เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 68 พาเธอช็อปปิ้ง

เธอขยับตัวอย่างไม่ชิน “หนูไม่เป็นไรค่ะ”
คุณผู้หญิงยังไม่วางใจ สั่งให้พี่เหอเรียกหมอประจำบ้านตระกูลหนานกงมาตรวจดู
พี่เหอหยุดคิดนิดหนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “คุณผู้หญิง ฉันว่าที่นายหญิงน้อยพูดก็ถูก เรื่องนี้ให้คุณชายใหญ่รู้ไม่ได้ค่ะ ไม่งั้นคุณชายต้องบังคับให้นายหญิงน้อยไปเอาเด็กออกแน่นอน
“เขากล้าเหรอ?!” สายตาคุณผู้หญิงสีเข้มขึ้น
“คุณชายใหญ่ต่อต้านและไม่ยอมมีลูกมาตลอด ไม่แน่วันใดเขาเกิดใส่ยาทำแท้งลงในถ้วยนายหญิงน้อยขึ้นมา คุณผู้หญิงจะทำอะไรได้คะ?”
ที่พี่เหอพูดมีเหตุผล คุณผู้หญิงเชื่อว่าเรื่องแบบนี้หลานชายสุดที่รักของท่านทำได้แน่ คุณผู้หญิงนิ่งคิดชั่วครูก่อนจะพูดขึ้น “งั้นเรื่องนี้ให้เก็บเป็นความลับไว้ก่อน อย่าให้ใครรู้มากกว่านี้”
“ว่าแต่ ยิ่งอัน นอกจากเธอแล้วยังมีใครที่รู้เรื่องเธอตั้งท้องอีกมั้ย” ท่านจับมือไป๋มู่ชิงแล้วถาม
ไป๋มู่ชิงนึกอยู่ชั่วครู่ นอกจากเหยาเหม่ยก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้อีก เธอเชื่อว่าเหยาเหม่ยไม่มีทางพูดออกไป และไม่มีเหตุผลอะไรที่จะพูดเรื่องนี้ เธอจึงส่ายหน้าตอบ “ไม่มีแล้วค่ะ”
“งั้นก็ดีแล้ว “คุณผู้หญิงยิ้มอย่างดีใจ “ส่วนเฉินเธอไม่ต้องกังวลไป รอให้ลูกคลอดออกมาแล้ว เขาจะทำอะไรได้”
“ใช่ๆ คงไม่ถึงกับฆ่าลูกหรอก” พี่เหอที่ยิ้มดีใจอยู่ข้างพูดเห็นด้วย
เห็นพวกเขาโต้งตอบกันอย่างดีใจ ไป๋มู่ชิงกลับรู้สึกแสลงในอก มีใครจะเหมือนเธอบ้างตั้งท้องทั้งทียังต้องปิดบังไม่ให้พ่อเด็กรู้ ทำอย่างกับเขาเป็นขโมย?
คุณผู้หญิงดีใจเสร็จ ก็นึกขึ้นได้ว่าไป๋มู่ชิงยังไม่ได้กินอาหารเช้า เดี๋ยวจะมีผลต่อเหลนของเธอได้ คุณผู้หญิงจึงรีบกุมมือไป๋มู่ชิงแล้วพูดยิ้มๆ “ดูฉันสิ มัวแต่ดีใจจนลืมไปเลยว่าเธอยังไม่ได้กินข้าวเช้า ไปเถอะ เราไปกินข้าวเช้ากัน รอให้เฉินออกจากบ้านก่อนค่อยเชิญคุณหมอประจำตระกูลมาตรวจดูสุขภาพครรภ์อีกที”
เมื่อตะกี้ที่ลงมือตีเธอแรงขนาดนั้น คิดแล้วก็ยังรู้สึกเสียใจอยู่เลย
ไป๋มู่ชิงลุกขึ้นจากโซฟา ตามพวกท่านออกจากห้องนอนไปยันห้องอาหาร
ภายในห้องอาหาร นอกจากหนานกงเฉินที่ค่อยๆกินอาหารเช้าอยู่ คนอื่นๆกลับนั่งนิ่งไม่มีใครกล้าลงมือทานข้าวก่อน เมือเห็นไป๋มู่ชิงเดินตามคุณผู้หญิงเข้ามา ทุกคนในโต๊ะอาหารต่างพากันมองใบหน้าที่มีรอยแดงของไป๋มู่ชิง
ทุกคนในห้องไม่แปลกใจที่ไป๋มู่ชิงโดนทำโทษ แต่พวกเขาแปลกใจที่คุณผู้หญิงไม่ได้ไล่เธออกจากบ้าน ถ้าเป็นเมื่อก่อนป่านี้เธอคงโดนโยนออกจากบ้านหนานกงแล้ว
หนานกงเฉินเงยหน้าขึ้นมองไป๋มู่ชิงแวบหนึ่ง ในแววตาไม่มีความเห็นใจใดๆ
ในความคิดเขา ผู้หญิงที่ทำผิดซำ้ๆอย่างเธอไม่มีอะไรต้องเห็นใจ และไม่ควรให้อยู่ที่นี่ต่อไป
ไป๋มู่ชิงรู้สึกได้ถึงความเย็นชาของเขา ใจเธอชาชินจนถึงขีดสุด
ที่แท้เรื่องราวดีๆที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลเป็นแค่ฝันไป สุดท้ายผู้ชายคนนี้ก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม เย็นชาและใจร้ายใจดำที่สุด
เธอเดินไปนั่งประจำที่ตัวเอง
คุณผู้หญิงเองก็กลับมาทำหน้าจริงจังเหมือนเคย ท่านพูดขึ้นด้วยแววตาวาโรจน์ “วันนี้ฉันจะพูดที่นี่อีกครั้ง หอไหว้บรรพบุรุษบ้านตระกูลหนานกงตั้งป้ายวิญญาณของบรรพบุรุษไว้หลายช่วงอายุ จะหลบหลู่ไม่ได้เด็ดขาด ต่อไปถ้ามีใครกล้าแอบเข้าไปอีก ฉันจะลงโทษสถานหนัก ทุกคนเข้าใจหรือยัง?”
“เข้าใจแล้ว” ทุกคนพยักหน้าตอบ ทุกคนเข้าใจตั้งแต่เห็นรอยแดงบนใบหน้าไป๋มู่ชิงแล้ว
หนานกงเฉินวางช้อนส้อมลง ขณะที่กำลังเช็คปากก็พูดเย้ยขึ้น “คุณย่า ผมนึกว่าคุณย่าจะไล่เธอไป แล้วหาภรรยาคนใหม่ให้ผสซะอีก”
คุณผู้หญิงมองเขาแวบหนึ่ง ตอนแรกท่านก็คิดแบบนี้ แต่ตอนี้ไป๋มู่ชิงตั้งท้องแล้ว ที่ตั้งใจไว้ก็เป็นอันต้องเปลี่ยนแผน
คุณผู้หญิงหลบสายตาหนานกงเฉินที่จ้องมองมา ก่อนจะกระแอมในลำคอแล้วพูด “เธอมีแหวนอยู่ในมือ ถือว่าเธอโชคดีไปแล้วกัน แต่ต่อไปถ้าทำผิดอีก ฉันจะไม่ให้อภัยเธออีกเด็ดขาด”
ประโยคหลังท่านหันไปพูดกับไป๋มู่ชิง
ไป๋มู่ชิงก้มหน้าตอบ “ค่ะ”
เธอกัดฟันพูดในใจ : หนานกงเฉิน คุณใจดำมาก!
หลังอาหารเช้า ผู่เหลียนเหยาพาไป๋มู่ชิงกลับห้องพัก
ผู่เหลียนเหยาหากล่องยามาทำแผลบนใบหน้าให้เธอพร้อมบ่นว่า ทำไมถึงทำอะไรไง่ๆแบบนี้นะ ก็รู้ๆกันอยู่ว่าคุณย่าเป็นคนยังไง คุณย่าเป็นคนพูดคำไหนคำนั้นเสมอ เวลาลงโทษคนขึ้นมาก็หนักและรุนแรงมาก”
ไป๋มู่ชิงได้ยินเธอพูดแบบนั้นก็รู้สึกน้อยใจจนน้ำตาเอ่อเต็มดวงตา
ผู่เหลียนเหยายังบ่นเธอไม่หยุด “ฉันย้ำแล้วย้ำอีกว่าอย่าไปสนใจเรื่องเล่าลือของบ้านหนานกง อย่าไปทำผิดกฏบ้านตระกูลหนานกงก็ไม่ฟัง ยังแอบเข้าไปสืบหาความจริงที่หอไหว้บรรพบุรุษอีก ตอนนี้เป็นไงล่ะ?” เธอพูดพร้อมยกนิ้วนางข้างขวาของไป๋มู่ชิงขึ้นมา “ยังดีที่มีแหวนวงนี้ ไม่งั้นก็คงโดนคุณย่าไล่ออกไปจากบ้านตระกูลหนานกงแล้ว”
ไป๋มู่ชิงฟังคำบ่นของผู่เหลียนเหยาเงียบๆ ในใจรู้สึกขื่นขมไปหมด
ในเวลานี้เธอยังคงคิดถึงแต่เรื่องเมื่อคืน สรุปมันคือเรื่องจริงหรือเป็นแค่ความฝันกันแน่ เธอต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ
พี่เหอพาคุณหมอประจำตระกูลเดินเข้ามา ไป๋มู่ชิงรีบยืนขึ้นจากโซฟา เธอตกใจเล็กน้อยที่มีมีคุณหมอมา สถานการณ์แบบนี้เธอไม่น่าจะได้รับการดูแลดีขนาดนี้
ไป๋มู่ชิงเห็นว่าคุณหมอเข้ามาก็นั่งลงบนโซฟาไม่พูดอะไรซักคำ
พี่เหอมองหน้าไป๋มู่ชิงนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดกับเหลียนเหยา “คุณหนูผู่ เมื่อครู่นี้คุณผู้หญิงใช้ไม้เท้าตีนายหญิงน้อย เลยกังวลว่าอาจมีการช้ำใน ท่านให้พาคุณหมอมาตรวจดูหน่อยค่ะ”
“คุณย่าใช้ไม้เท้าตีพี่ด้วยเหรอ?” ผู่เหลียนเหยาหันไปถามไป๋มู่ชิงด้วยสีหน้าห่วงใย “แล้วทำไมพี่ไม่บอก ฉันจะได้ช่วยดูให้”
“ไม่เป็นไร เธอไปทำงานเถอะ เดี๋ยวฉันให้คุณหมอช่วยตรวจให้เอง” ไป๋มู่ชิงยิ้มให้เธอเล็กน้อย
หลังจากันผู่เหลียนเหยาออกไปแล้ว คุณหมอประจำตระกูลก็ทำการตรวจเบื้องต้นให้ไป๋มูนชิง พร้อมเช็คเรื่องเธอตั้งครรภ์และตรวจความปกติของทารถในครรภ์ให้ด้วย
พี่เหอนำข่าวนี้ไปแจ้งคุณผู้หญิงทันที คุณผู้หญิงดีใจจนเก็บอาการไม่มิด ต้องการจะฟังเสียงหัวใจของเด็กน้อยให้ได้
เมื่อได้ยินเสียงหัวใจเต้นของทารถน้อย คุณผู้หญิงยิ้มอย่างมีความสุข “ฟังดูสิ เหมือนเสียงรถไฟวิ่งบนรางมั้ย?”
“เหมือน เหมือนมากเลยค่ะ” พี่เหอที่ยืนอยู่ข้างๆพยักหน้าตอบ “ฟังเสียงก็รู้เลยว่าต้องเป็นเด็กน้อยที่แข็งแรงมาก”
“แน่นอน แข็งแรง ต้องแข็งแรงแน่นอน!”
ไป๋มูชิงได้ยินแบบนั้น ก็รู้สึกเห็นด้วยว่าเสียงหัวใจลูกน้อยยิ่งฟังยิ่งคล้ายเสียงรถไฟวิ่งบนรางจริงๆ นี่เป็นลูกของเธอ ลูกที่มีชีวิตจริงๆ
มุมปากเธอโค้งขึ้นเล็กน้อย ยิ้มอย่างมีความสุขไปกับพวกท่าน
หลังจากส่งคุณหมอเรียบร้อย คุณผู้หญิงก็ให้ไป๋มู่ชิงนอนพักบนเตียง ส่วนท่านนั่งอยู่ข้างๆเอามือกุมมือเธอไว้และพูดกับเธอว่า “ยิ่งอัน เฉินไม่อยากมีลูกเพราะเขากลัวว่าลูกเกิดมาจะสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรงเหมือนเขา เพราะ่งั้นเพื่อลูกในท้องเธอต้องคอยดูแลตัวเองให้ดีรู้มั้ย?”
ไป๋มู่ชิงพยักหน้ารับ มือที่ถูกคุณผู้หญิงกุมอยู่กระตุกเล็กน้อย
“กินอาหารที่มีประโยชน์ให้มาก ส่วนอาหารที่ไม่ค่อยมีประโยชน์อย่างพวกของดิบของทอดก็อย่าไปกินเลยนะ แล้วก็ต้องทำอารมณ์ให้แจ่มใสอย่าเครียด สภาพอารมณ์ของแม่จะมีผลกระทบกับลูกในท้องโดยตรงรู้มั้ย?”
ไป๋มู่ชิงยังคงพยักหน้ารับ เธอรู้ว่าระหว่างที่ตั้งครรภ์การมีสภาพจิตใจที่ดีไม่เครียดเป็นเรื่องสำคัญมาก แต่เธอต้องอยู่กับคนเหล่านี้ที่เย็นชาและร้ายหัวใจ เธอจะมีสภาพจิตใจที่ดีได้ยังไง?
คุณผู้หญิงดูออกว่าเธอกำลังคิดอะไร “เธอมีเรื่องสังสัยอยากรู้เกี่ยวกับหนานกงเฉินใช่มั้ย? เธอถามมา ฉันจะบอกเธอเอง”
ไป๋มู่ชิงรู้สึกแปลกใจ คุณผู้หญิงจะบอกเธอจริงเหรอ?
“หวังว่ามันจะทำให้เธอหมดข้อสงสัยในใจ และช่วยให้เธอสบายใจขึ้นได้” คุณผู้หญิงพูดเสริมขึ้นอีก
ไป๋มู่ชิงเกือบจะหลุดปากถามเรื่องหอไหว้บรรพบุรุษออกไปแล้ว แต่นึกขึ้นได้ก่อนว่าเธอเพิ่งจะโดนทำโทษเพราะเรื่องหอไหว้บรรพบุรุษ ถ้าเธอถามเรื่องนี้อีกไม่รู้คุณผู้หญิงจะ……..
คือ…….วันก่อนมีเพื่อนให้ภาพวาดมา เป็นภาพวาดที่มีชื่อว่า [คุณผู้หญิงจิ้ง] ในภาพวาดเป็นรูปหญิงามคนหนึ่งในชุดสีขาว หนูได้นำภาพวาดไปแขวนไหว้ในห้องนอน แต่ไม่คิดว่าคุณชายใหญ่เห็นเข้าจะโมโหฉุนเฉียวมากถึงขนาดทำลายภาพวาด หนูแค่อยากรู้ว่าทำไม…..คุณชายใหญ่เห็นภาพวาดแล้วถึงได้ฉุนเฉียวขนาดนั้น
เธอถามอย่างระมัดระวัง และอ้อมค้อม หวังให้คุณผู้หญิงบอกความลับของ [คุณผู้หญิงจิ้ง] กับเธอ
คุณผู้หญิงฟังแล้วไม่ได้มีสีหน้าแปลกใจอะไร แต่กลับพูดขึ้นยิ้มๆ “เรื่องนั้นฉันได้ถามพี่เหอแล้ว ยังรู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน จึงได้สั่งให้คนไปหาภาพวาดมาให้ดู ถึงได้รู้ว่าที่หนานกงเฉินเกิดอาการโมโหฉุนเฉียวนั้นเป็นเพราะว่ารูปผู้หญิงในภาพมีส่วนละม้ายคล้ายคลึงกับคุณหนูจูนั้นเอง”
คุณผู้หญิงไม่ได้พูดถึงหอไหว้บรรพบุรุษแม้แต่คำเดียว ไป๋มู่ชิงรู้สึกสับสนในหัว นี่มันเรื่องอะไรกัน? หรือว่าเรื่องเมื่อคืนเป็นแค่ฝันร้ายไปจริงๆ?
หรือว่า [คุณผู้หญิงจิ้ง] ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องคนรักในภพชาติที่แล้วของหนานกงเฉิน แต่เกี่ยวข้องกับรักแรกของหนานกงเฉินแทน?
“คุณหนูจู?” เธอถามขึ้นเบาๆ
“ใช่ คุณหนูจูเป็นรักแรกของเฉิน” พูดถึงตรงนี้คุณผู้หญิงก็ถอนหายใจอย่างอ่อนใจ “เห็นเฉินดูเงียบขรึมเย็นชาแบบนี้ ถ้าเกิดได้รักผู้หญิงคนไหนแล้วล่ะก็ เขาจะมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงง่ายๆ อันที่จริงฉันเองก็ไม่ได้ถูกใจคุณหนูจูคนนี้เท่าไหร่ แต่จะทำยังไงได้ผู้หญิงที่เฉินชอบฉันจะไม่ยอมรับก็ไม่ได้ ใครจะไปคิดว่าคุณหนูจูคนนี้พอรู้เรื่องเล่าลือของหนานกงเฉิน เธอก็หนีหายเข้ากลีบเมฆไปเลย”
เรื่องนี้ผู่เหลียนเหยาเคยเล่าให้ไป๋มู่ชิงฟังเหมือนกัน ดูท่าแล้วน่าจะเป็นเรื่องจริง!
“เหมือนมากเหรอคะ?”
“ดวงตาเหมือนมาก มองแวบแรกก็รู้เลย”
“งั้น……เรื่องเล่าของบ้านตระกูลหนานกงจริงแท้มากน้อยแค่ไหนคะ?” เธออดถามไม่ได้
“นอกจากเรื่องเฉินป่วยตั้งแต่เด็กแล้ว ก็ไม่มีอะไรเป็นเรื่องจริง” คุณผู้หญิงจ้องมองเธอด้วยสีหน้าจริงจัง “เธอกำลังจะเป็นแม่ของลูกในท้องที่เป็นลูกของเฉิน ดังนั้นเธอต้องมีความเชื่อมั่นในครบอครัวนี้ ต้องพยายามที่จะประคับประครองครอบครัวให้ไปได้ด้วยดี เข้าใจมั้ย?”
ไม่มีอะไรเป็นเรื่องงจริง? ไป๋มู่ชิงมองหน้าท่านด้วยความสงสัย
คุณผู้หญิงพูดต่อ “ลือกันว่าเฉินหน้าตาอัปลักษณ์ ลือว่าเขาป่วยจนลุกจากเตียงไม่ได้ ยังลือกันว่าเขามีดวงเมียตาย พวกนี้เป็นแค่เรื่องเล่าลือกันไป ลองดูเธอตอนนี้สิก็ยังอยู่ดีเป็นสุขอยู่ไม่ใช่เหรอ”
“รวมทั้งเรื่องคนรักภพชาติที่แล้วก็ไม่ใช่เรื่องจริงเหรอคะ?”
“ไม่ใช่เรื่องจริงเลย” คุณผู้หญิงตอบ
ไป๋มู่ชิงมองหน้าคุณผู้หญิง ท่านดูจริงจัง ไม่เหมือนกำลังโกหกเธอซะนิด แต่ทำไม……เธอยังรู้สึกว่าเรื่องเมื่อคืนน่าจะเป็นเรื่องจริงมากกว่า?
ตั้งแต่รู้ว่าเธอตั้งท้อง ต่อหน้าคนอื่นๆคุณผู้หญิงทำเป็นไม่สนใจเธอ แต่ลับหลังท่านดีต่อเธอมาก ไม่ว่าจะสั่งให้แม่ครัวทำแต่อาหารที่มีประโยชน์ให้เธอกิน ยังคอยถามสารทุกข์สุขดิบของเธอทั้งวัน
แต่ไป๋มู่ชิงไม่ได้รู้สึกดีใจที่คุณผู้หญิงเปลี่ยนมาทำดีกับเธอ เพราะเธอรู้ดีว่าที่คุณผู้หญิงทำแบบนี้ก็เพื่อทารถในครรภ์เท่านั้น
เธอรู้อยู่แก่ใจถ้าไม่มีเด็กคนนี้ ตัวเธอเองแทบไม่มีความหมายอะไรในบ้านตระกูลหนานกง
วันนี้เป็นวันสุดสัปดาห์ ระหว่างทานอาหารเช้า คุณผู้หญิงมองดูเธอทั้งคู่ที่หมางเมินต่อกัน ท่านลังเลในใจเล็กน้อยก่อนพูดขึ้นว่า “วันนี้อากาศดี หลังทานข้าวเช้าเสร็จเฉินพายิ่งอันไปเดินห้างหาซื้อเสื้อผ้าเครื่องประดับซะหน่อยนะ”
คุณผู้หญิงเห็นทุกคนมองมาที่ท่านอย่างประหลาดใจ ท่านหลบสายตาแวบหนึ่งก่อนเลิกคิ้วเล็กน้อย “ทำไม? แปลกมากเหรอ ก็เธอเป็นถึงนายหญิงน้อยของบ้านตระกูลหนานกง จะให้แต่งตัวธรรมไม่มีเครื่องประดับติดตัวได้ไง เดี๋ยวคนอื่นเขาจะหาว่าบ้านตระกูลหนานกงไม่ใส่ใจใยดีสะใภ้ได้”
อันที่จริงท่านกลัวว่าความสัมพันธ์ห่างเหินของคนทั้งคู่จะมีผลต่ออารมณ์ของไป๋มูนชิง และจะส่งผลต่อลูกน้อยในครรภ์ จึงได้สั่งให้ทั้งสองออกไปข้างนอกด้วยกันเพื่อให้ความสัมพันธ์กระชับมากขึ้น และเพื่อให้ไป๋มู่ชิงได้มีโอกาสออกไปเที่ยวผ่อนคลายด้วย
หนานกงเฉินหันไปมองไป๋มู่ชิงข้างๆ ก่อนสบเข้ากับสายตาของเธอที่จ้องมองมาพอดี
เขาดูออกว่าไป๋มู่ชิงไม่ได้อยากไป
“ให้เซิ่นซินพาไปดีกว่า” เขาพูด “ผู้หญิงด้วยกันน่าจะเข้าใจกันมากกว่า”
“ฉันไปด้วย เรื่องเลือกซื้อเสื้อผ้าไว้ใจฉันได้เลย” ผู่เหลียนเหยาวางตะเกียบลงแล้วคล้องแขนไป๋มู่ชิงไว้ ยิ้มกว้างก่อนพูด “ฉันรู้จักร้านเสื้อแบรนด์ดังจากฝรั่งเศสร้านหนึ่ง แบบเสื้อในร้านนี้เหมาะกับพี่สะใภ้มาก”
คุณผู้หญิงมองผู่เหลียนเหยาแวบหนึ่งแล้วพูดขึ้น “ผู้หญิงเราแต่งตัวก็เพื่อให้ผู้ชายดู เธอจะรู้ได้ไงว่าพี่เฉินเขาชอบสไตล์แบบไหน”
หนานกงเฉินยกมุมปากยิ้มเล็กน้อย “ไม่เป็นไร ยิ่งอันแต่งตัวแบบไหนผมก็…..ไม่ชอบ”
ไป๋มู่ชิงกำตะเกียบในมือแน่น ก่อนจะหันกลับไปตอกกลับเขาด้วยสีหน้าไร้รอยยิ้ม “ขอบคุณ”
“ด้วยความยินดี”
เอาเถอะ! คุณผู้หญิงวางตะเกียบเสียงดังแสร้งทำเป็นรำคาญ “เป็นสามีภรรยากันแบบนี้ใช่ได้ที่ไหน? เมื่อวานคุณนายหวังยังถามฉันอยู่เลยว่าทำไมไม่เห็นทั้งคู่ออกงานกันบ้างเลย ทะเลาะกันหรือเปล่า รู้มั้ยหมายถึงอะไร? เขาอยากรู้กันไงว่ายิ่งอันจะเป็นอะไรไปตามคำล่ำลือหรือป่าว ถึงได้เงียบหายไปแบบนี้”
“คุณนายหวังนี่ไร้มารยาทไปหรือป่าว? พี่เฉินคงต้องจัดการเธอหน่อยละ” เซิ่นเคอพูดยิ้มๆ
คุณยายมองเขาแวบหนึ่งอย่างไม่พอใจ
แน่นนอนว่าไม่มีใครกล้าพูดไร้มารยาทแบบนี้กับท่านแน่ คุณนายหวังที่ว่าท่านก็พูดขึ้นมาลอยๆเอง
เพื่อทำตามคำสั่งของคุณผู้หญิง ไป๋มู่ชิงได้ขึ้นไปนั่งบนรถของหนานกงเฉิน รถค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากบ้านหนานกง มุ่งหน้าไปยันทางเข้าเมือง
ในห้องโดยสารทั้งคู่ต่างไม่มีใครพูดอะไร ไป๋มู่ชิงนั่งพิงเบาะมองออกไปนอกหน้าต่าง ส่วนหนานกงเฉินที่ขับรถก็จ้องมองแต่ถนนตรงหน้า
ในใจเธอรู้สึกไม่พอใจหนานกงเฉินอยู่ไม่น้อย ถึงจะรู้ว่าทั้งคู่ไม่มีความรู้สึกอะไรต่อกัน และก็รู้ว่าในใจหนานกงเฉินมีคนอื่นอยู่แล้ว แต่จากปฏิกิริยาที่เขาทำกับเธอตอนที่รู้ว่าเธอแอบเข้าไปหอไหว้บรรพบุรุษ มันทำให้เธอรู้สึกไม่พอใจและผิดหวังเป็นอย่างมาก
หลายวันมานี้เธอกับเขาแทบไม่ได้เจอหน้ากัน เขาออกจากบ้านไปทำงานแต่เช้าและกลับมาดึกดื่น ส่วนเธออยู่บ้านนอกจากวาดรูปแล้วก็ฟังดนตรีที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย และเข้านอนแต่หัวค่ำ
รถจอดลงหน้าห้างสรรพสินค้าหรู หนานกงเฉินพูดกับเธอโดยไม่หันมามอง “ลงจากรถ”
ไป๋มู่ชิงปลดสายคาดเบลท์ และเปิดประตูรถลงไป
ห้างสรรพสินค้านี้เป็นห้างที่หรูและมีระดับที่สุดในเมืองซี ก่อนหน้านั้นเธอไม่เคยแม้แต่จะคิ้ดว่าจะได้มาเดินที่นี่ แต่ตอนนี้หนานกงเฉินกลับพาเธอมา
ก็ใช่ ตอนนี้เธออยู่ในถานะตัวแทนของไป๋ยิ่งอัน ระดับคุณหนูไป๋ถ้าทำตัวดูยากจนเกินไปก็อาจทำให้หนานกงเฉินเกิดความสงสัยได้
หลังจากที่เธอหยุดชะงักชั่วครู่ เธอก็เดินเข้าไปในอาคารห้างสรรพสินค้า
ไป๋มู่ชิงขึ้นมาถึงชั้นสองในโซนเสื้อผ้าผู้หญิง เธอมองไปรอบๆก่อนเลือกร้านเสื้อที่ดูสีสันสดใสร้านหนึ่ง
ขณะที่เธอกำลังจะเดินเข้าร้าน ก็มีมือใหญ่อบอุ่นยื่นมากุมมือเล็กเธอไว้
เธอตกใจจนรีบก้มมองถึงได้รู้ว่าหนานกงเฉินกุมมือเธอไว้
“ที่รัก ฉันรู้จักร้านเสื้อร้านหนึ่งที่เหมาะสมกับคุณ” หนานกงเฉินยิ้มให้เธออย่างละมุน
ไป๋มู่ชิงตะลึงกับรอยยิ้มของเขา นึกในใจผู้ชายคนนี้เป็นอะไรมากมั้ย? ทำไมถึงได้ยิ้มแบบนั้น
นาทีต่อมา เธอถึงกับกระจ่าง
มองไปรอบๆ ไม่ว่าจะเป็นพนักงานในร้านหรือลูกค้า ต่างก็พากันมองมาด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นปนหลงไหล ที่แท้ผู้ชายคนนี้ก็กำลังแสดงอยู่นั้นเอง!
ในเมื่อเขาอยากแสดงเธอก็ไม่มีเหตุผลอะไรต้องขัด เธอยกมุมปากยิ้มโค้งขึ้น เอ็นตัวไปพิงเขาเล็กน้อย แสดงออกถึงคู่สามีภรรยาที่รักกันมาก
ร้านที่หนานกงเฉินบอกว่าเหมาะกับเธอ ที่แท้อยู่ชั้นสามในมุมที่ค่อนข้างเงียบ เนื่องจากเสื้อผ้าในร้านราคาค่อนข้างแพง ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าประจำ ส่วนลูกค้าทั่วไปที่เดินเข้าร้านจะค่อนข้างน้อย
หนานกงเฉินอยากได้ความสงบ ไป๋มู่ชิงก็ไม่ซีเรียสอะไร วันนี้สิ่งที่เธอต้องซื้อไม่ใช่เสื้อผ้า แต่มันคือการซื้อแบร์ด และซื้อความมีหน้ามีตา
พนักงานในร้านเดินเข้ามาต้อนรับด้วยความกระตือรือร้น พยายามเก็บอาการดีใจแล้วแอบมองไปที่หนานกงเฉินพร้อมถามด้วยความเคารพ “สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่ามีอะไรให้ช่วยมั้ยคะ?”
นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นตัวจริงของผู้ชายลึกลับคนนี้ เธอเคยเห็นแต่ในหนังสือพิมพ์เท่านั้น
“ช่วยเลือกเสื้อผ้าที่เหมาะกับธอให้ซะสองสามชุด” หนานกงเฉินพูดกับพนักงานเสร็จก็เดินไปนั่งลงบนโซฟาที่ตั้งอยู่กลางร้าน
“ได้ค่ะ คุณผู้หญิงเชิญทางนี้ค่ะ ”
ไป๋มู่ชิงดูแล้วแบบเสื้อร้านนี้ใช้ได้ แต่ราคาดูแพงเกินไปหน่อย เสื้อกันหนาวตัวหนึ่งราคาหนึ่งแสนหยวน? อะไรจะขนาดนั้น ทำจากทองหรือไง?
“ดิฉันว่าเสื้อตัวนี้เหมาะกับคุณมากค่ะ ไม่เชื่อลองถามคุณชายเฉินดูได้ค่ะ” พนักงานพูดขณะที่เอาเสื้อทาบบนตัวเธอ
“หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นหยวน? มีส่วนลดมั้ยคะ? ” ไป๋มู่ชิงถามอย่างลืมตัว
“ขออภัยด้วยค่ะ เสื้อของแบร์ดเราไม่เคยจัดรายการส่วนลดค่ะ” พนักงานตอบด้วยความนอบน้อม
ไป๋มู่ชิงหันกลับไปมองหนานกงเฉิน เห็นว่าเขานั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาและมองมาที่เธอพร้อมรอยยิ้มจาง ๆ บนใบหน้า
ทีแรกเธอกะจะถามเขาว่าเปลี่ยนเป็นร้านอื่นได้มั้ย แต่หลังจากเห็นสายตาที่เขามองมา เธอก็นึกกังวลว่าจะทำให้เขาเสียหน้า จึงพูดกับพนักงานว่า “ฉันขอลองก่อนละกัน”
พนักงานได้บริการดูแลให้เธอลองสวมชุดราคาแพงนี้
เป็นชุดแบบสไตล์เกาหลีหลวม ๆ ซึ่งเหมาะมากสำหรับหน้าท้องเธอที่กำลังจะโตขึ้น
“คุณชายเฉินคะ คุณว่าสวยมั้ยคะ?” พนักงานสาวถามหนานกงเฉินยิ้มๆ
หนานกงเฉินมองไป๋มู่ชิงแวบหนึ่งก่อนพยักหน้าตอบ “สวยดี เอาตัวนี้ใส่ถุงได้เลย”
ไป๋มู่ชิงเห็นแบบนั้นก็รู้สึกเจ็บใจ เธอจึงเลือกชุดแบบสไตล์เกาหลีหลวมๆอีกหลายชุด และค่อยๆลองให้หนานกงเฉินดูทุกชุด จนชุดสุดท้ายเขาทนไม่ไหวพูดขึ้น “หุ่นก็ไม่ดีอยู่แล้ว? ทำไมยังเลือกแต่เสื้อที่ไม่เน้นเอว?”
เขาไม่เข้าใจ ผู้หญิงไม่ใช่มักจะเลือกชุดที่เน้นโชว์สักส่วนโค้งเว้าเหรอ? ทำไมผู้หญิงคนนี้กลับเลือกแต่ชุดแซกแนวน่ารัก แต่งงานแล้วยังทำมาแอ๊บแบ๊วอะไรอีก
ไป๋มู่ชิงกัดฟันแล้วเม้มปาก ก่อนจะยิ้มหยัน “เรื่องของฉัน ก็ฉันใส่แบบไหนคุณก็ไม่ชอบอยู่แล้วนิ”
“ก็ในเมื่อฉันเป็นคนพาเธอมา เธอจะเลือกชุดอะไรก็ต้องขึ้นอยู่กับฉันด้วยหรือไม่ใช่?”
ไป๋มู่ชิงชี้เสื้อที่อยู่บนตัวเธอ “ฉันรู้สึกว่าชุดแซกน่ารักดีและใส่สบาย หุ่นไม่มีดีแบบฉันก็เหมาะแล้วนะที่จะใส่ชุดแนวนี้”
หนานกงเฉินถูกเธอตอกกลับ แน่นอนเขาไม่แย่ถึงขนาดต้องทะเลาะกับเธอในร้านเสื้อ เขายิ้มให้พนักงานสาวเล็กน้อย “รบกวนเอาชุดทั้งหมดใส่ถุงให้ด้วย”
“ได้ค่ะ “พนักงานสาวนำเสื้อไปห่อใส่ถุงด้วยความดีใจ เข้าใจไปว่าที่ทั้งสองต่อปากต่อคำกันนั้นเป็นธรรมดาของคู่รัก
หลังจากออกจากห้างสรรพสินค้า หนานกงเฉินก็พาไป๋มู่ชิงไปที่บริษัททำเพชรพลอย เธอได้สั่งทำลายง่ายๆไปไม่กี่แบบ
เมื่อหนานกงเฉินเห็นว่าเธอเลือกสั่งทำแต่ลายง่ายๆทั่วไป
“เธอเลือกที่แพงกว่านี้ก็ได้ ตระกูลหนานกงมีตังค์จ่าย”
“ไม่เป็นไรค่ะ ซื้อไปก็ฉันก็ไม่ได้ใส่อยู่ดี” แล้วไป๋มู่ชิงพูดกับพนักงานสาว “แค่นี้ค่ะ”
พนักงานสาวพยักหน้า “ได้ค่ะ อีกหนึ่งเดือนค่อยมาลองสวมนะคะ ถ้ามีตรงไหนไม่ถูกใจยังสั่งแก้ไขใหม่ได้ค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ” ไป๋มู่ชิงยิ้มเล็กน้อย
กว่าจะเลือกเครื่องประดับเสร็จก็ได้เวลาทานข้าวเที่ยงแล้ว ทั้งสองต่างก็ไม่มีความคิดที่จะทานข้าวเที่ยงข้างนอกกัน
ระหว่างทางขับรถกลับบ้าน ไป๋มู่ชิงไม่มีอะไรทำเลยหยิบมือถือขึ้นมาล็อกอินเข้าเกมส์ออนไลน์ รูปบนไอดีเกมส์ของคุณชายเฉินเป็นสีดำ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ล็อกอินมาหลายวันแล้ว
ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ล็อกอินเข้ามาตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ก็ใช่นะ คนที่งานยุ่งมากอย่างเขาจะเข้า้มาเล่นเกมส์ออนไลน์ได้ยังไง ถ้าล็อกอินเข้ามาเล่นสิแปลก
เมื่อเธอออนไลน์ หัวหน้ากิลก็รีบทักเธอมา
เรื่องที่เธอบังคับเขาหย่าในเกมส์ เขาดูจะนิ่งเฉยมาก ไม่ได้มีการตำหนิต่อว่าอะไรเธอ
กลับกลายเป็นไป๋มู่ชิงเองที่รู้สึกไม่สบายใจ จนต้องรีบขอโทษขอโพยเขา
ทั้งสองคุยกันบนออนไลน์อยู่พักหนึ่ง โทรศัพท์ของไป๋มู่ชิงก็ดังขึ้น เป็นสายจากจ้าวเฟยหยาง
ตั้งแต่รู้ว่าหนานกงเฉินห้ามไม่ให้ไป๋มู่ชิงไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จ้าวเฟยหยางก็ไม่ค่อยได้ติดต่อเธอมาอีก วันนี้โทรฯหาเธอต้องมีเรื่องสำคัญมากแน่ ดังนี้ไป๋มู่ชิงแทบไม่คิดอะไรมากก็กดรับสายทันที
รับสายปุ๊บเสียปลายสายก็พูดขึ้นด้วยความกังวล “มู่….ยิ่งอัน ตอนนี้เธอว่างมั้ย? เสี่ยวลี่ไม่ไหวแล้ว เขาเอาแต่ร้องไห้หาเธอ”

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset