เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 171 กลับไปกับฉัน

ไป๋มูชิงยิ้มอีกครั้ง“หนานกงเฉิน คุณกินอาหารฝรั่งเป็นเพื่อนรักแรกเสร็จแล้ว ไม่มีอะไรทำก็มารังเกียจฉันใช่ไหม”
“ฉันกินอาหารฝรั่งกับเธอก็เพื่อคุยกันเท่านั้น ”
“คุยเรื่องอะไร เห็นกันชัดๆอยู่ว่าคุยกันเรื่องความรัก !” ไป๋มู่ชิงจ้องมองเขาและส่ายหัว”วันนี้คุณสองคนกลั่นแกล้งฉันคุณคิดว่ามันสนุกมากเหรอหนานกงเฉิน ฉันไม่เชื่อว่าตาคุณจะบอดหรือสมองจะโง่ขนาดนั้น แม้แต่แสดงละครก็ยังดูไม่ออก ไปสืบหาความจริงที่ผับมันยากนักหรือไง แค่น้ำตาของเธอก็ทำให้คุณรู้สึกสงสารแล้วงั้นเหรอ คุณยอมเชื่อเธอแต่กลับไม่ยอมไปสืบหาความจริงเลยอย่างนั้นสิ?”
“เห็นได้ชัดว่าคุณกำลังวิ่งหนี คุณไม่เต็มใจที่จะตำหนิคนรักของคุณ ดังนั้นคุณจึงยอมรับว่าเป็นความผิดของฉัน จากนั้นแสร้งทำเป็นยกโทษให้ฉันและเอาใจฉัน หน้าซื่อใจคดจริงๆ!” ไป๋มู่ชิงบีบแขนของเขา “ฉันดูคุณออกแล้ว … ดังนั้นได้โปรดอยู่ห่างจากฉัน!”
“ถ้าเธอมองฉันออกจริงๆ เธอจะไม่เกลียดฉันขนาดนี้” หนานกงเฉินดึงเธอกลับมาอย่างง่ายดายและผลักกลับไปที่รถพลางมองลงมาที่เธอ “ถ้าอย่างขอถามหน่อยคุณหนูไป๋ ฉันโหลกหกเธอไปแล้วจะได้อะไร เธอสามารถให้งานหรือให้อนาคตฉันได้งั้นเหรอ หรือว่าทำให้ฉันหลงใหลคลั่งไคล้เรือนร่างหน้าตาของเธอ”
ไป๋มู่ชิงตบฝ่ามือลงทันที “อย่าแตะต้องตัวฉันนะ!”
“มีผู้หญิงอีกมากมายในโลกที่สวยกว่าและดีกว่าเธอ ทำไมจะต้องหลองว่าชอบเธอ ไม่ใช่เพราะว่าฉันรักเธอหรอกเหรอ?”
“คุณน่ะรักจูจูของคุณ คุณยอมให้เธอหลอกและปกป้องเธอ… !”
“ฉันยอมให้เธอหลอกและปั่นหัวฉันมากขนาดนี้ ยังยอมให้เธอคนนั้นหลอกต่อหน้าฉันอีกงั้นเหรอ” หนานกงเฉินขัดจังหวะเธอ “ความเจ็บปวดในใจและความเสียใจของจูจู ฉันเป็นคนทำ สิ่งที่่เธอทำทั้งหมดก็เพียงเพื่อที่จะกลับมาหาฉัน ฉันให้ในสิ่งที่เธอต้องการไม่ได้ ยังอดทนต่อความผิดพลาดเล็กๆน้อยของเธอไม่ได้อีกเหรอ? ”
ไป่มู่ชิงอดไม่ได้ที่จะเริ่มดิ้นรนอีกครั้งและตะโกนว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณก็แต่งงานกับเธอไปสิ คุณจะได้ไม่เสียใจและเจ็บปวดและคุณไม่ต้องโทษตัวเอง”
“ แต่ฉันหลงรักคนอื่นแล้ว”
ไป๋มู่ชิงตะลึงไปชั่วขณะและหยุดดิ้นรนเพื่อจ้องมองเขา
เขารักคนอื่นงั้นเหรอ? คือเธองั้นเหรอ?
ไม่ เธอจะไม่ยอมให้เขาหลอกเธอด้วยคำหวานเพียงไม่กี่คำ หลอกให้กลับไปจากนั้นก็จะโดนจูจูของเขาทำร้ายต่างต่างนานา และเพราะเขายังรู้สึกผิดกับอีกฝ่าย
ชีวิตแบบนี้ แม้ว่าเขาจะรักเธอจริง แต่เธอก็ไม่อยากมีชีวิตแบบนี้อีกแล้ว
เธอกัดฟันพลางจ้องเขาและพูดออกมาทีละคำ “แม้ว่าคุณจะคิดว่าฉันเป็นคนไม่มีเหตุผลและไร้ความปรานี แต่ฉันยืนยันคำเดิม ว่าถ้ามีเธอจะไม่มีฉัน มีฉันจะไม่มีเธอ คุณลองคิดเอาเองก็แล้วกัน!”
เธอคิดว่าหนานกงเฉินจะเกลี้ยกล่อมเธออย่างไร้ประโยชน์เหมือนก่อนหน้านี้ แต่ไม่คาดคิดว่าเขาจะดึงเธอกลับเข้าสู่อ้อมแขนโดยไม่คิดและพูดออกมาหนึ่งคำว่า “ตกลง”
“ตกลงหมายความว่ายังไง” หลังจากที่เธองุนงง เธอจึงถามกลับด้วยสีหน้าที่เย็นชา
“มีเธอไม่มีคนนั้น”
“หนานกงเฉิน ฉันไม่ได้ล้อคุณเล่นนะ” ไป๋มู่ชิงไม่เชื่อว่าเขาจะตัดความสัมพันธ์กับจูจูได้ ขณะที่เธอเสนอความคิดนี้ไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะตอบตกลงแม้แต่น้อย
“ฉันไม่ได้ล้อเล่นกับเธอเหมือนกัน” หนานกงเฉินจ้องมองเธออย่างจริงจังและพูดว่า “ไม่กี่วันมานี้ฉันช่วยเธอหางานบริษัทอื่นให้แล้ว ส่วนที่พัก … วิลล่าที่เคยอยู่นั่นตอนนี้ก็ให้เธอพักอยู่ต่อไปเถอะ”
“ฝันไปเถอะ … !”
“ฟังฉันพูดให้จบก่อน” หนานกงเฉินจับตัวเธอและเริ่มตื่นเต้น “หลังจากอยู่ข้างนอกมานานแล้ว ถึงเวลาที่เธอต้องย้ายกลับไปที่คฤหาสน์หลังเก่า”
“ฉันไม่เอา!”
“ การได้อยู่คฤหาสน์หลังเก่าเป็นสัญลักษณ์ของตัวตน บางทีเธออาจจะไม่สนใจแต่ฉันไม่สน นอกจากนี้ปัญหาระหว่างเธอกับย่าจะต้องได้รับการสะสางไม่ช้าก็เร็ว การหลีกเลี่ยงจะไม่ช่วยแก้ปัญหา ”
แน่นอนไป๋มู่ชิงเข้าใจเรื่องนี้ดี เธอจ้องเขาและถามว่า “แล้วคุณล่ะ คุณกำลังจะย้ายกลับไปที่บ้านหลังเก่าหรือเปล่า”
“ถ้าไม่ล่ะ?”
ไป๋มู่ชิงคิดสักพักแล้วถามว่า “คุณจะไม่ไปเจอคุณหนูจูแล้วอันนี้คุณทำได้จริงๆใช่ไหม”
หนานกงเฉินเงียบไปครู่หนึ่ง แต่ในที่สุดเขาก็ให้คำตอบที่คลุมเครือกับเธอ “ฉันจะพยายามอย่างเต็มที่”
“พยายามอย่างเต็มที่งั้นเหรอ … ” ไป๋มู่ชิงแทบไม่หายใจและต่อยเขาด้วยความโกรธ “พูดมาได้ตั้งนานก็เหมือนไม่ได้พูดอะไร ฉันว่าที่คุณโยนฉันกลับไปบ้านหลังเก่าก็เพราะว่าจะฉันจะได้ไม่ไปขัดขวางคพวกคุณสวีทหวานกันที่วิลล่า หนานกงเฉินทำไมคุณถึงหน้าด้านขนาดนี้นะ … ”
หนานกงเฉินคว้าข้อมือของเธอด้วยความโกรธ “ฉันบอกว่าจะพยายามไม่เจอเธอ แต่ยังไงฉันก็ยังเป็นเพื่อนและอาศัยอยู่ในเมืองเดียวกัน จะไม่เจอกันตลอดไปได้ยังไง”
“ แล้วทำไมคุณไม่ส่งเธอไปต่างประเทศล่ะ”
“ไป๋มู่ชิง คำขอของเธอมันมากเกินไปแล้วนะ!”
“มากเกินไปยังไง คุณก็ทำแบบนี้กับหลินอันหนานไม่ใช่หรือไง”
“ เธอแตกต่างจากหลินอันหนาน!”
“ เธอกับหลินอันหนานนแตกต่างกันแน่นอน เธอเป็นรักแรกพบที่ไม่อาจละทิ้งได้ เธอ … ”
“ เธอสัญญากับฉันว่าจะปรับปรุงตัวใหม่ จะไม่ทำอะไรให้กระทบกับความสัมพันธ์ของเราสองคนแล้ว เธอจะใจกว้างสักหน่อยไม่ได้เหรอ”
“ฉันไม่เชื่อว่าเธอจะกลับเนื้อกลับตัว!” ไป๋มู่ชิงยิ้มเยาะ
ในตอนแรกเธอสัญญามาตลอดว่าเธอจะไม่คิดไม่ดีเกี่ยวกับหนานกงเฉิน จะไม่ทำลายความสัมพันธ์ของเขาทั้งสอง แต่สุดท้ายนั้น?ยังไม่ทันที่จะลงมือทำถึงขนาดทำร้ายร่างกายตัวเอง
คนที่โหดร้ายกับตัวเองขนาดนี้จะยอมแพ้ให้กับหนานกงเฉินง่ายๆได้อย่างไร เธอไม่มีทางเชื่อ!
ไป๋มู่ชิงจะไม่กลับไปที่คฤหาสน์หลังเก่าหรือวิลล่าหลังเนั้น เมื่อเธอแยกทางกับหนานกงเฉินที่ริมแม่น้ำ เธอก็กลับไปที่บ้านของซูซี่ เพียงแต่อารมณ์นั้นไม่ได้ดีเเหมือนเช่นตอนที่ออกไป
“ เธอยังหางานอยู่หรือเปล่า?” ซูซี่ที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาและพลิกดูนิตยสารหันหน้ามาถามเธอ
ไป่มู่ชิงจ้องไปที่เธอ “ถ้าเป็นเธอ เธอจะทำยังไง?”
“อะไร” ซูซี่รู้สึกงงงวย
ไป๋มู่ชิงส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น “ช่างเถอะ จากนิสัยของเธอแล้วคงจะไม่เห็นด้วย”
หลังจากพูดเสร็จเธอก็เข้าไปในครัวเพื่อหาอะไรกิน
เช้าวันรุ่งขึ้น ไป๋มู่ชิงถูกปลุกด้วยเสียงโทรศัพท์เธอขยี้ตาแล้วเดินไปที่ห้องนั่งเล่น
เนื่องจากวันนี้ซูซี่มีฝึกซ้อมเช้า จึงออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้า ไป๋มู่ชิงรับสายโทรศัพท์โดยไม่คิดอะไร เมื่อเธอได้ยินเสียงของหนานกงเฉินจากอีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ เธอจึงอยากวางสายโดยอัตโนมัติ
“เดี๋ยวก่อน” หนานกงเฉินขัดจังหวะเธอ
“มีอะไร” ไป๋มู่ชิงพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดี “ถ้าคุณจะมาชวนฉันกลับไป งั้นก็ไม่ต้อง อะไรที่ฉันอยากจะพูดฉันพูดไปหมดแล้วในคืนนั้น”
“ฉันมาเตือนเธอให้นึกถึงสิ่งหนึ่ง” หนานกงเฉินกล่าวว่า “การขาดงานเกินสามวันถือเป็นการลาออกโดยอัตโนมัติวันนี้เป็นโอกาสสุดท้ายของเะอ เธอคิดเอาเองละกัน”
“ขอบคุณ แต่ฉันได้ยื่นใบลาออกแล้ว” ไป๋มู่ชิงวางสายหลังจากพูด
หลังจากวางสายโทรศัพท์ไป๋มู่ชิงก็เห็นโน้ตที่วางทิ้งไว้ เป็นใบปลิวโรงเรียนอนุบาลสองแห่งกับเบอร์โทรศัพท์ของผู้อำนวยการโรงเรียนที่ซูซี่ทิ้งไว้ให้ ให้เธอหาเวลาไปสัมภาษณ์ในวันนี้
จะว่าไปแล้วการสัมภาษณ์นั้นเป็นเพียงฉากบังหน้าเท่านั้น คนที่มีเส้นสายอย่างซูซี่ เพียงแค่ทำให้เข้าไปเป็นครูศิลปะมันไม่ได้เป็นปัญหาอะไรเลย
เธอเริ่มล้างหน้าแปรงฟัน ทำอะไรกิน จากนั้นก็ออกไปโดยเตรียมเอกสารไว้ล่วงหน้า
สิ่งที่เธอไม่คาดคิดก็คือหลังจากที่เธอพบผู้อำนวยการและส่งข้อมูลของเธอไปแล้ว ผู้อำนวยการก็เหลือบมองไปที่ชื่อของเธอและปิดเอกสารนั้นจ้องมองเธอด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “ขอโทษนะคะคุณไป๋ ที่นี่ไม่รับครูที่ไม่มีใบรับรองวุฒิครูอนุบาล เบื้อบนจะต้องตรวจสอบ”
“ผู้อำนวยการหลิวคะ ฉันได้รับการแนะนำจากซูซี่และเธอก็พูดอย่างชัดเจนว่า … ”
“ขอโทษด้วยนะคะ ทางเราผิดเอง ขอโทษด้วยที่ทำให้คุณเสียเวลา”
เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ตั้งใจที่จะเปลี่ยนใจไป๋มู่ชิงก็อดไม่ได้ที่จะอยู่ห่าง ๆ เธอจึงออกจากห้องทำงานของผู้อำนวยการและเดินไปที่ประตู
ขณะที่เธอเดินไปที่ประตูเธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและโทรหาซูซี่ สายของซูซี่ไม่ว่าง แต่เธอก็โทรกลับมาประโยคแรกที่พูดก็คือ “การสัมภาษณ์ไม่สำเร็จเหรอ?”
“ใช่ เธอบอกว่าเธอหาโรงเรียนอนุบาลให้ฉันได้ไม่ใช่เหรอ” ไป๋มู่ชิงพูดด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
“ใครทำให้อิทธิพลของฉันน้อยกว่าคนนั้นของบ้านเธอล่ะ” ซูซี่ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “ผู้อำนวยการหลิวโทรหาฉันเมื่อกี้และขอโทษ สุดท้ายถึงจะมาบอกฉันว่ามีคนขู่พวกเธอไม่ให้รับเธอเข้าทำงาน ส่วนเรื่องที่ว่าเขาคือใครนั้นฉันคิดว่าเธอคงรู้ดีที่สุดนะ ”
ไป๋มู่ชิงกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ เมื่อเธอได้ยินคำพูดของซูซี่
มีใครอีกบ้างนอกจากหนานกงเฉิน ไอ้บ้านี่!
เขาต้องการทำอะไร? จะใช้วิธีนี้บังคับให้เธอยอมรับเงือนไขงั้นเหรอ? น่าขยะแขยงจริง!
เธอกัดฟันแน่นและไปที่โรงเรียนอนุบาลที่สองด้วยท่าทีว่าจะลองดู แต่ผู้อำนวยการก็ยังปฏิเสธเธอด้วยท่าทีสุภาพและแน่วแน่
หลังจากที่เธอออกมาจากโรงเรียนอนุบาล ไป๋มู่ชิงนั่งอยู่ข้างถนนด้วยความงุนงงลุกขึ้นและนั่งแท็กซี่ไปยังบริษัทหนานกงกรุ๊ป
เธอลงจากรถและเดินไปที่ลิฟต์ผ่านล็อบบี้ที่ชั้น 1 ประตูลิฟต์เปิดออกและมีร่างที่คุ้นเคยเดินออกมาข้างในนั่นคือจูจู
ไป๋มู่ชิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่เธอไม่ได้ตั้งใจจะทักทายจูจู แต่จูจูหยุดไม่ให้เธอเข้าไปในลิฟต์และพูดกับเธออย่างรู้สึกผิดว่า “มู่ชิง เราคุยกันได้ไหม”
ไป๋มู่ชิงหันกลับมามองใบหน้าของเธอ:”คุณกำลังพูดถึงอะไร พูดคุยเกี่ยวกับการกระทำอันรุ่งโรจน์ของคุณกับ หนานกงเฉินงั้นเหรอ?
จูจูมองไปรอบ ๆ และพูดว่า “พวกเราไปนั่งร้านกาแฟกันได้ไหมคะ ฉันจะเลี้ยงกาแฟคุณเอง ถือว่าเป็นการขอโทษที่เสียมารยาท”
เธอพูดด้วยความจริงใจ แต่ในสายตาของไป๋มู่ชิงนั้นเจ้าเล่ห์และน่าขยะแขยง ตราบใดที่เธอคิดว่าเธอนอนอยู่ในอ้อมแขนของหนานกงเฉินอย่างฟูมฟาย ไป๋มู่ชิงรู้สึกไม่ขยะแขยงเป้นอย่างมาก เธอไม่เคยเห็นคนหน้าซื่อใจคดขนาดนี้มาก่อนเลย
“คุณไม่จำเป็นต้องขอโทษ ถ้าคุณรู้สึกเสียใจสำหรับฉันจริงๆคุณก็ไม่มาวนเวียนอยู่ต่อหน้าฉันอีก”
“มู่ชิง ฉันจริงใจ” จูจูจับข้อมือของเธอและรั้งเธออีกครั้ง “แค่กาแฟหนึ่งแก้วขอร้องคุณล่ะ ให้เราไปจากเฉินและบริษัทอย่างสบายใจได้ไหมคะ”
เธอกำลังจะออกจากบริษัท ทิ้งหนานกงเฉินงั้นเหรอ? ไป๋มู่ชิงเหลือบมองไปที่จูจูและเดินตามเธอไป
จูจูเดินนำเธอไปที่มุมหนึ่งของร้านกาแฟ และสั่งกาแฟด้วยตัวเอง
ไป๋มู่ชิงพูดขึ้นอยากไม่อดทน”มีอะไรก็รีบพูดเถอะ ฉันมีธุระ”
จูจูปิดเมนู มองไปที่เธอแล้วพูดว่า “มู่ชิง เฉินบอกฉันว่าตอนนี้เขารักคุณและเขาไม่ได้วางแผนที่จะหย่ากับคุณในชีวิตนี้ … ”
ไป๋มู่ชิงไม่คาดคิดว่าจู่ๆเธอจะหันมาพูดแบบนี้ คิดว่าเธอเรียกตัวเองมาที่นี่เพื่ออวดความสัมพันธ์กับหนานกงเฉินและอวดว่าเธอยังทำงานอยู่ในบริษัทหนานกงกรุีป แต่เธอไม่คาดคิดว่า .. . ….
“ แล้วไง” เธอยังไม่กล้าจ้องหน้า
“ ก่อนหน้านี้ฉันใจแข็งเกินไป ฉันคิดว่าฉันจะเอาเฉินกลับมาได้ด้วยวิธีการเล็ก ๆ น้อย ๆ หลังจากทำงานหนักมา 2-3 วัน ฉันพบว่าเฉินไม่ได้รู้สึกอะไร เขาบอกฉันเป็นการส่วนตัวด้วยซ้ำว่าเขารักคุณและคุณทำให้ฉันยอมแพ้วันนี้ฉันมาเพื่อที่จะขอลาออก”จูจูพูด ขณะที่เธอพูดดวงตาก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง
ไป๋มู่ชิงหัวเราะเยาะ “คุณคิดออกแล้วเหรอ เธอยังมีช่วงเวลาที่คิดออกด้วยเหรอ”
จูจูพยักหน้า “ฉันไม่ยอมแพ้ตั้งแต่แรก แต่เฉินบอกฉันเป็นการส่วนตัวว่าเขาไม่รักฉัน ดังนั้นฉันจึงยอมแพ้”
“ เมื่อวานคุณไม่ได้กินอาหารฝรั่งด้วยกันเหรอ?”
“เมื่อวาน … มันเป็นอาหารอำลา ฉันขอให้เฉินไปกับฉันในมื้อสุดท้าย” จูจูกล่าวขอโทษ “มู่ชิง ฉันขอโทษสำหรับการกระทำโง่ ๆ ที่ฉันทำกับคุณก่อนหน้านี้ ฉันหวังว่าคุณจะยกโทษให้ฉัน ได้ไหม? ”
“ฉันไม่ยกโทษให้คุณ มันสำคัญเหรอ?” ไป๋มู่ชิงงงงวย เธอไม่เข้าใจเจตนาเดิมของเธอที่จะขอโทษจริงๆมันไม่จำเป็นเลยใช่ไหม หากเป็นเงินทุนของ หนานกงเฉิน ก็ไม่จำเป็น หนานกงเฉินไม่เคยทำอะไรด้วยความยินยอมของเธอ แม้ว่าจะให้ทั้งกรุ๊ปกับผุ้หญิงคนนี้ เธอก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดอะไร
“ แน่นอนว่ามันสำคัญ เฉินเป็นเพื่อนคนเดียวของฉันในเมืองซี และคุณก็เป็นภรรยาของเขา ฉันหวังว่าเราจะได้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขเหมือนเพื่อนในอนาคต” จู่ ๆ จูจูก็ยิ้มเจื่อนๆ“ พูถ้าพูดคุณคงหัวเราะเยาะฉัน ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมเฉินถึงชอบคุณ นิสัยของคุณทำให้คนชอบได้จริงๆ ไม่แสดง ไม่เจ้าแผนการ แต่ก็ไม่อ่อนแอ ฉันชอบเป็นเพื่อนกับคนแบบนี้ ”
“ฉันยอมรับสิ่งนี้” ไป๋มู่ชิงยิ้มอย่างเย้ยหยัน: “ไม่ว่าคุณจะตีกรอบฉันอย่างไร ฉันไม่เคยคิดที่จะทำร้ายคุณเพราะฉันรู้ว่าหนานกงเฉินไม่ได้โง่ขนาดนั้น ไม่ช้าก็เร็วเขาจะมองทะลุทุกอย่าง”
“ใช่ ฉันหลงว่าตัวเองฉลาดเกินไ”
“สำหรับความเป็นเพื่อนขอไม่เอาละกัน พวกเราเดินคนละเส้นทาง” ไป๋มู่ชิงจิบกาแฟที่พนักงานเสิร์ฟ รสชาติดั้งเดิมขมจนลิ้นของเธอกระตุกซึ่งดูเหมือนจะเตือนเธอว่าผู้หญิงตรงหน้า เธอไม่ควรวางใจ
“พอนานไปเราจะกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน” จูจูยิ้มและพูดว่า “อันที่จริงฉันคิดออกแล้ว เฉินอาจจะรู้สึกขอบคุณฉันเท่านั้นไม่ใช่ความรัก หลังจากนั้นฉันก็ช่วยเธอกลับมา แต่มันยังไม่พอ มันตลกดีฉันลืมทุกอย่างเกี่ยวกับปีนั้นไปแล้ว ”
ไป๋มู่ชิงมองเธออย่างไม่สบอารมณ์ ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะสนทนากับเธอที่นี่ หรือไม่สนใจที่จะสนทนา
“ส่วนใหญ่เป็นเพราะตอนนั้นฉันยังเด็กเกินไป ตอนนั้นฉันอายุประมาณหกหรือเจ็ดขวบ ฉันจำอะไรไม่ได้หลายอย่าง” จูจูก็ถามอย่างสงสัย: “จริงสิ ตอนคุณหกเจ็ดขวบทำอะไรไปบ้างคุณจำได้ไหม ”
ไป๋มู่ชิงเหลือบมองเธอ “คุณถามแบบนี้ไปทำไม?”
“เปล่า ฉันแค่อยากรู้เฉยๆ มีฉันคนเดียวที่โง่หรือเปล่า”
ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็ลุกขึ้นจากโซฟามองลงไปที่เธอแล้วพูดว่า “คุณหนูจู อย่าเสียเวลาหาหัวข้อการพูดคุยเลย พวกเราไม่เหมาะที่จะเป็นเพื่อนกันหรอกค่ะ”
เมื่อเธอต้องการมาจูจูจะพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งต่างๆในวัยเด็กของเธอ เพียงเพื่อหาหัวข้อสนทนากับเธอตามวัตถุประสงค์ อย่างไรก็ตามเธอไม่ชอบสิ่งนี้ การทำความรู้จักแบบนี้มันเหนื่อยและน่าเบื่อเกินไป
หลังจากไป๋มู่ชิงจากไปจูจูก็จิบกาแฟและรอยยิ้มบนใบหน้าก็ค่อยๆจางลง
หลังจากออกมาจากร้านกาแฟ ไป๋มู่ชิง ก็ตรงไปที่ห้องทำงานของหนานกงเฉินที่ชั้นบนสุด
เธอผลักประตูและเดินเข้าไปโดยไม่เคาะ เธอมองไปรอบ ๆห้องทำงาน แต่ในที่สุดก็เห็นหนานกงเฉินที่โต๊ะอาหาร เขาวางมือไว้รอบหน้าอกและมองไปที่เธออย่างสงบคำแรกที่เขาบอกเธอคือ “มาแล้ว”
ไป๋มู่ชิงเหลือบมองอาหารสำหรับสองคนบนโต๊ะและจ้องมองเขา”หนานกงเฉิน คุณจะการทำอะไร?”
“นั่งทานอาหารก่อนและฉันจะบอกเธอว่าฉันต้องการทำอะไร” หนานกงเฉินชี้ไปที่อาหารบนโต๊ะด้วยคางของเขา
ไป๋มู่ชิงกล่าวว่า “ฉันไม่มีอารมณ์จะกิน”
“มันเป็นแค่งานไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น”หนานกงเฉินลุกขึ้นเดินไปหาเธอและบังคับให้เธอนั่งลงที่โต๊ะ “วันนี้ฉันขอให้พี่หูทำปีกไก่ต้มโค้กที่เธอชื่นชอบให้ลอง”
“ฉันไม่กิน!” ไป๋มู่ชิงผลักข้าวต่อหน้าเขาอย่างรำคาญ ชามลายครามตกลงบนพื้นโครมครามและข้าวก็กระจัดกระจายไปทั่วพื้น
นี่เป็นครั้งแรกที่ไป๋มู่ชิงที่ซึ่งโมโหจนทุบโต๊ะอาหารถึงกับผงะจากนั้นก็เหลือบมองไปที่หนานกงเฉินอย่างรวดเร็ว เมื่อพบว่าเขาไม่โกรธ เธอาก็หันหน้าหนีและไม่สนใจเขา
ไม่เพียงแต่ หนานกงเฉินจะไม่โกรธ แต่ด้วยอารมณ์ที่ดีเขาหยิบชามเปล่าอีกใบขึ้นมาและเติมชามข้าวให้เธอเขาวางไว้ตรงหน้าเธอและพูดว่า “กินให้อิ่มก่อนจะได้มีแรงโกรธ เด็กดี กินข้าวก่อนนะ”
“อะไรนะ อยากให้ฉันป้อนเธอเหรอ?” หนานกงเฉินเลิกคิ้วเมื่อเห็นเธอนิ่ง
ไป๋มู่ชิงเงยหน้าขึ้นและจ้องไปที่เขา ดวงตาของเธอแดงก่ำด้วยความโกรธ “หนานกงเฉิน คุณต้องการอะไรกันแน่คุณคิดว่าแค่รวยก็เจ๋งแล้วเหรอ สามารถคลุมท้องฟ้าด้วยมือเดียวเหรอ คุณจะบีบให้ฉันตายก่อนถึงจะพอใจใช่ไหม ? ”
หนานกงเฉินส่ายหัวดึงเก้าอี้แล้วนั่งลงจับมือเล็ก ๆ ของเธอพลางหายใจเบา ๆ “แม้แต่ปล่อยให้เธอหิวฉันยังทำไม่ได้เลย แล้วจะฆ่าเธอได้ลงคอยังไง?”
เขาเล่นกับแหวนหยกฝังทองคำที่นิ้วนางอย่างระมัดระวัง ดูเหมือนจะเตือนเธอว่าแหวนที่ถอดไม่ได้นี้ถูกกำหนดให้เป็นภรรยาของเขาและไม่ว่าเธอจะต้องการหลบหนีอย่างไรมันก็เป็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
“ แล้วทำไมคุณถึงทำแบบนี้” ไป๋มู่ชิงบ่นอย่างโกรธ ๆ
“เพื่อให้คุณกลับไปที่บริษัทหนานกงกรุ๊ป เพื่อให้คุณอยู่เคียงข้างฉันทุกวันและเฝ้าดูฉัน ปกป้องฉัน เพื่อที่ฉันจะไม่มีโอกาสได้เจอกับจูจูสานต่อความรักครั้งเก่าของฉัน” หนานกงเฉินโน้มตัวไปข้างหน้าและจูบริมฝีปากของเธอ: “เธอไม่ไว้ใจฉันเหรอ งั้นก็อยู่เคียงข้างฉันและคอยจับตาดู แบบนี้ฉันจะได้สบายใจ เธอก็จะได้สบายใจ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวไม่ใช่เหรอ?”
ความมุ่งมั่นของเขาดูยิ่งใหญ่มาก! ไม่รู้ว่าในกระดุกนั่นมีความจริงใจอยู่มากน้อยแค่ไหนกัน
“ คุณจะไม่ไปเจอจูจูอีกแล้วจริงๆเหรอ?”
“ถ้าไม่มีอะไรเป็นพิเศษก็จะไม่เจอ หรือถ้ามีก็จะพาเธอไปเจอด้วยกัน”
“ฉันไม่ไป”ไป๋มู่ชิง ตะคอกอย่างเย็นชาจากนั้นจ้องไปที่เขาและพูดว่า “ถ้าคุณกล้าที่จะเจอจูจูหนึ่งครั้ง ฉันจะไปเจอเฉียวเฟิงสองครั้ง'”
ทันทีที่เธอพูดจบ สีหน้าของหนานกงเฉินก็นิ่งขึ้น
“ทำไมล่ะ ไม่กล้ารัปากเหรอ” ไป๋มู่ชิงยิ้มเยาะ
“เปลี่ยนได้ไหม ไม่เอาแบบนี้” หนานกงเฉินพูดเล็กน้อย “ตัวอย่างเช่นการลงโทษให้ฉันคุกเข่าบนอ่างล้างหน้าหมอบที่มุมเพื่อร้องเพลงชาติหรือ … ”
“ฉันต้องการแบบนี้!” ไป๋มู่ชิงกล่าวอย่างหนักแน่น
หนานกงเฉิน คิดสักพักและพยักหน้า “ได้ แต่ฉันมีเงื่อนไข”
“คุณยังมีเงื่อนไขอะไรอีก คุณยังมีคุณสมบัติพูดถึงเงื่อนไขอีกเหรอ” ไป๋มู่ชิงรู้สึกรำคาญ
“ เธอต้องพาฉันไปด้วยเมื่อเธอไปหาเฉียวเฟิง” หนานกงเฉินกล่าว
ไป๋มู่ชิงมองเขาด้วยสายตาที่น่าเวทนา อดไม่ได้ที่จะนึกในใจแต่ส่ายหัวไปมา“ ไม่ ไม่เพียงแต่ฉันจะไม่พาคุณไปเท่านั้น ฉันยังจะพาเขาไปที่โรงแรมเพื่อเปิดห้องด้วย ”
“ เธอกล้าเหรอ?”
“ ถ้าคุณกล้า ฉันก็กล้า”
“โอเค”หนานกงเฉินพยักหน้าและมองไปที่อาหารบนโต๊ะ “ได้ ตอนนี้เปลี่ยนเป็นฉันที่กินไม่ลงแล้ว”
“ ทำไมจะกินไม่ลงล่ะ”
“ ฉันแค่กลัวว่าวันนึงฉันจะบังเอิญเจอจูจูที่ถนน”
“ งั้นก็อ้อมไป” ไป๋มู่ชิงหยิบชามข้าวขึ้นมาและเริ่มตักข้าว
ไป๋มู่ชิงนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน คิดไม่ออกว่าเธอยังคงหางานทำในตอนเช้า แต่กลับไปที่ทำงานเดิมของเธอในตอนบ่าย เธอจะเชื่อในคำพูดหวาน ๆ ของหนานกงเฉินอีกครั้งอย่างงี่เง่าได้อย่างไร มันไม่ควรเป็นอย่างนั้นจริงๆ
เหยาเหม่ยพูดถูกเธอเป็นคนที่รักษาแผลเป็นจนลืมเจ็บ!
หลังจากเลิกงานหนานกงเฉินก็ไปรับเธอด้วยตัวเอง จนทำให้เพื่อนร่วมงานผู้หญิงรู้สึกอิจฉาจนต้องกรีดร้องออกมา
เสี่ยวเถียนพูดและยิ้ม “ความชั่วร้ายไม่ได้ระงับความชอบธรรม ประโยคนี้สมเหตุสมผลจริงๆสินะ”
ไป๋มู่ชิงยกมือขึ้นแล้วผลักหน้าผากเธอ จากนั้นเดินไปหาหนานกงเฉิน
“ แอบนินทาฉันอยู่เหรอ?” หนานกงเฉินจับไหล่ของเธอและเดินไปที่ลิฟต์แล้วจับเธอไว้
“พวกเธอไม่เข้าใจว่าฉันกลับมาทำไมอีก บอกว่ามันไม่คุ้ม”
“ดีมาก หักโบนัสเดือนนี้ให้หมด”
“คุณ … หน้าด้าน!” ไป๋มู่ชิงจ้องมองเขา
ไป๋มู่ชิงนั่งอยู่ที่เบาะหันศีรษะและจ้องไปที่หนานกงเฉิน และถามว่า “เราจะกลับไปที่คฤหาสน์หลังเก่าจริงๆเหรอ”
“ ทำไมล่ะ กลัวเหรอ?”
“ แน่นอนว่าฉันกลัว”
“เพียงแค่หยิบความกล้าของเธอมาต่อสู้กับฉัน”
“จะเปรียบเทียบได้ไง ฉันเห็นคุณย่าก็ขาสั่นแล้ว เห็นคุณ … ” ไป๋มู่ชิงยักไหล่ไม่เห็นด้วยและพูดว่า “ไม่รู้สึกอะไร”
หนานกงเฉินหันหน้าไปมองเธอ “ดูเหมือนว่าฉันจะต้องเข้มงวดต่อหน้าเธออีกครั้งสินะ”
โทรศัพท์มือถือของไป๋มู่ชิงดังขึ้น เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ของเสี่ยวอี้ เธอก็ลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะรับสาย “เสี่ยวอี้”
เสียงของซูซี่ดังขึ้นจากอีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์อย่างอารมณ์ดี “ที่รัก ฉันหาโรงเรียนอนุบลให้เธอได้แล้ว เงื่อนไขไม่เลวเลยนะ ที่สำคัญที่สุดก็คือครั้งนี้ต่อให้หนานกงเฉินมีอำนาจคับฟ้าขนาดไหนก็บัคับให้คนอื่นไม่รับเธอไม่ได้แล้ว”
ไป๋มู่ชิงหันหน้าไปมองที่หนานกงเฉินโดยไม่สามารถพูดะไรได้ “เอ่อ … นั่น … ตอนนี้ฉันไม่ต้องการแล้ว”
“ หมายความว่าไง หางานได้แล้วเหรอ?”
“ไม่ ฉันอยู่กับหนานกงเฉินตอนนี้”
“พระเจ้าช่วย!” ซูซี่พ่นคำพูดออกมา”เธอเป็นกิ้งก่าหรือไง?”
ไป่มู่ชิงเหลือบมองหนานกงเฉิน “ไม่ใช่แบบนั้นหรอก ตอนแรกฉันไปหาเขาที่บริษัทเพื่อจะคิดบัญชี แต่สุดท้ายกลับโดนคำหวานของเขาหลอกล่อ”
หนานกงเฉินหันหน้าไปมองเธอยิ้มเยาะอย่างมีชัย
“ แค่ยกโทษให้เขาแล้วเหรอ?”
“ใช่…….”
“ไป๋มู่ชิง อีกหน่อยโดนทำร้ายแล้วอย่ามาหาฉันอีกนะ เสียเวลาเสียความรู้สึกจริงๆ!”
“เสี่ยวซี เธออย่าเป็นแบบนี้สิ ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันโดนกับดักแบบไม่รู้ตัว”
“ ฉันรู้ว่าเธอโดนหลอกง่ายมาก วันนี้ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอออกไปข้างนอกอีกแล้ว ผู้หญิงเสียหน้าก็เพราะเธอนี่แหละ!”
“ฉันแค่ … ฉันแค่ต้องการให้โอกาสเขาอีกครั้งเป็นครั้งสุดท้าย” ไป๋มู่ชิงมองไปที่หนานกงเฉิน พูดกับซูซี่และกับหนานกงเฉินด้วย
เมื่อรถจอดติดไฟแดง หนานกงเฉินยกมือขึ้นแตะผมด้านบนของเธอแล้วยิ้มและพูดว่า “ฝากบอกคุณซูซี่ด้วยว่าการบอกให้ภรรยาคนอื่นหนีออกจากบ้านเป็นเรื่องที่ผิดนะ”
ซูซี่ได้ยินคำพูดของเขาและกำลังจะระเบิดเขากลับไปสองสามคำ ไป๋มู่ชิงรีบวิ่งไปข้างหน้าเธอและพูดว่: “เสี่ยวซีฉันจะคุยกับเธอทีหลัง ตอนนี้แบบนี้ไปก่อนนะ”
หลังจากพูดจบเขาก็ไม่สนใจซูซี่ที่ตะโกนอยู่อีกด้านของโทรศัพท์และวางสาย
หนานกงเฉินหยิบโทรศัพท์มือถือที่เธอทิ้งไว้ในวิลล่าจากตู้เล็ก ๆ แล้วยื่นให้เธอ “โยนโทรศัพท์มือถือที่พังแล้วในมือของเธอทิ้งซะแล้วใช้เครื่องนี้”
ไป๋มู่ชิงยืมโทรศัพท์มือถือเครื่องเก่าของซูซี่มาเพื่อหางานในวันนี้
เมื่อเห็นหนานกงเฉินยื่นโทรศัพท์มือถือให้ เธอจึงรู้สึกแปลกใจ เขาจึงกล่าวว่า: “ครั้งต่อไปที่เธอหนีออกจากบ้านอย่าลืมเอาโทรศัพท์ติดตัวไปด้วย เวลาของฉันมีค่า ไม่อยากเสียเวลาไปเปล่าๆ ”
คุณไม่ได้บอกว่านี่เป็นครั้งสุดท้ายเหรอ? แล้วขอให้เธอเอาโทรศัพท์มือถือไปด้วยในครั้งต่อไปที่เธอหนีออกจากบ้าน!
รถจอดที่ประตูบ้านหลังใหญ่ของคฤหาสน์หลังเก่า ไป๋มู่ชิงไม่ได้กลับมาเป็นเวลานานและความกลัวในใจของเธอก็เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม
เธอหันหน้าไปจ้องที่หนานกงเฉิน และถามว่า “คุณทักทายคุณย่าไหม”
“ ทักแล้ว”
“ท่านพูดว่าอะไร”
“ท่านไม่ได้พูดอะไรเลย” หนานกงเฉินทนไม่ได้ที่จะบอกเธอว่าคุณหญิงไม่ยอมรับให้เธอกลับมาที่คฤหาสน์หลังเก่า แต่เขาก็เดินหน้าและบอกกับคุณหญิงโดยตรง ถ้าไป๋มู่ชิงไม่ได้รับอนุญาตให้กลับไปที่คฤหาสน์หลังเก่า เขาจะไม่มีวันกลับมา
คุณหญิงไม่เต็มใจที่จะออกจากบ้านโดยสิ้นเชิงและสามารถยอมรับได้อย่างไม่เต็มใจในการกลับมาของไป๋มู่ชิง
เมื่อทั้งสองเดินเข้าไปในบ้านด้วยกัน ห้องอาหารก็ยังไม่เริ่มขึ้นผู่เหลียนเหยาและเซิ่งเคอเซิ่งซินกำลังสนทนากับคุณหญิงในห้องนั่งเล่น เมื่อเห็นทั้งสองเข้ามา ผู่เหลียนเหยาจึงพูดขึ้นก่อนว่า “พี่ใหญ่และพี่สะใภ้กลับมาแล้ว”
คุณหญิง เดินตามพวกเขาไปและจ้องมองไปที่ร่างของไป๋มู่ชิง หัวใจของไป๋มู่ชิงเต้นอย่างกะทันหันและรีบทัก “คุณย่า ฉันกลับมาแล้วค่ะ”
“ฉันคิดว่าจะไม่กลับมาอีกแล้วตลอดชีวิต”คุณหญิงหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาและมองกลับไปอย่างเย็นชา
ไป๋มู่ชิงไม่รู้จะพูดอะไร พลางดึงนิ้วของหนานกงเฉินและกระชับแขนเสื้อโดยไม่รู้ตัว
หนานกงเฉินยกมือขึ้น เขย่าที่หลังมือและพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณย่า ยิ่งอันกลับมาคราวนี้ก็ไม่คิดจะไปแล้ว คุณย่าจะได้มีเพื่อนนะครับ”
“ฉันมีเหลียนเหยากับเซิ่งเคอก็เพียงพอแล้ว” คุณหญิงพูดออกมาต่อหน้าผู้คนมากมาย ไป๋มู่ชิงเริ่มรู้สึกไม่ดีมากยิ่งขึ้น
ผู่เหลียนเหยามองไปที่ทุกคนและรีบจับแขนคุณหญิงพลางพูดว่า “คุณย่าและพี่สะใภ้มีฝีมือในการดูแลพี่ใหญ ถ้าอยู่กับเธอก็ไม่ต้องกังวลเรื่องพี่ใหญ่แล้ว พี่ชอบป่วยและนอนไม่หลับในเวลากลางคืน”
คุณหญิงหยุดพูดและเซิ่งเคอก็รีบพูดว่า “ทานข้าวก่อนเถอะ หิวแล้ว”
“ใช่ ใช่ กิน” ผู่เหลียนเหยาปล่อยมือจากคุณหญิง
โชคยังดีที่หนานกงเฉินอยู่ด้วย คุณหญิงจึงไม่ได้ทำอะไรมากนัก ไป๋มู่ชิงถอนหายใจ จึงบอกลาทุกคนและขึ้นไปยังชั้นสอง
หนานกงเฉินอยู่เป็นเพื่อนคุณหญิงสักพัก พูดกันไม่กี่คำก็ไม่คุยกันต่อ หลังจากปลอบเสร็จก็ขึ้นตึกไป
เขารู้ว่าไป๋มู่ชิงรู้สึกอึดอัดที่อาศัยอยู่ที่นี่ เขาจึงเดินเข้าไปกอดเธอจากด้านหลัง “มีอะไรเหรอ ไม่มีความสุขเหรอ?”
ไป๋มู่ชิงยืนเหม่ออยู่ที่หน้าต่าง เธอกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ แต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไร เธอส่ายหัวสูดลมหายใจและพูดว่า “แม้ว่าบางครั้งฉันจะสร้างปัญหาอย่างไม่มีเหตุผล แต่ฉันก็ยังปฏิบัติต่อผู้อาวุโสของฉันอย่างสุภาพ โดยเฉพาะกับคนที่อายุเท่า ๆ กับคุณยายของฉันฉันจะไม่มีความสุขได้ยังไง”
“ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะไม่มีความสุขและเธอก็เช่นกัน”
“ฉันรู้ว่าต้องมีความทุกข์บ้าง แต่ฉันไม่ได้หมายถึงการตำหนิย่าหรือไม่กล้าตำหนิคนรักเก่าของคุณ” เธอยิ้มอย่างขมขื่: “ทุกสิ่งที่ท่านทำก็เพราะหวังดีกับคุณ ทำไมฉันจะต้องโทษท่านล่ะ? ”
“เธอคิดได้แบบนั้นก็ดีแล้ว”หนานกงเฉินพยักหน้าและจูบเธอที่คอ ท่านต่างจากคนอื่นๆเขาจึงพยายามเป้นอย่างมากในเรื่องนี้
“ คุณก็คิดเหมือนกันถึงปล่อยให้ท่านจัดการใช่ไหม?”
“อืม ก็เป็นเพราะท่านนั่นแหละ” หนานกงเฉินคลายร่างของเธอ “ไปอาบน้ำและเข้านอนเร็วฉันจะไปห้องหนังสือ”
หลังจากที่หนานกงเฉินจากไป ไป๋มู่ชิงก็เอาชุดนอนของเธอเข้าไปในห้องน้ำและอาบน้ำเนื่องจากอากาศหนาวเธอจึงคลานขึ้นไปบนเตียงแต่หัววัน
ในระหว่างช่วงเวลานั้นผู่เหลียนเหยาเข้ามาคุยกับเธอสักพักและพวกเขาก็พูดถึงคำพูดที่สุภาพเหมือนบ้าน ผู่เหลียนเหยายังให้ความกระจ่างกับเธอด้วยว่าอย่าเอาคำพูดของคุณหญิงมาใส่ใจ ไป๋มู่ชิงตอบอย่างสุภาพและทั้งสองก็แยกย้ายกันหลังจากคุยกันไม่นาน
ในตอนกลางคืน หนานกงเฉินออกมาจากห้องน้ำหลังจากอาบน้ำและนอนทับร่างของเธอพลางจะจูบ ไป๋มู่ชิงหลีกเลี่ยงเขาโดยสัญชาตญาณและพูดด้วยอารมณ์ไม่ดี “อย่าแตะต้องตัวฉันนะ”
“ ใครทำให้เธอขุ่นเคืองอีก”
“ ไม่มีใครทำทั้งนั้นแหละ”
“งั้นเธอเป็นอะไรร” หนานกงเฉินจับฝ่ามือที่ขัดขืนของเธอ
“ ไม่อยากทำ”
“ไม่อยากมีลูกจริงๆเหรอ” หนานกงเฉิน พูดพลางจูบที่คอของเธอ
ไป๋มู่ชิงพยักหน้า “ถูกต้อง ต่อให้ตอนนี้คุณขอร้องฉัน ฉันก็ไม่เอา”
หนานกงเฉินขมวดคิ้วและจ้องไปที่เธอ “ฉันขอโทษเะอไปแล้วไม่ใช่เหรอ และอธิบายไปแล้วด้วย วันนั้นจูจูไม่สบายจริงๆ … ”
“ออย่าพูดถึงรักครั้งแรกของคุณต่อหน้าฉัน” ไป๋มู่ชิงขัดจังหวะเขาและพูดอย่างเย็นชา “ฉันได้เห็นแก่นแท้ของความหลงใหลของคุณอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่ออนาคตของฉันเองฉันจะไม่มีลูกให้คุณง่ายๆหรอก ”
หนานกงเฉินมองเธอด้วยความเศร้า ในดวงตาของเธอหลังจากจ้องมองเธอสักครู่เธอก็ส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น “ดูเหมือนว่าคนอื่นพูดถูก ไม่ควรทะเลากันเยอะ ทะเลาะหนึ่งครั้งก็เจ็บมากขึ้นหนึ่งครั้ง”
“รู้ก็ดีแล้ว” ไป๋มู่ชิงหันหลังให้เธอ
“ แล้วเธอจะเอาอะไรถึงจะยอมมีลูกให้ฉัน ไม่ใช่ว่าจะไม่มีตลอดชีวิตหรอกนะ?”
“ให้เวลาประเมินหนึ่งปี ถ้าผ่านการประเมินค่อยว่ากัน” ไป๋มู่ชิงดึงผ้านวมคลุมศีรษะของเธอ “อย่าพูดอะไรเลย ไปนอนเถอะ”
“ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องดูช่วงเวลาเี่ยงใช่ไหม พวกเราจะทำตอนไหนก็ได้ใช่ไหม?” หนานกงเฉินจ้องไปที่ร่างของเธอ
ไป๋มู่ชิงดึงผ้าห่มลงอย่างเงียบ ๆ และจ้องที่เขา “ฝันไปเถอะ!” หลังจากพูดแล้วเธอก็ห่อตัวอีกครั้ง
หลังจากผ่านไปหนึ่งสัปดาห์โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไป๋มู่ชิงพบว่าหนานกงเฉินไม่ได้พบกับ จูจูอีกเลย จูจูเองก็ไม่ได้เล่นกลเม็ดใด ๆ ทุกอย่างดูเหมือนจะสงบลงอีกครั้งและในที่สุดหัวใจของเธอก็สงบลงเล็กน้อย
ไป๋มู่ชิงพบว่าเธอและคุณหญิงจะต้องทานอาหารเย็นกันเพียงสองคนในคืนนี้ เซิ่งเคอกับผู้เหลียนเหยาน่าจะไปเดทกันและคงไม่ได้กลับมาในคืนนี้
ถึงแม้ว่าสัปดาห์นี้คุณหยญิงจะไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกลำบากใจ แต่ไป๋มู่ชิงก็ยังตื่นเต้นจนเหงื่ออกบนฝ่ามือ กินข้างวอย่างรวดเร็ว จากนั้นกำลังจะลุกออกไปจากโต๊ะอาหาร “คุณย่าคะ ฉันอิ่มแล้ว คุณย่าค่อยๆทานนะคะ”
คุณหญิงเงยหน้าขึ้นมองเธอ “ฉันน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ”
ไป๋มู่ชิงตัวแข็งไปครู่หนึ่งจากนั้นก็ค่อยๆนั่งลงบนเก้าอี้และพูดด้วยรอยยิ้มแห้ง “ไม่ค่ะ คุณย่า”
“ แล้วจะรีบออกไปทำไม”
“อิ่มแล้วค่ะ” เธอจ้องมองเธออย่างระมัดระวังแล้วถามว่า “คุณย่ามีอะไรเหรอคะ”
“ไม่มีอะไรมาก ฉันแค่อยากถามเธอ… ” คุณหญิงจ้องมองเธอด้วยสายตาที่จริงจังแล้วพูดต่อหลังจากหยุดชั่วขณะ “ถ้าคนรักของเฉินกลับมา เธอจะหย่ากับเขาไหม?”
ไป๋มู่ชิงไม่ได้คาดหวังว่าคุณหญิงจะพูดกับตัวเองอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกในสัปดาห์นี้ แต่สิ่งที่เธอพูดคือคำถามที่เธอตอบกลับ เธอลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะอ้าปากพูดว่า “คุณย่าอย่างที่เคยพูดไปตราบใดที่เฉินพูดเรื่องหย่ากับฉัน ฉันจะไปแน่นอน”
“ แน่นอนใช่ไหม”
“อืม … ” ไป๋มู่ชิงรู้สึกหนังศีรษะของเธอชา
คุณหญิงพยักหน้าจากนั้นเลิกเปลือกตาขึ้นและจ้องมองเธอ “วันนั้นจะมาถึงอีกไม่ช้า ฉันหวังว่าเธอจะรักษาสัญญานะ”
หมายความว่าวันนั้นจะมาถึงในอีกไม่ช้างั้นเหรอ?
ไป่มู่ชิงมองไปที่ใบหน้าของคุณหญิง และดูเหมือนจะไม่ล้อเล่นหรือทำให้เธอตกใจ เธอจึงรู้สึกขนลุก
“กลับห้องไปพักผ่อนเถอะ” คุณหญิงพูดกับเธอ
ไป๋มู่ชิงลุกขึ้นจากเก้าอี้อีกครั้งพูดกับเธอก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องอาหาร

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset