เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 63 สร้างปัญหาอีกแล้ว

เมื่อมองตามสายตาเขา ไป๋มู่ชิงก็รีบซ่อนประวัติคนไข้ไว้ด้านหลังทันที เธอยิ้มกลบเกลื่อน ” คุณชายเฉิน คุณคนสวย…..เผอิญจัง
“คุณชายเฉิน เราเจอกันอีกแล้ว” เหยาเหม่ยมองหน้าอันหล่อเหลาของหนานกงเฉินด้วยแววตาวิบวับยิ้มเคลิ้ม
“นายหญิงน้อย” เลขาเหยียนทักทายไป๋มู่ชิงอย่างให้เกียรติ ไป๋มู่ชิงอึดอัดเล็กน้อย เวลานี้เธอไม่อยากคาดเดาถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง
หนานกงเฉินพยักหน้าทักตอบเหยาเหม่ย แล้วหันไปมองด้านหลังของไป๋มู่ชิง ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงวางอำนาจเหมือนทุกที “อะไร เอามาให้ฉัน”
“ไม่มี ไม่มีอะไร” ไป๋มู่ชิงส่ายหน้า
“คุณชายเฉิน คุณควรดู…..” เหยาเหม่ยพูดยังไม่ทันจบ ก็โดนไป๋มู่ชิงเอามือปิดปากไว้ ทำให้ใบลงทะเบียนคนไข้และบัตรคิวร่วงตกไปอยู่แทบเท้าของหนานกงเฉิน
เลขาเหยียนก้มลงเก็บบัตรคิวขึ้นมา ในนั้นลงชื่อไป๋ยิ่งอัน แผนกสูติฯ
เห็นดังนั้นแววตาหนานกงเฉินเข้มขึ้นเล็กน้อย ก่อนมองมาที่เธอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ” มีอะไรจะอธิบายมั้ย?”
ไป๋มู่ชิงแอบหยิกท้อนแขนเหยาเหม่ยเป็นการคาดโทษ ก่อนหันมาตอบหนานกงเฉิน “คือว่า…..คุณย่า เมื่อคืนท่านบอกว่าฉันไม่ท้องซะทีน่าจะมีความผิดปกติ ให้ฉันลองมาตรวจภายใน ฉันไม่กล้าขัดท่านเลยต้องมา
“อย่างงั้นเหรอ?”
จริงๆนะ ไม่เชื่อคุณกลับไปถามคุณย่าได้เลย เพราะกลัวเขาจะสงสัยไม่เลิก เธอจึงเสริมขึ้น “คุณชายใหญ่ ไม่งั้นคุณช่วยบอกกับคุณย่าให้ฉันหน่อยได้มั้ย ว่าฉันปกติกดีไม่มีปัญหาอะไร ข้อร้องล่ะ เห็นเขาว่ากันว่าการตรวจภายในมันเจ็บและทรมานมากเลย”
เหยาเหม่ยที่ยืนอยู่ข้างๆรู้สึกอยากมองบน นึกในใจแสบ!เดี๋ยวนี้โกหกเก่งขั้นเทพ
หนานกงเฉินมองเธอแวบหนึ่ง ก่อนพูดด้วยน้ำเสียเรียบเฉย “มันเรื่องของเธอ แก้ปัญหาเอาเอง”
พูดจบเขาก็ก้าวเดินไปยังประตูทางออกของโรงพยาบาล
“คนใจร้ายใจดำ ใครจะไปมีลูกชายให้คุณ” ไป๋มู่ชิงบ่นอุบอิบไล่หลัง
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอนึกขึ้นได้ ที่นี่เป็นโรงพยาบาลที่หนานกงเฉินมาประจำ ยังดีที่เธอยังไม่ได้ทำแท้งที่นี่ ไม่อย่างนั้นช้าเร็วเขาต้องรู้เป็นแน่
“ผู้หญิงคนเมื่อกี้หน้าตาสวยไม่เบา คงไม่ใช่เด็กที่หนานกงเฉินเลี้ยงไว้นะ?” เหยาเหม่ยพูดทั้งที่ยังมองตามหลังสองคนนั้น
ไป๋มู่ชิงส่ายหน้า ” ฉันจะรู้มั้ย”
คนที่มีฐานนะร่ำรวยมีหน้ามีตาทางสังคมอย่างหนานกงเฉิน ถ้าจะเลี้ยงผู้หญิงซักคนสองคนไว้นอกบ้านก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่พอฟังเหยาเหม่ยพูดแล้ว ใจเธอกลับรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา
ถึงจะไม่ได้รักเขา แต่ยังไงเขาก็เป็นสามีเธอ ใครเลยจะอยากให้สามีตัวเองมีผู้หญิงนอกบ้าน
เจอเข้ากับหนานกงเฉินแบบนี้ เรื่องทำแท้งเป็นอันต้องล้มเลิก ไป๋มู่ชิงเลยออกจากโรงพยาบาลไปเดินเล่นอยู่แถวนั้น
เหยาเหม่ยยังคงพูดโน้มน้าวเธอไม่เลิก ” ลองคิดให้ดีนะ ผู้หญิงแต่ละคนที่เคียงข้างหนานกงเฉินสวยอย่างกับนางฟ้า ถ้าจะเอาเขาอยู่ ไม่มีลูกชายสักคนไม่ได้ ยังไงก็อย่าทำแท้งเลย เก็บไว้เถอะ เพื่อเป็นหลักประกันให้กับตำแหน่งนายหญิงน้อยของเธอก็ยังดี”
” เสียวเหม่ย ถ้าเธอยังไม่หยุดพูดฉันจะไปเดินเล่นคนเดียวไม่สนใจเธอแล้วนะ” ไป๋มู่ชิงพูดอย่างเคืองๆ
เหยาเหม่ยเงียบไป ไม่พูดอะไรต่อ
โทรศัพท์มือถือของไป๋มู่ชิงดังขึ้น เธอหยิบมือถือจากกระเป๋าขึ้นมาดู เห็นว่าเบอร์ที่โทรฯเข้ามาไม่คุ้น
เธอรับอย่างลังเล ไม่นึกว่าปลายสายจะเป็นเสียงของหลินอันหนาน คนน่าไม่อายยังกล้าโทรฯมาหาเธออีก? ไป๋มู่ชิงอยากจะวางสายทิ้งนัก
เบอร์เก่าของหลินอันหนานโดนเธอบล๊อกไปแล้ว เขาถึงได้เปลี่ยนเบอร์ใหม่โทรฯมา
“มีอะไร” เธอพูดเสียงเฉยชา
“มูนชิง ช่วยมาหาฉันที่ศูนย์วัฒนธรรมหน่อยได้มั้ย ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอหน่อย”
หลินอันหนานพูดด้วยน้ำเสียงปกติก เหมือนกับว่าระหว่างเธอกับเขาไม่เคยมีเรื่องอะไรกันมาก่อน
“มีอะไรก็พูดมาทางโทรฯศัพท์ได้เลย”
“คุยทางโทรศัพท์ไม่สะดวก คือฉันอยากเอาของบางอย่างคืนเธอ”
“ของอะไร”
“เธอมาถึงก็จะรู้เอง”
ไป๋มู่ชิงมองเหยาเหม่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ เหยาเหม่ยรีบส่งสัญญาณมือก่อนกระซิบว่า “ทำดีหวังผลชัว”
ไป๋มู่ชิงเห็นด้วย มาแนวนี้ไม่น่าจะใช่เรื่องดี แต่เธอก็นึกไม่ออกจริงๆว่าเธอยังมีของอะไรลืมไว้ที่หลินอันหนาน
“คือ…….ของที่ว่าฉันไม่เอาแล้ว คุณเก็บไว้เองเถอะ” พูดจบไป๋มู่ชิงยังไม่ทันจะวางสายหลินอันหนานก็พูดขึ้น “ฉันจะรอเธอที่ศูนย์วัฒนธรรมชั้นสอง ถ้าเธอไม่มาฉันจะส่งของชิ้นนี้ไปที่บ้านหนานกงเฉิน”
“คุณ……….. ” หลินอันหนานตัดสายไปแล้ว ไป๋มู่ชิงรู้สึกโกรธมาก
ไป๋มู่ชิงถอนหายใจอย่างไม่รู้จะทำยังไง ก่อนเก็บโทรศัพท์มือถือ
เหยาหม่ยทำเสียงจิ๊จ๊ะก่อนพูด ” นี่คุณชายหลินวางอำนาจเป็นเหมือนกันกับหนานกงเฉินตั้งแต่เมื่อไหร่ ?”
“จะไปรู้มั้ย” ไป๋มู่ชิงดึงแขนเธอ “ไป ไปเป็นเพื่อนฉันหน่อย”
ทั้งสองมาถึงประตูทางเข้าศูนย์วัฒนธรรม เหยาเหม่ยหยุดเดินก่อนพูดว่า “ฉันส่งเธอแค่นี้นะ ไม่อยากเข้าไปมีส่วนร่วม ระวังตัวเองด้วย”
ไป๋มู่ชิงจึงขึ้นชั้นสองไปคนเดียว
ชั้นสองของของศูนย์วัฒนธรรมเป็นพื้นที่สำหรับจัดแสดงนิทรรศการ วัตถุตโบราณต่างๆ ศิลปะภาพวาด ภาพถ่าย ฯลฯ ไป๋มู่ชิงมองไปรอบๆห้องจัดนิทรรศการ ไม่เห็นหลินอันหนานอยู่ในห้อง เธอจึงเอาโทรศัพท์ขึ้นมาและกดโทรฯกลับเบอร์ที่โทรฯเข้าก่อนหน้า แต่ปรากฏว่าปลายสายกำลังติดสาย
ระหว่างที่รออย่างเบื่อหน่าย ไป๋มู่ชิงได้เดินไปทางพื้นที่จัดแสดงภาพวาดสีน้ำมัน
นิทรรศการภาพวาดที่นี้ นอกจากภาพวาดบางส่วนที่เป็นผลงานขึ้นชื่อแล้ว ผลงานภาพวาดอื่นๆจะมีการสลับปรับเปลี่ยนใหม่อยู่เสมอ เมื่อก่อนไป๋มู่ชิงก็ชอบมาดูผลงานภาพวาดใหม่ๆที่นี่
ไม่ได้มาหลายเดือน มีผลงานภาพวาดใหม่ๆเพิ่มขึ้นเยอะมาก แต่ที่เธอแปลกใจคือด้านในสุดของห้องจัดนิทรรศการ มีภาพวาดของเธอถูกจัดแสดงอยู่หลายภาพ
ผลงานภาพวาดของเธอทั้งสามภาพ ล้วนเป็นภาพวาดที่เธอมอบให้หลินอันหนานเป็นของขวัญ หนึ่งในนั้นมีภาพวาดที่เธอให้เขาเป็นของขวัญวันเกิด เป็นภาพของผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในร้านกาแฟ มือข้างหนึ่งถือแก้วกาแฟยกดื่ม อีกข้างถือหนังสือและกำลังอ่าน ให้ความรู้สึกสงบและสง่างาม
และผู้ชายในภาพก็คือหลินอันหนาน เป็นภาพที่เธอเห็นเขาในครั้งแรก
สามปีก่อนในบ่ายวันหนึ่ง เธอพบเขาที่ร้านกาแฟร้านหนึ่ง เธอตกหลุมรักเขา ภาพดังกล่าวฝังอยู่ในหัวเธอตลอดเวลา และเธอก็วาดมันออกมา
เธอไม่รู้ทำไมภาพวาดของเธอถึงมีสิทธิ์นำมาจัดแสดงในที่นี้ ปกติงานนิทรรศการที่นี่จะจัดแสดงผลงานของกลุ่มศิลปินเท่านั้น
“จำได้ว่าตอนเธอพาฉันมาที่นี่ครั้งแรก เธอเคยบอกว่าความฝันของเธอคือวันหนึ่งจะสามารถนำผลงานภาพวาดของตัวเองมาจัดแสดงที่นี่ได้” ด้านหลังเธอมีเสียงอันคุ้นเคยพูดขึ้น
ไป๋มู่ชิงนิ่งอึ้งไป ก่อนจะค่อยๆกำมือเข้าหากัน
“ภาพวาดเหล่านี้เป็นภาพวาดที่เธอให้ฉัน ฉันยังเก็บไว้เป็นอย่างดี เพื่อวันหนึ่งจะทำให้ความฝันเธอเป็นจริง” หลินอันหนานยังคงพูดต่อด้วยความรู้สึกที่ท่วมท้น
ไป๋มู่ชิงหลับตาข่มความรู้สึกแล้วหันมาจ้องมองเขาก่อนกัดฟันพูด ” หลินอันหนาน หมายความว่าไง ต้องการรื้อฟื้นความหลังเหรอ?
” แล้วเป็นไปได้มั้ย ? ” หลินอันหนานมองมาที่เธอ
“คุณคิดว่ายังเป็นไปได้มั้ยล่ะ? ” ไป๋มู่ชิงยิ้มเย็น
“ก็ถ้าเธอกับเขาสุดท้ายก็ต้องจากกัน แล้วทำไมจะเป็นไปไม่ได้ ?” หลินอันหนานพูดอย่างไม่ละอาย “มู่ชิง ฉันกับยิ่งอันอยู่กันด้วยผลประโยชน์ ไม่ได้มีความรัก แต่เธอไม่เหมือนกันนะ”
“เท่าที่ฉันจำได้ตอนพวกคุณนัวเนียกันในห้องน้ำยังได้ยินคุณพูดอยู่เลยนี่ว่ารักกันมาก” ไป๋มู่ชิงข่มใจตัวเองไม่ให้ยกภาพวาดขึ้นทุ่มใส่เขา ก่อนจะพูดเสียงลอดไรฟันว่า ” พอยิ่งอันหมดประโยชน์ คุณก็เลยอยากหวนกลับมาหาฉัน เห็นฉันเป็นอะไร?”
ไป๋มู่ชิงชี้ไปที่ภาพวาด “คุณคิดว่าแค่คุณใช้เส้นสายนำภาพวาดของฉันมาจัดแสดงที่นี่ได้ มันจะทำให้ฉันรู้สึกหวั่นไหวแล้วกลับไปหาคุณโดยไม่สนใจอะไรอย่างงั้นเหรอ หลินอันหนานฉันจะบอกคุณให้ ต่อให้ฉันต้องแยกทางกับหนานกงเฉิน ฉันก็ไม่มีวันกลับไปหาคุณเด็ดขาด ฉันไม่ได้น่าสมเพชขนาดนั้น”
ในที่สุดเธอก็เข้าใจแล้ว เป็นเพราะหลินอันหนานล่วงรู้ถึงแผนการของยิ่งอันกับซูวยาหยง เขาเลยพุ่งเป้ากลับมาที่เธอ แต่ที่เธอไม่เข้าใจคือต่อให้เธอเลิกรากับหนานกงเฉินแล้วกลับไปอยู่กับเขา เขาจะได้ประโยชน์อะไรจากเธอ
คงไม่ใช่เพราะรักนะ? คนอย่างหลินอันหนานรู้ด้วยเหรอว่าอะไรคือรัก?
“มู่ชิง เธอรู้อยู่แก่ใจว่าเธอต้องการฉัน”
“คุณชายหลิน คุณอย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย ” ไป๋มู่ชิงตอกกลับทันที “ฉันไม่ต้องการคุณ และคุณช่วยไปไกลๆจากฉันด้วย”
เธอกัดริมฝีปากจ้องมองเขา ” ของที่คุณจะคืนให้ฉันก็คือภาพวาดพวกนี้ซินะ ตอนนี้คืนให้ฉันได้หรือยัง?”
” ได้ ”
” ขอบคุณ! ” ไป๋มู่ชิงเตรียมปลดภาพลงจากผนัง
ขณะที่เธอกำลังอื้มมือ ด้านหลังเธอก็มีเสียงอันคุ้นเคยพูดขึ้น “พี่สะใภ้? พี่มาทำไรที่นี่?”
ไป๋มู่ชิงอึ้งไป
ผู่เหลียนเหยา? แล้วเธอมาอยู่นี่ได้ไง
เธอกวาดสายตามองไปที่หลินอันหนาน ก่อนหันไปมองผู่เหลียนเหยาที่ยืนอยู่ตรงประตูทางเข้า
ผู่เหลียนเหยาเดินเข้ามา มองไปที่ภาพวาดแวบหนึ่ง แล้วมองไปที่หลินอันหนายด้วยสีหน้าที่แฝงไปด้วยความสงสัย
” คุณหนูผู่ ทำไมมาถึงอยู่ที่นี่”
” มาเลือกภาพวาดให้บริษัทฯ พี่ล่ะ?” ผู่เหลียนเหยาตอบพร้อมรอยยิ้ม ไม่ได้ถามอะไรมากไปกว่านั้น
“เออ คือพี่ก็มาเดินดูภาพวาดเหมือนกัน” ไป๋มู่ชิงเดินเข้ามาคล้องแขนเธอก่อนพูด “เธออยากได้ภาพวาดแบบไหน เดี๋ยวพี่ช่วยเลือก”
“แล้ว….เพื่อนพี่คนนี้?”
“คุณชายหลินกำลังรอคู่หมั้นอยู่ พอดีเจอกันเลยแวะทักทาย” ไป๋มู่ชิงดึงเธอไปทางประตู “ไปเถอะ เมื่อกี้พี่เจอภาพวาดภาพหนึ่งอยู่ด้านนอกสวยมาก ต้องถูกใจเธอแน่น”
“เหรอ? ไปดูกัน”
ก่อนหน้านั้นไป๋มู่ชิงแค่ดูภาพวาดผ่านๆ ไม่ได้ดูว่ามีภาพวาดสวยๆอยู่ด้านนอกนั้นมั้ย แต่เพื่อดึงความสนใจของผู่เหลียนเหยาจากความสงสัย เธอเลยชี้ไปที่ภาพวาดที่เป็นภูเขากับสายน้ำ
ผู่เหลียนเหยาดูภาพวาดแล้วส่ายหัว “เจ้านายไม่ชอบภาพวาดที่เป็นวิวภูเขาสายน้ำมากนัก แต่ถ้าเป็นภาพวาดหญิงงามเห็นจะสนใจเป็นพิเศษ” เธอพูดจบก็หัวเราะ ” แต่มีภาพวาดรูปคนภาพหนึ่งสวยมาก เสียดายทางผู้จัดนิทรรศการไม่ยอมขาย”
“จริงเหรอ? ไหนลองพาไปดูหน่อย”
” ได้ ” ผู่เหลียนเหยาพยักหน้าตอบ ก่อนพาเธอเดินเข้าไปอีกห้อง
ภาพวาดที่ผู่เหลียนเหยาสนใจนั้นคือภาพของหญิงงามที่สวมชุดย้อนยุคสีขาว ผมดำยาว สีของภาพวาดออกสว่าง ลายเส้นบางเบา ถ่ายทอดเสน่ห์ของผู้หญิงในภาพออกมาอย่างงดงาม
ไป๋มู่ชิงยืนจ้องผู้หญิงในภาพวาด รู้สึกคุ้นเคยเหมือนเคยพบเห็นมาก่อน
เธอถามขึ้นอย่างไม่รู้ตัว “ผู้หญิงคนนี้……….คือใครกัน?”
” ภาพวาดนี้ถูกคัดลอกโดยอาจารย์ท่านหนึ่ง ส่วนภาพจริงเห็นว่ามีมหาเศรษฐีคนหนึ่งเก็บสะสมไว้ สำหรับผู้หญิงในภาพนั้นเล่ากันว่าเป็นคุณหนูบ้านขุนนางบ้านหนึ่งเมื่อหลายร้อยปีก่อน เธอตกหลุมรักกับท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์และได้แต่งานกับเขา แต่ไม่คิดว่าต่อมาจะถูกสามีที่รักทรยศจนเธอไม่สามารถทนได้และกินยาพิษฆ่าตัวตายในที่สุด” ผู่เหลียนเหยาพูด
ไป๋มู่ชิงหันไปมองเธอ ” เรื่องจริง?”
ผู่เหลียนเหยายักไหล่ ” ไม่รู้ซิ แต่ในห้องจัดแสดงภาพบันทึกไว้แบบนี้ ”
ไป๋มู่ชิงไม่ค่อยรู้เรื่องประวัติศาสตร์ แต่เธอรู้สึกชอมภาพนี้มาก รู้สึกค้นเคยกับผู้หญิงในภาพเหมือนคนรู้จัก
“สวยมากใช่มั้ย?” ผู่เหลียนเหยายิ้มกว้าง
ไป๋มู่ชิงผงกหัว “สวยมาก”
“อยากได้มั้ย?”
“ไหนบอกว่าเขาไม่ขาย”
“ถ้าพี่ชอบจริงๆ ลองให้พี่เฉินออกหน้าขอซื้อ ไม่มีปัญหาแน่นอน”
“เขา? ช่างเถอะ” ไป๋มู่ชิงยิ้มเล็กน้อยก่อนตอบ
ให้หนานกงเฉินซื้อภาพวาดให้ ฝันไปเถอะ เธอยังไม่ทันจะออกปากขอก็โดนปฏิเสธก่อนเป็นแน่
“ดูพี่ทำหน้าเข้า” ผู่เหลียนเหยาแอบยิ้ม “เคยได้ยินมาว่าเวลาพี่เฉินหลงผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นมานี่ทุ่มสุดตัวเหมือนกันนะ นอกจากพระจันทร์บนฟ้าแล้ว อะไรก็หาให้พี่ได้หมด”
เฮอๆ งั้นคงต้องรอให้เขามีแก่ใจนึกขึ้นได้ก่อนว่ายังมีภรรยาคนนี้อยู่ค่อยว่ากัน
” พี่สะใภ้ค่อยๆดูไปก่อนนะ ขอตัวไปดูงานก่อน” ผู่เหลียนเหยายิ้มและปล่อยมือจากเธอ
“ได้เลย ไปเถอะ”
หลังจากผู่เหลียนเหยาเดินไปแล้ว ไป๋มู่ชิงยังคงยืนมองภาพวาดต่ออีกพักใหญ่ เธอไม่เข้าใจทั้งๆที่ผู้หญิงในภาพวาดดูอายุยังน้อย แต่ทำไมถึงตั้งชื่อภาพว่า [ ท่านผู้หญิงจิ้ง ] ที่ให้ความรู้สึกแก่มากกว่า
เธอพยายามนึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าเคยพบท่านผู้หญิงจิ้งคนนี้ที่ไหนมาก่อน ถึงได้รู้สึกคุ้นตาขนาดนี้
จนกระทั้งได้เวลาปิดห้องนิทรรศการภาพวาด มีเจ้าหน้าที่เดินมาแจ้งเตือนเธออย่างมีมารยาท เธอจึงได้เดินไปยังประตูทางออก
ขณะที่เธอกำลังเดินออกจากประตู ก็มีเสียงของเจ้าหน้าที่เรียกขึ้น “คุณไป๋คะ กรุณารอสักครู่ค่ะ”
ไป๋มู่ชิงหันกลับไปมองเจ้าหน้าที่ที่เดินมาด้วยความสงสัย
เจ้าหน้าที่ได้ยื่นภาพวาดที่ห่อเรียบร้อยให้เธอพร้อมยิ้มกว้างให้ ” คุณไป๋คะ มีคุณผู้ชายท่านหนึ่งมอบ [ ท่านผู้หญิงจิ้ง]ให้คุณเป็นของขวัญค่ะ
หมายความว่าไง? ไป๋มู่ชิงหุบตามองภาพวาดในมือ คุณผู้ชายท่านไหนมอบภาพวาด [ ท่านผู้หญิงจิ้ง]ให้เธอ ?
” จากใจคุณผู้ชายท่านหนึ่งโปรดรับไว้ด้วยค่ะ พนักงานวางม้วนภาพวาดลงบนอ้อมแขนของไป๋มู่ชิงด้วยสีหน้ายิ้มเขิน ก่อนโบมือลาและเดินกลับเข้าไปในห้องนิทรรศการ
ไป๋มู่ชิงยืนงงมองเธอจากไป รู้ตัวอีกทีเธอก็เดินไปไกลแล้ว เธอเลยไม่ทันได้ถามอะไรต่อ
ไหนว่าภาพนี้ไม่ขาย? เมื่อกี้นี้ภาพยังแขวนโชว์อยู่บนผนังเลย? ทำไมพริบตาเดียวมาอยู่ในมือเธอได้?
วินาทีต่อมา เธอเห็นหลินอันหนานกำลังเดินออกมาจะห้องนิทรรศการ เธอเกิดรู้สึกหวั่นใจขึ้นมาทันที คงไม่ใช่หลินอันหนานนะ?
หลินอันหนานเดินมาทางเธอ ด้วยท่าเดินที่เอามือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกงไว้ พร้อมจ้องมองเธอด้วยสีหน้าอ่อนโยนก่อนพูดว่า ” มู่ชิง ฉันแค่อยากให้เธอรู้ว่า อะไรที่เธออยากได้ ฉันยังเอามาให้เธอเสมอ เหมือนสามปีที่ผ่านมานี้
” ขอบคุณ แต่ฉันไม่อยากได้” ไป๋มู่ชิงยื่นภาพวาดคืนให้เขาด้วยสีหน้าไม่พอใจ
หลินอันหนานไม่ได้ยื่นมือออกไปรับ เขาหุบตามองภาพวาดแวบหนึ่งก่อนยิ้มบาง ” ยืนมองภาพวาดเกือบเย็น ยังบอกว่าไม่ชอบ?”
“บอกแล้วว่าฉันไม่เอา” ไป๋มู่ชิงเริ่มโกรธ
“ภาพวาดนี้ให้เธอไปแล้วก็ถือเป็นของเธอ เธอมีสิทธ์ิที่จะทำอะไรกับมันก็ได้ ถ้าไม่ชอบขนาดนั้นก็…………” หลินอันหนานชี้ไปยังถังขยะที่ตั้งอยู่ ” ถังขยะอยู่ตรงนั้น”
“คุณ…….. ” ไป๋มู่ชิงโกรธจนพูดไม่ออก
ของที่มูลค่าขนาดนี้จะทิ้งได้ไง นี่เป็นการบังคับทางอ้อมให้เธอต้องรับไว้ชัดๆ
” ทำไม? ถ้าไม่อยากทิ้ง? ก็รับไว้เถอะ” หลินอันหนานยิ้มเล็กน้อย เขานึกไว้แล้วว่าเธอไม่อาจทิ้งมันได้
เสียงเดินจากทางบันไดดังขึ้น เป็นเสียเดินที่หนักแน่นและคุ้นเคย ไป๋มู่ชิงขนคอลุกชัน เสียเดินไกล้เข้ามาทุกที ทันไดนั้นหนานกงเฉินก็ปรกฏตัวอยู่หน้าพวกเขาทั้งสอง
ไป๋มู่ชิงรู้สึกอยากตายให้รู้แล้วรู้รอด
ทำไมถึงเจอเขาตลอดเลยเนี่ย
หนานกงเฉินเองก็เห็นเธอแล้ว จากอันหล่อเหลาสังเกตได้ว่าเขาไม่มีอาการแปลกใจหรือสงสัยซักนิด เขายังคงค่อยๆเดินตรงเข้ามาหาพวกเขาทั้งสอง
ตอนเขาได้รับข้อความจกาผู้หวังดีว่าไป๋มู่ชิงนัดพบผู้ชายที่นี่ แวบแรกเขาเชื่อว่าผู้ส่งต้องเป็นหลินอันหนานแน่ ทีแรกเขาไม่คิดจะมาดูเอง แต่ไหนๆก็เป็นทางผ่านกลับบ้านอยู่แล้ว เลยแวะเข้ามาดูซะหน่อย
ทำไม จะกลับกันแล้วเหรอ หนานกงเฉินมองไปที่คนทั้งสอง แล้วยิ้มอย่างสง่า
หลินอันหนานมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าทักด้วยความเคารพ ” พี่เฉิน”
บังเอิญจัง เจอคุณสองคนอยู่ด้วยกันอีกแล้ว
หนานกงเฉินยังไม่ทันพูดจบ หลินอันหนานก็รีบอธิบายทันที “พี่เฉินอย่าเข้าใจผิดนะครับ ผลกับพี่สะใภ้แค่เผอิญเจอกัน”
“ใช่ๆ เราแค่เผอิญเจอกัน” ไป๋มู่ชิงรีบพูดเสริม
หนานกงเฉินไม่ได้หันไปมองเธอแต่เขากลับดึงเธอมาโอบไว้ข้างๆ จ้องมองหลินอันหนานและยิ้มหยักเล็กน้อย “ในฐานะสามีฉันค่อนข้างมั่นใจว่าสามารถเติมเต็มเธอได้ทุกด้าน จึงไม่เคยกลัวว่าเธอจะนอกลู่นอกทาง คุณสบายใจได้”
ไป๋มู่ชิงหน้าแดง นี่ชวนให้นึกไปด้านเรื่องอย่าว่านี่นา
สีหน้าหลินอันหนานเปลี่ยนไปเล็กน้อยแทบสังเกตไม่ออก ทันใดเขาก็ทำเป็นหัวเราะอย่างโล่งอก “พี่เฉินเข้าใจแบบนี้ผมก็สบายใจ”
“งั้นเรากลับกันเถอะ “หนานกงเฉินพูดกับไป๋มู่ชิง
ไป๋มู่ชิงเดินตามอย่างรนๆพยายามก้าวเท้าให้ทันเขาไปยันประตูทางออก
จนกระทั้งขึ้นรถเรียบร้อย ไป๋มู่ชิงทนเงียบต่อไปไม่ไหวจึงถามขึ้น “คุณชายใหญ่ ทำไมถึงมาที่ศูนย์วัฒนธรรมได้คะ?”
ถึงแม้จะรู้ว่าไม่ควรถามในเวลาที่เขากำลังโกรธแบบนี้ แต่เธอก็ทนเงียบต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ
เพราะเธออยากรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ หนานกงเฉินมาที่ศูนย์วัฒนธรรมต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ต้องมีคนไม่หวังดีส่งข่าวแน่ แล้วผู้ไม่หวังดีนี่คือใครกัน? เป็นแผนของหลินอันหนาน? หรือจะเป็นผู่เหลียนเหยาที่ส่งข่าวให้หนานกงเฉิน?
ผู่เหลียนเหยาไม่เคยมีอะไรบาดหมางกับเธอ ไม่น่าจะคิดร้ายกับเธอได้ เห็นจะมีแต่คนน่าไม่อายอยางหลินอันหนานถึงจะทำเรื่องแบบนี้ได้
แต่ถ้าเป็นหลินอันหนานจริง เขามาแย่งผู้หญิงกับหนานกงเฉินซึ่งๆหน้าแบบนี้ ไม่กลัวตระกูลหนานกงจะตอบกลับตระกูลหลินให้ย่อยยับเลยเหรอ เธอยิ่งคิดยิ่งปวดหัว
เธอยังคงเฝ้าสังเกตหนานกงเฉิน ถึงแม้ที่จอดรถชึ้นใต้ดินแสงไฟจะสลัวไปหน่อย แต่เธอก็ยังเห็นชัดถึงแววตาอันเย็นชาของหนานกงเฉิน
หนานกงเฉินยังนิ่งไม่พูดอะไร ทำเป็นไม่สนใจเธอเหมือนทุกที
ไป๋มู่ชิงยังตามถามไม่เลิก “ฉันกับเขาไม่มีอะไรกันจริงๆ คุณไม่โกรธได้มั้ย? ”
เมื่อรถชะลอจอดติดไฟแดง หนานกงเฉินจึงหันมามองที่ภาพวาดในมือเธอ ก่อนมองหน้าเธอแล้วพูด้วยน้ำเสียงเย็นชา “กลับไปโดนทำโทษแน่”
ได้ยินแบบนั้นไป๋มู่ชิงเอามือขึ้นกุมท้องน้อยทันที ทำโทษของเขาหมายถึง……ทำโทษอย่างว่าหรือป่าวนะ ตอนนี้เธอกำลังตั้งครรภ์อยู่ แล้วยังเป็นระยะแรกของการตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงสูงด้วย
เธอหวาดระแวงตลอดคืนไม่เป็นอันนอน กลัวว่าหนานกงเฉินเกิดควมคุมอารมณ์อยู่แล้วทำโทษเธอขึ้นมา
เวลาล่วงเลยไปจน5ทุ่ม เธอเริ่มมีอาการง่วงนอน แต่ยังไม่เห็นแม้เงาหนานกงเฉิน หรือเขาจะลืมเรื่องเมื่อตอนเย็นแล้ว ไม่งั้นทำไมตั้งแต่กลับมาจนตอนนี้ยังไม่วี่แววอะไรเลย
ผ่านไปอีกสิบนาที ไป๋มู่ชิงมาถึงหน้าห้องนอนของหนานกงเฉิน เธอยกมือเคาะเรียกประตู ไม่ถึงนาทีประตูเปิดออก หนานกงเฉินปรากฏต่อหน้าเธอ
และไม่ทันที่จะเขาเปิดทางให้ ไป๋มู่ชิงก็ยื่นจดหมายทบทวนความผิดที่เธอเขียนอย่างยาวเหยียดไปตรงหน้าหนานกงเฉินแล้วพูดว่า “คุณชายใหญ่ นี่เป็นรายละเอีอดเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากที่ฉันแยกจากคุณที่โรงพยาบาลจนถึงเวลาที่ฉันเจอคุณอีกรอบที่ศูนย์วัฒนธรรม ไม่มีอะไรตกหล่นหรือไม่เป็นความจริงเลย ถ้ามีอะไรที่ไม่จริง ขอให้ฟ้าผ่าตาย ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด”
“หมายความว่าไง” หนานกงเฉินขมวดคิ้วเข้าหากัน
“ทบทวนความผิดไง ก็เห็นคุณว่าจะลงโทษฉัน” ไป๋มู่ชิงพูดอย่างกล้าๆกลัวๆ ไม่ใช่ว่ามีคำกล่าวที่ว่า “โทษหนักจะได้เป็นเบา”
หนานกงเฉินใช้นิ้วคีบรับจดหมายทบทวนไปเปิดอ่านแวบเดียว ก่อนโยนกลับมาให้เธอ พร้อมยิ้มเย็นให้ ” ฉันว่าเธอตั้งใจจะออยฉันมากกว่ามั้ง?”
“ไม่ใช่นะ” ไป๋มู่ชิงรีบตอกกลับ เธอเพิ่งสำนึกได้ว่าเวลานี้หนานกงเฉินมีแค่ผ้าเช็คตัวผืนเดียวพันรอบเอวสอบ ท่อบนเปลือยเปล่ามีหยดน้ำเกาะตามอกเปลือย ดูแล้วเซ็กซี่ระดับสิบ
หน้าเธอแดงรื้นขึ้นทันที เธอรีบหันหลังเตรียมเดินหนี
บรรยากาศชวนวาบหวิวแบบนี้ เธอจะไม่หนีได้ไง
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ด้วยความไม่ประสาของเธอคงหลงไปเขา แล้วยอมทำตามความต้องการของเขาทุกอย่าง แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว เธอคือคนท้องที่ต้องได้รับกาปกป้องดูแลอย่างดี
“ในเมื่อมาเสนอถึงที่ขนาดนี้ ก็จะสนองให้แล้วกัน” หนานกงเฉินพูดขึ้นก่อนยื่นมือข้างหนึ่งดึงเธอเข้าห้อง และมืออีกข้างก็ดึงประตูปิดพร้อมกัน
ไป๋มู่ชิงตกใจ ขณะที่พยายามดันตัวเองออกจากอ้อมกอดเขา และรีบอธิบายไปด้วย “คุณชายใหญ่ คุณเข้าใจผิดแล้ว! ฉันสาบานได้ว่าฉันไม่ได้จะมาอ่อยคุณจริงๆ วันนี้ฉันไม่สบายด้วย คุณปล่อยฉันไปเถอะ ”
“ไม่สบาย? เป็นอะไร?”
“คือ…….” ไป๋มู่ชิงจะอ้างว่าเป็นประจำ แต่นึกขึ้นได้ว่า ประจำเดือนเธอเพิ่งมาตอนปลายเดือน เดือนที่แล้วเธอเพิ่งใช้เป็นข้องอ้างปฏิเสธหนานกงเฉินไปแล้ว ตอนนี้ก็เป็นกลางเดือน ถ้าเธอตอบว่าเป็นประจำเดือนเขาต้องรู้แน่ว่าเธอโกหก หนานกงเฉินไม่ใช่คนโง่
“ฉันรู้สึกปวดหัว”
“ขนาดปวดหัวยังออกไปอ่อยผู้ชายได้” หนานกงเฉินผลักเธอล้มลงบนที่นอน ก่อนจะโน้มตัวลงมาหาลมหายใจเย็นๆของเขาเป่ารดไปที่หน้าเธอ “ตอนแรกฉันว่าจะไม่ติดใจเอาความกับเรื่องของเธอสองคนแล้ว แต่เธอดันมาสารภาพถึงที่เองแบบนี้ ถ้าฉันยังทำว่าเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นมันดูจะอ่อนเกินไปใช่มั้ย”
ไป๋มู่ชิงรู้สึกงงไปหมด
ที่ว่าเขาจะลงโทษเธอ ที่แท้เขาแค่ขู่? ไม่ได้จะลงโทษเธอจริง? ทำเอาเธอนอนไม่หลับค่อนคืน นี่เธอยังโง่ถึงขนาดเขียนจดหมายทบทวนความผิดส่งมาให้เขารังแกเธอถึงที่อีกเนี่ยนะ?
คิดได้เมื่อสาย……..!!!!
“ฉัน…..คุณดูจดหมายทบทวนความผิดที่ฉันเขียนก่อนซิ” ไป๋มู่ชิงพูดขึ้นอย่างร้อนรน มือสองข้างดันอกเขาไว้
หนานกงเฉินยิ้มหยัน “จำเป็นต้องดู? ถึงไม่ดูฉันก็เดาออกว่าในนั้นจะเขียนอะไรบ้าง”
“แล้วคุณยังจะ….อ๊ะ…..คุณอย่าทับฉัน” ไป๋มู่ชิงร้องขึ้นเสียงสูง ร่างกายเขากดทับไปที่ท้องน้อยเธอพอดี ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดไม่น้อย ถึงเธอจะบอกตัวเองว่าเด็กคนนี้ไม่ควรเก็บไว้ และไม่อยากเก็บไว้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะปล่อยให้เด็กโดนพ่อแท้ๆของแกทับตายบนเตียงแบบนี้
หนานกงเฉินไม่ได้หยุดรังแกเธอถึงเธอจะขัดขืนก็ตาม เพราะที่ผ่านเธอก็จะขัดขืนเขาแบบนี้ทุกครั้ง จนเขามองว่านี่เป็นจริตของเธอไปแล้ว
เขานิ่งขรึมวางอำนาจ ไป๋มู่ชิงกลับกังวลและร้อนรน
ระหว่างที่เขาดึงผ้าขนหนูออกจากตัว เธอก็รีบพลิกตัวขึ้นทับบนตัวเขาแทนแล้วพูดขึ้น “ครั้งนี้ฉันขออยู่ข้างบน”
ยังไงก็หนีไม่พ้นอยู่แล้ว อยู่ข้างบนน่าจะดูปลอดภัยกว่ามั้ย?
หนานกงเฉินข่มความต้องการ หยุดและจ้องมองเธอ “เธอแน่ใจ?”
ไป๋มู่ชิงหน้าแดงร้อนผ่าว แต่ก็พยักหน้าแล้วทำเป็นหัวเราะ “แน่ใจ เหอะๆ ก็……ร่างกายคุณไม่ค่อยแข็งแรง คุณหมอบอกว่าห้ามหักโหม ให้ฉันดูแลปรนนิบัติคุณเองนะ อีกอย่างเขาว่าผู้หญิงอยู่ข้างบนลดโอกาสในการตั้งท้องได้ด้วย จะได้ไม่มีปัญหาไง เหอะๆ”
” คิดแทนฉันขนาดนี้คงลำบากเธอแย่ เริ่มเถอะ” หนานกงเฉินฉายแววร้ายในดวงตา
ผู้หญิงที่แข็งทื่ออย่างกับท่อนไม้แบบเธอจะขอเป็นฝ่ายเริ่ม แล้วที่ผ่านมาทำเป็นไม่ประสาก็เป็นแค่การแสดงซินะ ถ้าเป็นอย่างที่คิดจริงเขาเองก็อยากเห็นเหมือนกันว่าเธอจะฝีมือเก่งกาจแค่ไหนกัน
“หา…….?” ไป๋มู่ชิงอ้าปากค้าง
“อะไร? เธอบอกเองว่าจะปรนนิบัติฉัน”
“อ๋อเออ…….ใช่…….” ไป๋มู่ชิงรู้สึกอายจนอยากจะมุดหน้าหนี ก็ที่บอกว่าจะปรนนิบัติเขาเธอก็พูดอย่างไม่ทันคิดนี่นา ยังไงก็คงต้องตามนั้น
ด้วยความอาย เธอยื่นมือไปปิดสวิตซ์ไฟ ทำให้ห้องทั้งห้องมืดลงทันที เธอค่อยๆโน้มตัวไปหาเขา จูบไปที่ริมฝีเขาอย่างไม่ประสาแบบหงึกๆหงักๆ………
ความไม่ประสาของไป๋มู่ชิงสามารถทำลายอารมณ์พิสวาทของชายหนุ่มลงได้อย่างสนิท เพราะกว่าเธอจะรู้ตัวว่าควรทำยังไงต่อ เขาก็ใกล้เคลิ้มหลับแล้ว
เธอเงยหน้าแดงก่ำจากอ้อมกอดของหนานกงเฉินขึ้นมาจ้องมองเขาผ่านความมืดแล้วถามว่า คุณชายใหญ่ คุณไม่ถอดกางในออกก่อนเหรอ?
ไม่มีเสียงตอบรับ
เธอใชี้มือเขย่าเบาๆไปที่แขนเขาแล้วกระซิบเสียงดังขึ้น “คุณชายใหญ่…..”
ไม่มีเสียงตอบกลับเหมือนเดิม
นี่เขาหมายความว่าไง? หลับเหรอ? หรือว่า……ฝีมือเธอดีเกินไปจนทำให้อาการป่วยเขากำเริบ?
อาการป่วยกำเริบนี่เป็นเรื่องใหญ่เลยนะ ไป๋มู่ชิงรีบพลิกตัวลงจากตัวเขา และกดเปิดสวิตซ์ไฟ ห้องทั้งห้องสว่างขึ้นทันตา หนานกงเฉินที่นอนอหลับตาดูสีหน้าไม่ดีเท่าที่ควร แต่ก็ไม่มีอาการป่วยกำเริบให้เห็น
ไป๋มู่ชิงถอนหายใจโล่งอก นั่งคิดในใจแบบนี้ยังหลับได้ เขาต้องเหนื่อยขนาดไหนเนี่ย
เธอเงยหน้ามองนาฬิกาบนผนัง เป็นเวลาตีหนึ่งแล้ว ดึกขนาดนี้แล้วเหรอ ไม่น่าล่ะหนานกงเฉินถึงได้ง่วนจนหลับไปแบบนี้
แต่ก็ยังดี ศึกในค่ำคืนนี้ถือว่าผ่านพ้นไปได้อย่างปลอดภัย
ไป๋มู่ชิงโล่งอก มือค่อยๆลูบไปที่ท้องน้อย พูดขึ้นในใจ ” ลูกรัก เราปลอดภัยแล้วนะ”
เธอห่มผ้าให้หนานกงเฉิน ก่อนหมุนตัวค่อยๆก้าวลงจากเตียงอย่างเงียบเชียบ ทันใดก็มีแขนอันแข็งแรงราวท่อนเหล็กพาดมาที่เอวเธอ แล้วดึงเธอเข้าสู่อ้อมกอด
“คุณชายใหญ่ ไม่ได้หลับไปแล้วเหรอ” ไป๋มู่ชิงพูดเบาๆ
“จูจู……..อย่าไป” เสียงเขาระเมออยู่ข้างหู
ไป๋มู่ชิงนิ่งงักไป เขาเรียกเธอว่าอะไรนะ? ไม่ เขาไม่ได้เรียกเธอ แต่เขากำลังเรียกคุณหนูจูที่เขารัก
ไม่ผิดแน่ ผู้หญิงคนนั้นที่เขาเคยรักมีนามสกุลว่าจู เขาเรียกเธอว่าจูจู
ทั้งทีกอดเธออยู่แต่กลับเรียกชื่อผู้หญิงอื่น ความรู้สึกแบบนี้ไม่ดีเอาซะเลย ด้วยความน้อยใจเธอจึงดิ้นรนออกจากอ้อมกอดเขาแล้วรีบเตรียมลงจากเตียง
หนานกงเฉินยังตามมารั้งเองเธอไว้จากด้านหลังอย่างละเมอ “อย่าไป….. ”
“จะไป” ไป๋มูชิงแกะมือเขาออกแล้วก้าวลงจากเตียง
ตุ้บ! ร่างของหนานกงเฉินกระแทกกับพื้นพร้อมมีเสียงร้องเจ็บเบาๆตามมา
ขณะที่มือไป๋มู่ชิงเตรียมดึงลูกบิดประตู พอได้ยินเสียงดังกล่าวจึงหันกลับไปมอง ปรากฏว่าหนานกงเฉินนอนอยู่กับพื้นด้วยสีหน้าเจ็บปวด
ทีแรกเธอตั้งใจจะเปิดประตูแล้วเดินหนีไป แต่ก็ต้องเปลี่นใจเดินกลับเข้าไป ถ้าไม่ใช่เพราะเขามีโรคประจำตัว เธอจะไม่ย้อนกลับไปให้เขารังแกเด็ดขาด
“คุณเป็นไงบ้าง” ไป๋มู่ชิงมองเขาที่ยังคงนอนแน่นิ่งบนพื้น เธอยื่นมือไปเขย่าตัวเขา เห็นเขาไม่ขยับเขยื้อนเธอจึงเปลี่ยนไปจับที่แขนเพื่อพยุงเขาลุกขึ้น
ทั้งที่เตียงนอนไม่ได้สูงมาก ทำไมเขาถึงตกมาเจ็บได้ขนาดนี้นะ? เธอไม่เข้าใจ
ขณะที่เธอพยุงเขาลุกขึ้นจากพื้น บนพื้นพรมสีควันบุรี่มีเลือดสีแดงเข้มเปื้อนติดอยู่ หันไปก็เห็นเลือดบนมุมปากเขา เธออุทานขึ้นอย่างตกใจ “คุณเลือดไหล?”
เลือดไหล หรือ อ้วกเป็นเลือด? เธอไม่รู้

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset