เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 69 ไม่เคยพาผู้หญิงไปซื้อเสื้อผ้า

เสี่ยวลี่ เป็นโรคหัวใจแต่กำเนิด และค่อนข้างร้ายแรง
ไป๋มู่ชิงวางสายปุ๊บก็หันไปทางหนานกงเฉินทันที “จอดรถ! รบกวนจอดรถให้หน่อย! ฉันจะลง!”
จากการสนทนาในสายเมื่อครู่หนานกงเฉินพอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เธอถึงได้โวยวายจะลงจากรถแบบนี้ เขาไม่ได้จอดรถให้เธอแถมยังถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเรียบ “ทำไม? จะไปหาพวกเด็กไร้มารยาทไม่มีหัวนอนปลายเท้ากลุ่มนั้นอีกแล้วเหรอ?
“หนานกงเฉิน! ช่วยระวังคำพูดคุณด้วย!” ไป๋มู่ชิงพูดขึ้นอย่างเหลืออด และตอกกลับเขาอย่างไม่เกรงใจ “พวกเขาไม่ใช่เด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้า เป็นแค่เด็กน้อยที่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง พวกเขาบางคนไม่มีแขนขา บางคนร่างกายไม่แข็งแรง พูดไปแล้วก็เหมือนกับคุณนั้นแหละเกิดมาก็ป่วยออดๆแอดๆ แต่พวกเขาไม่ได้โชคดีเหมือนคุณที่เกิดมาในครอบครัวที่มีถานะร่ำรวย มีแต่คนรักคนเอาใจ……”
ไป๋มู่ชิงไม่อยากพูดอะไรต่อ เธอปาดน้ำตาออกก่อนจะตะโกนเสียงดัง “จอดรถ! ฉันบอกให้คุณจอดรถเดี๋ยวนี้!”
หนานกงเฉินสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็ยังคงเหยียบคันเร่งต่อ
ไป๋มู่ชิงเห็นเขาไม่คิดจะหยุดรถให้ เธอจึงยื่นมือไปเขย่าแขนเขาโดยไม่คำนึกถึงความปลอดภัยอีก เธอร้องให้โวยวาย “ได้ยินมั้ยว่าเสี่ยวลี่กำลังจะตาย เขาอยากเห็นหน้าฉันครั้งสุดท้าย คุณได้ยินมั้ย….!?”
“ตรงนี้เป็นพื้นที่ห้ามจอด” หนานกงเฉินขมวดคิ้ว ก่อนปัดมือเธอออก
ไป๋มู่ชิงได้ยินเขาพูดเช่นนั้นก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบหันกลับไปทางหน้าต่าง พยายามมองหาจุดที่สามารถจอดรถได้
หนานกงเฉินหันมามองแวบหนึ่ง ก่อนจะถามขึ้นอย่างไม่รู้ตัว “เด็กอยู่ที่ไหน?”
“โรงพยาบาลหงเอิน” ไป๋มู่ชิงตอบ
รถวิ่งผ่านตรงทางแยกพอดี หนานกงเฉินเลี้ยวรถตรงทางแยกก่อนขับรถด้วยความเร็วมุ่งหน้าไปทางโรงพยาบาลหงเอิน
ไป๋มู่ชิงร้อนใจจนไม่ทันสังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงของเขา เธอเอาแต่ใจจดเจาะอยากให้เขาขับรถให้เร็วขึ้น
รถมาถึงโรงพยาบาลด้วยความเร็ว พอรถชะลอจอด ไป๋มู่ชิงก็รีบเปิดประตูก้าวลงจากรถทันที เธอต่อสายหาจ้าวเฟยหยางพร้อมกับวิ่งเข้าไปในโรงพยาบาล
จากครั้งล่าสุดที่เธอเจอเสี่ยวลี่ เขาดูผอมลงไปเยอะมาก เธอไม่ได้เจอเสี่ยวลี่แค่เดือนเดียว เสี่ยวลี่ดูโทรมลงไปเยอะเลย แต่พอเขาเห็นเธอเข้ามาใบหน้าเล็กๆยังคงพยายามฝืนยิ้มให้เธออย่างอ่อนล้า “คุณครูไป๋……”
“เสี่ยวลี่…..” ไป๋มู่ชิงรีบจับมือเล็กๆไว้ “เสี่ยวลี่เป็นอะไร? ก่อนหน้านี้ยังดีดีอยู่เลยนี่นา? หรือว่าดื้อไม่ยอมกินยา?”
“คุณครูไป๋ … ช่วยผมวาดภาพนี้ให้เสร็จได้มั้ยครับ” เสี่ยวลี่ยื่นกระดาษวาดรูปที่อยู่ในมืออีกข้างให้ไป๋มู่ชิง มันเป็นภาพร่างที่เสร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง เป็นภาพที่ไป่มู่ชิงวาดให้ครั้งก่อน แต่เจอหนานกงเฉินขัดขึ้นซะก่อนเลยยังไม่เสร็จ ไม่คิดว่าเขาจะยังเก็บเอาไว้อยู่
ไป๋มู่ชิงรีบรับภาพวาดมาพร้อมพยักหน้า : “ได้ ครูไป๋จะช่วยเสี่ยวลี่วาดภาพให้เสร็จให้เร็วที่สุดนะ แต่เสี่ยวลี่สัญญากับครูไป๋ได้มั้ยว่าจะเข้มแข็งและมีชีวิตอยู่ต่อไป?”
“ได้ครับ “เสี่ยวลี่พยักหน้าตอบ
ไป๋มู่ชิงหันไปหาจ้าวเฟยหยาง จับแขนเขาแล้วถาม “คุณหมอว่ายังไงบ้าง ไม่มีหวังแล้วจริงๆเหรอ?”
จ้าวเฟยหยางแอบมองไปทางประตูคนไข้แวบหนึ่ง เห็นหนานกงเฉินยืนอยู่ตรงหน้าประตู เขาค่อยๆดึงมือไป๋มู่ชิงออก “คุณหมอบอกว่าถ้าผ่าตัดอาจพอมีหวังบ้าง แต่ปัญหาคือเรื่องค่าใช้จ่ายในการผ่าตัด”
“ต้องใช้เงินเท่าไหร่?”
“เนื่องจากอาการของเสี่ยวลี่ค่อนข้างซับซ้อน ต้องใช้ผู้เชียวชาญจากต่างประเทศในการผ่าตัดรักษา ค่ารักษาเบื้องต้นประมาณห้าแสนได้”
ห้าแสน….สำหรับเธอและจ้าวเฟยหยางถือเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูง
“อีกอย่าง การผ่าตัดไม่ได้จะได้ผลเสมอไป ฉันกังวลว่า…… ” จ้าวเฟยหยางพูดไม่ออก น้ำตาเอ่อขึ้นมาเต็มดวงตา
ไป๋มู่ชิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วลุกขึ้นพูดกับจ้าวเฟยหยาง “ไม่ว่ายังไงก็ต้องผ่าตัด มันเป็นทางออกเดียวในตอนนี้ ไม่งั้นเสี่ยวลี่อาจจะไม่รอด ส่วนเรื่องเงินไม่ต้องกังวลเดี๋ยวฉันจะหาทางเอง เธอช่วยคุยเรื่องผ่าตัดกับคุณหมอให้ด้วยนะ”
เธอพูดเสร็จก็เดินออกจากห้องผู้ป่วยไป
“คุณครูไป๋ คุณจะไปไหน?” จ้าวเฟยหยางเรียกเธอตามหลัง เพราะหนานกงเฉินอยู่ด้วย เขาจะเรียกเธอว่ายิ่งอันก็ดูแปลกๆและดูสนิทสนมกันมากไป เลยเรียกเธอคุณครูไป๋ตามเสี่ยวลี่
ไป๋มู่ชิงไม่ทันได้ยินเสียงเรียกเขา เธอก็เดินออกมานอกห้องแล้ว
ไป๋มู่ชิงมาถึงหน้าประตูโรงพยาบาล ทันเห็นหนานกงเฉินที่มาถึงก่อนกำลังจะเคลื่อนรถ เขาก็ลดกระจกรถลงและมองมาที่เธอ
ไป๋มู่ชิงตรงไปเปิดประตูหลังคนขับ หยิบถุงเสื้อที่เพิ่งซื้อเมื่อเช้าออกมาทั้งหมด ก่อนจะพูดกับหนานกงเฉินว่า “คุณชายใหญ่ คุณกลับไปก่อนนะคะ ฉันจะกลับเย็นหน่อย”
ใบหน้าเธอที่ยังมีคราบน้ำตาอยู่ ดูแล้วก็ช่างน่าสงสาร
หนานกงเฉินไม่เข้าใจ แค่เด็กป่วยคนหนึ่งที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเธอเลย ทำไมเธอถึงได้ดูเสียใจขนาดนั้น? ที่โรงพยาบาลหงเอินมีคนเกิดแก่เจ็บตายอยู่ทุกวัน มันก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาไม่ใช่เหรอ?
แต่เพื่อไม่ให้กระทบอารมณ์ความรู้สึกเธอมากไปกว่านี้อีก เขาจึงไม่ได้พูดอะไรและขับรถออกไป
หนานกงเฉินเคลื่อรถออกไปปุ๊บ ไป๋มู่ชิงก็วิ่งไปโบกมือเรียกรถแท็กซี่ทันที เธอให้รถแท็กซี่ไปส่งเธอที่ห้างสรรพสินค้าที่เธอไปซื้อเสื้อเมื่อเช้า
เธอเอาถุงเสื้อทั้งหมดที่ซื้อเมื่อเช้าวางบนเคาน์เตอร์ แล้วบอกกับพนักงานขายว่าขอคืนของ พนักงานสาวที่ก่อนหน้านั้นยิ้มแย้มเต็มหน้าก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
ไป๋มู่ชิงกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเกรงใจ “คืออย่างงี้ค่ะ เมื่อครู่ฉันกับคุณชายเฉินตกลงกันใหม่ว่าจะไม่เอาชุดแซกแล้ว จะขอเปลี่ยนเป็นชุดที่เซ็กซี่กว่านี้ค่ะ ”
เมื่อได้ยินว่าเปลี่ยนแบบ พนักงานสาวก็มีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย
“แต่ว่าวันนี้คุณชายเฉินมีธุระด่วน เลยต้องมาเลือกชุดกันอีกทีวันหลัง รบกวนคุณทำเรื่องคืนเงินให้ก่อนได้มั้ยคะ” เพื่อไม่ให้การคืนของมีปัญหาเธอจึงรีบพูดเสริมขึ้นอีก “แต่ไม่ต้องกังวลใจเรื่องค่าคอมมิชชั่นของคุณนะคะ ฉันจะจ่ายชดเชยให้คุณเป็นเงินสดแทนค่ะ”
ร้านเสื้อที่นี่สามารถให้ลูกค้าคืนของได้ภายในสามสิบวันโดยไม่มีเงื่อนไขอยู่แล้ว ไป๋มู่ชิงมีสิทธิ์ที่จะคืนของ อีกอย่างเธอยังยอมจ่ายค่าคอมมิชชั่นให้พนักงานสาวเป็นเงินสดอีก พนักงานสาวจึงยินดีช่วยเธอทำเรื่องคืนของ
เมื่อเช้าซื้อมาทั้งหมดห้าชุด ไป๋มู่ชิงอยากทำเรื่องคืนทั้งห้าชุด แต่นึกขึ้นได้ว่าถ้ากลับบ้านไปแล้วคุณผู้หญิงเกิดถามขึ้นมา ก็ไม่รู้จะตอบยังไง เธอจึงตัดสินใจเหลือไว้ชุดหนึ่ง
ทำเรื่องคืนไปทั้งหมดสี่ชุดได้เงินมาห้าแสนกว่า ไป๋มู่ชิงรีบกลับไปโรงพยาบาลหงเอิน เธอไปชำระค่ารักษาและจ้างพยาบาลพิเศษคนหนึ่งไว้ดูแลเสี่ยวลี่
เธอเอาเงินที่เหลือให้จ้าวเฟยหยาง และพูดด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “เฟยหยาง ขอโทษทีนะ ช่วงนี้ฉันไม่ค่อยสะดวกมาดูแลเสี่ยวลี่ที่โรงพยาบาล คงต้องลำบากเธอหน่อยนะ”
ตอนนี้เธอกำลังตั้งครรภ์ และเป็นสามเดือนแรกที่ต้องระวังเป็นพิเศษ ในโรงพยาบาลอาจมีเชื้อโรคต่างๆ เธอจะมาบ่อยๆก็คงไม่ดี อีกอย่างคุณผู้หญิงเองก็คงไม่ยอมให้เธอออกมาข้างนอกบ่อยๆแน่
จ้าวเฟยหยางรู้ว่าบ้านหนานกงมีกฏระเบียบเข้มงวด เขาเองก็ไม่กล้ารบกวนให้เธอมาดูแลเสี่ยวลี่ เป็นเขาเองที่รู้สึกเกรง แล้วเขาก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าเกรงใจ “เธอเอาเงินมาช่วยเยอะขนาดนี้ ฉันเองยังไม่รู้เลยว่าจะคืนเธอได้เมื่อไหร่”
“คืนอะไรกัน การรักษาเสี่ยวลี่เป็นหน้าที่ของเราทุกคน”
“ฉันเป็นคนเอาเขามาเลี้ยงเอง ไม่คิดว่าจะทำให้ทุกคนต้องมาลำบากไปด้วย” จ้าวเฟยหยางพูดด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
“เอาเถอะ อยากโทษตัวเองอีกเลย” เพื่อให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นไป๋มูนชิงทำเป็นยิ้มร่าเริง “เดี๋ยวนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ เธอก็รู้ว่าตอนนี้ฉันเป็นใคร ห้าแสนสำหรับฉันแล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย”
ใช่สินะ ตอนนี้เธอเป็นถึงนายหญิงน้อยของบ้านตระกูลหนานกงและจะได้เป็นคุณผู้หญิงของบ้านหนานกงในอนาคต มีแต่ความรุ่งโรจน์และความมั่งคั่งมากมายรอเธออยู่
คิดได้แบบนี้ในใจของจ้าวเฟยหยางก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
หลังจากดูแลเสี่ยวลี่ที่โรงพยาบาลอยู่พักหนึ่ง ไป๋มู่ชิงก็เห็นว่าใกล้ถึงเวลาทานข้าวเย็นแล้ว เธอจึงรีบกลับบ้านเพื่อให้ทันเวลา
กลับถึงบ้านหนานกง ไป๋มู่ชิงเดินผ่านห้องรับแขกพบว่าไม่มีคนอยู่ เธอจึงรีบเดินไปทางบันไดเพื่อขึ้นไปยันห้องนอนตัวเอง นึกว่าเธอรอดละไม่ต้องเผชิญกับคนในบ้านหนานกง ใครจะไปคิดว่าจะไปเจอเข้ากับหนานกงเฉินที่เดินออกจากห้องนอนพอดี
เธอชะงักไปนิดหนึ่งก่อนจะรีบเอาถุงเสื้อในมือซ่อนไว้ข้างหลัง
ตอนแรกหนานกงเฉินก็ไม่ได้สนใจอะไรเธอมาก แต่เห็นท่าทางเธอแบบนั้นเข้า เขาเลยหยุดมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนขมวดคิ้วเข้มแล้วพูด “เสื้อที่เพิ่งซื้อล่ะ?”
เขาจำได้ว่าตอนที่แยกกันหน้าโรงพยาบาล ในมือเธอถือถุงสือไว้สี่ห้าใบ แต่ตอนนี้เห็นแค่ใบเดียว
“ฉัน…….” ไป๋มู่ชิงอ้างปากค้างไม่รู้จะตอบเขายังไง
ต้องโกหกยังไงดีนะเขาถึงจะเชื่อว่าเสื้อยังอยู่? ดูท่าแล้วพูดยังไงเขาก็คงไม่เชื่อแน่?
“เอาไปคืนแล้วเหรอ?”
ไป๋มู่ชิงตกใจ เขารู้ได้ไง!
ทีนี้คงไม่ต้องโกหกอะไรละ ขืนพูดโกหกไปอีกคงมีแต่จะสร้างปัญหาให้ตัวเอง
“ขอโทษค่ะ เธอก้มหัวลงพยายามแสดงให้เห็นว่ารู้สึกผิดอย่างมากมาย “เสี่ยวลี่ต้องผ่าตัดด่วน ไม่งั้นเขาต้องตายแน่…….”
“เพราะงั้นเธอก็เลยเอาเสื้อไปคืนเหรอ?” หนานกงเฉินโกรธจนไม่รู้จะพูดอะไร
“ขอโทษค่ะ……”
“คุณหนูไป๋” หนานกงเฉินกัดฟันพูด “เธอรู้มั้ยว่าเวลาของฉันมีค่าแค่ไหน? เวลาครึ่งวันที่ฉันพาเธอไปซื้อเสื้อนั้น ฉันสามารถหาเงินได้เป็นสิบเท่าร้อยเท่าของห้าแสนแล้ว เธอรู้มั้ยว่าฉันไม่เคยพาผู้หญิงคนไหนไปซื้อเสื้อมาก่อน แต่นี่เธอกลับเอาเสื้อที่ฉันซื้อให้ไปคืนเหรอ?”
ไม่เคยพาผู้หญิงคนไหนไปซื้อเสื้อเลยเหรอ? จะเป็นไปได้ยังไง? ข้างกายเขามีผู้หญิงมากมายขนาดนั้น
ก็ใช่สิ ก่อนหน้านี้เขาใช้ชีวิตอย่างลึกลับขนาดนั้น ไหนเลยจะพาผู้หญิงไปเดินชอปปิ้งได้? ว่าแต่…..คุณหนูจูคนนั้นก็ไม่เคยพาไปเหรอ?
ไป๋มู่ชิงใช้เล็บหยิกฝ่ามือเตือนตัวเองนี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาอยากรู้อยากเห็น
“แล้ว….คุณจะให้ฉันทำยังไง? จะให้มองดูเสี่ยวลี่ตายไปต่อหน้าต่อตาหรือไง” เธอก้มหน้าถามเขาเบาๆ
“ต้องการใช้เงิน ทำไมเธอไม่บอกฉันโดยตรง?” หนานกงเฉินพูดอย่างโมโห
ไป๋มู่ชิงเงยหน้าขึ้นมามองเขาอย่างแปลกใจ เธอไม่ได้ฟังผิดใช่มั้ย? เขาบอกว่าต้องใช้เงินทำไมไม่บอกเขาโดยตรง? หมายความว่าถ้าเมื่อกี้เธอขอเขา เขาก็จะให้เธอเหรอ?
ไม่ใช่มั้ง จำได้ว่าเขาเพิ่งจะว่าเสี่ยวลี่เป็นเด็กไร้มารยาทไม่มีหัวนอนปลายเท้าอยู่เลย แล้วจะยอมเสียเงินก้อนใหญ่ขนาดนั้นให้เขาไปผ่าตัดจริงเหรอ?
อันที่จริงแล้วเธอรักและห่วงใยเสี่ยวลี่มากเพราะว่าเสี่ยวลี่เหมือนน้องชายเธอที่เป็นโรคหัวใจแต่กำเนิดเหมือนกัน และยังเข้มแข็งน่ารักเหมือนกันอีก ทุกครั้งที่เธอเห็นเสี่ยวลี่ก็จะคิดถึงน้องชายเสมอ
ถ้าเสี่ยวลี่ตายเพราะโรคหัวใจขึ้นมากจริงๆ เธอคงเสียใจมาก เธอกลัวและกังวลว่าเสี่ยวยี่ก็จะลงเอยแบบนั้นเหมือนกัน
แต่ทำไมหนานกงเฉินถึงยอมให้เงินเสี่ยวลี่ไปผ่าตัดด้วยล่ะ? ครั้งก่อนก็หาที่พักให้เด็กๆ หรือเป็นเพราะว่า…..เขามีภรรยาที่หาแต่เรื่องให้ เลยอยากรีบแก้ปัญหาให้หมดๆไป?
“ทำไมต้องแปลกใจขนาดนั้น? หรือว่าเธอคิดว่าเงินแค่นี้ฉันไม่มีปัญญาจ่าย?” หนานกงเฉินเลิกคิ้วขึ้น
“ไม่ใช่……”ไป๋มู่ชิงส่ายหน้า
มีปัญญาจ่ายหรือไม่ กับยอมจ่ายหรือไม่ มันคนละเรื่องกัน เธอขยับปากก่อนพูดว่า: “ฉันแค่……นึกไม่ถึง ฉันนึกว่าคุณจะลงโทษฉันอย่างหนักซะอีก”
“ถ้าลงโทษเธอแล้วช่วยให้เธอยุ่งเรื่องชาวบ้านน้อยลง ฉันก็อยากจะทำเหมือนกัน!” หนานกงเฉินกัดฟันพูดอย่างเหลืออด เขาหยิบกระเป๋าตังค์ออกมา แล้วหยิบบัตรสีทองใบหนึ่งโยนให้เธอพร้อมพูดเสียงต่ำ “พรุ่งนี้ไปซื้อเสื้อที่เลือกไว้วันกลับมาด้วย”
“ไม่ต้องก็ได้ค่ะ ฉันเก็บไว้ชุดหนึ่ง…..” ไป๋มู่ชิงพูดยังไม่ทันจบหนานกงเฉินก็เดินหายเข้าไปทางบันไดแล้ว

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset