือง จากนั้นเขาเลยเปิดประตูขึ้นรถแล้วขับไปทางตัวเมือง
ไป๋มู่ชิงออกมาจากคลินิก ใบหน้าที่ชุ่มฉ่ำนี้ช่างดีเหลือเกิน แต่อารมณ์ดีได้แค่ครู่หนึ่ง เธอก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองพลาดรถเมล์คันสุดท้ายไปแล้ว
ถึงแม้บ้านพักจะไม่ได้อยู่นอกเมือง แต่ก็อยู่มุมเมืองเหมือนกันรถเมล์ที่ไปที่นั่นมีแค่สายเดียว ตอนนี้พลาดแล้วเธอเลยจำเป็นต้องนั่งแท็กซี่กลับ
โซนนั้นเป็นโซนคนรวย ส่วนมากจะมีรถส่วนตัว แท็กซี่ก็ไม่ค่อยอยากไปเพราะว่าไม่ค่อยมีลูกค้าเลยหาข้ออ้างต่างๆมาปฏิเสธ
โบกถึงคันที่สาม คนขับก็ใช้ข้ออ้างที่ว่ากำลังจะไปเปลี่ยนเวน บอกให้เธอรอคันข้างหน้า สุดท้ายไป๋มู่ชิงก็โมโหแล้วเท้าสะเอวพูดอย่าหงุดหงิด “คิดว่าฉันไม่รู้เหรอว่าพวกคุณเปลี่ยนเวรกันก่อนอาหารเย็น ถ้าคุณรีบที่จะไปเปลี่ยนเวร ทำไมต้องหยุดแล้วถามว่าฉันจะไปไหน? ฉันบอกคุณไว้เลยฉันจะโทรไปฟ้องร้องคุณ”
“คุณผู้หญิง ผมต้องกลับไปเปลี่ยนเวรจริงๆ รบกวนคุณรอคันต่อไปเถอะครับ ขอโทษนะครับ” คนขับไม่สนคำขู่ของเธอ แล้วเหยียบคันเร่งแล่นออกไป ไม่เหลือโอกาสให้เธอได้จำป้ายทะเบียนเลย
ไป๋มู่ชิงหงุดหงิดจนกระทืบเท้าตามไปด้วยตะโกนด่าไปด้วย “ไอ้บ้า! มีจรรยาบรรณบ้างไหม? ฉันจะโทรไปฟ้องแกแน่……!”
สุดท้ายรถแท็กซี่ก็เเล่นหายไปในความมืด เหลือแค่เธอที่กระทืบเท้าเหมือนคนบ้า
วิ่งไล่ตามไปสิบกว่าก้าว สุดท้ายไป๋มู่ชิงก็ยอมแพ้แล้วหยุดก้าวขา จ้องมองไปทางที่รถแล่นหายไป ผ่านไปสักครู่ค่อยหันกลับมารอคันต่อไป
รถหรูคันสีดำแล่นมาจอดตรงหน้าเธอ เมื่อเธอมองไปก็เห็นว่านี่เป็นรถของหนานกงเฉิน
ในค่ำคืนที่ไร้ความช่วยเหลือกลับเห็นรถที่คุ้นเคย ในใจก็รู้สึกดีใจขึ้นมาทันที แต่เมื่อดีใจไปแล้วก็เป็นความเยือกเย็น เธอใช้สายตาที่เยือกเย็นมองตอบสายตาที่หนานกงเฉินมองออกมาจากในรถ จากนั้นก็หันตัวเดินหน้าต่อไป
หนานกงเฉินก็แล่นรถตามไปช้าๆแล้วพูดตามหลังเธอว่า “ผมให้เวลาคุณสามวินาทีในการคิด จะขึ้นหรือไม่ขึ้นรถ อีกอย่างอย่าหาว่าผมไม่เตือน เมื่อกี้ผมมาจากฝั่งนั้นเห็นขอทานสองคนนั่งอยู่ คุณเดินอ้อมทางนี้จะดีกว่า”
ไป๋มู่ชิงหยุดก้าวขาไป เธอเป็นโรคกลัวขอทานไปแล้ว!
หนานกงเฉินหยุดไปครู่นึงแล้วเริ่มนับ “หนึ่ง สอง……”
ในใจไป๋มู่ชิงก็ตีกันวุ่นว่าจะขึ้นรถเขาหรือเปล่า? ถ้าตัวเองขึ้นไปอย่างงั้นคงเสียหน้าน่าดู แต่ว่าดูเหมือนเธอจะไม่มีสิทธิ์เลือกเพราะยังไงชีวิตก็สำคัญกว่าหน้าตัวเอง
“สาม……” หนานกงเฉินเอ่ยตัวเลขตัวสุดท้ายออกมาแล้วจงใจเหยียบคันเร่ง ไป๋มู่ชิงก็รีบพุ่งไปจับประตูรถไว้แล้วพูดว่า “ฉันไม่ได้บอกว่าฉันจะไม่ขึ้นรถสักหน่อย!”
น่าเจ็บใจมาก หนานกงเฉินไปแบบนี้จริงๆหรอ?
หนานกงเฉินหยุดรถแล้วให้เธอขึ้นรถมา

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset