เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 173 ให้เธอหย่า

คุณหญิงจูมองไปเนื้อที่รอบๆที่กว้างขวาง เป็นบ้านหลังใหญ่ที่ตกแต่งหรูหราแล้วเอ่ยขึ้น “ดูเหมือนหนานกงเฉินจะรวยมาก ตกแต่งซะเหมือนวังเลย”
จูฮุ่ยไม่เอ่ยพูดอะไร ให้เสี่ยวอี้กลับไปเล่นในห้องแล้วเดินไปห้องครัวเทน้ำให้สองสามีภรรยา เอ่ยถามขึ้น “พี่ชาย พี่สะใภ้ พวกพี่หาฉันมีเรื่องอะไร?”
“ก็จะเรื่องอะไรอีกล่ะ?” คุณหญิงจูพูด “จำเรื่องที่ฉันเคยเตือนแกได้หรือเปล่า? ว่าอย่าเอ่ยกับใครเรื่องความสัมพันธ์ของแกกับตระกูลจู แม้แต่คนในตระกูลหนานกงก็ห้ามเอ่ยพูด”
“ฉันรู้” จูฮุ่ยพยักหน้า
เมื่อคุณหญิงจูเห็นเธอไม่เอ่ยอะไรแล้วพูดขึ้นอีก “จูจูกำลังเตรียมตัวจะแต่งงาน ฉันไม่อยากให้คนตระกูลหลี่คิดว่ามองตระกูลจูเราไม่ดี ถึงได้มีผู้หญิงยังไม่แต่งงานก็ท้องเหมือนแก แถมยังเป็นผู้หญิงที่โดนผู้ชายทอดทิ้งด้วย ยิ่งไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าตระกูลเรามีมู่ชิงกับเสี่ยวอี้ที่มีพ่อแต่พ่อไม่เอา ถ้าเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไปคงทำให้งานแต่งงานของจูจูเสียหาย ฉันจะจัดการแกแน่”
จูฮุ่ยมองไปทางคุณหญิงจู แล้วขอบตาก็เริ่มแดงขึ้น “พี่สะใภ้ ฉันไม่เอ่ยพูดความสัมพันธ์ระหว่างมู่ชิงกับเสี่ยวอี้กับตระกูลจูได้ แต่ฉันขอร้องได้ไหม อย่าพูดถึงสองพี่น้องแบบนี้เลย? พี่จะเสียดสีฉันยังไงก็ได้แต่อย่าทำร้ายลูกของฉัน”
“แกรู้สึกเสียใจแทนพวกเขาหรอ?” คุณหญิงพูดเยาะเย้ยจากนั้นก็จ้องเธอด้วยความหงุดหงิด “ตอนนั้นที่บอกให้แก่อย่าไปใกล้ชิดกับไป๋จิ้งผิง แกก็เอาแต่ไปอยู่กับมันไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้เสียใจทีหลังแล้วหรอ? รู้ว่าตัวเองน่าอายแล้วมันจะมีประโยชน์อะไร?”
“พอแล้วพอแล้ว เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ไม่ต้องพูดขึ้นอีก” จูจื้อเหวินโบกมืออย่างหงุดหงิด
คุณหญิงจูจ้องไปที่เขาแล้วเอ่ยกับจูฮุ่ยว่า “แล้วยัยมู่ชิงอีก ฉันได้ยินมาว่าคุณหญิงตระกูลหนานกงไม่รับเธอเป็นคุณหญิงน้อยตระกูลหนานกงหนิ ถ้าแกไม่อยากให้เธอซ้ำรอยก็รีบหาโอกาสไปคุยกับเธอ บอกให้เธอไปจากหนานกงเฉินไกลๆซะ”
“ใช่ พูดถูก” จูจื้อเหวินเอ่ยเสริมขึ้น “ตระกูลจูเรามีคนที่น่าอายเหมือนเธอก็ซวยมากแล้ว อย่าให้มู่ชิงซ้ำรอยของเธอ พูดให้เธอคิดให้ได้ อย่าเอาแต่วาดฝันชีวิตที่ร่ำรวย คนอย่างเรายังไม่มีฐานะที่จะเอื้อมถึง”
เมื่อเห็นว่าจูฮุ่ยไม่พูดอะไร จูจื้อเหวินก็ขมวดคิ้วพูดเสียงดังขึ้น “ได้ยินหรือยัง ให้เธอรีบแยกกับหนานกงเฉินซะ อย่ารอให้ถึงเวลาที่คุณหญิงไล่เธอออกจากตระกูลหนานกง มันน่าอายไหมล่ะ?”
“ฉันจะพูดกับเธอเอง” จูฮุ่ยพูด
เธอไม่สนับสนุนไป๋มู่ชิงกับหนานกงเฉินอยู่แล้ว แล้วเคยพูดกับเธอหลายรอบ แต่ไป๋มู่ชิงก็ไม่ฟังเธอเลย
“อีกอย่าง แกกลับเสี่ยวอี้ก็อย่าอยู่ที่เมืองซีอีก กลับเมืองเหยียนกับฉัน” จูจื้อเหวินพูด
“กลับเมืองเหยียน?” จูฮุ่ยมองเขาอย่างประหลาดใจแล้วเอ่ยปากพูด “แต่ว่า……พี่ชาย พี่รังเกียจที่ฉันทำให้ตระกูลจูเสียหน้าไม่ใช่หรอ? ทำไมยังจะให้ฉันกลับเมืองเหยียนอีก?”
“ถึงแม้จะรังเกียจเธอแต่ก็ไม่สนไม่ดูแลเธอไม่ได้ ใครให้เธอเป็นน้องสาวเพียงคนเดียวของพี่ชายล่ะ?” คุณหญิงจูพูดอย่างหงุดหงิด “แกก็กลับไปกับพี่ชายแกซะ ถ้าไม่มีอะไรก็ไม่ต้องออกไปไหน ไม่ต้องมาเมืองซีด้วย”
“แล้วมู่ชิงล่ะ?”
“รอเธออย่ากับหนานกงเฉินก็จะกลับไปใช้ชีวิตที่เมืองเหยียนด้วย” น้ำเสียงของคุณหญิงจูเริ่มอ่อนลง “พี่ชายเธอหาบ้านกับโรงเรียนให้เธอกับเสี่ยวอี้แล้ว อีกหน่อยเธอก็อยู่ที่นั่น แต่อย่าเอ่ยพูดกับคนอื่นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเธอกับตระกูลจู แล้วเรื่องที่เคยอยู่ที่บ้านตระกูลจูด้วย”
“ถ้ามู่ชิงไม่ยอมหย่ากับหนานกงเฉินล่ะ?” จูฮุ่ยยังยอมรับกับสิ่งที่พี่ชายจัดการให้ไม่ได้ แล้วก็ไม่อยากไปจากเมืองซีด้วย
เมื่อคุณหญิงจูเห็นท่าทางที่ไม่เต็มใจของเธอก็พูดขึ้นอย่างโมโห “เมื่อกี้พูดกับเธอแล้วไม่ใช่หรอ คุณหญิงตระกูลหนานกงช่วยหาคู่ครองที่ฟ้าลิขิตไว้ให้หนานกงเฉิน ถ้าท่านหาเจอ ถึงแม้มู่ชิงจะไม่ยอมหย่าก็ต้องหย่า”
คุณหญิงจูมองสำรวจไปที่เธอแล้วจ้องที่เธอ “ทำไม? เธอยังอยากเร่ร่อนอยู่ที่เมืองซีเหรอ?”
“เปล่า ไม่ใช่ ฉันแค่……”
“แค่อะไร? แกยังหวังว่าหนานกงเฉินจะเลี้ยงแกกับเสี่ยวอี้ไปทั้งชีวิตหรอ? ตอนนี้เขาอาจจะสนใจในตัวมู่ชิงบ้าง แต่พอเขาหย่ากับมู่ชิงแล้ว ในสายตาเขาพวกแกไม่มีค่าอะไรทั้งนั้น”
“ใช่ คนในครอบครัวยังไงก็เป็นที่พึ่งตลอด” จูจื้อเหวินหยิบไฟแช็กแล้วจุดบุหรี่ขึ้น มองน้องสาวตัวเองผ่านควันบุหรี่ “ถึงแม้พี่ชายจะไม่รวยมาก แต่เลี้ยงเธอกับเสี่ยวอี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร เอาอย่างนี้แหละ กลับไปที่เมืองเหยียนกับพี่”
จูฮุ่ยไม่กล้าโต้เถียงพวกเขาจึงพยักหน้าให้ “ได้ค่ะ ฉันกลับเมืองเหยียนกับพี่”
จูฮุ่ยคิดพิจารณาทั้งคืน จนสุดท้ายวันต่อมาก็บอกกับเธอความคิดที่จะกลับไปใช้ชีวิตในเมืองเหยียนตอนที่ไป๋มู่ชิงมาหา
ไป๋มู่ชิงไม่เข้าใจอยู่แล้วมองหน้าคุณแม่อย่างสงสัย “ทำไมคะ? เมื่อวานเราก็คุยกันดีแล้วไม่ใช่เหรอคะ? กำลังหาโรงเรียนที่เมืองซีให้เสี่ยวอี้อยู่ คุณแม่ก็อยู่ที่นี่แหละฉันก็จะได้มาเยี่ยมหาบ่อยๆ”
“มู่ชิง คนแก่แล้วก็อยากจะกลับไปอยู่ในที่ที่ตัวเองเคยอยู่ แม่เติบโตมาในเมืองเหยียน ตอนนี้แก่แล้วก็อยากจะกลับไปใช้ชีวิตที่นั่น แล้วตอนนี้ยังมีคุณลุงคอยดูแลก็ดีกว่าเอาแต่เร่ร่อนที่นี่”
จูฮุ่ยไม่กล้าพูดคำพูดของคุณหญิงจูที่ทำร้ายคนฟังกับเธอ เพราะว่าเธอไม่อยากให้ไป๋มู่ชิงรู้สึกเสียใจ
“ทำไมคะ?” ไป๋มู่ชิงใกล้จะร้องไห้ “คุณแม่ ทำไมคุณแม่อยู่ที่นี่ถึงเร่ร่อนคะ? คุณแม่ยังมีหนู คุณลุงคุณป้าพวกเขาไม่ดีกับคุณแม่จะดูแลคุณแม่กับเสี่ยวอี้ได้ยังไง ถ้าคุณแม่อยู่ที่นี่หนูถึงจะได้โล่งใจ ไม่งั้นหนู……”
“มู่ชิง” จูฮุ่ยพูดแทรกคำพูดที่ร้อนรนของเธอ “พูดถึงตอนนี้แม่จะไม่เตือนเธอไม่ได้แล้ว เธอรู้หรือเปล่าว่าคุณหญิงตระกูลหนานกงกำลังหาคู่ครองที่ฟ้าลิขิตไว้ให้หนานกงเฉิน?”
“หนูรู้ค่ะ” ไป๋มู่ชิงก้มหน้าลงไป
“ในเมื่อรู้แล้วทำไมเธอยังใกล้ชิดกับหนานกงเฉินอีก? เธอไม่กลัวว่าถึงเวลา……” จูฮุ่ยรีบห้ามปากตัวเองไว้
ไป๋มู่ชิงไม่รู้จะเอ่ยพูดยังไง “คุณแม่คะ หนูกับหนานกงเฉินเป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฏหมายแล้ว เป็นสามีภรรยากันจริงๆด้วย จะใกล้ชิดกันได้ยังไง”
เธอกอดแขนของจูฮุ่ยไว้แล้วพูดต่อ “คุณแม่คะ หนูรู้ว่าคุณแม่ไม่ชอบหนานกงเฉินเพราะว่าเรื่องของประธานไป๋ แม่ยังโกรธเคืองเขาอยู่ แต่ว่าหนูบอกกับคุณแม่หลายรอบแล้วว่าเรารักกันจริงๆ เราจะไม่หย่ากัน เขาก็จะไม่มีทางแต่งงานกับคู่ครองคนนั้นแน่นอน”
“มู่ชิงเธอคิดผิดแล้ว แม่ไม่ใช่ไม่ชอบเขาเพราะเรื่องพ่อเธอ แต่เป็น……” จูฮุ่ยลังเลไป” แต่เป็นเพราะฐานะบ้านเรา แม้แต่บ้านที่ดูเป็นบ้านหลังเดียวก็ไม่มี จะเอาอะไรไปเทียบกับคนอื่นได้ ถึงแม้ตอนนี้หนานกงเฉินจะชอบเธอ ไม่ยอมหย่ากับเธอ แล้วอีกหน่อยล่ะ? ถ้าเขาหมดความชอบในตัวเธอแล้วเขายังจะดีกับเธอแบบนี้อยู่หรือเปล่า? แล้วคุณหญิงล่ะ ภรรยาทั้งหกคนท่านก็เป็นคนแต่งให้หนานกงเฉิน ท่านจะยอมเลิกหาคู่ครองเพื่อเธอหรอ?”
ไป๋มู่ชิงรู้ดีว่าทุกคำพูดของจูฮุ่ยมีเหตุผล แต่ไม่ว่าจะยังไง เธอกับหนานกงเฉินก็ไม่มีทางหย่ากัน อย่าว่าแต่เธอเลย แม้แต่หนานกงเฉินก็ไม่ยอมหย่าเธอหรอก
เธอไม่รู้ว่าอีกหน่อยหนานกงเฉินจะเบื่อหน่ายตัวเองหรือเปล่า แต่ตอนนี้เธอเห็นความจริงใจที่หนานกงเฉินมีต่อเธอ จนสามารถยอมปล่อยวางรักแรกที่รอมาเป็นสิบปีได้
ด้วยความรู้สึกที่เขามีให้ตัวเองแล้วบวกกับความรัก การที่แต่งงานแล้ว ไม่มีทางหย่ากันแน่นอน
“คุณแม่คะ หนูรู้ว่าคุณแม่กำลังเป็นห่วงอะไร คุณแม่วางใจเถอะค่ะ หนูไม่เป็นอะไร” เธอกุมมือคุณแม่ไว้ “คุณแม่วางใจเถอะนะคะ ไม่ว่าอีกหน่อยจะเกิดอะไรขึ้นหนูก็จะดูแลคุณแม่กับเสี่ยวอี้เอง”
“ทำไมเธอหัวดื้อดึงขนาดนี้?” จูฮุ่ยสะบัดมือเธอออก สีหน้าก็มีความโมโห “ฉันบอกกับเธอกี่รอบแล้ว เราไม่มีโชคนั้น อย่าไปโลภเงินของคนอื่น เธออยากจะซ้ำรอยแม่ที่โดนผู้ชายทิ้งครั้งแล้วครั้งเล่าหรอ?”
ไป๋มู่ชิงอึ้งไปกับการตะคอกของเธอ เธอรู้จักนิสัยคุณแม่ดีที่เป็นคนที่เซนซิทีฟแล้วดื้อดึงมาก เพราะฉะนั้นเธอก็เลยไม่ได้ทะเลาะกับคุณแม่ จากนั้นก็หันหลังไปยกน้ำเปล่าขึ้นดื่ม
เมื่อจูฮุ่ยเห็นเธอไม่โต้เถียงตัวเอง ความโมโหในใจก็ค่อยๆลดลงไปแล้วสูดหายใจเข้าลึก “ยังไงแกก็ต้องฟังฉัน รีบจัดการความสัมพันธ์กับหนานกงเฉิน เราไม่เอาบ้านของเขา ทั้งเงินทั้งบ้านเราไม่เอาทั้งนั้น”
ไป๋มู่ชิงก็ยังเงียบเหมือนเดิม ถึงแม้เธออาจจะไม่ทำตาม แต่ก็จะไม่ทะเลาะกับคุณแม่ของตัวเองตอนนี้ต่อ
“อีกอย่าง อาทิตย์นี้ฉันจะพาเสี่ยวอี้กลับเมืองเหยียน คุณลุงแกหาโรงเรียนให้เสี่ยวอี้แล้ว”
“คุณลุง? ท่านใจดีขนาดนั้นเลยหรอ?” ไป๋มู่ชิงไม่แยแส
เธอจำได้ตอนเด็กๆที่อยู่บ้านสวนจูกับคุณแม่ คุณลุงคุณป้าด่าท่าน ไม่มีความรู้สึกดีกับญาติคนนี้แม้แต่นิดเดียว
จูฮุ่ยจ้องไปที่เธอ ลังเลไปครู่หนึ่งค่อยเอ่ย “พูดคำที่จะทำให้เธอเสียใจ คุณลุงแกกำลังจะแต่งลูกสาว เลยรังเกียจแม่ลูกเราว่าจะทำให้ตระกูลจูเสียหน้าเลยไม่ให้พวกเราพูดความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลจูออกไป เพราะฉะนั้นแกก็อย่าพูดจะดีกว่า”
“เหรอ ลูกสาวคุณลุงอะไรสูงส่งขนาดนั้น ยังรังเกียจพวกเราอีก?”
“เขาเป็นนักเรียนที่กลับจากเมืองนอกก็ต้องสูงส่งกว่าพวกเราอยู่แล้ว แกอย่าไปอิจฉาคนอื่น”
“เมืองนอก? ถ้าไม่ใช่พวกเขาบีบบังคับจนคุณย่ากระโดดตึก เธอจะไม่มีเงินไปเรียนต่างประเทศได้ยังไง คงไม่รู้ว่าไปทำอะไรอยู่สักที่” ถึงแม้ไป๋มู่ชิงจะไม่ค่อยได้เห็นลูกสาวของคุณลุง แต่ก็ไม่ได้มีความรู้สึกดีอะไรกับเธอเลย
เธอจำได้ตั้งแต่เด็กคุณลุงคุณป้าก็ส่งลูกสาวตัวเองไปเรียนในเมืองแล้วไม่ค่อยกลับมาในเมืองเหยียนเท่าไหร่ จำได้ภาพเหตุการณ์ที่เคยเจอกันครั้งสองครั้งก็โดนเธอรังแกจนร้องไห้แล้ววิ่งไปหาคุณย่า
เพราะฉะนั้นเธอไม่มีความรู้สึกดีกับน้องสาวคนนี้เลยแม้แต่นิด
ถึงแม้ไม่สนใจเรื่องของครอบครัวเธอมาก แต่ด้วยความสงสัยเธอก็ถามขึ้น “เธอจะแต่งงานกับใคร? ถึงได้โอ้อวดขนาดนี้”
จูฮุ่ยมองตาขวางใส่เธอ “ลุงแกไม่ได้บอก แค่บอกว่าเป็นคนที่มีฐานะ”
“คุณแม่ แม่เป็นคุณน้าแท้ๆของเธอ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ก็ไม่บอกคุณแม่” ไป๋มู่ชิงพูดอย่างหงุดหงิด “ดูเหมือนพวกเขาจะคิดว่าเราขายหน้ามาก อะไรกันเนี่ย”
“ฉันเป็นคนทำผิดอยู่แล้ว จะโทษที่คุณลุงแกรังเกียจพวกเราได้ยังไง” จูฮุ่ยคิดได้แล้วมองไปที่เธอ “เพราะฉะนั้นแม่เลยไม่อยากให้ลูกซ้ำรอยแม่ จนกระทั่งแม้แต่คนในครอบครัวก็รังเกียจ”
ไป๋มู่ชิงโบกมืออย่างเบื่อหน่าย “พอแล้วค่ะคุณแม่ หนูจะระวังเอง”
“มู่ชิง ฟังแม่ ไปจากหนานกงเฉินแล้วกลับเมืองเหยียนกับแม่” จูฮุ่ยอดไม่ได้ที่จะวนกลับมาพูดแล้วจ้องมองเธอ
ไป๋มู่ชิงยังไม่ได้เอ่ยพูดอะไร เสี่ยวอี้ที่ตื่นจากนอนกลางวันก็วิ่งออกมาจากห้องแล้วร้องไห้กอดแขนไป๋มู่ชิงไว้ “พี่สาว ผมไม่อยากกลับเมืองเหยียน ผมอยากอยู่กับพี่สาวพี่เขยที่นี่ พี่ช่วยพูดกับคุณแม่ด้วย……”
“เสี่ยวอี้!” จูฮุ่ยใช้น้ำเสียงที่ต่ำพูดตำหนิเขา “แม่บอกกี่รอบแล้วบ้านเราอยู่ที่เมืองเหยียน เราต้องกลับไป!”
“ไม่เอา พี่เขยบอกว่าต่อไปที่นี่ก็เป็นบ้านของพวกเรา ผมจะอยู่ที่นี่ จะเรียนที่นี่……”
“แม่บอกแล้วไงว่าไม่ได้!”
เสี่ยวอี้ร้องไห้อย่างเสียใจกว่าเดิม ไป๋มู่ชิงก็กอดเขาไว้แล้วมองไปทางคุณแม่ “คุณแม่คะ ให้เสี่ยวอี้อยู่ที่นี่เถอะค่ะ……”
“แกหุบปากเดี๋ยวนี้!” จูฮุ่ยพูดแทรกขึ้น “ฉันตัดสินใจแล้ว ถ้าพวกแกสองคนใครยังจะพูดอีก ฉันจะ……ฉันจะกระโดดลงไปจากตรงนี้ต่อหน้าพวกแก” จูฮุ่ยชี้ไปทางนอกระเบียง
เมื่อท่านพูดได้หนักแน่นขนาดนี้ ไป๋มู่ชิงก็ไม่เอ่ยพูดอะไรอีก เสี่ยวอี้ก็ไม่กล้าร้องไห้ด้วยแล้วพยายามกลั้นน้ำตาตัวเองไว้
หลังจากที่ออกมาจากคอนโดแล้วขึ้นรถไฟฟ้าไป๋มู่ชิงก็ได้รับโทรศัพท์จากหนานกงเฉิน
“อยู่ที่ไหน?” อีกฝั่งโทรศัพท์หนานกงเฉินถามขึ้น
“เพิ่งออกมาจากคอนโดคุณแม่แล้วอยู่บนรถไฟฟ้า”
“ทำไมไม่ให้เสี่ยวหลินไปรับ?”
“ไม่ต้อง นั่งรถไฟฟ้าไปบริษัทสะดวกกว่า”
“เป็นอะไร? ฟังดูเสียงเธอไม่ค่อยมีความสุข”
ไป๋มู่ชิงสูดจมูกเบาๆแล้วเอ่ย “เดี๋ยวเจอกันค่อยคุยกัน ใช่สิ นายประชุมเสร็จหรือยัง?”
“ประชุมเสร็จแล้ว กำลังจะไปรับเธอกลับบ้าน”
“ฉันใกล้จะถึงบริษัทแล้ว”
“ได้ เดี๋ยวไปกินข้าวด้วยกัน”
เมื่อไป๋มู่ชิงกลับมาถึงบริษัท หนานกงเฉินก็รออยู่ใต้ตึกแล้ว ทั้งสองขึ้นรถไปพร้อมกัน หนานกงเฉินที่คาดเข็มขัดนิรภัยด้วยแล้วมองไปที่เธอด้วย “เธอชอบรถอะไร เดี๋ยวผมให้ผู้ช่วยเหยียนไปจองให้”
ไป๋มู่ชิงหันหน้าไปยังประหลาดใจแล้วส่ายหน้า “ไม่ต้อง ฉันทำงานก็นั่งรถของคุณไปกลับ ปกติก็ไม่ค่อยออกจากบ้านด้วย”
“ซื้อรถคันเดียวก็ไม่แพงซักหน่อย รถรุ่นเดียวกับซูซี่เป็นยังไง? รถฝั่งตะวันตกก็จะดูแข็งแรงปลอดภัยกว่า” หนานกงเฉินยื่นนิ้วไปแตะจมูกเธอ “ผู้หญิงก็ควรจะมีรถคันหนึ่ง จะได้สะดวกที่จะออกไปที่ไหน”
ไป๋มู่ชิงยืดตัวขึ้นแล้วจ้องเขา “งั้นนายบอกฉันมาสิว่านายซื้อรถอะไรให้คุณหนูจู?”
หนานกงเฉินไม่คิดเลยว่าเธอจะถามขึ้นเลยอึ้งไปเล็กน้อย
ไป๋มู่ชิงจ้องไปที่เขา “ดูจากสีหน้านายคงซื้อแล้วใช่ไหม? ซื้อรถอะไรให้เธอ? นายเคยสัญญากับฉันแล้วไม่ใช่……”
หนานกงเฉินจับมือของเธอที่ชี้ตัวเองแล้วจูบลงบนมือ “คุณภรรยาฟังผมนะครับ ผมให้ผู้ช่วยเหยียนซื้อรถให้เธอก่อนที่ผมจะย้ายออกมาจากบ้าน ผมแค่อยากจะให้ชีวิตที่ดีกับเธอ แบบนี้คงจะได้กลับมาในอ้อมกอดคุณอย่างสบายใจ ไม่ได้มีอะไรอย่างอื่นเลย”
“สรุปซื้อรถอะไรให้เธอ?”
“เฟอร์รารี่”
“นาย……!” ไป๋มู่ชิงดึงมือตัวเองกลับอย่างหงุดหงิดแล้วทุบไปที่ไหล่เขา “นายหมายความว่ายังไง? รถของซูซี่แค่ห้าแสนกว่าหยวน นายซื้อรถให้ฉันไม่กี่แสนแต่กลับซื้อรถเป็นสิบเป็นร้อยล้านให้คุณหนูจู!”
เมื่อหนานกงเฉินเห็นท่าทางเธอแบบนั้นก็กอดเธอเข้ามาในอ้อมกอดแล้วตบบ่าเธอเบาๆพูดปลอบใจ “ที่รัก ผมกลัวว่าถ้าซื้อถูกให้เธอจะดูเหมือนไร้น้ำใจ แต่เธอไม่เหมือนกันนี่ เธอเป็นภรรยาของผม ผมก็เป็นของเธอ ผมสามารถชดใช้ให้เธอด้านอื่นได้ อย่างยกแผนกบัญชีทั้งบริษัทให้เธอ……”
“ใครจะเอาแผนกบัญชีของนายล่ะ? ฉันจะเอาเฟอร์รารี่! “เมื่อกี้ได้ยินคำพูดที่ยั่วยวนใจของจูฮุ่ย ในใจเธอก็กำลังลังเลอยู่แล้วตอนนี้ก็เจอเรื่องแบบนี้อีก จนทำให้อารมณ์เธอไม่ดีขนาดนั้น
“ได้ เฟอร์รารี่ พรุ่งนี้จะซื้อเฟอร์รารี่ให้! หนานกงเฉินก็ยังพูดปลอบใจต่อ
ไป๋มู่ชิงผลักเขาอย่างหงุดหงิด “ฉันไม่เอาหรอก! ไม่อยากได้!”
หนานกงเฉินตลกกับท่าทางของเธอแล้วลูบผมเธอด้วย “ที่รักครับ ทำไมคุณถึงไม่เข้าใจผมล่ะ คุณอยากได้รถอะไรผมจะซื้อให้ไม่ได้หรอ? ผมแค่กลัวคุณขับรถที่ดีเกินไปแล้วจะมีคนอื่นมาจ้องมอง ถ้าเกิดวันไหนคุณโดนคนร้ายจับตัวไปผมจะไปช่วยคุณที่ไหน?”
พอได้ยินแบบนี้แล้วทำไมรู้สึกซึ้งในใจ?
ไป๋มู่ชิงเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างหงุดหงิด “นายกำลังจะใช้คำพูดหวานๆนี้หลอกล่อฉันหรอ?”
“นี่เป็นความในใจผม” หนานกงเฉินยกมือขึ้น “ผมสาบาน”
ไป๋มู่ชิงไม่พูดอะไรต่อ
แล้วหนานกงเฉินก็พูดยิ้ม “ตอนนั้นที่เฉียวซือเหิงซื้อรถคันนี้ให้ซูซี่ผมก็เคยล้อเล่นกับเขาว่าใจร้ายกับภรรยา แต่สุดท้ายเขาก็พูดคำนี้กับผม ในใจผมตอนนั้นก็รู้สึกด้วยแล้วคิดว่าอีกหน่อยผมก็จะซื้อรถคันนี้ให้ภรรยาตัวเองด้วย”
“จริงหรอ?”
“จริงสิ”
ไป๋มู่ชิงนึกถึงรถของซูซี่ จนวันนี้ก็ยังโดนเธอกับเหยาเหม่ยเอามาล้อเล่นเธอ ว่าคนรักของเฉียวซือเหิงขับรถที่ดีกว่าเธอเป็นสิบเท่า จนซูซี่รู้สึกหงุดหงิดกับคำล้อเล่นของพวกเธอ จนสุดท้ายก็ตั้งชื่อ รถทอดทิ้งภรรยา!
รถที่ทอดทิ้งภรรยาที่ถูกคนรังเกียจนี้ทีแท้ยังมีเรื่องเล่าอีก!
“ดูเหมือนเฉียวซือเหิงไม่ใช่ว่าไม่มีความรู้สึกกับซูซี่ “เธอพยักหน้า
“มีแต่ผู้หญิงแบบพวกเธอต่างหากถึงมองใจผู้ชายไม่ออก”
“ใจของผู้ชาย?” ไป๋มู่ชิงยิ้มใส่เขา “ใจที่นายมีต่อมือที่สามหรอ? หรือว่า……ท่าทางที่นายสนับสนุนกับการกระทำของเธอ? นายอยากจะเรียนรู้กับเธอ? อยากจะ……”
“ตอนนี้ผมไม่กล้าคิดอะไรทั้งนั้นโอเคไหม?” หนานกงเฉินยิ้มแล้วพูดแทรกเธอ “ขู่ผมขนาดนี้แล้วผมยังจะกล้าคิดอะไรกับผู้หญิงคนอื่นหรอ?”
ไป๋มู่ชิงรู้ว่าเขาหมายถึงเรื่องที่ตัวเองขู่เขาว่าจะไปเจอคุณชายรองตระกูลเฉียว เธอก็อดยิ้มไม่ได้ เธอจะกล้าไปหาคุณชายรองตระกูลเฉียวได้ยังไง ไม่สนิทกับเขาซะหน่อย!
“ยิ้มสักที” หนานกงเฉินยกมือขึ้นวางลงบนหัวเธอแล้วถามเธอ “พอแล้ว จะหึงก็หึงไปแล้ว ตอนนี้บอกผมได้หรือยังว่าทำไมอารมณ์ถึงเสีย?”
สีหน้าไป๋มู่ชิงค่อยค่อยหม่นหมองลงแล้วถอนหายใจ “แม่ฉันดื้อดึงจะพาเสี่ยวอี้ไปเรียนที่เมืองเหยียน พูดยังไงก็ไม่ฟัง”
“ทำไม?”
“ท่านบอกว่าท่านอยู่ที่เมืองเหยียนจนชินแล้ว เลยอยากกลับไปอยู่ที่นั่น แล้วเป็นความคิดของคุณลุงด้วย”
“คุณลุง?”
“ใช่ แม่ฉันกลัวแกมาตลอด แกพูดยังไงก็ต้องเป็นยังงั้น”
“เหมือนเธอจะไม่เคยบอกผมเลยว่ายังมีคุณลุง เธอบอกว่าเธอไม่มีญาติแล้วไม่ใช่หรอ? แถมเธอก็ไม่เคยบอกว่าแม่เป็นคนเมืองเหยียน” หนานกงเฉินมองไปที่เธอ “ผมพึ่งรู้วันนี้ ผมเหมือนไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับคุณเลย”
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาคิดว่าเธอเป็นไป๋ยิ่งอัน หลังจากที่สลับตัวกลับมาแล้ว เขาเอาแต่โมโหหงุดหงิดก็เลยไม่ได้ไปสนใจตัวตนที่แท้จริงของเธอ รู้แค่ว่าเธอเป็นลูกสาวที่เลี้ยงอยู่ข้างนอกของไป๋จิ้งผิง
“สำเนียงเมืองเหยียนของแม่ฉันคุณฟังไม่ออกหรอ? ท่านเป็นคนเมืองเหยียน ตอนสาวๆไม่ระวังไปรู้จักกับประธานไป๋ แล้วคลอดฉันออกมา แต่ว่าหลังจากนั้นประธานไป๋ก็ทอดทิ้งท่าน ท่านเลยจำเป็นต้องพาฉันไปอยู่ที่บ้านคุณลุง จากนั้นก็พาฉันกลับไปที่เมืองซี แต่ก็โดนประธานไป๋ปฏิเสธ เมื่อไร้ทางออกก็เลยแต่งงานกับผู้ชายคนอื่นอีก”
“พ่อของเสี่ยวอี้หรอ?”
“ใช่ เหมือนฉันจะเคยบอกนาย พ่อของเสี่ยวอี้ติดการพนันติดเหล้ามาก พอเมาแล้วก็ชอบทำร้ายร่างกาย แม่ฉันทนการด่าการทำร้ายร่างกายไม่ไหวเลยพาฉันกับเสี่ยวอี้หนีออกจากบ้านเลย” ไป๋มู่ชิงมองเขา “ครั้งก่อนฉันเลยขอให้นายอย่าโทษท่านที่ท่านเกลียดนาย เพราะทั้งชีวิตนี้มีแค่ประธานไป๋ที่ดีกับท่าน ท่านก็เลยเข้าข้างผู้ชายคนนี้”
“ผมเข้าใจ” หนานกงเฉินแล้วพูดปลอบใจอย่างอ่อนโยน “วางใจเถอะ ผมไม่โทษท่านหรอก”
หนานกงเฉินคิดไปคิดมาแล้วพูดขึ้น “ในเมื่อท่านจะกลับไปที่เมืองเหยียนก็ตามใจท่านเถอะ เดี๋ยวผมให้คนจัดการให้”
“ไม่ต้อง” ไป๋มู่ชิงรีบพูดขึ้น
“ทำไม?”
“เพราะว่า……” ไป๋มู่ชิงพูดอย่างเอื้อมระอา “ถ้าพูดแล้วคุณอย่าโมโหนะ ท่านบอกให้ฉันหย่ากับนาย แล้วจะไม่เอาเงินสักบาทของตระกูลหนานกงด้วย”
ไป๋มู่ชิงเห็นสีหน้าของหนานกงเฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วมือที่จับพวงมาลัยไว้ก็กำแน่นขึ้นเลยรีบพูดต่อ “ไม่รู้ว่าท่านไปได้ยินมาจากไหนว่าคุณย่าเอาแต่ตามหาคู่ครองที่ลิขิตไว้ ท่านคิดว่ายังไงเราสองคนก็ต้องหย่ากัน ท่านกลัวว่าฉันจะซ้ำรอยท่านเพราะฉะนั้นเลยขอให้ฉันไปจากคุณแล้วกลับเมืองเหยียนด้วยกัน”
“แล้วเธอพูดว่ายังไง?” หนานกงเฉินหันหน้ามา สายตาที่ทอดมองเธอแฝงด้วยความไม่สบอารมณ์
ไป๋มู่ชิงเห็นท่าทางของเขาอย่างนั้นก็กลัวว่าเขาจะโมโหก็รีบอธิบาย “ฉันไม่ตกลงอยู่แล้ว”
“จริงหรอ?”
“จริงสิ” ไป๋มู่ชิงพยักหน้า “ฉันบอกกับนายแล้วไม่ใช่หรอ นอกจากนายจะหลงรักผู้หญิงคนอื่น ไม่ว่ายังไงฉันก็ไม่มีทางหย่ากับนายอยู่แล้ว”
หนานกงเฉินทอดมองไปที่เธอแล้วพูดเสริมอีกคำนึง “ถึงแม้เธอจะหลงรักผู้ชายคนอื่น ผมก็ไม่มีทางหย่ากับคุณ เหตุผลอื่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง”
“ฉันรู้แล้ว ก็ไม่ได้พูดถึงนี่ไง”
“อารมณ์ที่ดีๆกลับถูกเธอทำให้เสีย” หนานกงเฉินถอนหายใจออกแล้วสตาร์ทรถ “ไม่ได้ ต้องไปกินเพิ่มพลังแล้ว”
ไป๋มู่ชิงเผลอหัวเราะออกมา “มื้อไหนของนายกินได้ไม่ดีบ้าง?”
“ถึงจะกินดีแค่ไหนก็ไม่พอกับสิ่งที่เธอทำให้หงุดหงิด” หนานกงเฉินมองไปที่เธอ
ไป๋มู่ชิงหัวเราะแล้วไม่ได้สนใจเขาอีก
เมื่อรถแล่นไปได้สักพักไป๋มู่ชิงก็หันไปถามเขา “ใช้สิ ก่อนที่เสี่ยวอี้จะกลับเมืองเหยียนฉันอยากจะพาเขาไปตรวจสุขภาพหลังผ่าตัดที่โรงพยาบาล ไม่งั้นฉันคงไม่วางใจ”
“ได้ พรุ่งนี้ผมไปด้วย”
“ขอบใจ”
“ที่เมืองเหยียน ไม่ต้องให้ผมจัดการให้จริงๆหรอ? มีที่พักแล้วหรอ?”
“ไม่ต้อง ถ้านายจากการให้เดี๋ยวแม่ฉันก็จะอารมณ์เสียอีก” ไป๋มู่ชิงพูด “ท่านบอกว่าคุณลุงจัดการที่พักให้แล้ว แล้วหาโรงเรียนให้เสี่ยวอี้แล้วด้วย”
“ถ้าอย่างนั้น เรื่องนี้ผมก็จะไม่ยุ่ง” แล้วหนานกงเฉินก็ยิ้มอ่อน
วันหยุด เมื่อไป๋มู่ชิงไปที่คอนโดก็เห็นจูฮุ่ยเก็บของเรียบร้อยหมดแล้ว เธอเอ่ยขึ้นว่าจะพาเสี่ยวอี้ไปตรวจที่โรงพยาบาล จูฮุ่ยก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร
จูฮุ่ยเดินไปมองลงที่ระเบียง พอเห็นรถของหนานกงเฉินสีหน้าก็เปลี่ยนทันที ไม่รอให้ไป๋มู่ชิงพูดอธิบายก็ถามขึ้น “เรื่องหย่าเธอคุยกับหนานกงเฉินหรือยัง?”
“คุณแม่……” ไป๋มู่ชิงทำตัวไม่ถูก “ขอร้องให้คุณแม่อย่าพูดถึงเรื่องนี้ได้ไหม อยู่ดีๆจะให้หย่ากับเขาได้ยังไง ถึงแม้หนูจะยอม แต่คนอื่นก็ไม่เห็นว่าจะยอม”
“ถ้าแกดื้อดึงที่จะหย่า เขามีเหตุผลอะไรที่จะไม่ยอม”
“วันก่อนหนูเอ่ยขึ้นกับเขาแล้วเขาโมโหมากแล้ว”
จูฮุ่ยคิดไปคิดมา “ช่างเถอะ เดี๋ยวฉันไปคุยกับเขาเอง”
“คุณแม่ คุณแม่อย่าไปเด็ดขาด” เมื่อไป๋มู่ชิงได้ยินว่าท่านจะไปคุยกับด้วยตัวเองก็รีบห้าม
“ทำไม? ฉันว่าเธอต่างหากที่ไม่อยากหย่าใช่ไหม?” จูฮุ่ยจ้องมองเธออย่างหงุดหงิด
ไป๋มู่ชิงพยักหน้า “ใช่ค่ะ หนูไม่อยากหย่า หนานกงเฉินไม่อยากหย่ามากกว่าหนูอีก คุณแม่……” เธอเริ่มกัดริมฝีปากแล้วจ้องมองไปที่ท่าน “หนูไม่เข้าใจว่าทำไมคุณแม่ต้องให้เราหย่ากันด้วย หนานกงเฉินไม่ดีตรงไหน สิ่งที่เขาควรทำก็ทำแล้ว ตอนนั้นหนูเป็นคนโกหกเขาเองแล้วยัดเยียดตัวเองเป็นภรรยาเขา หลังจากที่เกิดเรื่องเขาเล่นงานทุกคนยกเว้นหนู เขาเป็นคนที่ไม่ยอมให้คนอื่นมาโกหก เพราะว่ารักหนูถึงให้อภัยได้ ถึงแม้ตอนนี้หนูจะทำใจไปจากเขาได้ คุณแม่คิดว่าเขาจะปล่อยหนูไปง่ายขนาดนี้หรอ? เขาจะปล่อยให้หนูกลับไปที่เมืองเหยียนแล้วแต่งงานมีลูกกับผู้ชายคนอื่นหรอคะ? แม่คะ ถึงเขาเป็นคนรวย เอาแต่ใจ เยือกเย็นจริง แต่นิสัยเขาก็มีขอบเขต เราอย่าเห็นแก่ตัวเองแล้วลืมนึกถึงฝ่ายตรงข้ามได้ไหมคะ?”
จูฮุ่ยถูกเธอพูดจนไม่รู้จะเอ่ยอะไรต่อ
ไป๋มู่ชิงสงสัย “คุณแม่คะ คุณแม่กลัวเขามาตลอดไม่ใช่เหรอคะ? ทำไมตอนนี้ถึงมีความคิดแบบนี้? ยังกล้าที่จะไปคุยกับเขาด้วยตัวเอง? คุณแม่ไม่กลัวว่าเขาจะเล่นงานพวกเราเหมือนกับตระกูลไป๋หรอคะ?”
นี่ไม่ใช่คำขู่แล้วไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ด้วย
จากนิสัยของหนานกงเฉิน ถ้าเธอดื้อดึงที่จะไปจากเขาแล้วแต่งงานกับผู้ชายคนอื่น เธอไม่กล้ารับประกันเลยว่าเขาจะไม่ทำอย่างนั้น
“คุณแม่คะ หนูพาเสี่ยวอี้ไปโรงพยาบาลก่อนนะคะ” ไป๋มู่ชิงพูดกับจูฮุ่ยจบก็โบกมือไปทางเสี่ยวอี้ “เสี่ยวอี้ เราไปกันเถอะ”
เสี่ยวอี้มองไปทางจูฮุ่ยเอ่ยคำลากับท่านแล้วก็ตามไป๋มู่ชิงออกไป
“พี่ พี่จะหย่ากับพี่เขยหรือเปล่า?” ตอนที่เดินออกไปเสี่ยวอี้ก็ถามขึ้นอย่างระมัดระวัง
ไป๋มู่ชิงลูบหัวเขาแล้วยิ้มขมขื่น “พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ชีวิตคู่ของทั้งสอง นอกจากเธอกับหนานกงเฉินก็ไม่มีใครเลยที่สนับสนุน คุณหญิงคิดทุกวิถีทางที่จะหยุดยั้ง แม่ของตัวเองก็พูดทั้งวันทั้งคืน แม้แต่เหยาเหม่ยกับซูซี่ก็รู้สึกว่าเธอโง่ที่ยังให้อภัยหนานกงเฉิน ทำให้ขายหน้าผู้หญิงอีก
ไม่ว่าอีกหน่อยจะเป็นยังไง เธอไม่กล้าคิดในแง่ดีเลย
“ผมไม่อยากให้พี่หย่ากัน” เสี่ยวอี้เงยหน้าขึ้นพูดกับเธอ “เพราะว่าอีกหน่อยผมไม่อยากไม่เจอกับพี่เขยอีก เหมือนพี่อันหนานตอนนั้น”
พอพูดถึงหลินอันหนาน ไป๋มู่ชิงก็นึกถึงรอยด่างในใจขึ้นมา กี่วันนี้หลินอันหนานไม่ได้ยอมแพ้ที่จะหาตัวเธอเลย ผู้ชายแบบนี้ เธอคิดไปแล้วก็รู้สึกกลัว กลัวว่าวันไหนผู้ชายคนนี้จะเป็นฉนวนระเบิดระหว่างเธอกับหนานกงเฉิน
“ไม่หรอก ไว้ใจเถอะ” เธอยิ้มปลอบใจไป
เสี่ยวอี้พูดขึ้นอีก “พี่ ผมไม่อยากกลับไป แต่ว่าคุณแม่จะให้ผมกลับไปด้วย”
“พี่รู้ แต่เธอพูดถูกนี่ คุณแม่จะพาเธอกลับไปให้ได้” ไป๋มู่ชิงพูดปลอบใจต่อ “เธอก็ฟังแม่แล้วกลับไปกับท่านเถอะ พี่สัญญาว่าอีกหน่อยจะไปหาบ่อยๆนะ”
ถึงแม้เสี่ยวอี้ไม่อยากกลับ แต่ก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่มีทางต่อรองอีก ก็เลยพยักหน้า “พี่ต้องรักษาคำพูดนะ”
“แน่นอน” ไป๋มู่ชิงพยักหน้าสัญญา
หลังจากที่ไป๋มู่ชิงกับหนานกงเฉินพาเสี่ยวอี้ไปตรวจที่โรงพยาบาลเสร็จ ทั้งสามเดินไปทางประตูโรงพยาบาลอย่างมีความสุข
เสี่ยวอี้ถามหนานกงเฉินว่าตอนเที่ยงนี้จะพาเขาไปกินอะไรที่อร่อยๆ
ไป๋มู่ชิงยกมือขึ้นจับปากเขาไว้แล้วพูด “พี่เพิ่งรู้นะว่าเธอเอาแต่คิดถึงกินทั้งวัน”
“พี่พูดเองไม่ใช่หรอว่าผมต้องกินเยอะๆจะได้ตัวอ้วน?” เสี่ยวอี้หันไปทางหนานกงเฉิน “ใช่ไหมครับพี่เขย?”
“ใช่ เป็นเด็กก็ต้องกินเยอะๆแต่ก็ต้องกินอาหารที่มีประโยชน์เข้าใจไหม” หนานกงเฉินพูดยิ้มๆ
เมื่อทั้งสามมาถึงหน้าลิฟท์ก็มีเสียงที่คุ้นเคยโอดครวญร้องขึ้น
เสียงนี้……ไป๋มู่ชิงเหมือนเจอกับนางมารร้าย ที่อยากจะถอยห่างให้ไกลที่สุด แต่หนานกงเฉินกลับไปอยู่ข้างกายผู้หญิงคนนั้นอย่างรวดเร็ว แล้วรีบพยุงตัวเธอขึ้นมาจากพื้น
“จูจูคุณเป็นอะไร? ขาของคุณ……” หนานกงเฉินมองไปที่ขาที่มีผ้าพันแผลพันเต็มไปหมด ในมือยังถือไม่เท้าอยู่ด้วย
เมื่อจูจูได้ยินเสียงเขาก็เงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ สีหน้าที่ซีดขาวก็แปลกใจไป “คุณชายเฉิน ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่?” จากนั้นสายตาเธอก็มองไปที่ไป๋มู่ชิงที่อยู่ข้างกาย “มู่ชิง พวกเธอมาโรงพยาบาลทำไม? เจ็บป่วยที่ไหนหรือเปล่า?”
ไป๋มู่ชิงมองไปที่ขาเธอแล้วมองไปที่ตัวเธอ คิดแยกแยะได้ยากมากว่านี่เป็นแผนอีกหรือเปล่า คำพูดทั้งน้ำตาที่ร้านกาแฟวันนั้นมีคำไหนเป็นคำพูดจากใจจริงบ้าง?
“ฉันพาน้องชายฉันมาตรวจเช็คร่างกาย” เธอมองไปขาแล้วถามขึ้น “เธอเป็นอะไรอีกล่ะ?”
จูจูยิ้มอย่างขมขื่น “กี่วันก่อนกลับบ้านดึก ระหว่างทางกลับบ้านก็โดนรถชน แต่ว่าตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว”
“คุณโดนรถชน? ทำไมไม่ได้ยินคุณพูดถึงเลย?” ความเป็นห่วงบนใบหน้าของหนานกงเฉินปิดบังไว้ไม่อยู่
“เรื่องเล็กขนาดนี้ฉันจัดการเองก็ได้ ไม่จำเป็นต้องบอกพวกคุณ” จูจูยิ้มตอบ “แล้วนี่ก็ไม่ได้สาหัสอะไรด้วย”
“คุณหมอว่ายังไง?”
“กระดูกที่ข้อเท้าแตกแต่ว่าจะค่อยๆดีขึ้น” จูจูกวาดมองไปที่ทุกคน “เฉิน มู่ชิง พวกคุณไปทำธุระของตัวเองเถอะ”
ไป๋มู่ชิงมองไปรอบๆแล้วถามขึ้น “เสี่ยวหยวนล่ะ?”
“เธอไปจ่ายค่ารักษา เดี๋ยวก็มาแล้ว เพราะฉะนั้นพวกคุณไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอกยิ้ม” จูจูพูด
เสี่ยวหยวนก็เอาใบเสร็จการชำระเงินมาแล้ววิ่งมาทางนี้อย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นหนานกงเฉินกับไป๋มู่ชิงก็อึ้งไป จากนั้นก็ก้มหัวทักทายทั้งสองอย่างมีมารยาท “คุณชายคุณหญิงน้อย”
ไป๋มู่ชิงมองกวาดไปที่เสี่ยวหยวน เสี่ยวหยวนก็รู้สึกกลัวจนก้มหน้าลงไป
เธอเลยเปลี่ยนมองไปทางหนานกงเฉิน ความเป็นห่วงบนใบหน้าของหนานกงเฉินเธอมองออก แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรมากแค่ยืนเงียบๆอยู่ข้างๆ
เมื่อหนานกงเฉินเห็นเสี่ยวหยวนเดินมาก็พูดกับเสี่ยวหยวน “ดูแลคุณหนูจูดีๆ”
“ได้ค่ะ คุณชายไว้ใจเถอะค่ะ” เสี่ยวหยวนพูดตอบ
หนานกงเฉินมองไปที่ขาที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผลแล้วหันไปพูดกับไป๋มู่ชิงสองพี่น้อง “ไปเถอะ เรากลับกันเถอะ”
ไป๋มู่ชิงมองตามเขาไปที่จูจู จากนั้นก็จูงมือเสี่ยวอี้เดินตามไปด้วย

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset