เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 64 คุณชายเฉินเป็นลม

หนานกงเฉินยื่นมือไปเอากระดาษทิชชูบนหัวเตียงมาเช็คเลือดที่มุมปากและหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า ก่อนลืมตาจ้องมองไปที่เธอ เห็นแล้วนะว่าทำไมฉันถึงไม่ลงโทษเธอ ไม่ใช่ไม่อยาก แต่ไม่มีแรงพอ
เขายกมุมปากยิ้มหยัน “นี่แหละตัวตนที่แท้จริงของฉัน ถ้ารับไม่ได้ จะทำเหมือนผู้หญิงคนนั้นก็ได้ หนีไปให้ไกล ไปในที่ที่ฉันหาเธอไม่เจอ ไปอยู่เคียงข้างคนที่เธอรัก”
ไป๋มู่ชิงปวดแปลบที่หัวใจ จากตอนแรกที่ไม่พอใจเขาเพราะผู้หญิงคนนั้น แต่ตอนนี้กลับรู้สึกเห็นใจเขาแทน เธอมองไปที่เขา คงมีแค่ช่วงเวลาแบบนี้ซินะที่เธอจะได้เห็นความอ่อนแออย่างจำยอมในตัวเขา
เขาในเวลานี้ ทำให้เธอรู้สึกปวดใจเหลือเกิน
เธอค่อยๆดึงสติกลับมา ก่อนจะดึงผ้าห่มคลุมตัวเขาและถาม คุณเป็นยังไงบ้าง? รู้สึกไม่สบายตรงไหน? ต้องกินยามั้ย? หรือไปโรงพยาบาลมั้ย?
เวลานี้สุขภาพร่างกายของเขาสำคัญที่สุดไม่ใช่เหรอ?
หนานกงเฉินไม่ได้ตอบคำถามเธอ เขาหันหลังให้โดยไม่มองหน้าเธอ “เธออยากกลับไปหาหลินอันหนานใช่มั้ย?”
“ไม่ใช่นะ “ไป๋มู่ชิงรีบส่ายหัวประฏิเสธ “หลินอันหนานเป็นคู่หมั้นของน้องสาว ความสัมพันธ์ของฉันและเขามันจบไปตั้งแต่ฉันแต่งงานกับคุณแล้ว จริงๆนะ”
ไป๋มู่ชิงอยากถามกลับเขา คุณเองก็มีผู้หญิงอื่นอยู่ในใจนินา
แต่นึกแล้วก็ไม่อยากตรอกกลับเขาในเวลาแบบนี้ ไม่อยากตอกย้ำแผลในใจเขาให้เจ็บอีก
“คุณชายใหญ่ เราไปโรงพยาบาลดีมั้ย” เธอถามขึ้นอย่างระมัดระวัง
หนานกงเฉินไม่ตอบเธอ เขาค่อยๆลุกขึ้นจากพื้นไปนอนบนเตียงแล้วหันหลังให้เธอ พูดด้วยน้ำเสียงบางเบา “เธอออกไปได้แล้ว”
“แต่ว่าคุณ……”
“ไม่ต้องกลัว ฉันไม่ตายง่ายๆหรอก”
ไป๋มู่ชิงมองใบหน้าซีดขาวของเขาจากด้านข้าง เธอไม่อยากทิ้งเขาไว้คนเดียว เมื่อกี้นี้เขาก็อ้วกออกมาเป็นเลือด ถึงเขาจะทำเป็นไม่ใส่ใจ แต่เธอดูอาการของเขาแล้วน่าจะหนักไม่เบา
“ให้ฉันอยู่ดูแลคุณเถอะ” เธอพูด
เขาขยับตัวขึ้นนั่งแล้วหันมามองเธอ “ทำไม? เธอไม่กลัวว่าฉันจะอ้วกเป็นเลือดใส่เธอ? ไม่กลัวว่าฉันจะเรียกชื่อผู้หญิงอื่น? ไม่กลัวฉันจะตายอยู่ข้างๆเธอ? ไม่กลัว……….”
“ฉันไม่กลัวอะไรทั้งนั้น” ไป๋มู่ชิงแทรกขึ้น เธอโน้มตัวไปกอดเขา พูดปนสะอื้น “ฉันไม่กลัวอาการคุณจะกำเริบ และไม่เชื่อว่าคุณจะตาย แล้วก็ไม่กลัวว่าคุณจะเรียกชื่อผู้หญิงอื่น เพราะถึงยังไงตอนนี้ฉันก็คือภรรยาคุณ ฉันแค่อยากอยู่เคียงข้างคุณแบบนี้ตลอดไป อยากมีลูกให้คุณสักคน…………”
“ฉันไม่ต้องการ!” หนานกงเฉินผลักเธอออกจากอ้อมกอด จากที่รู้สึกหวั่นไหวไปกับคำพูดและการกระทำเธอเมื่อครู่ พอได้ยินเธอพูดถึงเรื่องลูก สีหน้าเขาก็กระด้างขึ้นทันที เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฉันเคยพูดชัดเจนแล้วว่าฉันไม่อยากมีลูก หรือต่อให้อนาคตเกิดอยากมีขึ้นมาก็ไม่ใช่จะมีกับเธอ”
ไป๋มู่ชิงปวดแปลบที่หัวใจ มองหน้าเขาและถามอย่างเศร้าๆ ” ทำไม?”
ทำไม่ถึงมีกับเธอไม่ได้? เพราะไม่ได้รักเหรอ?
วินาทีก่อนเธอยังนึกว่าสวรรค์อาจเมตตา คาดหวังว่าเขาอาจทำให้เธอมีความมั้นใจพอที่จะเก็บเด็กคนนี้ไว้ แต่ดูแล้วคงเป็นไปไม่ได้
เด็กน้อยที่น่าสงสาร ยังไงก็คงถูกทอดทิ้งแน่แล้ว
หนานกงเฉินตอบอย่างขอไปที “ไม่ต้องถามว่าทำไม ยังไงก็อย่าคิดวางแผนอะไรกับเรื่องนี้ ไม่งั้น…..ฉันจะตอบแทนเธออย่างสาสม”
หรือคุณยังหวังอยู่ว่าเธอจะกลับมามีลูกให้คุณ? ไป๋มู่ชิงรู้สึกเจ็บปวดมากจึงรวบรวมความกล้าตรอกกลับเขา
หนานกงเฉินนิ่งอึ้ง สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงโมโห ” ต่อไปอย่าพูดถึงเธออีก!”
ในใจปวดแปลบขึ้นมา
นั้นซินะ เขายังคาดหวังว่าเธอจะกลับมามีลูกให้เขา? ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ เธอคงแต่งงานและมีครอบครัวที่มีความสุขไปแล้ว
ทุกวันนี้ที่เขายังไม่ยอมมีลูกกับผู้หญิงคนอื่น นอกจากกลัวว่าลูกจะเกิดมาสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรงเหมือนเขาแล้ว ที่สำคัญกว่านั้นคือเขายังเฝ้าฝันว่าผู้หญิงคนนั้นจะกลับมาเหรอ?
เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ถึงได้โดนผู้หญิงธรรดาคนหนึ่งทรมานมาได้ขนาดนี้
ไป๋มู่ชิงตกใจจนพูดอะไรไม่ออก เขากลับพูดขึ้นอีกอย่างหัวร้อน “ทำไมถึงอยากมีลูกกับฉันขนาดนั้น ทรัพย์สมบัติของตระกูลหนานกงมีความสำคัญกับเธอขนาดนั้นเลยเหรอ?”
ไป๋มู่ชิงโกรธจนไม่รู้จะพูดอะไร อะไรๆก็ทรัพย์สมบัติ นี่มันเป็นอาการฝังใจของผู้ชายที่ถูกผู้หญิงทิ้งหรือไง? ทำอย่างกับว่าผู้หญิงข้างกายเขาทุกคนเข้าหาเขาเพราะหวังในสัมบัติของตระกูลหนานกงเท่านั้น
ถ้าเขาจะเชื่อหมดใจว่ามันเป็นแบบนี้ เธอเองก็ไม่มีอะไรจะพูด
หลังกลับถึงห้อง เธอนอนลงบนที่นอน เอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาค้นหาข้อมูลโรงพยาบาลที่รับทำแท้ง เธอตัดสินใจแล้ว พรุ่งนี้จะไปเอาเด็กออก!
เขาไม่อยากมีลูกกับเธอ เธอเองก็ใช่ว่าอยากจะมีให้เขา!
เช้าวันรุ่งขึ้น ไป๋มู่ชิงโดนคนปลุกแต่เช้า
เธอลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย พบว่าผู่เหลียนเหยายืนอยู่ข้างเตียงด้วยสีหน้ากังวล เธอรีบลุกขึ้นนั่งพร้อมขยี้ตาก่อนถาม “เป็นอะไร เช้าขนาดนี้มีเรื่องอะไรเหรอ?”
ยังมัวแต่นอนอีก ดูซินี่อะไร ผู้เหลียนเหยายื่นหนังสือพิมพ์ให้เธอ
ไป๋มู่ชิงรับไว้ ก่อนจะทำตาโตอย่างตกใจ เธอเห็นอะไร? บนหนังสือพิมพ์มีรูปเธอกับหลินอันหนาน? ยังเป็นรูปที่ดูสนิทแนบชิดด้วย?
รูปชุดนี้เป็นรูปที่ถูกถ่ายที่ศูนย์วัฒนธรรมเมื่อวาน ใช้เทคนิคมุมกล้องทำให้ได้รูปที่ดูสนิทแนบชิด ที่สำคัญยังมีการระบุข้อความว่าฝ่ายหญิงเป็นภรรยาใหม่ของหนานกงเฉิน
เห็นรูปแล้วไป๋มู่ชิงหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง รีบถามขึ้นอย่างตกใจ “นี่มันเรื่องอะไรกัน”
ผู่เหลียนเหยาส่ายหัวคิดไปมาก่อนพูด “พี่เฉินใช้ชีวิตอย่างเงียบๆมากว่าสามสิบปี อยู่ๆวันก่อนก็ไปปรากฏตัวที่งานเลี้ยง สื่อต่างๆต้องเกิดสนใจชีวิตพี่และครอบครัวขึ้นมาอย่างแน่นอน โดยเฉพาะเรื่องภรรยาของเขา ฉนั้น……….”
เธอตบหลังมือไป๋มู่ชิงเบาๆเป็นการปลอบใจ “ไม่ต้องกังวลไปนะ เมื่อเช้าตอนหนังสือพิมพ์มาส่ง ได้ให้คนงานเอาไปทำลายทิ้งแล้ว คุณย่ายังไม่ทันได้ดูหนังสือพิมพ์”
แต่…….ผู่เหลียนเหยามีสีหน้ากังวลขึ้นเล็กน้อย พี่เฉินน่าจะรู้เรื่องแล้ว เพราะปกติเลขาเหยียนจะรายงานทุกเรื่องไม่ว่าจะเรื่องดีหรือไม่ดี
ถึงคุณผู้หญิงจะยังไม่รู้เรื่อง แต่ไป๋มู่ชิงก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก
หนานกงเฉินมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง ข่าวที่ว่าภรรยาของเขามีการนัดพชายอื่นต้องเป็นที่สนใจกันอย่างมากแน่นอน และสื่อต่างๆก็จะพากันตีประเด็นนี้ต่อไปไม่เลิก อาจตีความกันไปต่างๆนาๆจนเสียหายไปกันใหญ่
ถึงคุณผู้หญิงจะยังไม่รู้เรื่องตอนนี้ แต่ช้าเร็วก็ต้องรู้อยู่ดี
ใครทำเรื่องนี้กันแน่? เธอพบกับหลินอันหนานไม่ถึงยี่สิบนาที ยังมีคนแอบถ่ายรูปได้?
ถ้าเป็นนักข่าวทำไมไม่ตีแผ่เรื่องที่เธอไปโรงพยาบาลด้วย แต่เลือกลงแค่เรื่องที่เธอไปศูนย์วัฒนธรรม?
เธอมองไปที่ผู่เหลียนเหยา หรือจะเป็นเธอ? แต่ดูจากใบหน้าที่เป็นมิตรแล้วไม่น่าจะใช่นะ
หรือว่าจะเป็นหลินอันหนาน เธอสะปัดหัวอย่างงุดงิด ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดเรื่องนี้ ที่ต้องทำตอนนี้คือรีบหาวิธีรับมือก่อนที่ข่าวรอบเย็นจะออกมา
“พี่สะใภ้ ไม่ต้องกังวลใจไป พี่เฉินเองก็น่าจะเร่งหาวิธีปิดข่าวเรื่องนี้อยู่ พี่เฉินลงมือเองไม่เคยมีอะไรที่ไม่สำเร็จ” ผู่เหลียนเหยาพูดปลอบ
” อืม ” ไป๋มู่ชิงตอบอย่างสับสน
“พี่สะใภ้ ฉันเชื่อว่าพี่บริสุทธิ์ เรื่องเมื่อวานฉันจะช่วยอธิบายให้พี่เฉินเข้าใจเอง” ผู่เหลียนเหยามองเธอ
“ขอบใจนะ” ไป๋มู่ชิงตอบด้วยสีหน้าตื้นตัน
ผู่เหลียนเหยาเป็นคนเดียวที่เห็นเธอในศูนย์วัฒนธรรม ถ้าเธอยอมเป็นพยานให้ เรื่องก็จะง่ายขึ้นเยอะ
แต่ว่า……ไป๋มู่ชิงดูยังไงก็ดูไม่ออกว่าใบหน้ายิ้มแย้มของเธอนั้นจริงใจมากน้อยแค่ไหน
ตั้งแต่เจอเรื่องต้องแต่งงานแทน เธอกลายเป็นคนที่ไม่สามารถเชื่อใจอะไรได้ง่ายๆไปแล้ว เริ่มไม่เชื่อในความรักความสัมพันธ์ต่างๆ ไม่ว่าจะคนรัก ครอบครัว หรือแม้กระทั่งเพื่อน……..
เมื่อคืนหลังจากที่โดนหนานกงเฉินจับได้ เธอมีความคิดอย่างน่าละอายขึ้นมาในหัวว่า หรือจะเป็นเหยาเหม่ยที่เรียกหนานกงเฉินออกมา
เธอรู้สึกว่าตัวเองต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่สงสัยได้แม้แต่เพื่อนสนิทของเธอเอง
หลังจากผู่เหลียนเหยาออกไปแล้ว ไป๋มู่ชิงก็เริ่มเดินวนไปมาคิดหาวิธีแก้ปัญหา เธอเชื่อว่าอำนาจของตระกูลหนานกงจะสามารถจัดการให้สำนักพิมพ์ต่างๆหยุดลงข่าวได้
แต่เธอก็รู้ว่าถ้ามีคนตั้งใจจะทำลายเธอแล้วล่ะก็ ยังไงรูปพวกนั้นก็ต้องถูกปล่อยออกมาตามช่องทางสื่อในรูปแบบอื่นอีกเป็นแน่
ถ้าจะหยุดไม่ให้ข่าวกระจายไปมากกว่านี้ ก็ต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ
เธอยิบโทรศัพพ์มือถือจากหัวเตียง แล้วกดโทรฯหาไป๋ยิ่งอัน
ปลายสายมีเสียงล้อเลียนของไป๋ยิ่งอันพูดขึ้น “นายหญิงน้อยตระกูลหนานกง ได้ข่าวว่าเธอสร้างปัญหาอีกแล้ว? จิ๊จิ๊ ก่อนหน้ายังออกตัวว่าม้าดีไม่กินหญ้าเก่า ยังไม่ทันไรก็จะกลับมาซบอกคุณชายหลินแล้วเหรอ?”
” คุณหนูไป๋ เจอกันแล้วค่อยคุยดีกว่า” ไป๋มู่ชิงไม่มีกะใจจะต่อล้อต่อเถียงกับเธอทางโทรศัพท์ จึงบอกชื่อร้านกาแฟร้านหนึ่งให้เธอไป
เธอแต่งตัวเรียบก่อนเดินลงไปชั้นล่าง พบว่าคุณผู้หญิงยังไม่รู้เรื่องจริงๆ ท่านยังคงพูดคุยและทานอาหารเช้ากับผู่เหลียนเหยาอย่างสขายใจ
หลังจากทักทายทุกคนแล้ว เธอก็นั่งประจำที่ของตัวเอง เพื่อไม่ให้เกิดอาการแพ้ท้องขึ้น เธอตักข้าวต้มใส่ชามพร้อมผักนิดหน่อยแล้วเริ่มกินทันที
ทำไมพี่เฉินยังไม่ลงมาอีก? ผู่เหลียนเหยาถามยังไม่ทันจบ ก็มีเสียงเดินมาจากประตูทางเข้า
ไป๋มู่ชิงเห็นเขาปุ๊บ ก็รีบก้มหน้ากุด ไม่กล้าสบตากับเขา
คุณผู้หญิงเห็นหน้าหนานกงเฉินซีดเซียว รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาจับใจ ก่อนพูดว่า “เฉิน เป็นอะไรหรือเปล่า? เมื่อคืนไม่สบายเหรอ? ”
พอได้ยินคุณผู้หญิงพูดแบบนี้เธอจึงเงยหน้าขึ้นมองหน้าเขา พบว่าหน้าเขาดูซีดขาวจริงๆ เมื่อคืนเขาอ้วกเป็นเลือด มีแต่เธอที่รู้
หนานกงเฉินรู้สึกได้ถึงสายตาของเธอ แต่เขาทำเป็นไม่สนใจ หันไปยิ้มให้คุณผู้หญิงเล็กน้อย ” ไม่เป็นไรครับ ”
“ยังมาบอกว่าไม่เป็นไร ดูสีหน้าซิ” คุณผู้หญิงพูดอย่างเป็นห่วง “ถ้าไม่สบายก็ไม่ต้องไปบริษัทฯแล้วนะ อยู่บ้านพักผ่อนซักวัน”
“คุณย่า………..”
“นี่เป็นคำสั่ง” คุณผู้หญิงขัดขึ้น
หนานกงเฉินย่นหัวคิ้ว ก่อนพูดยืนยันความต้องการของตัวเอง “คุณย่า วันนี้ที่บริษัทฯมีเรื่องด่วน ผมต้องเข้าไปดูครับ”
“เรื่องด่วน?” เรื่องข่าวในหนังสือพิมพ์? ไป๋มู่ชิงจากที่ก้มหน้าอยู่ยิ่งก้มต่ำไปอีก
คุณผู้หญิงรู้จักนิสัยหนานกงเฉินดี ท่านจึงพูดด้วยน้ำเสียงจำยอม “บริษัทฯไม่มีเราสักคนก็ยังคงเดินต่อได้ แต่ถ้าสุขภาพร่างกายเป็นอะไรขึ้นมา มันจะไม่คุ้มนะ เฉิน”
“สบายใจเถอะครับ ผมจะดูแลตัวอย่างดี” หนานกงเฉินยืนกรานที่จะไปบริษัทฯ
ไป๋มู่ชิงตอนแรกก็กะจะช่วยคุณผู้หญิงโน้มน้าวเขาให้พักผ่อนอยู่บ้าน แต่พอเห็นสายตาเย็นยะเยือกที่เขาส่งมา เธอก็รีบก้มหน้าลงอีกครั้ง
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเวลานี้หนานกงเฉินในใจนั้นกำลังโมโหแค่ไหน เธออย่าไปขัดเขาเลยดีกว่า
หลังทานอาหารเช้าเรียบร้อย หนานกงเฉินก็รีบร้อนออกจากบ้านไป ส่วนเธอก็มุ่งหน้าไปหาไป๋ยิ่งอันที่ร้านกาแฟตามที่นัดไว้
เจอหน้าปุ๊บ ไป๋ยิ่งอันก็มองเธอด้วยสายเย้ยหยันปนตาสะใจก่อนจะพูดเหยียดขึ้น “ทำไม? มีปัญหาร้อนใจจนต้องขอความช่วยเหลือจากฉันเลยเหรอ ? ฉันบอกไว้ก่อนเลยนะ ฉันไม่มีเวลามานั่งสนใจเรื่องไร้สาระของเธอสองคนหรอกนะ”
ไป๋มู่ชิงชินชากับหน้าตาท่าทางแบบนี้ของเธอมานานแล้ว เธอไม่ได้รู้สึกโกรธ แต่ใช้แววตาที่จริงจังมองจ้องไปที่เธอก่อนพูดขึ้น ” ในเมื่ออีกสามเดือนเข้าหน้าเธอก็จะมาแทนที่ฉัน นั้นหมายความว่าเรื่องของฉันก็คือเรื่องของเธอ”
สีหน้าไป๋ยิ่งอันเปลียนไปเล็กน้อย แสดงให้เห็นว่าก่อนหน้านี้เธอไม่ได้คิดถึงจุดนี้เลย
เธอไม่รอให้ยิ่งอันอ้าปาก ไป๋มู่ชิงรีบพูดต่อ ตอนนี้คุณผู้หญิงยังไม่ได้ดูหนังสือพิมพ์ นั้นหมายความว่าท่านยังไม่รู้เรื่องอะไร แต่ด้วยหนานกงเฉินเป็นคนมีชื่อเสียง เรื่องแบบนี้ย่อมเป็นที่สนใจของผู้คน เชื่อว่าอีกไม่นานเรื่องก็จะถึงหูคุณผู้หญิงแน่ ฉันคิดว่าเธอคงไม่อยากเห็นฉันโดนคุณผู้หญิงไ่ล่ออกจากบ้านตระกูลหนานกงหรอกใช่มั้ย?”
ไป๋ยิ่งอันไม่อยากให้เป็นแบบนี้อยู่แล้ว เธอกำลังรอเวลาที่เหมาะสมเพื่อจะได้เข้าแทนที่เธอในบ้านตระกูลหนานกงอยู่
เธอยิ้มมุมปากเล็กน้อย “แต่เท่าที่ฉันรู้มา ตอนนี้หนานกงเฉินได้ขอให้สื่อส่วนใหญ่ปิดข่าวเรื่องนี้ไว้แล้วนะ ”
“หนานกงเฉินทำแบบนั้นก็จริง แต่เธอเคยคิดบ้างไหมว่า ในยุคออนไลน์แบบนี้ ต่อให้เขาจะเก่งกาจแค่ไหนก็ไม่สามารถที่จะสั่งปิดข่าวได้ทุกช่องทางแน่ ”
ยิ่งอันคิดตามเธอ ก่อนจะถามขึ้น “เธออยากให้ฉันทำอะไร?”
ไป๋มู่ชิงจ้องไปที่เธอด้วยสีหน้าจริงจัง ” ฉันอยากให้เธอติดต่อให้สัมภาษณ์กับสื่อที่หนึ่ง ในฐานะคู่หมั้นของหลินอันหนาน เพื่ออธิบายทุกคนว่าคนที่อยู่ที่ศูนย์วัฒนธรรมกับหลินอันหนานเมื่อเย็นวานคือเธอ ด้วยความสามารถของคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลไป๋ ฉันเชื่อว่าเธอทำได้ ”
” มันก็ไม่ใช่เรื่องยาก ว่าแต่ทำไมฉันจะต้องช่วยเธอ” ไป๋ยิ่งอันกอดอกจ้องมองมาที่เธอ
“เข้าใจซะใหม่นะ มันเป็นการช่วยตัวเธอเอง ไม่ได้ช่วยฉัน” ไป๋มู่ชิงยิ้มเย็นก่อนยกน้ำขึ้นดื่ม
” เธอว่าถ้าฉันไม่ช่วย คุณผู้หญิงจะทำยังไงกับเธอนะ ไม่ใช่ว่าจะโดนตีจนตายหรอกเหรอ?”
พูดถึงตรงนี้ เธอรู้สึกตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อย เธอไม่ได้กลัวจะโดนตีจนตาย หรือโดนไล่ออกจากบ้านตระกูลหนานกง แต่ที่เธอกลัวมากกว่าคือคุณผู้หญิงอาจใช้กฏบ้านตระกูลหนานกงกับเธอ หรืออาจทำกับเธอเหมือนผู้หญิงคนก่อนๆโดยเธออาจไม่ได้กลับมาที่เมืองซีอีกตลอดกาล
ถึงยังไงแหวนก็ยังอยู่ที่เธอ คุณผู้หญิงก็ไม่สามารถไล่เธอออกจากบ้านตระกูลเฉินได้
“ถ้ามันเป็นแบบนั้นจริง เธอก็อย่าหวังว่าจะได้เป็นนายหญิงน้อยของบ้านตระกูลหนานกงแทนฉัน”
ไป๋มู่ชิงนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนยื่นมือมาหน้าเธอ “ของที่ฉันต้องการล่ะ?”
ไป๋มู่ชิงรู้ว่าเธอต้องการอะไร ซึ่งได้เตรียมเอาไว้แล้ว เธอก้มหน้ายิบสมุดบันทึกเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้เธอ ไป๋ยิ่งอันรับไปเปิดดูเล็กน้อย ด้านในเป็นบันทึกรายละเอียดเรื่องราวต่างๆที่เธออยู่ในบ้านตระกูลเฉิน
ไป๋ยิ่งอันเปิดดูผ่านๆไม่กี่หน้าก่อนเก็บสมุดแล้วยิ้ม ” ถือซะว่าตอบแทนที่เธอเชื่อฟังคำสั่งเป็นอย่างดี งานนี้ฉันจะช่วยเธอแล้วกัน”
“ช่วยตัวเธอเองต่างหาก” ไป๋มู่ชิงกัดฟันพูดเตือนเธออีกครั้ง
ไป๋ยิ่งอันไหวไหล่อย่างไม่สนใจ ” เธอจะพูดงั้นก็ได้ ฉันไม่ถือ” พูดจบเธอก็ลุกจากโซฟา ” ไปก่อนละ อาทิตย์หน้าก็อย่าลืมส่งสมุดบันทึกมาให้ด้วยล่ะ”
หลังจากที่ไป๋ยิ่งอันเดินออก็ไป ไป๋มู่ชิงก็ทิ้งร่างลงบนโซฟานุ่ม
ตอนแรกก็นัดคุณหมดไว้เช้าวันนี้จะไปทำแท้ง ไม่นึกว่าจะเกิดเป็นข่าวแบบนี้ขึ้น เรื่องทำแท้งคงต้องเอาไว้ก่อนแล้วล่ะ
นั่งอยู่ที่ร้านกาแฟพักใหญ่ เธอจึงตัดสินใจโทรฯหาหลินอันหนาน
เธอไม่อยากเกี่ยวข้องอะไรกับเขาอีก และรู้ว่าไม่ควรโทรฯหาเขาอีก แต่เธอก็อยากรู้ความจริงว่าใครเป็นคนจ้องจะทำลายเธอกันแน่
เธอโทรฯติดปุ๊บ หลินอันหนานก็รับสายทันที น้ำเสียงฟังดูเครียด “มู่ชิง หาฉันเหรอ?”
“คุณชายหลิน เรื่องข่าวในหนังสือพิมพ์คุณน่าจะเห็นแล้วใช่มั้ย ที่ฉันโทรฯมาก็เพราะอยากรู้ว่ามันเรื่องอะไรกันแน่” ไป๋มู่ชิงพูดขึ้นอย่างเชยเมย
หลินอันหนานพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เครียดหนักกว่าเดิม “มู่ชิงหมายความว่าไง? สงสัยฉันเหรอ?”
“คุณคิดว่ามันไม่น่าสังสัย?” ไป๋มู่ชิงยิ้มเย็นถาม ฉันอยู่กับคุณแค่ไม่กี่นาทีแต่กลับโดนแอบถ่ายได้ ถ้าไม่ใช่มีคนตั้งใจไว้แล้ว มันจะบังเอิญได้ขนาดนั้นเลยเหรอ?”
” มันก็ใช่อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฉันจริงๆ ทำแบบนี้ฉันไม่เห็นได้ประโยชน์อะไร”
“ไม่ใช่ว่าคุณตั้งใจทำให้ฉันกับหนานกงเฉินแยกทางกันเหรอ?”
“ถ้าต้องใช้อนาคตของตระกูลหลินแลกกับการให้คุณแยกจากกัน มันดูจะเป็นการลงทุนที่สูงเกินไปนะ”
ไป๋มู่ชิงนิ่งคิด ก็ถูกของเขา
ถ้าหลินอันหนานเป็นคนทำ แล้วเกิดหนานกงเฉินรู้เข้า ต้องไม่มีทางปล่อยเขาแน่
หลินอันหนานสูดลมหายใจเข้าเบาๆก่อนพูด “มู่ชิง หนานกงเฉินให้คนมาเจอฉันแล้ว เธอสบายใจได้ ฉันจะให้ความร่วมมือเต็มที่ เดี๋ยวก็จะให้สัมภาษณ์กับนักข่าวพร้อมยิ่งอัน ปัญหาต่างๆจะคลี่คลายเร็วๆนี้
ไป๋มู่ชิงตกใจเล็กน้อย “หนานกงเฉินมาหาคุณทำไม?”
“จะไปมีอะไรได้? ก็ลดผลกระทบไง” หลินอันหนานพูดเหมือนเย้ยตัวเอง “คำสั่งของคุณชายเฉิน ใครจะกล้าขัด?”
ตอนเขาได้รับคำสั่งจากหนานกงเฉิน เขารู้สึกอัดอั้นใจเป็นอย่างมาก แต่จะไม่ทำตามคำสั่งก็ไม่ได้ นี่แหละหนานกงเฉิน ทายาทตระกูลหนานกงที่แม่เขาเองยังต้องยอมถอนให้
“ก็ดี คุณกับคู่หมั้นจะได้ช่วยกันชี้แจง” ไป๋มู่ชิงพูด
ได้ยินเธอพูดแบบนั้น หลินอันหนานรีบอธิบาย “ฉันกับยิ่งอันเราเลิกกันแล้ว”
“คุณชายหลิน เกิดเรื่องขนาดนี้ คุณยังคาดหวังว่าฉันจะกลับไปหาคุณอีกเหรอ? ” ไป๋มู่ชิงจนใจก่อนจะตะคอกเสียงต่ำ “ข้อร้องล่ะ คุณอยู่กับคุณหนู่ใหญ่ตระกูลไป๋ไป อย่ามายุ่งกับฉันอีก”
“เธอเป็นคนให้ฉันเลิกกับเขาเองไม่ใช่เหรอ?”
“ฉันบอกแล้วว่าฉันพูดเล่น ถ้าคุณจะจริงจังขนาดนี้ฉันขอถอนคำพูดคืนวันนี้เลยละกัน และฉันขอให้คุณรักกันยืนยาว อยู่กันไปจนแก่เฒ่า อีกอย่างไม่ว่าต่อไปฉันกับหนานกงเฉินจะจบอย่างไง มันก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคุณอีก” พูดจบไป๋มู่ชิงก็ตัดสายทันทีโดยไม่ให้โอกาสเขาได้ตอบกลับ
หลังวางสาย ไป๋มู่ชิงก็นั่งสงบอารมณ์อยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเอามือถือขึ้นมาเข้าเน็ต
ไม่ช้าก็เห็นข่าวขึ้นในเพจดัง ไป๋ยิ่งอันที่ดูเหมือนไม่สนใจอะไร ที่แท้ก็ใส่ใจกับเรื่องนี้ไม่น้อย ยังไงซะก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับการที่เธอจะเข้าไปอยู่ในตระกูลหนานกงได้หรือไม่
ข่าวในเพจดังนอกจากจะมีเนื้อหาชี้แจงต่างๆแล้ว ยังมีรูปงานหมั้นของเธอกับหลินอันหนานขึ้นไว้ด้วย ทั้งเนื้อหาและรูปถ่ายดูยังไงก็ไม่มีอะไรให้น่าสงสัยเลย
ถ้าช่วงบ่ายหลินอันหนานและไป๋ยิ่งอันให้สัมภาษณ์คู่กันอีก คิดว่าเรื่องนี้ก็คงจะเงียบลงได้ เธอเองก็จะไ้ดเบาใจซักที
โทรศัพท์มือถือเธอดังขึ้น เป็นสายของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง สงสัยจะโทรฯมาตามเรื่องที่นัดหมายจะไปทำแท้ง
ใจเธอกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะกำมือถือแน่ขึ้น
ก่อนหน้านี้มัวแต่เครียดเรื่องข่าวในหนังสือพิมพ์จนลืมเรื่องนี้ไปเลย
เสียงในสายพูดขึ้นโดยผู้ช่วยคุณหมอ สวัสดีค่ะคุณเหยา ไม่ทราบว่าวันนี้คุณจะเข้ามาที่โรงพยาบาลเหยินอ้ายเพื่อเตรียมทำแท้งมั้ยคะ?
เพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย เธอได้ใช้ชื่อเหยาเหม่ยทำการนัดหมายกับทางโรงพยาบาลแทน
“ฉัน………… “ไป๋มู่ชิงเอามือลูบท้องน้อยโดยไม่รู้ตัว เธอจะเอาเด็กคนนี้ออกจริงเหรอ ทั้งที่ในใจเธอไม่อยากทำแบบนี้เลย แต่เมือนึกถึงสิ่งที่หนานกงเฉินพูดเมื่อคืนแล้ว คงกลัวว่ามันจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับเธอว่าเธออยากเก็บเด็กไว้หรือไม่
เธอหลับตาลงก่อนตอบไปอย่างจำยอม เดี๋ยวฉันเข้าไปค่ะ
เป็นอีกครั้งที่เธอมาแผนกสูติฯของโรงพยาบาล ไป๋มู่ชิงรู้สึกสับสนวุ่นวาย โดยเฉพาะเวลาที่คุณหมอเรียกชื่อเธอ เธอแทบจะเดินถอยหลังในทันที
คุณพยาบาลเข้าใจว่าเธอกลัวเจ็บ ยังพยายามพูดปลอบโยนเธอ “คุณเหยาคะไม่ต้องกลัวนะคะ ครรภ์ยังเล็กมาก หลุดค่อนข้างง่าย เจ็บนิดเดียวก็ผ่านไปแล้วค่ะ”
หลุดง่ายมาก…….ทำไมมันฟังดูน่ากลัวจัง
เธอคิดถึงสิ่งที่เหยาเหม่ยเคยขู่ให้เธอกลัว นี่คือชีวิตหนึ่งชีวิต ทารกในครรภ์ก็มีจิตวิญญาณ…….
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ทำเอาเธอสะดุ้งตกใจ พอตั้งสติได้ถึงรู้ว่า
โทรศัพท์มือถือเธอกำลังดัง
พยาบาลเร่งเธออีกครั้ง เร็วหน่อยค่ะ ไม่งั้นก็จะข้ามคิวแล้วนะคะ
ไป๋มู่ชิงยกมือขึ้นเป็นการขอโทษพยบาลก่อนเดินไปตรงทางเดินแล้วกดรับสาย ในสายมีเสียงของผู้ช่วยหวงดังขึ้น ” นายหญิงน้อยไม่ดีแล้วครับ เมื่อสักครู่คุณชายใหญ่ เป็นลมในห้องทำงาน ตอนนี้อยู่ห้องฉุกเฉิน…….”
“ว่าไงนะ?” ไป๋มู่ชิงถามด้วยความตกใจ “คุณชายใหญ่เป็นลมได้ยังไง? ตอนนี้เป็นไงบ้าง? แล้ว……อยู่โรงพยาบลไหน?”
ขณะที่กำลังถามเธอก็เริ่มวิ่งไปตามทางที่จะขึ้นลิฟต์
“ตอนนี้คุณชายใหญ่อยู่ที่โรงพยาบาลหงเอินครับ อาการตอนนี้ไม่ทราบว่าเป็นไงบ้าง” ผู้ช่วยหวงตอบ แล้วที่ว่าทำไมถึงเป็นก็ไม่ทราบ เพราะนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกแล้ว
เมื่อได้ข่าวหนานกงเฉินเป็นลม ไป๋มู่ชิงก็ทิ้งเรื่องทำแท้งไว้ รีบเดินไปเรียกแท็กซี่หน้าโรงพยาบาล ตรงไปที่โรงพยาบาลหงเอินทันที
ที่แย่คือโรงพยาบาลที่เธออยู่ตอนนี้อยู่ฝั่งพื้นที่ตะวันออก แต่โรงพยาบาลหงเอินกลับอยู่ในฝั่งพื้นที่ตะวันตก ต่อให้รถไม่ติดเลยยังต้องใช้เวลาเดินทางครึ่งชั่งโมง
เธอนั่งอยู่เบาะหลัง คอยดูนาฬิกาตลอดเวลาและเร่งคนขับไปด้วย “พี่คะ ช่วยขับเร็วกว่านี้หน่อยได้มั้ย คิดเงินเพิ่มก็ได้”
“คุณ ถนนเส้นนี้จำกัดความเร็ว ถึงผมอยากเร่งให้ก็ไม่ได้” พี่คนขับมองเธอจากกระจกมองหลัง เห็นสีหน้าร้อนรนของเธอแล้วพูดขึ้น “ดูกังวลใจขนาดนี้ คนสำคัญป่วยเหรอ?”
“ค่ะ” ไป๋มู่ชิงตอบอย่างสบสน
“คนสำคัญในชีวิตป่วยก็ต้องกังวลเป็นธรรมดา แต่รีบไปก็ไม่มีประโยชน์ คุณตั้งสติสงบจิตสงบใจก่อนเถอะ รีบแบบนี้ลงจากรถอาจจะเกิดอุบัติเหตุได้”
ไป๋มู่ชิงไหววูบในใจ คนสำคัญในชีวิต? หนานกงเฉินกลายมาเป็น่คนสำคํญในชีวิตเธอตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ? ผู้ชายที่ไม่ยอมมีลูกกับเธอด้วยซ้ำ ทำไม่แค่ได้ยินว่าเขาเป็นลม เธอก็ร้อนรนได้ขนาดนี้?
ถึงจะคิดได้เช่นนี้ แต่เธอก็ยังคงเร่งคนขับ ” ยังไงก็เร่งให้หน่อยนะคะ ขอบคุณค่ะ”
กว่าเธอมาถึงโรงพยาบาลก็ล่วงเลยไปกว่าสี่สิบนาที หนานกงเฉินเองก็ถูกย้ายออกจากห้องฉุกเฉินไปอยู่ห้องพักฟื้นแล้ว
ภายในห้องพักฟื้น หนานกงเฉินหลับไปแล้ว สีหน้าดูซีดขาว เขาสวมเสือผู้ป่วยนอนอยู่บนเตียงดูเขาซูบลงไม่น้อย
เห็นเขาในตอนนี้เธอรู้สึกเสียใจที่เมื่อคืนเห็นเขาอ้วกเป็นเลือดแล้ว ไม่บอกคุณผู้หญิง เพราะถ้าเธอบอกคุณผู้หญิงให้รู้ว ท่านไม่ปล่อยให้เขาไปทำงาน ต้องบังคับให้เขาไปพบหมดจนได้แน่
พี่สะใภ้มาแล้วเหรอ? ผู่เหลียนเหยาที่กำลังปรับเครื่องและหันหลังให้ประตูอยู่ หันมาเห็นไป๋มู่ชิงตรงประตูเข้า ทักทายเธอด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ไป๋มู่ชิงแปลกใจ มองชุดพยาบาลที่เธอสวมใส่อยู่ ” เหลียนเหยา? มาอยู่ที่นี่ได้ไง ”
” ฉันทำงานอยู่ที่นี่ค่ะ พี่ไม่รู้เหรอ?” ผู่เหลียนเหยาก็มีสีหน้าแปลกใจ
“ไม่มีใครบอกฉันเลบ”
” อ้อ ขอโทษทีค่ะ นึกว่าพี่รู้แล้ว ” ผู่เหลียนเหยายิ้มพร้อมเดินมาหาเธอ
ไป๋มู่ชิงมองหนานกงเฉินที่นอนอยู่บนเตียงแวบหนึ่ง ก่อนถาม เขาเป็นไงบ้าง? ทำไมถึ่งเป็นลมได้?
ผู่เหลียนเหยาเฝ้ามองหนานกงเฉินไปกับเธอก่อนพูดขึ้น “ตอนนี้พ้นขีดอัตรายแล้ว พี่เฉินร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงนัก หลายวันนี้ก็ค่อนข้างเหนื่อย อารมณ์แปรปรวนด้วย จึงทำให้เป็นลมล้มพับแบบนี้ แต่พี่ไม่ต้องกังวล เซิ่งซินจะอยู่ดูแลเขาเอง”
” เซิ่งซิน?” เธอหมายความว่าไง ไป๋มู่ชิงไม่เข้าใจ
“ใช่ค่ะ ทุกครั้งที่พี่เฉินเข้าโรงพยาบาลก็จะมีเซิ่งซินเป็นคนดูลเขา ดังนั้นถ้าพี่รู้สึกไม่สะดวกใจหรือไม่รู้จะทำยังไง ก็ให้เซิ่งซินช่วยพี่ได้”
คำพูดนี้ก็ฟังดูเหมือนเป็นความหวังดี ไม่มีอะไรแปลก แต่ไป๋มู่ชิงฟังแล้วแสลงหูยังไงไม่รู้
เซิ่งซินเป็นลูกพี่ลูกน้องยังไม่รู้สึกว่าไม่สะดวกใจ เธอผู้เป็นภรรยาจะไม่สะดวกใจได้ไง? อีกอย่างถึงจะยังดูแลไม่เป็นก็ค่อยๆเรียนรู้ได้ มีบ้างใครเกิดมาก็เป็นเลย?
เธอยิ้มตอบเธอ “ไม่เป็นไร ในเมื่อฉันแต่งงานกับคุณชายเฉินแล้ว ก็ไม่ควรจะรบกวนเซิ่งซินอีก ค่อยๆเรียนรู้เดี๋ยวก็น่าจะเป็นเอง”
“ก็ถูกของพี่ ” ผู่เหลียนเหยาตบหลังมือเธอเบา “งั้นฉันกลับไปที่ห้องทำงานก่อนนะคะ เดี๋ยวพี่อย่าลืมให้พี่เฉินดื่มน้ำเยอะหน่อย ละก็ยาอยู่ในลิ้นชักให้ทานตามที่ระบุหน้าซองนะคะ”
“ได้ ขอบใจ”
หลังจากที่ผู่เหลียนเหยาออกไป ไป๋มู่ชิงกลับเข้าห้องคนไข้อีกครั้ง เธอยืนสังเกตหนานกงเฉินอยู่ข้างเตียง เขายังคงหลับอยู่ ดูแล้วน่าจะยังไม่ตื่นง่ายๆ
เธอเฝ้ามองเขาอยู่พักใหญ่ ก่อนพูดออกมาแบบไม่รู้ตัว ” ขอโทษนะ”
ถ้าเมื่อวานเธอไม่ไปที่ศูนย์วัฒนธรรม เขาก็ไม่ต้องโมโห และไม่ต้องไปทำงานทั้งที่ไม่สบายอยู่
ดูท่าแล้วที่หนานกงเฉินไม่ได้ลงโทษเธอครั้งนี้ คงเป็นอย่างที่เขาบอกว่าไม่อย่าให้มีผลกระทบต่ออารมณ์ของเขา ที่จะพลอยไปมีผลกระทบต่อร่างกายเขาตาม
เขาคงไม่คิดว่าจะมีเรื่องข่าวบนหนังสือพิมพ์เกิดขึ้น ยิ่งจะนึกไม่ถึงว่าพยายามปิดข่าวมาทั้งคืนยังส่งผลกระทบได้ขนาดนี้
คงเพราะเมื่อครู่เธอวิ่งอย่างเร่งรีบเกินไป ไป๋มู่ชิงอยู่ๆก็รู้สึกปวดท้องน้อยขึ้นมา เธอเอามือหนึ่งจับผนักเก้าอี้ไว้ อีกมือกุมที่ท้องน้อย ปวดท้องจนต้องสูดลมหายใจเข้าออก
เธอคิดในใจแย่ละคงไม่ใช่ลูกน้อยเกิดผิดปกติอะไรขึ้นมานะ?
ดีที่อาการปวดเริ่มบางเบาลง เธอค่อยๆตั้งสติแล้วยึดตัวตรง พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นหนานกงเฉินกำลังมองเธอยู่
ไป๋มู่ชิงนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ เขาตื่นมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
เธอรีบยืนหลังตรง แกล้วทำเป็นไม่มีอะไรจ้องมองไปที่เขา ” คุณตื่นแล้วเหรอ?”
หนานกงเฉินยังคงมองไปที่เธอก่อนถาม “ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า? “

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset