เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 172 เบอร์โทรศัพท์ที่มาจากต่างประเท

คืนนี้หนานกงเฉินมีงานเลี้ยงพิเศษคงยังไม่ได้กลับ ไป๋มู่ชิงถูกคำพูดที่แฝงความนัยของคุณผู้หญิงทำให้จิตใจไม่สงบ เธอที่เก็บตัวอยู่ในห้องไม่มีกะจิตกะใจอ่านหนังสือ ไม่มีกะจิตกะใจดูโทรทัศน์ ก็เลยหลับไปบนโซฟาพร้อมทั้งกอดมือถือไว้
หนานกงเฉินกลับมาถึงบ้านก็เห็นว่าเธอขดตัวนอนอยู่บนโซฟา คิ้วก็ขมวดเข้าหากันตามความเคยชิน เขาเดินไปอุ้มเธอขึ้นมาจากโซฟาแล้ววางลงบนเตียง
ไป๋มู่ชิงถูกเขาทำให้ตื่น หรี่ตาทั้งสองข้างมองเขา:“คุณกลับมาแล้ว?”
“อากาศหนาวขนาดนี้ทำไมไม่ไปนอนบนเตียง?” หนานกงเฉินจูบบนหน้าผากเธอแล้วถาม
“ฉันหลับไปไม่ทันรู้ตัว” ไป๋มู่ชิงดันตัวลุกขึ้นมานั่งบนเตียง:“ฉันจะไปเอายาขึ้นมาให้คุณ”
“ไม่ต้องหรอก” หนานกงเฉินกดเธอกลับลงไปบนเตียง:“เดี๋ยวผมลงไปทำเองก็ได้”
“งั้นคุณอย่าลืมทานนะ”
“ครับ ผมไปอาบน้ำก่อนนะ” หนานกงเฉินลุกขึ้นเดินไปทางห้องน้ำ
ไม่นานก็มีเสียงซ่าๆของน้ำที่ไหลดังออกมาจากห้องน้ำ แต่ทว่าไป๋มู่ชิงง่วงมาก ก็เลยหลับไปอีกครั้ง
ขณะที่หนานกงเฉินเดินออกมาจากห้องน้ำ เห็นว่ามือถือของเธอที่วางอยู่ตรงหัวเตียงมีไฟสว่างขึ้นมา เขาก็ถือวิสาสะเดินไปดูบนหน้าจอมือถือของเธอ พบว่าบนหน้าจอนั้นเป็นเบอร์โทรศัพท์จากต่างประเทศที่ปรากฏขึ้นมา
การปรากฏนี้ทำให้สีหน้าของเขาบึ้งตึงขึ้นมา เท่าที่เขาจำความได้ นอกจากแม่กับน้องชายที่อยู่ต่างประเทศแล้วไป๋มู่ชิงก็ไม่มีญาติหรือเพื่อนคนไหนอยู่ที่นั่น และเบอร์ที่ปรากฏบนหน้าจอนั้นก็ไม่ใช่เบอร์ของประเทศฝรั่งเศส แต่เป็นประเทศอังกฤษ!
ประเทศอังกฤษ ที่หลินอันหนานพักอยู่
เขาดึงผ้าขนหนูที่เช็ดผมอยู่ลงมา หยิบโทรศัพท์ตรงหัวเตียง แล้วหันไปดูไป๋มู่ชิงที่นอนหลับอย่างอิ่มเอมใจ ลังเลว่าจะรับดีไหม
ไม่ได้รอให้เขาลังเลเสร็จ เสียงเรียกเข้ามือถือจู่ๆก็หยุดลง ตามด้วยข้อความที่ส่งเข้ามา มีเพียงแค่ประโยคสั้นๆ:“มู่ชิง คุณนอนแล้วเหรอ? คิดถึงผมไหม?”
พอเห็นข้อความนี้ หนานกงเฉินก็สามารถรู้ได้เลยว่าเป็นหลินอันหนานที่ส่งมา แต่วิธีการพิมพ์อย่างนี้ ทำไมถึงให้ความรู้สึกว่าเป็นข้อความหยอกเล่นของคู่รักในทุกๆวันนะ?
เขามองไป๋มู่ชิงที่กำลังหลับลึกอีกครั้ง กำมือถือแน่นขึ้นทีละนิด ความโกรธก็ค่อยๆเข้ามาเยือนทีละหน่อย
เวลานี้ เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรจะดึงไป๋มู่ชิงขึ้นมาแล้วถามให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยดีไหม ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติเขาก็คงทำแบบนั้นอย่างแน่นอน แต่วันนี้ไม่ได้ทำแบบนั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะข้อความของเธอหรือว่าเพราะกำลังตั้งใจหลบหนีกันแน่ ยังไงซะเขาก็ไม่ได้ทำ
ไป๋มู่ชิงที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นนั้นยังคงหลับอย่างสบาย
ตอนเช้าไป๋มู่ชิงตื่นขึ้น ลุกขึ้นนั่งเคาะสมองเบาๆไปด้วยนึกย้อนเรื่องเมื่อคืนไปด้วย
คำพูดของคุณผู้หญิงเมื่อคืนยังดังก้องอยู่ข้างหูเธอ แต่เธอแยกไม่ออกสรุปแล้วเป็นความจริงหรือว่าความฝันกันแน่
เธอหันหน้าไปมองหนานกงเฉินที่ยังคงหลับลึกอยู่ข้างกาย ความรู้สึกก็เริ่มชัดเจนขึ้น แท้จริงแล้วไม่ใช่ความฝัน แต่เป็นความจริง เมื่อคืนหนานกงเฉินไม่ได้ทานข้าวที่บ้าน บนโต๊ะอาหารมีแค่เธอกับคุณผู้หญิงสองคนจริงๆ และคุณผู้หญิงก็พูดประโยคแปลกๆนั่นออกมาจริงๆ
หนานกงเฉินใช้แขนควานหาร่างเธอ แล้วดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด เสียงแหบพร่าและน่าดึงดูดในตอนเช้าพูดขึ้นมา:“วันนี้ไม่ต้องทำงานนี่ เธอตื่นเช้าขนาดนี้มาทำอะไร?”
ไป๋มู่ชิงถูกเขาพาเข้าไปในอ้อมกอด เงยหน้ามองกรามของเขา:“เมื่อคืนคุณนอนกี่โมง?”
“อาบน้ำเสร็จก็นอนเลย”
ไป๋มู่ชิงพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรอีก
หนานกงเฉินเห็นว่าเธอไม่ได้พูดอะไร ก็ลืมตาขึ้นมาดูเห็นว่าสายตาของเธอมองตรงไปทางหน้าต่างที่ยาวจรดพื้น ใจลอยอยู่นิดหน่อย เขาก็ใช้มือบีบไปที่จมูกเล็กๆของเธอ:“คิดอะไรอยู่?”
“เมื่อคืนฉันฝันแปลกๆ”
“ฝันว่าอะไร?”
“ฝันว่าคุณย่าพูดกับฉันว่า……” เธอหันสายตาจากหน้าต่างจรดพื้นนั่น มาหยุดตรงที่ใบหน้าเขา:“เขาบอกฉันว่าอีกไม่นานคุณก็จะเป็นฝ่ายขอหย่ากับฉัน คุณว่าความฝันนี้เชื่อได้ไหม?”
เธอไม่ได้บอกหนานกงเฉินว่านี่เป็นความจริงไม่ใช่ความฝัน เพราะว่าไม่อยากทำร้ายเขาเพราะความขัดแย้งระหว่างเธอกับคุณผู้หญิง
หนานกงเฉินยิ้มแล้วพลิกตัวให้เธออยู่ใต้ร่างเขา กัดเบาๆที่ข้างหูเธอ:“คุณคิดว่าผมเป็นฝ่ายเริ่มก่อนขนาดนั้นเลยเหรอ?”
ไป๋มู่ชิงหมดคำพูด คำตอบนี้……ถามแล้วก็เหมือนไม่ได้ถาม
เธอใช้มือดันหน้าหล่อๆของเขาออกไป มองเขาด้วยท่าทางจริงจัง:“ฉันพูดจริงนะ คุณจะหย่ากับฉันเพราะคู่ครองของคุณหรือเปล่า?”
“ขนาดรักแรกผมยังไม่ต้องการเลย ยังต้องพูดถึงคู่ครองอีกเหรอ?” หนานกงเฉินจี้ที่เอวเธอไปทีนึง:“มีแค่ผู้หญิงปากร้ายอย่างคุณก็พอแล้ว อย่าคิดมากให้กระทบความรู้สึกของเราทั้งสองฝ่ายเลย”
ถึงแม้ว่าหนานกงเฉินจะพูดอย่างชี้ขาดมาก แต่ไป๋มู่ชิงก็ยังคงไม่สบายใจอยู่ดี
เสียงนาฬิกาปลุกของมือถือที่อยู่บนหัวเตียงดังขึ้น เธอก็เลยหยิบมือถือมาปิดนาฬิกาปลุก หลังจากนั้นก็พิงไปที่แขนของหนานกงเฉิน สไลด์เปิดมือถือเพื่อดูว่ามีสายเข้าหรือข้อความอะไรหรือเปล่าตามความเคยชิน
หนานกงเฉินใช้มือคีบผมเธอเล่นไปด้วย สังเกตเธอที่กำลังตั้งใจกดมือถือไปด้วย ครู่ใหญ่ถึงจะถาม:“เบอร์มือถือของเธอบอกใครไปกี่คน?”
น้ำเสียงของเขาฟังดูสบายๆ ไป๋มู่ชิงก็ตอบอย่างสบายๆเช่นกัน:“ไม่กี่คนนะ ก็มีเพื่อนร่วมงานที่ที่ทำงานแล้วก็ซูซี่ เหยาเหม่ย จ้าวเฟยหยางเพื่อนพวกนี้ไม่กี่คน”
“ได้บอกผู้ชายบ้างไหม?”
ไป๋มู่ชิงมองบนอย่างหมดคำพูด:“มีคุณออกหน้าขนาดนี้ แม้ตาชายตามองเพื่อนร่วมงานผู้ชายพวกนั้นยังไม่กล้า แล้วจะกล้าขอเบอร์ฉัน?”
“ทำไมถึงรู้สึกว่าเธอน้อยใจกันนะ?”
“ไม่หรอก ยังไงซะฉันก็ไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับเพื่อนร่วมงานผู้ชายอยู่แล้ว”
ไป๋มู่ชิงพูดจบ ไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากหนานกงเฉิน ก็เลยเงยหน้าขึ้นมอง:“ฉันตอบดีขนาดนี้ คุณไม่ชมฉันสักประโยคเลย?”
“นั่นเป็นหน้าที่ของเธออยู่แล้ว มีอะไรต้องชม?” หนานกงเฉินยื่นมือไปปิดมือถือของเธอไว้ มองสายตาของเธอด้วยท่าทางเขร่งขรึมไม่น้อย:“ผมถามคุณ ช่วงนี้คุณได้ติดต่อกับหลินอันหนานบ้างหรือเปล่า?”
นึกถึงข้อความเมื่อคืน หนานกงเฉินก็เปลี่ยนท่าทีไม่ค่อยสบายใจ อดทนไม่ไหวไม่อยากจะสืบทีละนิดแล้ว
ไป๋มู่ชิงชายตามองเขาด้วยอารมณ์ไม่ดี:“ฉันไม่ได้รักเดียวใจเดียวเหมือนคุณ ที่ให้รักแรกสำคัญมากกว่าชีวิตตนเองเสียอีก”
“ผมพูดเรื่องจริงจังกับคุณอยู่นะ” หนานกงเฉินดึงหน้าเธอให้หันกลับมา บังคับให้เธอประสานสายตากับตนเอง
“ฉันก็พูดเรื่องจริงจังเหมือนกัน” ไป๋มู่ชิงกวาดสายตามองเขา เหมือนจะหมดคำพูด:“เช้าขนาดนี้เป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีก? ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
หนานกงเฉินสังเกตเธอ ดูแล้วเหมือนว่าเธอไม่ได้กำลังพูดโกหกอยู่ อีกอย่างร่องรอยของความหวาดผวาที่ตนเองได้ทำอะไรผิดสักนิดก็ไม่มี
แต่ข้อความนั่นเมื่อคืน……หรือว่าเป็นครั้งแรกที่หลินอันหนานส่งให้เธอ?
ถึงแม้ว่าเอาใจคนอื่นไม่เป็น และก็ไม่ชอบทำอะไรแบบนั้น แต่ยังไงซะคุณผู้หญิงก็เป็นนายหญิงในบ้านนี้ และก็เป็นผู้อาวุโสอีก ไป๋มู่ชิงคงทำได้แค่วางศักดิ์ศรีของตัวเองลงแล้วไปเอาใจเขา
รู้ว่าผู่เลี่ยนเหยาได้ความรักจากคุณผู้หญิงมาโดยตลอด ขนาดว่าไป๋มู่ชิงยังต้องไปขอคำชี้แนะวิธีการจากเขา
ผู่เลี่ยนเหยากลับใจกว้างมาก เขาถ่ายทอดประสบการณ์ตรงของตัวเองทั้งหมดให้เธอ แล้วยังบอกเธออีกว่า ช่วงนี้คุณผู้หญิงอยากได้หินออบซิเดียนที่เอาไว้ขจัดสิ่งชั่วร้ายเป็นพิเศษ
ขณะที่หนานกงเฉินเอาหินออบซีเดียนมาให้ไป๋มู่ชิงในมือทั้งสองข้างนั้น ก็ถามอย่างประหลาดใจ:“หินก้อนใหญ่ขนาดนี้คุณจะเอาไปทำอะไร?”
“เป็นของที่คุณย่าอยากได้” ไป๋มู่ชิงรับหินมาแล้วพลิกดู เงยหน้าถามหนานกงเฉิน:“ของชิ้นนี้แพงหรือเปล่า?”
“แพงนิดหน่อย” หนานกงเฉิงพูด
“งั้นก็ทำให้คุณสิ้นเปลืองเงินน่ะสิ?” ไป๋มู่ชิงเกรงใจนิดหน่อย
“ในเมื่อซื้อให้คุณย่า ก็ไม่นับว่าสิ้นเปลืองหรอก”
“ก็ใช่ ขอแค่คุณย่าชอบก็พอแล้ว” ไป๋มู่ชิงใช้มือประคองหินสีดำชิ้นนี้:“งั้นฉันเอาไปให้คุณย่าดูหน่อย ดูท่าทางเขาว่าจะชอบหรือไม่ชอบ”
“อืม บอกเขาว่าถ้าไม่ชอบรูปร่างจันทร์เสี้ยวแบบนี้ ยังมีรูปร่างแบบอื่นอีก” หนานกงเฉินยื่นมือไปลูบที่เส้นผมของเธอ เขารู้ดีที่ไป๋มู่ชิงพยายามเอาใจคุณย่ามาตลอดก็เพื่อเขา และเป็นความพยายามที่ไม่มีความโกรธแค้นแต่อย่างใด
เธอมีจิตใจแบบนี้ เขาพอใจมาก และก็มีความสุขมากเช่นกัน
ขณะที่ไป๋มู่ชิงประคองถือหินออบซิเดียนมาที่ด้านหน้าของคุณผู้หญิงนั้น ตาทั้งสองข้างของคุณผู้หญิงก็เป็นประกายขึ้นมาจริงๆ เขายื่นมือมาลูบบนหิน แล้วรีบเงยหน้ามองเธอ:“เธอไปเอามาจากไหน? ศักดิ์สิทธิ์ไหม?”
ไป๋มู่ชิงพยักหน้า:“ศักดิ์สิทธิ์ค่ะ เจ้าอาวาสยังพูดอีกว่าได้ผลดีเยี่ยม”
คุณผู้หญิงพยักหน้า แต่ไม่นานก็จ้องเธออีกครั้ง:“ฉันจะเก็บของไว้ แต่ฉันเข้าใจความหมายของเธอ ถือโอกาสเตือนเธอหน่อยละกัน อย่านึกว่าเอาเงินของเฉินไปซื้อนู่นซื้อนี่มาให้ฉัน แล้วฉันจะประทับใจ ปล่อยเธอให้อยู่ข้างกายเฉินนะ”
ไป๋มู่ชิงยิ้มอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก:“คุณย่า หนูก็แค่ได้ยินมาว่าคุณย่าอยากได้หินออบซิเดียนขจัดสิ่งชั่วร้าย ก็เลยไปหามาให้คุณย่า ไม่ได้มีความหมายอื่นค่ะ”
“ไม่ได้มีความหมายอื่น?” คุณผู้หญิงยิ้มเยาะ:“ดูแล้วเธอไม่ใช่พวกเสแสร้งแบบธรรมดาล่ะสิ ก็เห็นอยู่ว่าเอาใจฉัน เพื่อให้ตัวเองได้อยู่ข้างหนานกงเฉินเพื่อเป็นนายหญิงน้อย จิตใจของเธอที่มุ่งอยากจะได้จุดนี้มีแค่หนานกงเฉินเท่านั้นล่ะที่มองไม่ออก”
“คุณย่า……”
“ช่างเถอะ เธอไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ” คุณผู้หญิงพูดแทรกขึ้นมา:“ฉันก็แค่ไม่หวังให้เธอจะมาสิ้นเปลืองกับเรื่องพวกนี้ อย่าเสียใจ ที่หลังจากถึงเวลาแล้วพบว่าสิ่งที่ทำมาทั้งหมดนั้นมันเสียเปล่า แล้วกลับมาโทษฉันว่าใจดำ”
ไป๋มู่ชิงไม่ได้พูดอะไร
คุณผู้หญิงพูดขึ้นอีก:“ถ้าเธออยากได้สิ่งของอะไรก็ตามของตระกูลหนานกงสามารถคุยกันได้ เว้นแต่เฉินที่ไม่สามารถให้เธอได้ นี่เป็นข้อกำหนดชี้ขาด แม้แต่เฉินก็เปลี่ยนแปลงความจริงไม่ได้ หวังว่าเธอจะเข้าใจ”
ไป๋มู่ชิงพยักหน้า:“หนูเข้าใจแล้วค่ะ”
เธอลุกขึ้นยืนจากโซฟาเตรียมจะขึ้นชั้นบน หันกลับก็พบว่าหนานกงเฉินกำลังเดินลงมาจากบันไดวน เธอมองไปที่คุณผู้หญิง แล้วมองไปทางหนานกงเฉินอีก เวลานี้ไม่รู้ว่าควรจะไปหรือควรจะอยู่
หนานกงเฉินเดินลงมายืนข้างๆไป๋มู่ชิง ฝ่ามือใหญ่กุมมือเล็กๆของเธอเข้าไว้ตรงกลางฝ่ามือ หันไปทางคุณผู้หญิงด้วยมาดเขร่งขรึม:“คุณย่าครับ คุณย่าพูดถูก ยิ่งอันกำชับผมให้ซื้อของสิ่งนั้นแทนเธอ ก็เพื่อใช้เอาใจคุณย่า ให้คุณย่ามีความสุข แต่ทำไมเขาทำแบบนี้แล้วผิดครับ? ในฐานะที่เป็นภรรยาของหลานคุณย่า เขาพยายามที่จะดึงความสัมพันธ์ให้แนบแน่นมาโดยตลอด รักษาความปรองดองในครอบครัว หรือว่านี่เป็นสิ่งที่ไม่คุ้มค่าที่จะชื่นชมเหรอครับ?”
“เหลวไหล เขาทำไปก็เพื่อตัวเขาเอง!เพื่อความมั่นคงในฐานะของเขาเอง!” คุณผู้หญิงยังยืนยันคำเดิมตั้งแต่ต้นจนจบ ความดื้อรั้นของเขาทุกคนล้วนรู้ดี และไม่เคยมีใครพูดให้เขาเข้าใจ
ไป๋มู่ชิงทำได้แค่แอบดึงมุมเสื้อของหนานกงเฉิน พูดเสียงเบา:“เฉิน อย่าทะเลาะกับคุณย่า พวกเราขึ้นข้างบนกันเถอะ”
หนานกงเฉินมองเธอ จับมือของเธอแล้วโอบไหล่เธอ ดึงเข้ามา:“คุณย่า คุณย่าเห็นว่าฐานะในตอนนี้ของเธอไม่มั่นคงเหรอครับ? ผมพูดไปหลายครั้งแล้ว ผมไม่มีทางหย่ากับเธอ เธอไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปเอาใจใครเพื่อรักษาฐานะของตัวเองไว้ด้วย”
“แก……” คุณผู้หญิงโมโห
“พอแล้วค่ะ พวกคุณหยุดทะเลาะกันได้แล้ว เป็นหนูเองที่ไม่ดี หนู……”
“รู้ว่าไม่ดีแล้วทำไมยังไม่รีบออกไปอีก?” คุณผู้หญิงทะเลาะไม่ชนะหนานกงเฉิน ก็เลยเปลี่ยนไปจ้องเขม็งไป๋มู่ชิง:“ฉันว่าเธอคงไม่ได้จะมาเอาใจฉันหรอก แต่ตั้งใจมาวางอำนาจใส่ฉันซะมากกว่าใช่ไหม”
คุณผู้หญิงยื่นมือมาปัดหินออบซิเดียนที่อยู่บนโต๊ะ หินขนาดใหญ่เกือบหล่นแตกใส่เท้าของไป๋มู่ชิง โชคดีที่หนานกงเฉินดึงเธอให้ถอยหลังไปได้ทันเวลา
ไป๋มู่ชิงร้องเสียงหลงออกมา ตกใจจนหน้าซีดเผือด
หนานกงเฉินขมวดคิ้วเข้าหากัน ถ้าคุณผู้หญิงไม่ใช่ผู้ใหญ่ฝั่งเขา ไม่ใช่คนที่มีอายุมากขนาดนั้น คาดว่าเขาคงพาไป๋มู่ชิงเดินหนีออกไปแล้ว ไม่สนว่าเขาจะเป็นหรือตาย แต่เวลานี้เขาทำได้แค่กัดฟันทน ก้มตัวลงเพื่อเก็บหินออบซิเดียนกลับมาวางไว้บนโต๊ะดังเดิม พูดกับคุณผู้หญิงว่า:“คุณย่า นี่เป็นน้ำใจเล็กๆจากยิ่งอัน ต่อให้คุณย่าไม่ซาบซึ้ง แอบเอาไปทิ้งในทีหลังก็ยังได้ แต่อย่ามาทำให้แตกใส่เท้าคนอื่นแบบนี้สิครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ได้แตกใส่ฉันเลย” ไป๋มู่ชิงบ่ายมือพูด
คุณผู้หญิงกวาดสายตาไปยังทั้งสองคน ในใจรู้สึกถึงความเสแสร้งนิดหน่อย
หนานกงเฉินจ้องเขาแล้วพูด:“คุณย่า ถ้าคุณย่ารู้สึกว่าพวกเราสองคนขวางหูขวางตา ผมก็จะย้ายออกไป พอถึงตอนนั้นคุณย่าก็อย่ามาโทษผมว่าไม่สนใจคนในครอบครัวนะครับ”
“เจ้าหมอนี่แกยังคิดจะออกไปเหรอ! ” แก้วชาที่คุณผู้หญิงรินไว้ถูกวางลงบนโต๊ะเสียงดัง‘ปัง’
“ผมก็ไม่ได้อยาก แต่คุณย่าอย่าหาเรื่องทะเลาะโดยไม่มีเหตุผลแบบนี้สิครับ มันทำให้ทุกคนไม่มีความสุข”
“แกข่มขู่ฉัน?”
“ไม่ครับ แค่ขอร้องคุณย่า”
ไป๋มู่ชิงดึงเสื้อของหนานกงเฉิน:“เฉิน พวกเรากลับห้องกันเถอะ”
หนานกงเฉินมองมาทางเธอ หลังจากนั้นก็ดึงเธอออกไปทางประตู
คุณผู้หญิงเห็นพวกเขาเดินออกไปทางประตู ก็รีบถามขึ้นมา:“พวกเธอจะไปไหน?”
“รอคุณย่าหายโกรธค่อยกลับมาครับ” หนานกงเฉินหันหน้ามาตอบเขา
ไป๋มู่ชิงถูกหนานกงเฉินดึงขึ้นรถไป เธอมองหนานกงเฉินที่กำลังคาดเข็มขัดนิรภัยให้อย่างกังวล:“คุณจะพาฉันไปไหน? คงไม่ได้รอให้คุณย่าหายโกรธแล้วค่อยกลับมาจริงๆใชไหม?”
ตอนนี้คุณผู้หญิงคิดแค่ว่าจะให้หนานกงเฉินแต่งงานกับคู่ครองของเขา จะหายโกรธง่ายขนาดนั้นได้ไง?
หนานกงเฉินเงียบอยู่สักพัก แล้วเอียงตัวเพื่อจับไหล่ของเธอให้หันมาสบตากับเขา:“รู้ไหมว่าทำไมผมไม่ได้พาคุณไปที่คอนโดแต่กลับพาคุณมาที่คฤหาสน์หลังเก่าแทน?”
“ทำไมคะ? หรือว่าไม่ใช่เพราะว่าจะให้ฉันได้นั่งตำแหน่งคุณผู้หญิงหนานกงเหรอ?”
“นี่เป็นแค่เหตุผลส่วนหนึ่ง” หนานกงเฉินส่ายหน้า เรื่องตำแหน่งของเธอนั้น ไม่จำเป็นต้องไปพึ่งใครที่ไหนให้ชัดเจน ขอแค่เป็นภรรยาของเขาหนานกงเฉิน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็เหมือนกันหมด
“เพราะก่อนหน้านี้ครั้งนึงตอนที่ผมกลับไปที่คฤหาสน์ คุณย่าเคยพูดกับผมประโยคนึง เขาพูดว่าตอนนี้เขาอายุก็ไม่น้อยแล้ว ทุกครั้งที่ได้เจอกับผมนั่นอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายก็เป็นได้ และผมก็เป็นครอบครัวคนเดียวของเขา แล้วเขาก็เป็นคนที่ลำบากกว่าจะเลี้ยงผมให้โตได้ขนาดนี้ คุณเข้าใจความรู้สึกของผมที่ได้ยินคำพูดพวกนี้ไหม?”
สายตาของเขาเริ่มสลดลงทีละนิด ทั้งกลุ้มใจทั้งจนปัญญา
ไป๋มู่ชิงรีบพยักหน้า ยื่นฝ่ามือไปประคองไว้ที่หน้าของเขา:“ฉันเข้าใจค่ะ แล้วฉันก็รู้ว่าที่คุณย่าทำไปไม่ว่าจะเรื่องอะไรเป็นเพราะหวังดีกับคุณ เพราะงั้นคุณวางใจได้ ไม่ว่าคุณย่าจะทำอะไรกับฉันหรือพูดอะไรกับฉัน ฉันจะไม่เอามาใส่ใจหรอก ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนคุณที่นี่ ไม่ว่าเขาจะทุบตีฉันหรือด่าฉัน ถึงฉันตายก็ไม่ไปหรอกค่ะ”
“จริงเหรอ?”
“จริงค่ะ คุณอย่ามองว่าฉันรุนแรงชอบหาเรื่องทะเลาะโดยไม่มีเหตุผลสิ นั่นเป็นวิธีการรับมือกับศัตรูหัวใจ กับผู้ใหญ่ฉันไม่มีทางไม่เคารพหรอกค่ะ”
หนานกงเฉินหัวเราะ:“ความรุนแรงของคุณคงไม่เพียงแค่รับมือกับศัตรูหัวใจ กับสามีของตัวเองคุณก็ต้องรับมือเหมือนกัน”
“เกลียดอะ เวลาแบบนี้คุณยังมีอารมณ์พูดเล่นอีก” ไป๋มู่ชิงสูดหายใจ คำพูดเขาเมื่อกี้ไปกระตุ้นต่อมน้ำตาของเธอนิดนึง น้ำตาเธอเกือบจะได้ไหลเป็นสายแล้ว
เธอนึกถึงคุณยายของตัวเอง ทั้งๆที่เมื่อหนึ่งวันก่อนเพิ่งตอบรับว่าฤดูร้อนนี้จะไปเมืองเหยียนเป็นเพื่อนเธอ แต่พอตื่นมาคิดไม่ถึงว่าคุณยายก็จากโลกนี้ไปซะแล้ว ชีวิตนี้คงไม่มีวันจะได้เจออีกแล้ว!
หนานกงเฉินยิ้มแล้วจูบลงบนหน้าผากของเธอ หลังจากนั้นก็ปล่อยเธอ:“ไปกันเถอะ”
“ไปไหน?”
“เซอร์ไพรส์”
ความอยากรู้อยากเห็นของไป๋มู่ชิงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ:“เซอร์ไพรส์อะไรคะ? จะให้ของขวัญฉันเหรอ?”
“เป็นเซอร์ไพรส์เล็กๆที่จะช่วยปัดอารมณ์ไม่ดีของคุณทิ้งไปซะ” หนานกงเฉินออกรถ ขับไปทางประตูคฤหาสน์ใหญ่อย่างช้าๆ
รถถูกขับไปยังทางที่ไปสนามบิน แล้วหยุดที่ลานจอดรถภายในสนามบินต่างประเทศ ไป๋มู่ชิงยืนอยู่ข้างประตูรถแล้วหันมองรอบทิศ ในใจจู่ๆก็เข้าใจ แต่เธอก็ยังเสแสร้งถามด้วยด้วยเสียงที่เหมือนยังไม่รู้:“คุณพาฉันมาที่นี่ทำไม?”
“คุณเดาไม่ออกจริงๆเหรอ? แกล้งทำล่ะสิ!” หนานกงเฉินยื่นมาบีบที่จมูกเล็กๆของเธอ
ไป๋มู่ชิงรีบกระโดดเข้าไปหาเขา มือทั้งสองข้างโอบคอเขาไว้พูดออกมาอย่างดีใจ:“คุณบอกฉันว่าอาทิตย์หน้าพวกเขาถึงจะกลับไม่ใช่เหรอ? ทำไมเป็นวันนี้ล่ะ? เกลียดอะ คนโกหก!”
“ก็เลยเป็นเซอร์ไพรส์ไง” มือสองข้างของหนานกงเฉินประคองร่างของเธอไว้:“เป็นไง? เซอร์ไพรส์พอไหม?”
“เซอร์ไพรส์อย่างมากเลยค่ะ”
“อารมณ์ดีขึ้นไหม?”
“ดีขึ้นมากค่ะ” ไป๋มู่ชิงพยักหน้า
ความจริงแล้วหลังจากที่ได้ยินเขาพูดประโยคนั้น ความกลุ้มใจในใจเธอก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง ไม่มีคำพูดที่คับแค้นใจต่อคุณผู้หญิงเลยสักนิด
“ไปกันเถอะ เข้าไปข้างในกัน” หนานกงเฉินวางร่างของเธอลง
“เครื่องบินเวลาไหนคะ?”
“เครื่องลงห้าโมงครับ” หนานกงเฉินยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา:“เวลากำลังพอดีเลย”
ทั้งสองคนเดินไปที่ทางออกของผู้โดยสาร ไป๋มู่ชิงวิ่งไปที่ร้านดอกไม้ข้างๆซื้อดอกไม้หนึ่งช่อแล้วกอดไว้ในอ้อมกอด หลังจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นชะเง้อมองที่ทางออก
หนานกงเฉินเห็นรอยยิ้มที่มีความสุขบนใบหน้าของเธอ ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม เขาใช้มือโอบไหล่เธอแล้วดันเธอเข้ามาในอ้อมแขนอย่างยิ้มๆ รอเสี่ยวอี้ออกมาด้วยกันกับเธอ
รอประมาณสิบกว่านาที ในที่สุดก็ได้ยินเสียงประชาสัมพันธ์เครื่องที่บินกลับมาจากฝรั่งเศส และหลังจากนั้นอีกสิบนาที เสี่ยวอี้กับจูฮุ่ยและผู้ชายอีกคนก็ปรากฏร่างตรงหน้าของทั้งสองคน
หลังจากที่เสี่ยวอี้สายตาแหลมคมมองเห็นไป๋มู่ชิงกับหนานกงเฉิน ก็รีบวิ่งมาหาพวกเขาทั้งสอง ทั้งวิ่งทั้งเรียกอย่างดีใจ:“พี่สาว พี่เขย……ผมอยู่ตรงนี้!”
“เสี่ยวอี้……!” ไป๋มู่ชิงรับร่างเล็กๆของเขาเข้ามาในอ้อมกอด หลังจากที่กอดได้สักพักก็ปล่อยเขา ลูบศีรษะเล็กๆของเขาแล้วยิ้มอย่างยินดี:“เด็กน้อยไม่เจอกันเดือนกว่าอ้วนขึ้นอีกแล้วนะ ยินดีด้วยที่ได้กลับบ้านพร้อมทั้งสุขภาพแข็งแรง” เธอเอาช่อดอกไม้ในมือเสียบไว้ที่หน้าอกของเสี่ยวอี้
เสี่ยวอี้เอาดอกไม้ขึ้นมาที่หน้าจมูกแล้วสูดดม:“หอมจัง ขอบคุณฮะพี่”
“พี่เขย ผมก็คิดถึงพี่เหมือนกัน……” เสี่ยวอี้ถอยออกมาจากอ้อมกอดของไป๋มู่ชิง แล้วหันไปทางหนานกงเฉิน
“ยินดีด้วยที่ได้กลับบ้านพร้อมทั้งสุขภาพแข็งแรง” หนานกงเฉินรับร่างเขาเข้ามากอด ยิ้มแล้วก็พูดซ้ำประโยคที่ไป๋มู่ชิงพูด
ไป๋มู่ชิงหันไปทางจูฮุ่ย ยิ้มอย่างสดใส:“แม่ ในที่สุดอาการป่วยก็เสี่ยวอี้ก็หายดีแล้ว พวกเราไม่ต้องเป็นห่วงอีกแล้ว”
“ใช่แล้วล่ะ ในที่สุดก็หายดีแล้ว” จูฮุ่ยพยักหน้า หันไปพูดกับหนานกงเฉิน:“ต้องขอบคุณคุณชายเฉิน ที่เขาทำให้เสี่ยวอี้แข็งแรงได้แบบนี้”
“ครอบครัวเดียวกันไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ” หนานกงเฉินยิ้มบางๆ
จูฮุ่ยพยักหน้า ดึงมือของไป๋มู่ชิงมาถาม:“พวกเธอล่ะ ช่วงนี้โอเคดีไหม?”
“ดีมากค่ะ” ไป๋มู่ชิงยิ้มแล้วหันหน้าไปมองหนานกงเฉิน:“ไม่เห็นเหรอคะ หนูกับหนานกงเฉินรู้สึกว่ายังเหมือนตอนแรกไม่มีเปลี่ยน”
“เห็นแล้ว” จูฮุ่ยยิ้ม ยิ้มได้แข็งทื่อนิดหน่อย
เสี่ยวอี้โอบคอหนานกงเฉินแล้วกระซิบกระซาบ:“พี่เขย ผมหิวแล้ว ผมอยากกินน่องไก่”
“ไม่มีปัญหา เดี๋ยวจะพานายไปกินน่องไก่” หนานกงเฉินวางเขาลง แล้วเปลี่ยนมาจับมือของเขาพาเดินไปทางประตูสนามบิน
“แม่ ไปกันเถอะ” ไป๋มู่ชิงควงแขนของจูฮุ่ยแล้วเดินตามไป
จูฮุ่ยเห็นท่าทางของหนานกงเฉินกับเสี่ยวอี้พูดคุยเฮฮากัน ก็หันมาพูดกับไป๋มู่ชิง:“ฉันว่าคุณชายเฉินคงชอบเด็กมาก พวกเธอไม่คิดจะมีสักคนเหรอ?”
พูดถึงตรงนี้ ไป๋มู่ชิงก็นึกถึงเรื่องเมื่อก่อนที่ถูกจูจูพูดแทรก เธอก็ถอนหายใจเบาๆ ปรับอารมณ์ให้ดีแล้วยิ้มเบาๆ:“ให้เป็นไปตามธรรมชาติค่ะ”
จูฮุ่ยพยักหน้า แล้วพูดต่อทันที:“แต่เรื่องลูกไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ รอสักสองปี ให้ความรู้สึกมั่นคงค่อยไตร่ตรองให้ดีอีกที”
“แม่ แม่ไม่เห็นเหรอ ความรู้สึกของพวกเราตอนนี้มั่นคงมาก” ไป๋มู่ชิงแกว่งมือของจูฮุ่ยไปมา:“หนูว่าแม่ยังคงไม่เชื่อใจคุณชายเฉินล่ะสิ ไม่ได้บอกแม่ไปแล้วเหรอ อย่าถูกใบหน้าเย็นชาที่ไร้ความรู้สึกของเขาขู่ให้ตกใจกลัวสิ ความจริงแล้วในใจเขาบ้าคลั่งสุดๆ”
พอพูดถึงตรงนี้ เธอตั้งใจกดเสียงให้ต่ำลง แต่ก็ยังคงถูกหนานกงเฉินที่อยู่ด้านหน้าได้ยินอยู่ดี เขาหันหน้ามา ไป๋มู่ชิงรีบป้องปากหัวเราะแหะๆ:“ขอโทษค่ะ ฉันแค่พูดความจริง”
หนานกงเฉินขมวดคิ้วให้เธอ เหมือนเป็นการแสดงทางสีหน้าที่กำลังบอกว่า:คืนนี้จะจัดการเธอแน่!
ช่วงนี้ประโยคนี้เกือบจะเป็นคำพูดติดปากของเขาแล้ว ไป๋มู่ชิงก็ชินตั้งนานแล้วเช่นกัน เธอก็เลยตอบกลับเขาด้วยการทำหน้าทำตาอย่างขี้เล่น
พอหนานกงเฉินพาทุกคนไปทานอาหารค่ำที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งที่มีน่องไก่แล้ว ก็กลับคอนโดเซียงตี
ครั้งที่แล้วพักอยู่ที่คอนโดของหลินอันหนาน ครั้งนี้กลับเปลี่ยนมาพักคอนโดของหนานกงเฉิน ถูกกั้นไว้ด้วยกำแพง อย่าว่าแต่จูฮุ่ยกับไป๋มู่ชิงที่ลำบากใจ ขนาดเสี่ยวอี้ก็ทนไม่ไหวจนต้องถามออกมา:“พี่สาว ในบ้านของ……ลุงอันหนานยังมีคนพักอยู่ไหม?”
ใจไป๋มู่ชิงส่งสัญญาณให้เขาอย่าถามเรื่องนี้ พูดเสียงต่ำว่า:“พี่เขยของนายไม่ชอบลุงอันหนาน เพราะฉะนั้นห้ามพูดถึงเขาต่อหน้าพี่เขยรู้ไหม?”
“รู้แล้วฮะ” เสี่ยวอี้ป้องปากพยักหน้า
หนานกงเฉินไม่ใช่ว่าไม่ได้ยินคำพูดที่สองพี่น้องคุยกัน ก็แค่ไม่ได้ใส่ใจก็เท่านั้น
“พี่เขย ต่อไปผมกับแม่แล้วก็พี่สาวจะพักอยู่ที่นี่เหรอฮะ?” เสี่ยวอี้เปลี่ยนไปถามหนานกงเฉิน
หนานกงเฉินลูบหัวเขา:“ไม่ ต่อไปนายกับแม่จะพักอยู่ที่นี่ แต่พี่สาวพักอยู่ที่นี่ไม่ได้”
“ทำไมอะ? ผมชอบอยู่กับพี่สาว” เสี่ยวอี้ทำปากงุ้มหน้ามุ่ย
“เพราะพี่ชอบอยู่กับพี่สาวมากกว่านายไงล่ะ”
“งั้นพี่สามารถอยู่ที่นี่กับพวกเราได้นี่”
“ได้ไงล่ะ ที่นี่เล็กขนาดนี้”
“ผมกับแม่นอนห้องเล็กได้นะ”
“พอแล้ว คุณก็เลิกแกล้งเสี่ยวอี้ได้แล้ว” ไป๋มู่ชิงส่งน้ำขวดให้เสี่ยวอี้:“เด็กดี ต่อไปต้องอยู่กับแม่ที่นี่นะ หลังจากนั้นก็เรียนโรงเรียนที่นี่ ตอนนี้อาการป่วยของนายก็หายดีแล้ว ต้องตั้งใจเรียนแล้วรู้ไหม?”
“รู้แล้วฮะ ผมจะตั้งใจเรียน”
หลังจากที่จัดการให้แม่กับเสี่ยวอี้เสร็จเรียบร้อย ไป๋มู่ชิงกับหนานกงเฉินก็ออกจากคอนโดกลับไปยังคฤหาสน์หลังเก่า
ทั้งสองคนกลับคฤหาสน์หลังเก่าด้วยกัน คุณผู้หญิงกับเซิ่งเคอพวกเขาเข้านอนกันหมดแล้ว ทั้งสองคนย่องเท้าเบาๆอย่างไม่รู้ตัว พอถึงห้องข้างบนชั้นสอง จู่ๆเสียงเรียกเข้ามือถือของไป๋มู่ชิงก็ดังขึ้นมา เธอคลำโทรศัพท์ในกระเป๋าเอาขึ้นมาดู
ถึงแม้ว่าบนมือถือเป็นเบอร์ที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เธอก็รับโทรศัพท์อย่างง่ายดาย
ปลายสายโทรศัพท์มีเสียงต่ำที่คุ้นหูดังออกมา เรียกเสียงเบาๆ:“มู่ชิง”
ไป๋มู่ชิงนิ่งอึ้งไป เป็นหลินอันหนาน? ทำไมเขาถึงโทรมาหาเธอในเวลานี้? เขารู้เบอร์โทรศัพท์ของเธอได้ยังไง?
เธออึ้งไปประมาณสองวินาที หลังจากที่กวาดสายตามองหนานกงเฉิน ก็ก้าวเท้าเดินเข้าไปห้องข้างๆของห้องที่พักอาศัยอยู่ จนถึงที่ๆหนานกงเฉินไม่ได้ยินจริงๆ ถึงจะพูดเสียงต่ำตอบกลับไปอย่างอารมณ์ไม่ดี:“อันหนาน คุณโทรมาหาฉันเวลานี้มีธุระอะไร?”
“ทำไมเหรอ? รบกวนเวลาพักผ่อนของคุณเหรอ?” หลินอันหนานถามอย่างรู้สึกผิด
“ไม่ใช่ปัญหานี้”
“งั้นปัญหาอะไร?”
“ครั้งที่แล้วตอนอยู่ที่สนามบินฉันพูดกับคุณไปชัดเจนแล้ว ฉันแต่งงานกับหนานกงเฉินแล้ว”
“แต่ผมก็เคยพูดไปแล้ว ผมจะไม่ยอมแพ้”
“อันหนาน คุณอย่าทำแบบนี้”
“มู่ชิง……”
“ฉันรู้สึกว่าระหว่างพวกเราไม่มีอะไรต้องคุยแล้ว” ไป๋มู่ชิงพูดแทรกขึ้นมา:“คุณชายหลิน ต่อจากนี้ไปกรุณาอย่าโทรมาหาฉันอีกเลยได้ไหมคะ? ฉันไม่อยากให้เฉินเข้าใจผิดคิดว่าพวกเราสองคนยังมีความเกี่ยวข้องกันอยู่ ขอร้องคุณล่ะ”
“คุณไม่อยากรับสายผมเพราะเขา?” น้ำเสียงของหลินอันหนานเห็นได้ชัดว่าไม่สบอารมณ์
“ในเมื่อฉันแต่งงานกับเขาแล้ว ก็ไม่ควรเกี่ยวข้องอะไรกับคุณอีกไม่ใช่เหรอ?” ไป๋มู่ชิงกัดฟัน ตัดสินใจแน่วแน่:“ก็ตามนั้นค่ะ ฉันวางสายแล้วนะ”
ไม่รอให้หลินอันหนานพูดอะไร เธอรีบวางสายโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว
จ้องโทรศัพท์ในมือ เธอค่อยๆถอนหายใจ หลังจากทำจิตใจให้สงบจากการถูกหลินอันหนานก่อกวนอารมณ์ ก็ก้าวเท้าเดินกลับไปยังห้องนอน
เธอเข้าไปในห้องนอน ก็พบว่าหนานกงเฉินกำลังยืนถือแก้วน้ำอยู่ที่หน้าต่างยาวจรดพื้นกำลังมองไปด้านนอก หลังจากได้ยินเสียงฝีเท้าที่เธอก้าวเข้ามาก็หันร่างกลับมา มองไปที่เธอแล้วถาม:“ใครโทรมาเหรอ?”
ไป๋มู่ชิงมองเขา แล้วรีบพูด:“ก็แค่เพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนานก็เท่านั้น ไม่สำคัญหรอกค่ะ”
เธอพูดอย่างหวาดผวาอยู่นิดหน่อย เพราะหนานกงเฉินจ้องพุ่งมาที่สายตาของเธอเหมือนว่ากำลังถามเจาะลึกเพื่อสืบหาความจริง เธอไม่รู้ว่าหนานกงเฉินเชื่อหรือไม่เชื่อตัวเอง แต่ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อเธอก็พูดความจริงออกไปไม่ได้
ถ้าให้เขารู้ว่าคนที่โทรมาหาเธอคือหลินอันหนาน เขาจะคิดมากอย่างแน่นอน ยังไงซะตั้งแต่ไหนแต่ไรมาหนานกงเฉินไม่เคยรู้สึกชอบใจความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับหลินอันหนาน
“เป็นเพื่อนธรรมดาจริงเหรอ?” หนานกงเฉินเดินมาข้างหน้า มือข้างนึงบีบคางของเธอแล้วชำเลืองมอง:“ไม่ได้แอบปิดบังฉันคุยกับผู้ชาย?”
ไป๋มู่ชิงยกมือขึ้นมาตีมือของเขาลงไป แล้วมองบน:“แค่ผู้ชายอย่างคุณคนเดียวจะก็เหนื่อยจนหมดแรงแล้ว แล้วยังมีแรงแอบผู้ชาย?”
“ทางที่ดีก็ควรเป็นแบบนั้น ไม่งั้นผมจะกลืนคุณภายในคำเดียว” มือของหนานกงเฉินที่ถูกเธอตีลงไปยกขึ้นมาใหม่ บีบบนแก้มของเธอ:“รีบไปอาบน้ำ อาบเสร็จค่อยมาพักผ่อน”
ไป๋มู่ชิงเห็นว่าเขาไม่ได้ซักไซ้ถามต่อเรื่องโทรศัพท์เมื่อกี้ ก็พยักหน้าอย่างโล่งใจ รีบเดินเข้าไปในห้องน้ำ
ความจริงแล้วเห็นสีหน้าอารมณ์ที่เธอรับโทรศัพท์เมื่อกี้ หนานกงเฉินก็พอเดาได้ว่าเป็นหลินอันหนานที่โทรมา แต่เขาก็ยอมที่จะเชื่อว่านี่เป็นรักข้างเดียวของฝั่งหลินอันหนาน ไป๋มู่ชิงไม่ได้มีเยื่อใยอะไรเหลือให้เขาแล้ว
เสียงน้ำซ่าๆดังออกมาจากห้องน้ำ หนานกงเฉินกวาดสายตาไปยังประตูห้องน้ำ หยิบโทรศัพท์ของไป๋มู่ชิงขึ้นมาจากโต๊ะชาแล้วกดเปิด เบอร์โทรศัพท์ที่โทรเข้าล่าสุดเป็นสายที่โทรมาจากประเทศอังกฤษจริงๆด้วย เขากดมือถืออยู่สองสามทีอย่างรวดเร็ว จัดการบล็อคเบอร์นั้นอย่างถาวร หลังจากนั้นก็เอาโทรศัพท์วางกลับไว้บนโต๊ะที่เดิม
วันที่สองไป๋มู่ชิงพาเสี่ยวอี้กับแม่ไปดูโรงเรียนประถมสองโรงเรียนในบริเวณใกล้เคียงประมาณสองชั่วโมง ให้เสี่ยวอี้เลือกหนึ่งที่
ทั้งสองโรงเรียนต่างมีประวัติมายาวนาน จูฮุ่ยคิดอยู่นานก็ยังเลือกไม่ได้ ไป๋มู่ชิงก็เลยพูดปลอบใจ:“ไม่ต้องรีบค่ะ ค่อยๆเลือก พอเลือกเสร็จค่อยบอกหนู”
เธอขับรถของหนานกงเฉินไปส่งทั้งสองคนที่คอนโด
“งั้นฉันขอเวลาคิดสักพัก” จูฮุ่ยพาเสี่ยวอี้ลงจากรถ ถามไป๋มู่ชิง:“เธอไม่ขึ้นไปเหรอ?”
“ไม่ล่ะค่ะ หนูยังต้องรีบกลับไปทำงาน” ไป๋มู่ชิงมองเวลา เธอถือโอกาสออกมาช่วงเวลาพักเที่ยง
“งั้นเธอขับรถก็ระวังๆด้วยล่ะ”
“รู้แล้วค่ะ หนูจะระวัง” รถคันนี้แพงขนาดนั้น อีกทั้งยังเป็นรถส่วนตัวของเขาโดยเฉพาะอีกต่างหาก เธอกล้าไม่ระวังที่ไหนกัน?
หลังจากที่ส่งสายตามองไป๋มู่ชิงขับออกไปแล้ว เสี่ยวอี้ก็กระโดดโลดเต้นวิ่งไปทางโถงลิฟต์ จูฮุ่ยกำลังจะตามไป พอหันไปก็เห็นการปรากฏตัวของคนสองคนที่โผล่ออกมาอย่างกะทันหัน ก็ตกใจ ฝีเท้าก้าวถอยหลังไปตามสัญชาตญาณ
“พี่ชาย พี่สะใภ้……ทำไมพวกคุณมาอยู่ที่นี่?” จูฮุ่ยสังเกตพี่ชายแท้ๆและพี่สะใภ้ของตัวเองที่อยู่ตรงหน้า
จูจื้อเหวินอายุมากแล้ว ท่าทางกลับยังคงวัยรุ่นอันธพาลอยู่ ในมือคีบบุหรี่ ใส่เสื้อเชิ้ตลายดอก แค่มองก็เห็นว่าเป็นพวกอันธพาลเดินออกมาจากด้านใน
ขณะที่จูฮุ่ยกำลังสังเกตเขาอยู่ เขาก็กำลังสังเกตจูฮุ่ยเหมือนกัน แล้วหัวเราะเหอๆรีบเดินมาทางเธอ:“น้องสาว กินดีอยู่ดีดีนี่ หน้าตาก็ยังสะสวย”
จูฮุ่ยเกรงกลัวพี่ชายคนนี้ตั้งแต่ยังเด็ก ครั้งนี้ได้เจอกับเขายังคงเหมือนกระต่ายน้อยเจอกับสุนัขหมาป่าตัวใหญ่ ขนาดสายตาก็แสดงออกให้เห็นว่าในใจกลัวจนกระวนกระวายใจ
คุณผู้หญิงจูใช้มือค้ำที่เอวอย่างอารมณ์ไม่ดี:“ก่อนหน้านี้คนเขาเป็นถึงผู้หญิงของท่านประธานไป๋ ตอนนี้ก็เป็นแม่ยายของหนานกงเฉิน แน่นอนว่ากินดีอยู่ดีมากกว่านายเป็นพันๆเท่าล่ะนะ”
จูจื้อเหวินยิ้มตาหยี จ้องไปที่สายตาของจูฮุ่ยทั้งสองข้าง:“จริงสิ เสี่ยวฮุ่ย ตอนที่ไป๋จิ้งผิงเสียชีวิตได้เหลือสมบัติอะไรไว้ให้พวกเธอสองแม่ลูกบ้างหรือเปล่า? น่าจะมีไม่น้อยนะ? ให้พี่ชายเขายืมหน่อยสิ”
“ไม่มี” จูฮุ่ยส่ายหน้า:“พี่ ไป๋จิ้งผิงไม่ได้เหลืออะไรไว้ให้ฉันกับมู่ชิง”
“จะเป็นไปได้ยังไง ฉันไม่เชื่อหรอก”
“จริงๆนะ ฉันไม่ได้หลอกพี่” จูฮุ่ยกลัวว่าพี่ชายตัวเองจะไม่เชื่อ
“พอแล้ว เสี่ยวฮุ่ยก็บอกแล้วว่าไม่มี นายก็อย่าไปบังคับเขาเลย” คุณผู้หญิงจูพูดกับสามีตัวเองเสร็จ ก็หันมาพูดกับจูฮุ่ยต่อ:“เสี่ยวฮุ่ย ฉันกับพี่ชายเธอมีเรื่องจะคุยกับเธอ รีบพาพวกเราไปข้างบนสิ”
“เรื่องอะไร?” จูฮุ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“ขึ้นไปก่อนค่อยว่ากัน”
จูฮุ่ยลังเลอยู่สักพัก สุดท้ายก็เดินนำคู่สามีภรรยาทั้งสองขึ้นไปด้านบน

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset