เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 178 ท่านผู้หญิงจิ้ง

เธอรู้ดีว่าทุกครั้งที่หนานกงเฉินเข้าโรงพยาบาลก็ต้องไปโรงพยาบาลหงเอินเท่านั้น ดังนั้นเธอไม่ได้ถามอะไรเลยก็ขับรถตรงไปยังโรงพยาบาลหงเอิน พอเธอรีบขับรถไปถึงโรงพยาบาล เธอเห็นคุณผู้หญิงและเซิ่งเคอสองน้องนั่่งรออยู่หน้าห้องฉุนเฉินแต่ไกล
คุณผู้หญิงนั้นวิตกกังวลจนร้องไห้ เซิ่นซินกำลังปลอบโยนอยู่ข้างๆ
ไป๋มู่ชิงได้ชะลอตัวลง แล้วมองไปที่ประตูห้องฉุกเฉิน และมองดูผู้คนในนั้น เธอแทบจะหยุดหายใจแล้วถามขึ้นว่า“คุณชายใหญ่ เป็นอะไรคะ?”
เมื่อได้ยินเสียงของเธอ คุณผู้หญิงค่อยๆเงยหน้าขึ้นความเศร้าเสียใจได้ทำให้เขาโมโหโกธรอย่างกับเปลวไฟ เขาได้ตะโกนใส่เธอ “เธอยังมีหน้ามาที่นี้อีกหรอ?ไปให้พ้น!”
ไป๋มู่ชิงหัวใจสั่นสะท้านเมื่อโดนตะโกนใส่ รีบพูดขึ้นว่า “คุณย่าคะ หนูแค่อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณชายใหญ่คะ ได้โปรดอย่าทำอย่างนี้กับหนูเลยนะคะ?”
“ถ้าไม่ใช่เพราะเธอกับอันหนานมีความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนทำให้เฉินคิดมากเสียใจ ?เขาจะออกไปดื่มเหล้าไหม เขาจะดื่มจนป่วยไหม?”คุณผู้หญิงลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างกะทันหัน ใช้มือตบหน้าเธออย่างไม่ทันตัังตัว“ ฉันขอเตือนเธอ ถ้าเฉินเป็นอะไรไปแล้วละก็ ฉันจะให้เธอตายตามเขาไป!”
ถึงแม้ไป๋มู่ชิงถูกตบ  แต่เธอก็ไม่ได้ถอนตัวจากไป แต่พูดด้วยน้ำตา “คุณย่าคะ ถ้าเฉินเป็นอะไรไป หนูจะตายตามเขาไปเองคะ เพราะหนูเป็นภรรยาของเขา และเป็นเพราะหนูเป็นภรรยาของเขา นั่นเป็นเหตุผลที่หนูควรอยู่ตรงนี้มากที่สุดไม่ใช่เหรอคะ!”
เธอลูบหลังคุณผู้หญิงด้วยมือข้างหนึ่งกับแก้มที่เจ็บอยู่ แล้วพูดต่อว่า“ ฉันกับหลินอันหนานไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันค่ะ คุณชายใหญ่เข้าใจผิดฉัน ท่านอย่าเข้าใจผิดฉันตามเขาเลยคะ ”
“เข้าใจผิดหรอ?ก็อันหนานได้ยอมรับแล้วว่าเขากับเธอยังคงติดต่อกันตลอดเวลา”
“หลินอันหนานโกหก!”ไป๋มู่ชิงยิ่งกังวลไปใหญ่ เธอคิดไม่ถึงว่าหลินอันหนานจะพูดโกหกกับ คุณผู้หญิงเรื่องแบบนี้ คุณผู้หญิงก็ต้องเชื่ออยู่แล้ว !
“คุณย่าคะ คุณย่าอย่าโกรธเลยคะ”เซิ่นซินโอบกอดคุณผู้หญิงพร้อมกับปลอบใจ “พี่อันหนานอยู่ต่างประเทศตลอดเขากับพี่สะใภ้จะมีความสัมพันธ์กันได้อย่างไร
“ใช่แล้ว คุณย่าคะ ฉันส่งคุณย่ากลับดีกว่า” เซิ่งเคอเดินเข้ามาพยุงแขนอีกข้างของคุณผู้หญิง “พี่ชายต้องไม่เป็นไรคะ คุณย่ากลับไปพักผ่อนให้สบายใจนะคะ”
คุณผู้หญิง ยังคงจ้องไปที่ไป๋มู่ชิงด้วยความโกรธ แต่ไป่มู่ชิงเได้แต่กุมมือแน่น ไม่กล้าพูดสักคำกลัวจะเป็นการยั่วโมโหท่านอีก
ขณะเดียวกันประตูห้องฉุกเฉินได้เปิดออก มีเจ้าหน้าที่แพทย์กลุ่มหนึ่งได้เข็นหนานกงเฉินที่หมดสติออกจากห้องฉุกเฉินไป๋มู่ชิงผงะไปชั่ววูบ แล้วรีบเข้าไปทักทาย
เมื่อเธอเห็นหน้าซีด ริมฝีปากออกม่วง หน้าที่ยังมีบาดแผลบนหน้าของหนานกงเฉิน เธอรู้สึกเหมือนหัวใจโดนมีดกรีดคุณผู้หญิง ได้เห็นหนานกงเฉินที่อยู่บนเตียงแล้วถึงกับร้องไห้ กุมมือแพทย์ถามว่า“ หน้าของเขาเป็นอะไร ?สรุปมันเกิดอะไรขึ้น?”
คุณหมอจางที่ติดตามอาการของหนานกงเฉินตลอด ได้รูดหลังมือของคุณผู้หญิง *เพื่อปลอบโยน “คุณผู้หญิงอย่ากังวลสบายใจได้ หน้าคุณชายเฉินเป็นแค่บาดแผลเล็กน้อย เดียวก็น่าจะฟืนแล้ว”
“จริงเหรอ ?” คุณผู้หญิง*ถามขึ้นมาอีกครั้ง
หมอพยักหน้า แล้วเหลือบตามองทุกคนแปบหนึ่ง จึงเข็นหนานกงเฉินไปที่ห้องผู้ป่วยหนัก
เมื่อเห็นโรงพยาบาลนำหนานกงเฉินไปอยู่ในห้องผู้ป่วยหนัก ไป๋มู่ชิงรู้สึกใจไม่ดี  รีบวิ่งตามไปดึงชายเสื้อคุณหมอ “ไหนคุณหมอบอกว่าคุณชายเฉินเดียวก็ฟืนแล้วแล้ว?ทำไมต้องเข็นเขาเข้าไปห้องผู้ป่วยหนักด้วย?หรือว่า ………”
คุณหมอจางเหลือบมองไปที่คุณผู้หญิงพูดขึ้นด้วยเสียงต่ำ “ นายหญิงน้อย พูดอย่างไม่โกธรท่าน คุณชายเฉินจะตื่นเมื่อไรผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ ที่เมื่อกี้ผมพูดไปแบบนั้น เพื่อไม่อยากให้คุณผู้หญิงกังวลใจ”
หัวใจของไป๋มู่ชิงที่ชาอยู่แล้วเย็นเข้าไปอีก ต้องกลั้นหายใจถามว่า“สรุปคุณชายเฉินเป็นอะไรคะ? เป็นเพราะแอลกอฮอล์เป็นพิษกัดกระเพาะอาหารใช่ไหม?”
“กระเพาะอาหารไม่เป็นไร แต่คราวนี้อาการป่วยร้ายแรงกว่าทุกๆครั้ง ดังนั้น ………” คุณหมอจางส่ายหัว“ ผมก็ไม่รู้ว่าเขาจะตื่นเมื่อไหร่”
คำพูดของคุณหมอจาง ทำให้ไป่มู่ชิง หายใจติดขัดชาไปทั้งตัวหยุดอยู่กับที่
จากนั้นไม่นานเธอก็หันกลับไปเดินเข้าไปเข้าหาคุณผู้หญิง ในความเงียบคุณผู้หญิง*จ้องมองเธอและถามอย่างเย็นชาว่า คุณหมอบอกอะไรกับเธอ?”
ไป๋มู่ชิงสูดลมหายใจพยายามควบคุมเสียงพูดของเธอ “ฉันไปถามคุณหมอว่า คุณชายใหญ่*เป็นเพราะแอลกอฮอล์เป็นพิษกัดกระเพาะอาหารหรือเปล่า คุณหมอจางบอกไม่ใช่ คุณชายใหญ่คงอีกเดียวก็ตื่นแล้วคุณย่าสบายใจได้คะ”
“เพื่อเป็นการปลอบโยนคุณผู้หญิง เธอทำได้เพียงโกหกอย่างกับคุณหมอจางเท่านั้น
ไม่รู้ว่าคุณผู้หญิง*จะเชื่อหรือไม่ แต่ในที่สุดเธอก็ถูกเซิ่งเคอพาออกจากโรงพยาบาล
ทันทีที่คุณผู้หญิง*จากไป ไป๋มู่ชิงรีบหันไปหาเซิ่งซินทันทีถามว่า“สรุปเกิดอะไรขึ้น ? ทำไมคุณชายใหญ่*ถึงไปดื่มเหล้ากับหลินอันหนานได้ยังไง?”
เซิ่งซินมองไปที่เธอ มีน้ำเสียงตำหนิเธอที่ไม่สามารถปกปิดได้ “ ฉันได้ยินพี่อันหนานบอกว่าพี่ชายใหญ่เป็นคนไปหาเขาดื่มเหล้าเอง เรื่องไปๆมาๆเป็นยังไงฉันก็ไม่รู้ แต่พี่สะใภ้ ..”เซิ่งซินได้หยุดชั่วคราว แล้วกล่าวว่า“ อย่าโทษฉันที่พูดมากเกินไปนะ แม้ว่าพี่ชายใหญ่นิสัยจะไม่ค่อยดีนัก แต่เขาก็ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของเขามาก แต่ก่อนนั้นเขาโดนคุณหนูจูทำลายหัวใจอย่างหนัก กว่าเขาจะเดินออกมาจากเงามืดนั้นได้ ฉันหวังว่าคุณจะไม่ปล่อยให้เขาเดินซ้ำรอยทางเก่านั้นนะ อย่าปล่อยให้เขาต้องเจ็บปวดเพราะความรักอีกเลย”
ไป๋มู่ชิงมองไปที่เซิ่งซิน พูดอย่างหมดหนทาง เซิ่งซิน แม้แต่เธอก็ไม่เชื่อฉันหรอ ฉันกับหลินอันหนานบริสุทธิ์ใจกันจริงๆ”
“อันนี่ … ”เซิ่งซินยิ้มอย่างเฉยเมย:“ มันไม่สำคัญที่ว่าฉันจะเชื่อเธอหรือเปล่า สิ่งสำคัญคือต้องให้พี่ชายใหญ่เชื่อใจเธอ”
ไป่มู่ชิงไม่พูดแล้ว หนานกงเฉินไม่เชื่อเธอ ไม่ผ่านมาเขาไม่เคยเชื่อเธอ!
ในขณะที่รอให้หนานกงเฉินตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาล เรื่องนี้ไป่มู่ชิงยิ่งคิดยิ่งไม่พอใจ ยิ่งคิดยิ่งโมโห ในที่สุดก็หยิบโทรศัพท์มือถือของเธอออกมาโทรหาหลินอันหนาน
ในไม่ช้าเสียงของหลินอันหนานก็ดังมาจากอีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ ไม่รอให้เขาได้พูดอะไร ไป่มู่ชิงก็ถามทันที “ คุณอยู่ไหน?”
“ฉันอยู่โรงพยาบาล เธอมองกลับมาด้านหลังสิ ” หลินอันหนานกล่าวอย่างไม่ร้อนตัว
ไป๋มู่ชิงหันหน้ากลับไปก็เห็นหลินอันหนานกำลังถือสายโทรศัพท์เธอพร้อมเดินเข้ามาทางทิศเธอ
เธอวางสายโทรศัพท์ ด้วยความโกรธเธอรีบเข้าไปตบเขาอย่างเต็มแรงกล่าวขึ้นว่า“ หลินอันหนาน คุณไม่รู้เหรอว่าคุณชายเฉินดื่มเหล้าไม่ได้? ทำไมคุณต้องให้เขาดื่มมากขนาดนี้ด้วย?”
หลินอันหนานถูกเธอตบ จนหน้าเอียงไปด้านข้าง จากนั้นเขาก็หันหน้ากลับไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขณะเดียวกันเขายกมือขึ้นมาลูบแก้มของเธอและพูดด้วยความเป็นห่วง:“ หน้าเธอเป็นอะไร ?ทำไมหน้าแดงจัง ?”
นั่นเป็นเพราะโดนคุณผู้หญิงตบ เป็นใครเห็นก็รู้ว่านั่นคือรอยนิ้วมือ
ไป๋มู่ชิงยกมือขึ้นสะบัดมือเขาออก“ อย่ามาทำเป็นใจดีที่นี่!”
“มู่ชิง คุณอย่าพึ่งโมโหขนาดนี้”
“ตอนนี้คุณเฉินยังไม่ตื่นเลย คุณยังจะไม่ให้ฉันโมโหอีกหรอ ?”ไป่มู่ชิงตบหน้าเขาอีกครั้งด้วยความโมโหโกรธ:“ คุณตั้งใจใช่ไหม? คุณจงใจที่จะฆ่าเฉินใช่ไหม?”
ครั้งนี้เธอตบไม่โดนหน้าหลินอันหนาน แต่กับโดนเขาจับข้อมือของเธอไว้แน่น
ในที่สุดหลินอันหนานก็โมโห “ทำไมคุณไม่ถามว่าบาดแผลบนหน้าฉันมาจากไหน? ทำไมคุณไม่ถามว่าเมื่อคืนฉันดื่มไปมากแค่ไหน ?ในหัวใจคุณมีแต่หนานกงเฉินคนเดียวใช่ไหม?”
“ฉันเคยบอกคุณไปหลายครั้งแล้วว่า ในใจฉันมีเพียงหนานกงเฉินเท่านั้น!”
“ถึงจะอย่างนั้น คุณก็ไม่ควรไม่แยกแยะว่าใครถูกใครผิดใช่ไหม ?” หลินอันหนานกล่าวอย่างโกรธ :“ ฉันขอบอกคุณว่าเมื่อคืนนี้หนานกงเฉินเป็นคนหาฉัน เขาเป็นคนท้าฉันต่อย และเป็นคนท้าฉันดื่มเหล้าเอง ไม่ใช่ฉันท้าเขา!”
“คุณพูดอะไร ?” ไป๋มู่ชิงจ้องเขาอย่างตาโต :“ พวกคุณต่อยกัน?”
“ใช่ เขาเป็นท้าฉันต่อยเอง!”
ถึงว่าหน้าของหนานกงเฉินถึงมีบาดแผล ขณะเดียวกัน ไป่มู่ชิงพึ่งสังเกตเห็นว่ามุมปากของหลินอันหนานบวมช้ำเช่นกัน เมื่อกี้เธอได้แต่โกธรเลยไม่ได้สังเกตใบหน้าของเขา
ว่าแต่… ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้หลินอันหนานยังสามารถยืนอยู่ที่นี่ได้ แต่หนานกงเฉินยังนอนอยู่ในห้องผู้ป่วยหนักและยังไม่ตื่น แค่คิดว่าหนานกงเฉินอาจจะไม่มาสารถตื่นขึ้นมาอีก น้ำตาของเธอก็ไหลไม่หยุด
เธอจ้องมองไปที่หลินอันหนานด้วยน้ำตา “ ทำให้ปัญหาเกิดขึ้นมากขนาดนี้ ตอนนี้คุณพอใจแล้วใช่ไหม?”
“มู่ชิง … ”
“คุณอย่าเรียกฉัน!”ไป๋มู่ชิงขัดขึ้นมา สายตาที่จ้องมองเหลือแต่ความวิงวอนอยู่บนใบหน้าของเขา “อันหนาน ครั้งนี้ถ้าหากเฉินโชคดีตื่นขึ้นมา ฉันขอร้องได้ไหมปล่อยพวกเราไปเถอะ ?อย่ารบกวนฉันอีก”
หลินอันหนานหัวเราะเฉยชาถามขึ้ยว่า:“ แล้วถ้าเขาโชคไม่ดีตายล่ะ ?คุณก็จะกลับมาหาฉันใช่ไหม?”
“คุณหุบปากนะ!”ไป๋มู่ชิงตะโกนด้วยความโกรธมาก:“เฉินจะไม่ตาย:“ เขาจะต้องตื่นขึ้นมาอย่างแน่นอน!”
“ใครจะไปรู้?” หลินอันหนานยิ้มอย่างไม่สะท้านสะเทือน :“ทั้งๆที่เขาไม่ย่อมปล่อยเราสองคน แต่คุณกลับต้องการให้ฉันปล่อยพวกคุณไป ? คุณไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องตลกหรอ ? ฉันเสียใจจริงๆที่เมื่อคืนนี้ฉันน่าจะให้เขาดื่มเพียวๆอีกสักสองสามแก้ว!”
“คุณ ……!”ไป๋มู่ชิงยกมือขึ้นตีเขาอย่างโกรธสุดๆ
หลินอันหนานคว้าข้อมือของเธอเหมือนเมื่อกี้ ดึงร่างของเธอเข้าใกล้หน้าด้วยความโกรธ พูดอย่างโมโหร้ายว่า“ไป๋มู่ชิง  วันนี้คุณทุบตีฉันเพราะเขาเป็นครั้งที่สามแล้วนะ! ฉันขอเตือนคุณ ความอดทนของมนุษย์มีขีดจำกัด !”
“ในเมื่อคุณรู้ว่าความอดทนของมนุษย์มีขีดจำกัด ทำไมคุณถึงค่อยแตะต้องขีดจำกัดของฉันครั้งแล้วครั้งเล่า?” ไป๋มู่ชิงดึงข้อมือของตัวเองกลับจากมือของเขาด้วยกำลังทั้งหมด ก้าวถอยหลังและจ้องไปที่เขา:“ ฉันพบว่าคุณเป็นโรคประสาทไปแล้ว ไร้ยาเยี่ยวยา!”
พูดจบ เธอก็หันไปและจากไป
หลินอันหนานยิ้มอย่างเฉยชาพร้อมกับจ้องมองการเดินจากไปอย่างรวดเร็วของเธอ:“ กระซิบว่าต่อให้ฉันจะประสาทเสียจนกลายเป็นบ้า ฉันก็จะไม่ยอมปล่อยคุณ……”
รอมาทั้งวันแล้ว หนานกงเฉิน ก็ยังไม่ตื่น
ไป่มู่ชิงตั้งแต่ช่วงเช้าก็กังวลเรื่องหนานกงเฉินจนตอนนี้ใจกระสับกระส่าย ตั้งแต่เธอแต่งเข้าบ้านของตระกูลหนานกง หนานกงเฉินโรคกำเริบอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่เคยเหมือนครั้งนี้ที่เขาจะหมดสตินานขนาดนี้แล้วไม่ตื้น
เธอไม่รู้ว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาหนานกงเฉินดื่มเหล้ามากแค่ไหน แต่เขาดื่มเหล้าเมาติดต่อกันสองวันแล้ว จากปกติที่เขาไม่สามารถดื่มได้เลย ร่างกายจะรับไหวได้อย่างไร
หลังจากที่เฝ้านอกห้องผู้ป่วยหนักมาหนึ่งวันเต็ม ไป๋มู่ชิงไม่ได้ดื่มน้ำเลยแม้แต่หยดเดียว อาศัยที่เซิ่งซินหลังเลิกเรียนจึงเอาของกินมาให้เธอ
เมื่อมองไปที่ขนมในมือของเซิ่งซิน เธอไม่ได้รู้สึกอยากอาหารเลยแม้แต่น้อย
“พี่สะใภ้ คุณต้องกินอะไรหน่อยนะค่ะเพื่อที่จะได้มีแรงดูแลพี่ชายใหญ่ ถึงเวลานั้นพี่ชายใหญ่ตื่น คุณก็ล้มลง”เซิ่งซินยื่นขวดน้ำแร่ที่เปิดเกลียวแล้วให้เธอ “ ดื่มน้ำก่อนนะ ”
“ขอบคุณ” ไป๋มู่ชิงรับน้ำจากมือเธอดื่มคำนึ่ง พึมพำถามขึ้นว่า “เธอว่าทำไมคุณชายใหญ่ถึงไม่ตื่นสักที?”
“ไม่รู้เหมือนกันคะ” เซิ่งซินดูกังวลใจเหมือนกัน
ทำไมเขาถึงวิ่งไปท้าต่อยกับหลินอันหนาน ทำไมถึงวิ่งไปท้าหลินอันหนานดื่มเหล้า? เพื่อระบายความโกรธในใจ ?ดูเหมือนว่าความโกรธในใจของเขาจะยิ่งใหญ่จริงๆ!
เพิ่งจะกินอาหารที่ไร้รสชาติไปหน่่อยนึ่ง คุณผู้หญิงก็มานี่ล่ะ ทั้งสองคนก็รีบลุกขึ้นจะเก้าอี้เพื่อพบเธอ
“คุณย่าคะ ทำไมคุณย่ามานี่ล่ะคะ?” เซิ่งซิน ถามพร้อมกับกอดแขนของเธอ
คุณผู้หญิงเหลือบมองห้องผู้ป่วยที่หนานกงเฉินอยู่ กล่าวอย่างปวดใจว่า :“เฉินอยู่ที่นี้ไม่รู้ตายร้ายดียังไง ฉันอยู่บ้านก็ใจไม่ดี ”
“แต่ว่าคุณย่าคะ ที่นี้เป็นโรงพยาบาลมีเชื้อโรคมากมาย ไม่ดีต่อสุขภาพของคุณย่า” เซิ่งซินพูดกับเซิ่งเคอที่มาด้วย:“ พี่ชาย พี่พาคุณย่ากลับเถอะ”
เซิ่งเคอยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ :“คุณย่ายืนยันที่จะมาเอง”
“ฉันดูแลตัวเองได้ พวกเธอไม่ต้องกังวลเรื่องฉัน” คุณผู้หญิงพูดจบ ก็พูดกับเซิ่งเคอ :“ไปเรียกคุณหมอจางมา”
“คุณย่าคะ คุณหมอจางเพิ่งออกมาจากห้องผู้ป่วย เขาก็ไม่รู้ว่าเฉินจะตื่นเมื่อไหร่”ไป๋มู่ชิงกล่าว
คุณผู้หญิงชำเลืองมองเธอ เธอก้มหน้าลงทันทีด้วยความรู้สึกผิด
เธอคิดว่าคุณผู้หญิงจะดุเธออย่างรุนแรงอีกครั้ง อย่างไรก็ตามเป็นเพราะเธอหนานกงเฉินถึงเป็นเช่นนี้ แต่คุณผู้หญิงไม่ได้ทำเช่นนั้น แต่กับพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ทำอะไรไม่ถูกและเศร้า“เธอกลับบ้านพร้อมกับฉัน”
ไป๋มู่ชิงไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเรียกตัวเธอกลับไป แต่เธอไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม!
“คุณย่าคะ ฉันอยากอยู่ที่นี่จนกว่าคุณชายใหญ่จะตื่น ” เธอพูด
คุณผู้หญิงโกรธมาก :“ เฉินเป็นแบบนี้เพราะเธอ จะตื่นขึ้นมาหรือเปล่าก็ไม่รู้ เธอจะรอยังไง ?เธอมีสิทธิ์อะไรรอ?”
“คุณชายใหญ่*ต้องตื่นอย่างแน่นอนคะ คุณย่าคะ โปรดให้ฉันอยู่ในโรงพยาบาลรอเขาด้วย ได้โปรด … ” ไป๋มู่ชิงได้แต่ดึงมุมเสื้อของเซิ่งซินด้วยความรีบร้อนหวังให้เธอจะช่วยพูดให้กับตัวเอง
แต่กลับกันเซิ่งซินได้แค่ส่ายหน้า เพื่อส่งสัญญาณให้เธออย่าทำให้คุณผู้หญิงโกรธ
ทุกคนรู้ดีถึงอารมณ์ของคุณผู้หญิง*ขอร้องยังไงมันก็ไม่มีประโยชน์ แต่หากทำให้เธอโกธรแล้วล่ะก็ ชาตินี้เธออาจจะไม่ได้เข้าใกล้หนานกงเฉินอีกเลยก็เป็นได้ เพื่อให้ในวันข้างหน้าตัวเองมีทางเดินต่อไป เธอจึงปิดปากของเธออย่างเชื่อฟัง
คุณผู้หญิงได้สั่งให้เซิ่งเคอกับเซิ่งซินเฝ้าอยู่ที่โรงพยาบาล ตัวเองนั้นมีพี่เหอดูแลอยู่ข้างๆจากนั้นก็หันหลังเดินไปยังลิฟต์
“พี่สะใภ้พี่รีบกลับบ้านกับคุณย่าเถอะ อย่าทำให้ผู้ใหญ่เขาโกรธ” เซิ่งซิน กระซิบบอกไป๋มู่ชิง
ไป๋มู่ชิงสูดลมหายใจจับมือของเธอ:“ เซิ่งซินไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคุณชายใหญ่ โปรดแจ้งให้ฉันทราบทันทีด้วยนะฝากเธอด้วยนะ”
“ฉันรู้น๋า เธอวางใจได้”
หลังจากได้รับคำสัญญาจาก เซิ่งซินแล้ว ไป๋มู่ชิงออกจากห้องผู้ป่วยหนักอย่างไม่เต็มใจ เดินตามคุณผู้หญิง*ไปที่ลิฟต์
คุณผู้หญิงให้ลุงหวังขับรถตรงไปที่ทางเข้าด้านหลังของห้องโถงบรรพบุรุษ จากนั้นให้ไป่มู่ชิงลงจากรถ
ไป๋มู่ชิงยืนอยู่ที่ทางเข้าห้องโถงบรรพบุรุษ ไป๋มู่ชิงคิดว่าคุณผู้หญิง*จะขังตัวเองไว้ในห้องโถงบรรพบุรุษเพื่อลงโทษเธอตามกฎของตระกูล เธอกำลังจะอ้าวปากประท้วง พี่เหอรีบส่งสัญญาณตาให้เธอเพื่อให้เธอรีบตามเข้าไป .
ไป๋มู่ชิงเห็นคุณผู้หญิงกับพี่เหอเดินเข้าไปพร้อมกัน คิดในใจหากคุณผู้หญิง*จะลงโทษเธอด้วยกฏตระกูล ไม่จำเป็นต้องส่งเธอเข้าห้องโถงบรรพบุรุษด้วยตัวเอง ไม่มีเวลาให้เธอคิดเยอะล่ะ คุณผู้หญิงกับพี่เหอเดินเข้าไปแล้ว เธอต้องรีบตามให้ทัน
ตลอดเวลาที่ผ่านมา คุณผู้หญิงกับหนานกงเฉินต่อต้านที่จะให้เธอเข้าห้องโถงบรรพบุรุษ แม้ว่าจะลงโทษเธอด้วยกฎตระกูลก็จะมีคนค่อยมาเฝ้าไม่ให้เธอก้าวเข้าไปข้างในแม้แต่ก้าวเดียว แม้ว่าเธอจะเต็มไปด้วยความสงสัยเกี่ยวกับห้องโถงบรรพบุรุษนี้ ตั้งแต่ครั้งที่แล้วที่ถูกหนานกงเฉินโมโหใส่ เธอก็ไม่กล้าแม้แต่จะคิดที่จะเข้าไปสำรวจพื้นที่ภายในห้องโถงบรรพบุรุษอีกเลย
แต่วันนี้ คุณผู้หญิงกับพาเธออ้อมห้องโถงหน้า ตรงไปที่ด้านหลังของห้องโถงบรรพบุรุษ
แม้ว่าไฟข้างในจะถูกเปิดหมดแล้ว แต่ภายในห้องก็ยังคงดูครึ้มๆ หลังจากผ่านประตูไม้ไป ยิ่งเดินเข้าไปลึกไป่มู่ชิงก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัวขนลุกขึ้นทุกที เธอเร่งฝีเท้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว ได้แต่จ้องมองด้านหลังของคุณผู้หญิงแล้วถามขึ้นว่า:“คุณย่าท่านจะพาฉันไปไหนคะ?”
คงไม่ใช่โยนเธอไว้ในหลังห้องโถงเพื่อลงโทษเธอด้วยกฏตระกูล ?หรือว่าจะกักขังเธอไว้? บังคับให้เธอแยกทางกับหนานกงเฉิน ?หรือว่าฆ่าเธอทิ้ง ?
เธอไม่รู้ว่า ก่อนหน้านั้น คุณผู้หญิงลงโทษกับอดีตภรรยาทั้งหกคนของหนานหงเฉินยังไง ดังนั้นเธอกลัวมาก ยิ่งเดินลึกยิ่งน่ากลัว โดยเฉพาะตอนนี้ที่คุณผู้หญิงไม่สนใจเธอเลย ไม่ตอบคำถามของเธอ สีหน้าแปลกๆน่ากลัวมาก
ในขณะที่เดินเข้าไปถึงห้องโถงบรรพบุรุษ ไป๋มู่ชิงกลัวจนกัดฟัน หันตัวหนีกลับไปในทิศทางเดิม จากประตูไม้ที่เปิดไว้ก็ถูกปิดลง ในตอนนี้เธอผงะไปครู่หนึ่ง แล้วหันไปมองคุณผู้หญิง*ที่อยู่ข้างหลังเธอ
“คุณผู้หญิง” ถือไม้เท้าในมือจ้องมองเธออย่างเย็นชา
“ พวกเขา……จะทำอะไร ?” ไป๋มู่ชิงมองพวกเขาด้วยความกังวลใจ ถอยหลังไปเล็กน้อย 
คุณผู้หญิง*เห็นใบหน้าที่มีอาการกลัว ยิ้มอย่างประชดประชัน:“ คุณหนูไป๋อยากรู้เกี่ยวกับความลับของตระกูลหนานกงไม่ใช่หรอ?แล้วทำไมตอนนี้?กลับไม่กล้าที่จะตามฉันเข้าไปล่ะ?”
ไป๋มู่ชิงตกใจ ได้แต่จ้องมองคุณผู้หญิง
เธอพูดอะไร?
ความลับของตระกูลหนานกงที่ปิดไม่เคยให้ใครรู้ แต่วันนี้กับจะบอกเธอหรอ ยังเป็นคุณผู้หญิงเป็นคนบอกเธอด้วยตัวเอง ?
ใช่แล้ว เธออยากรู้ความลับของตระกูลหนานกง โดยเฉพาะความลับที่เกี่ยวกับคู่ครองที่ฟ้าลิขิต ในเมื่อคุณผู้หญิง ยินดีที่จะบอกเธอ เธอก็ยินดีจะรับฟัง
เธอไม่ได้ถอยหนีอีกต่อไป แต่ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวแล้วจ้องไปที่คุณผู้หญิงอย่างระมัดระวังถามขึ้นว่า:“ท่านอยากจะบอกฉันจริงๆเหรอ?”
ทำไม?คุณผู้หญิง*มีจุดประสงค์อะไร?
คุณผู้หญิง*ไม่สนใจเธอ แต่หันหลังและเดินเข้าไปในด้านหลังห้องโถง
ไป๋มู่ชิงมองสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ที่แปลกประหลาด แล้วรีบเร่งฝีเท้าเดินตามไป
เมื่อก้าวเข้าไปด้านหลังห้องโถง เธอเห็นภาพวาดของ ท่านผู้หญิงจิ้งในความทรงจำ หนังศีรษะของเธอก็ชาทันที ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอก็ไม่สามารถบอกได้ว่ามันเป็นความฝันหรือเป็นภาพจริง แต่เธอกลับเห็นมันอีกครั้ง
ล่าสุดที่เธอเป็นลมในห้องโถงบรรพบุรุษ เธอจำได้อย่างชัดเจนว่าเห็นภาพวาดของ ‘ท่านผู้หญิงจิ้ง’ยังได้เห็นผู้หญิงที่นอนอยู่ในโลงคริสตัล แต่หนานกงเฉินกับบอกว่าเธอเป็นลมอยู่ที่ห้องโถงด้านหน้า ทุกสิ่งที่เธอเห็นทั้งหมดเป็นแค่ฝันร้าย
ตอนนี้ดูเหมือนว่า นี่มันไม่ใช่ฝันร้าย แต่เป็นความจริง!
เธอจำได้ว่าด้านหลังภาพนั้นเป็นห้องนอนที่หรูหราสวยงาม ซึ่งในห้องนอนมีโลงคริสตัลที่คลุมด้วยผ้าไหมและผ้าซาตินเหลือง ดวงตาจองเธอมองไปที่ประตูไม้ที่ถูกล็อกอยู่ หัวใจของเธอเต้นแทบจะกระโดดออกจากร่าง
“นายหญิงน้อย จุดธูปนี้สิคะ” จู่ๆเสียงของพี่เหอก็ดังขึ้นข้างๆเธอ
ไป๋มู่ชิงค่อยๆดึงสติกลับเข้ามา หันหน้าไปเห็นคุณผู้หญิง*กำลังปักธูป ในมือของพี่เหอได้ถือธูปหนึ่งที่ได้จุดเสร็จเรียบร้อยแล้ว มือที่สั่นทั้งสองมือของเขา รับธูปที่จุดไฟแล้วจากมือของพี่เหอมา
คุณผู้หญิงชำเลืองเห็นมือที่สั่นของเธอ พูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า:“ ถ้ากลัวนักก็ออกไปซะตอนนี้ยังทัน ฉันจะไม่บังคับ”
ไป๋มู่ชิงกลืนน้ำลายในปาก กัดฟันพูดว่า :“ฉันไม่กลัว”
กว่าเธอจะรอโอกาสนี้ได้มันไม่ง่ายยังไงก็ไม่มีทางยอมแพ้ ถึงแม้ตอนนี้เธอจะรู้สึกกลัวมากก็ตาม
หลังจากจุดธูปเสร็จ คุณผู้หญิงก็เดินมาที่ประตูไม้ที่ถูกล็อก พี่เหอได้ใช้กุญแจเปิดประตูออก เป็นคนนำเข้าไป พร้อมกับเปิดไฟข้างใน มันยังคงเป็นโคมไฟเล็ก ๆที่มีแสงสลัว แสงสว่างที่ไม่ค่อยดีนัก แต่ไป่มู่ชิงแว่วเดียวก็เห็นโลงคริสตัลที่ประดับด้วยผ้าไหมและผ้าซาตินนั้น
มันเหมือนกับตอนที่เธอเห็นครั้งล่าสุดทุกอย่าง แม้กระทั่งตำแหน่งการจัดว่างของ แต่ละตำแหน่งก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
ขณะที่พี่เหอกำลังจะเปิดผ้าไหมและผ้าซาตินบนโลงออก ไป๋มู่ชิงรีบพูดว่า“ไม่จำเป็นคะ!”
พี่เหอเงยหน้าขึ้นมองเธอ ไป๋มู่ชิงรีบพูดอย่างเสียงสั่น :“ ฉัน … ฉันเคยเห็นแล้วครั้งก่อน … ไม่จำเป็นต้องดูอีกคะ”
แต่ความเป็นจริงเมื่อครั้งที่แล้วเธอไม่ได้เห็นหน้าของผู้หญิงคนนั้นในโลงคริสตัลอย่างชัดเจน และเธอก็ลืมไปแล้วว่าเธอหน้าตาเป็นอย่างไร เมื่อครั้งก่อนที่เธอเห็นเธอก็กลัวแทบตาย ตอนนี้เธอก็เลยไม่อยากดูและไม่กล้าที่ดู
เธอหันไปหาคุณผู้หญิง:“คุณย่าคะ ท่านบอกความจริงให้ฉันก็พอ ฉันกลัวที่จะเห็นเธอ”
คุณผู้หญิง*ไม่ได้ทำตามที่เธอต้องการ แต่ยื่นมือเข้าไปดึงผ้าไหมและผ้าซาตินออกจากโลงคริสตัล ไป๋มู่ชิงถึงกับส่งเสียงร้องต่ำออกมา ใช้มือปิดหน้าของเธอโดยสัญชาตญาณ ร่างกายของเธอสั่นมากยิ่งขึ้น
โอ้พระเจ้า ชีวิตนี้เธอยังเคยเห็นคนตายมาก่อน แม้แต่ร่างของยายเธอก็ยังไม่เคยเห็น แต่ตอนนี้เธอกับอยู่ใกล้คนตายที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน? ยังต้องเผชิญหน้ากับเธอในคืนที่แปลกประหลาดแบบนี้?
“เขาเป็นคนรักเก่าของเฉินในอดีตชาติ หญิงที่เฉินเป็นหนี้ ”คุณผู้หญิง*พูดด้วยเสียง ช้าๆ ทุกถอยคำ ที่พูดดูแปลก ๆ
ไป๋มู่ชิงตกใจเล็กน้อย มือที่ปิดหน้าของเธอก่อนหน้านั้นได้ลดลงทีละนิด จ้องมองไปที่คุณผู้หญิงพูดว่า:“ ท่านพูดอะไร?”
คนรักอดีตชาติของหนานกงเฉิน? บุคคลที่เป็นข่าวลือในตำนานนี้มีอยู่จริง? และเป็นหญิงงามที่กำลังหลับใหลอยู่ตรงหน้านี้ ?ไป๋มู่ชิงยังคงไม่กล้าไปดูหญิงในโลง ได้แต่จ้องไปทางคุณผู้หญิงด้วยความประหลาดใจ
“เธอได้ยินไม่ผิดหรอ” คุณผู้หญิง*จ้องมองเธอ:“ ฉันไม่รู้ว่าข้างนอกข่าวลือที่เธอได้ยินมาเป็นอย่างไร แต่ข่าวลือนั้นมันก็ไม่ได้เกิดขึ้นแบบโคมลอย ในชาติก่อนเฉินได้เป็นหนี้ผู้หญิงคนหนึ่งจริงๆ และต้องการให้เขาชดใช้ในชาตินี้ พระเจ้าได้ลิขิตไว้แล้ว และไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ”
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินข่าวลือนี้มาก่อน แต่เธอไม่เคยเชื่อ ในความคิดของเธอ ตอนนี้มันยุคใหม่แล้ว พวกข่าวลือและความเชื่อโบราณ มันเป็นอะไรที่ไม่น่าเชื่อถือแล้ว
แต่เธอไม่คาดคิดว่า ผู้หญิงคนนี้จะซ่อนตัวอยู่ในห้องโถงบรรพบุรุษของตระกูลหนานกง
คนรักอดีตชาติ มันต้องนานแค่ไหน? หนึ่งร้อยปี ?หรือว่าหนึ่งพันปี?
“ชดใช้ยังไง?”เธอถามพลางมองไปที่คุณผู้หญิง
“ตามหาคู่ครองของเฉินที่ถูกฟ้าลิขิตไว้แล้ว”คุณผู้หญิงลังเลครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดประโยคดังกล่าวออกมา
“นี่คือเหตุผลที่ท่านพยายามหาคู่ครองฟ้าลิขิตตลอดมา?”
“ใช่ ต้องตามหาเธอให้เจอ เฉินถึงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้”
ในใจของไป๋มู่ชิงวุ่นวายไปหมด ความรู้สึกกลัวก็ไม่ได้ลดลงแม้แต่นิด ในสมองของเธอยังมีคำถามอีกมากมายที่อยากถาม แต่เธอไม่รู้จะเริ่มถามจากที่ไหนดี สักพักนึ่งเธอถามทั้งที่ตัวยังสั่นว่า :“จำเป็นต้องเก็บเธอไว้ที่นี่หรอ?”
เธอรู้สึกว่าการเก็บศพคนตายไว้ในบ้านเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก และมันก็เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ทำไมไม่ฝังศพเธอเพื่อให้เธอไปอย่างสงบล่ะ ? เธอไม่เข้าใจ
“เรื่องนี้ภายหลังเธอจะรู้เอง” คุณผู้หญิง*พูดอย่างแผ่วเบา กับรอยยิ้มที่เย็นชา :“ เธอจะไม่ดูเธอหน่อยหรอ ?เธอเป็นอดีตคู่ครองที่ฟ้าลิขิตของเฉินนะ เป็นคนที่ทำให้เฉินป่วยเป็นโรคแปลกประหลาด บางทีชาตินี้ เฉินอาจจะไม่ตื่นขึ้นอีกเลยเพราะเธอ จำหน้าเธอไว้ ถ้าคราวนี้เฉินไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย อย่างน้อยเธอก็จะได้รู้ว่าคนที่ต้องเกลียดจนเข้ากระดูกเป็นใคร”
คำพูดของคุณผู้หญิง ทำให้ศีรษะของไป๋มู่ชิงชาไปหมด ในที่สุดเธอก็ต้องค่อยๆจ้องมองไปที่โลงคริสตัลอีกครั้ง ร่างที่มีกระจกใสบังอยู่ เธอเห็นผู้หญิงที่อยู่ข้างในนั้นยังคงเหมือนครั้งที่แล้วหน้าเล็กๆของเธอหันหน้าเข้าด้านในเล็กน้อย ผมที่ดกดำ ท้านอนที่สง่า หากไม่ใช่เพราะผิวหน้าซีดของเธอ ดูไม่ออกจริงๆว่าหญิงผู้นี้ไม่มีชีวิตแล้ว
เมื่อมองไปที่เธอ  ไป๋มู่ชิงรู้สึกว่าตัวเองหายใจลำบาก แขนขาไม่มีแรง จากนั้นขาของเธอก็แทบจะล้มลงกับพื้นทันทีที่เธออ่อนตัวลง
ไป๋มู่ชิงรู้สึกไม่สบายไปทั้งตัว และไม่รู้ว่าเธอเดินออกจากห้องโถงบรรพบุรุษนั้นยังไง กลับห้องนอนของเธอได้อย่างไร จนกระทั่งคุณผู้หญิงได้เดินมาหาเธออีกครั้ง เธอจึงค่อยๆลุกขึ้นยืนจากโซฟาจ้องมองไปที่คุณผู้หญิงพูดว่า :“คุณย่าคะ……ฉันคิดเสมอว่าคู่ครองที่ถูกฟ้าลิขิต ข่าวลือในตำนานทั้งหมดเป็นเรื่องปลอม .……..พวกเราฝังศพของผู้หญิงคนนั้นเถอะอย่ามาหลอกหลอนกันเองอีกเลย……”
พี่เหอได้ยื่นแก้วน้ำในมือของเธอไปให้ไป๋มู่ชิงในมือ :“ นายหญิงน้อยดื่มน้ำก่อน จะได้หายตกใจ”
ไป๋มู่ชิงได้รับน้ำในแก้วมาดื่ม กึบ กึบ สองสามกึบก็หมด หลังจากดื่มน้ำ  รู้สึกว่าใจของเธอสงบลงเยอะ
เธอได้มองดูคุณผู้หญิง เดินไปที่โซฟาตรงข้ามเธอแล้วนั่งลง ได้ฟังเสียงท่านพูดอย่างสงบ:“ ที่ฉันให้เธอไปดูภาพวาดของ‘ ท่านผู้หญิงจิ้ง’ไม่ใช่ที่จะเปิดเผยให้เธอมารับรู้ความลับของตระกูลหนานกง’ แต่เพื่อให้คุณตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องนี้’ ดูเหมือนว่าคุณจะยังคงไม่รู้ถึงความสำคัญของมัน ซึ่งทำให้ฉันผิดหวังอย่างมาก ”
ไป๋มู่ชิงมองไปที่คุณย่า ไม่เข้าใจว่าทำไมท่านถึงพูดแบบนี้
พี่เหอที่อยู่ด้านข้างกล่าวว่า:“นายหญิงน้อย คุณผู้หญิง*หมายความว่า ตอนนี้ชีวิตของคุณชายใหญ่กำลังตกอยู่ในอันตราย ถ้าคุณยังครองตำแหน่งของนายหญิงน้อยอยู่ไม่ยอมให้คุณชายใหญ่*แต่งงานกับคู่ครองที่ฟ้าลิขิตไว้ อย่างนั้นชีวิตของคุณชายใหญ่ เต็มไปด้วยความโชคร้ายและอันตราย”
ไม่ใช่ว่าไป๋มู่ชิงเดาความคิดของคุณผู้หญิงไม่ออกแต่ว่าความคิดนี่ คือ ..….
เธอมองทั้งสองคนด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ:“ ตอนนี้สิ่งที่คุณชายใหญ่*ต้องการคือโรงพยาบาลที่ดี แต่ไม่ใช่คู่ครองที่ฟ้าลิขิตตามข่าวลือ”
“เรื่องนี้เธอไม่จำเป็นต้องเชื่อ ถ้าเธอยังอยากให้ เฉินมีชีวิตอยู่ ก็ออกจากชีวิตของเขาด้วยตัวเอง ครั้งนี้เฉินสลบไปนานขนาดนี้ ต่อให้เขาจะตื่นขึ้นมาร่างกายของเขาก็จะแย่ลงกว่าเดิม ต่อให้ครั้งนี้เขาสามารถรอดมาได้ ครั้งต่อไปเขาจะสามารถรอดมาได้หรือเปล่าก็ไม่อาจรู้ได้”
คุณผู้หญิงพูดจบ ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตา น้ำเสียงของเธอดูเป็นการอ้อนวอน แล้วจ้องมาที่เธอ:“ คุณหนูไป๋ ถือว่าฉันขอร้องล่ะได้ไหม? ออกจากชีวิตเฉินให้เขาได้แต่งงานกับคนที่เขาควรจะแต่ง ให้โอกาสเขามีชีวิตอยู่ต่อ”
คุณผู้หญิง*ถึงกับพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงนี้ใจของไป๋มู่ชิงทำอะไรไม่ถูก รีบพูดว่า:“คุณย่าอย่าพูดแบบนี้ แน่นอนฉันก็หวังให้คุณชายใหญ่มีชีวิตที่ยืนยาวฉัน ..” .
“งั้นก็ออกจากชีวิตเขาไป”
“ฉัน …” ไป๋มู่ชิงพูดอย่างตกกังวล:“คุณย่าคะ ท่านเคยคิดแทนคุณชายใหญ่*ไหมว่า?เขาไม่เคยที่อยากหย่ากับฉัน และไม่อยากแต่งงานกับผู้หญิงที่เขาไม่ได้รักเลย ถ้าฉันจากไป จะกระทบกระเทือนใจเขาอีกครั้ง จากนั้นก็อาจทำร้ายตัวเองเหมือนครั้งนี้”
“เธอสบายใจได้ เขาไม่ทำหรอ ”คุณผู้หญิงกล่าวอย่างมั่นใจ
ไป่มู่ชิงไม่เข้าใจ :“ท่านรู้ได้อย่างไร?”
“เพราะผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ผู้หญิงที่เขาไม่รัก ”คุณผู้หญิง*กล่าว:“กับตรงกันข้าม เขารักผู้หญิงคนนี้มากกว่าเธอ ถ้าเขาทั้งสองคนแต่งงานกัน เฉินจะมีชีวิตที่ดีและมีความสุขอย่างแน่นอน ”
“หมายความว่ายังไง?”ก่อนหน้านั้นไป๋มู่ชิงก็ตกใจจนเซลล์สมองไม่ทำงานไปครึ่งหนึ่งแล้ว ในขณะนี้ทำให้เธอตามไม่ทันความคิดของคุณผู้หญิงจริงๆ
ผู้หญิงที่หนานกงเฉินรักมาก? นอกจากจูจูแล้วหนานกงเฉินยังเคยรักใครอีก?
เมื่อนึกถึงจูจู เธอรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดี นึกถึงคำพูดที่จูจูพูดขึ้นในอพาร์ตเมนต์เมื่อคืนก่อน
จูจูเคยโต้แย้งกับเธอว่า ถ้าหากเธอต้องการคืนดีกับหนานกงเฉินแล้วล่ะก็ เธอแค่หาคุณผู้หญิงช่วยออกหน้าก็เพียงพอ
ในตอนนั้นที่เธอได้ยินแบบนั้น เธอก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่ตอนนี้มาคิดๆดูแล้ว ที่แท้มันเป็นอย่างงี้นี้เอง
“ฉันคิดว่าเธอน่าจะรู้ความสัมพันธ์ระหว่างเฉินกับคุณหนูจูในตอนนั้นดี?พูดตามตรงนะฉันไม่ชอบผู้หญิงคนนั้นตั้งแต่แรกที่เห็น แต่ไม่มีทางเลือก ใครให้เธอเป็นคู่ครองที่ถูกฟ้าลิขิตของเฉิน?ฉันก็เลยต้องให้เธอแต่งงานกับเฉินแทนเธอ”
จูจู! ก็คือจูจูจริงๆ!
ไป๋มู่ชิงตัวชาไปครึ่งวันจนพูดไม่ออก เธอไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งจูจูจะกลายเป็นคู่ครองที่ถูกฟ้าลิขิตของหนานกงเฉิน บุญวาสนาเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อจริงๆ!
ถ้าหากเป็นจูจูจริงๆแล้วล่ะก็ หนานกงเฉินแต่งงานกับเธอต้องมีความสุขอย่างมาก สิ่งนี้เธอเชื่อ!

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset