เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 72 ไม่เคยเห็นเขาในสภาพแย่ขนาดนี้

“ได้ยินมาว่าคุณหนูจูเป็นคนเมืองหยาน?” ไป๋มู่ชิงถามอย่างอดไม่ได้ ถามเสร็จก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองน่าโดนตี ความสัมพันธ์ของเธอกับหนานกงเฉิน ยังไม่ถึงขั้นคุยเปิดใจได้?
ตอนแรกคิดว่าหนานกงเฉินจะโกรธแล้วตำหนิเธอ หรือลุกเดินหนีไปอย่างเย็นชา ไม่คิดว่าเขาจะตอบ’อืม’เบาๆ หลังจากเงียบไปครู่นึง
ไม่น่าเชื่อที่เขายอมเปิดปากพูดเรื่องส่วนตัว ไป๋มู่ชิงเหมือนได้รับความโปรดปรานอย่างไม่คาดฝันจนประหลาดใจ
“รู้จักกันที่นี่หรอ?” เธอลองถาม
“ใช่”
“นั้น……ฉากที่พวกคุณเจอกันต้องโรแมนติกมากแน่ๆ”
“ไม่โรแมนติกเลยสักนิด”
“เป็นไปได้ยังไง!” ไป๋มู่ชิงมีท่าทางสงสัย
ผู้ชายที่เพียบพร้อมอย่างเขา ถ้าไม่ได้พบกันในฉากที่ดอกไม้หรือหิมะโปรยปราย จะทำให้ใจเขาหวั่นไหวได้ยังไง?
หนานกงเฉินไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง พูดว่า: “ตอนที่เจอเธอครั้งแรก เป็นคืนฝนตกที่เหน็บหนาวมาก ผมหลงทางในซอยนี้ และบังเอิิญอาการกำเริบ เธอเป็นคนช่วยผมไว้ ตอนนั้นผมกัดมือของเธอจนเลือดออก เธอไม่เพียงแต่ไม่หนีผมไป ยังแอบพาผมกลับบ้าน ซ่อนผมไว้ใต้เตียงเธอ”
ครู่หนึ่ง เขาพูดต่อ: “เธอเป็นคนแรกที่ไม่กลัวผม ไม่ทอดทิ้งผม แม้ว่าตอนนั้นเธออายุเพียงแค่ 7 ขวบเท่านั้น”
7ขวบ คืนฝนตก ใต้เตียง……ทำไมเธอจึงรู้สึกคุ้นกับเหตุการณ์นี้จัง? หรือเคยเห็นฉากใกล้เคียงกันในภาพยนตร์?
“เอ่อ……7ขวบคุณก็ชอบคนอื่นแล้วหรอ?” ไป๋มู่ชิงอดไม่ได้ที่จะแขวะต่อ: “นี่มันไม่เร็วไปหน่อยหรอ?”
หนานกงเฉินชายตามองเธอเล็กน้อย: “ผมหาเธอเจอหลังจากนั้น จัดการดูแลครอบครัวเธอ แล้วรับเธอไปอยู่เมืองซี”
“อ้อ ฉันเข้าใจแล้ว โตขึ้นเลยกลับมาทดแทนบุญคุณ แล้วตกหลุมรักเธอ”
หนานกงเฉินไม่ได้ตอบเธอ แสดงว่ายอมรับแล้ว
ตั้งแต่ไปจากที่นี่ ในจิตใต้สำนึกเขาก็เกิดความเชื่อแบบนั้นขึ้น นอกจากเธอ ในชาตินี้เขาจะไม่มีคนอื่น ไม่สนว่าจะเป็นคนรักเมื่อชาติก่อนหรือเป็นคู่ชีวิตที่ถูกกำหนดไว้แล้ว ก็ไม่เอาทั้งนั้น!
เมื่อเขากลับมาที่นี่อีกครั้ง เขาก็รักเธออย่างไม่ต้องสงสัย พาเธอกลับไป แล้วมอบความรักทั้งหมดกับเธอ
แม้กระทั่ง……
“จริงสิ มีข้อนึงที่ฉันไม่เข้าใจ ทำไมเธอถึงซ่อนคุณไว้ใต้เตียง?” ไป๋มู่ชิงนึกขึ้นได้ จึงถามอย่างสงสัย
“เพราะว่าครอบครัวของเธอไม่ดีกับเธอ เธอกลัวว่าพวกเขาจะโยนฉันออกไป” หนานกงเฉินตอบ
ไป๋มู่ชิงหัวเราะเหอๆ : “การพบเจอแบบนี้ไม่โรแมนติด แต่ก็สนุกดีนะ”
“แต่ว่า สุดท้ายเธอก็จากไป หายไปแบบไร้ร่องรอย”
บรรยากาศเงียบลงอีกครั้ง
ไป๋มู่ชิงมองสีหน้าเขาที่มีความเศร้าแวบขึ้นมา แม้ว่าอยากถามให้มากกว่านี้ ในตอนที่เขายอมพูด แต่ในใจเธอกลับทำไม่ลง จึงยิ้มแล้วปลอบใจ: “ช่างเถอะ อย่าเสียใจเลย เขาพูดถูกนะ ในชีวิตหนึ่งมีใครบ้างที่จะไม่เจอคนแย่ๆสักคนสองคน?”
“เธอไม่ใช่คนแย่ๆ” แววตาเขาหมองลงและจ้องเธออย่างไม่พอใจ
แม้ว่าเธอจะทำผิดต่อเขา แต่เขาก็ยังคงไม่ยอมให้ใครทำร้ายเธอ
ในจิตใต้สำนึก หนานกงเฉินจำเหตุการณ์ที่เธอซ่อนเขาไว้ใต้เตียงและคอยดูแลเขาอย่างระวังในตอนแรกมากกว่า เหตุการณ์ที่เธอได้ยินข่าวเรื่องอาการของเขาแล้วเลือกที่จะหายตัวไป
ดังนั้นในขณะที่เขาแค้นเธอ กลับไม่สามารถที่จะไม่รักเธอ ไม่คิดถึงเธอ
ไป๋มู่ชิงนิ่งอึ้งไป รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย: “เอ่อ……ขอโทษนะ ฉันไม่ได้มีความหมายจะดูถูกเธอ”
เพื่อไม่ดึงเรื่องเสียใจของเขาในอดีตต่อไป ไป๋มู่ชิงลุกขึ้นจากเก้าอี้หิน ส่งยิ้มให้เขาแล้วพูดว่า: “พอเถอะ เราอย่าพูดถึงเรื่องเสียใจในอดีตเลยนะ ไปเถอะ ฉันพาคุณไปที่ที่หนึ่ง”
“ไปไหน?” หนานกงเฉินไม่ได้สนใจนัก
“ไปถึงคุณก็รู้เองแหละ” ไป๋มู่ชิงเห็นเขาไม่ขยับ จึงเดินเข้าไปดึงแขนเขาให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ลากเขาเดินไปยังประตูใหญ่
10 นาทีหลังจากนั้น ทั้งสองคนยืนอยู่บนถนนขายของกินท้องถิ่นที่เต็มไปด้วยผู้คน
จริงๆ แล้วระหว่างทางที่มา ไป๋มู่ชิงไม่แน่ใจว่าถนนสายนี้ยังอยู่ไหม ตอนนี้มาเห็นว่าตลาดยังอยู่และครึกครื้นกว่าเดิมด้วย แอบรู้สึกดีใจมาก
จำได้ว่าตอนเด็กของกินท้องถิ่นในถนนสายนี้มีมากที่สุดและอร่อยที่สุด ดูจากตอนนี้แล้ว ก็คงไม่ต่างกัน
ไม่ได้กินอาหารท้องถิ่นของที่นี่นานแล้ว คิดถึงมากๆ
หนานกงเฉินมองคนมากมายตรงหน้า คิ้วขมวดเข้าหากันอย่างเคยชิน: “ที่นี่คือที่ที่เธอบอกว่าดีหรอ?”
“ใช่สิ ทาโกะยากิข้างในนี้อร่อยมาก มั่นใจว่าคุณไม่เคยกิน ไป๋มู่ชิงไม่ต้องคิดก็เดาได้ว่า คุณชายที่ฐานะดีอย่างเขา ต่อให้มาเมืองหยานบ่อยก็ไม่มีทางมากินอาหารพื้นเมืองในสถานที่แบบนี้แน่
“ผมไม่สนใจอาหารพื้นเมือง” หนานกงเฉินพูดอย่างไม่ชอบใจ หมุนตัวเดินจากไป
“อย่าเพิ่งสิ!” ไป๋มู่ชิงรีบลากเขากลับมา: “อร่อยมากจริงๆ นะ ไม่ได้โกหก”
“ฉันบอกแล้วฉันไม่อยากกิน”
ถ้าคนอื่นมาเห็นประธานหนานกงกรุ๊ปมาเบียดกับนักท่องเที่ยวเพื่อกินอาหารพื้นเมือง มันดูไม่ดี อีกอย่าง อาหารข้างทางดูแล้วไม่ถูกสุขอนามัยเลย
“กว่าจะมาสักครั้งไม่ง่าย คุณไม่อยากกินแต่ฉันอยาก” ไป๋มู่ชิงนำแว่นกันแดดที่เขาเกี่ยวไว้บนคอเสื้อใส่ให้เขา จากนั้นยิ้มพลางคล้องแขนเขาแล้วพูดว่า: “คุณวางใจเถอะ คนที่อยู่ที่นี่ต่างมาเพื่ออาหารเลิศรส ไม่มีใครสนใจคุณหรอก”
หนานกงเฉินไม่ทันหลบผู้คน ก็ถูกเธอดึงเข้าไปในกลุ่มคนอย่างไม่เต็มใจ ตามนิสัยของเขา ควรสะบัดมือเธอออกแล้วกลับไปถึงจะปกติ แต่เห็นสีหน้าตื่นเต้นดีใจของไป๋มู่ชิงแล้ว จึงเก็บความไม่พอใจในใจไว้แล้วเดินตามเธอไป
แค่ไม่กี่นาที ในมือไป๋มู่ชิงข้างหนึ่งถือเนื้อแกะย่าง อีกข้างเป็นลูกชิ้นปลา เธอกินอย่างมีความสุข
เห็นข้างหน้ามีร้านขายแพนเค้กต้นหอม เธอหันหลังยื่นลูกชิ้นปลาให้หนานกงเฉิน: “ช่วยฉันถือหน่อย”
“สกปรกจะตาย เธอถือเองสิ” หนานกงเฉินไม่พอใจ
“แค่แปปเดียว” ไป๋มู่ชิงยัดลูกชิ้นใส่มือเขา
“ถือไม่ไหวอยู่แล้ว เธอยังจะซื้ออีกหรอ?” หนานกงเฉินจ้องไปยังแผ่นหลังที่กำลังวิ่งไปข้างหน้า คิดในใจว่าผู้หญิงคนนี้กินเก่งเกินไปแล้ว?
ไป๋มู่ชิงซื้อแพนเค้กต้นหอมมาสองชิ้น ส่งชิ้นนึงให้เขา: “แพนเค้กต้นหอมที่นี่ขึ้นชื่อมาเลยนะ คุณลองชิมดู”
“ผมไม่กิน เธอกินเอง”
“คุณผู้ชาย……” ไป๋มู่ชิงมองบนอย่างจนคำพูด ชี้ไปยังผู้ชายที่สะพายกระเป๋าLVรุ่นใหม่: “คุณดูคุณผู้ชายคนนี้ แล้วก็เขา……นั่นอามานี่คนนั้น พวกเขาก็คนมีฐานะ ก็ไม่เห็นมีใครถือหรือหิ้วของกินไว้ในมือเหมือนคุณ ไหนๆก็มาถึงนี่แล้ว ก็ควรทำตามประเพณีที่นี่ ลองเรียนรู้ขนบธรรมเนียมประเพณีที่นี่จะได้ไม่เสียเที่ยวไง ไม่งั้นคุณมาไกลขนาดนี้เพื่ออะไร?
“ผมมาทำงาน”
“……”
ไป๋มู่ชิงกระแอม แล้วเปลี่ยนวิธี: “ก็ได้ งั้นฉันขอถามคุณ ตอนนี้คุณหิวไหม?”
ตอนนี้ก็หกโมงเย็นแล้ว เป็นช่วงเวลาอาหารเย็น จะไม่หิวได้ยังไง
“ถ้าหิวคุณก็กิน” ไป๋มู่ชิงยื่นแพนเค้กต้นหอมไปใกล้ปากเขา: “กินอย่างสง่าผ่าเผย อย่าทำท่าทำทางเหมือนสาวน้อย”
เธอพูดต้อนเขาจนจนมุมขนาดนี้ ถ้าหนานกงเฉินไม่กินอีกก็เป็นสาวน้อยที่ดัดจริตนะสิ? เขาเหลือบมองเธออย่างไม่พอใจ จึงอ้าปากกัดแพนเค้กต้นหอมไปคำนึง
เขายอมกินสักที ไป๋มู่ชิงยิ้มอย่างดีใจ: “อร่อยไหม?”
“ก็ดี” หนานกงเฉินไม่ได้อยากโกหก
ตลาดของกินพื้นเมืองมีหลายอย่างที่อร่อยไม่แพ้โรงแรมที่มีระดับ เขารู้อยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ชินกับการกินในสถานที่แบบนี้เท่านั้น
จากที่เขาหิวอยู่แล้ว และยังถูกไป๋มู่ชิงพูดดักคอไว้ขนาดนี้ พอกินไปคำแรกก็ไม่สามารถหยุดกินได้อีกเลย เขาได้ชิมอาหารพื้นเมืองเกือบทุกอย่างตามที่ไป๋มู่ชิงแนะนำ
หลังจากเดินตลาดอาหารพื้นเมืองแล้ว ไป๋มู่ชิงพาเขามาเดินตลาดสินค้าชั้นนำ แล้วลากเขาไปยังบาร์แห่งหนึ่งที่มีความโดดเด่นเพื่อฟังดนตรีสดสักหน่อย
ในบาร์เหล้า พนักงานแนะนำค็อกเทลขึ้นชื่อของร้าน ไป๋มู่ชิงส่ายหัวปฏิเสธ
เมื่อกี้อดใจไม่ไหวกินอาหารประเภททอดไปไม่น้อยเลย ตอนนี้เริ่มรู้สึกผิดและโทษตัวเอง จึงไม่กล้าดื่มเหล้าอีก ยังดีที่สุขภาพเธอดี เด็กจึงสมบูรณ์ดี
“ขอน้ำผลไม้สองแก้ว ขอบคุณค่ะ” เธอพูดกับพนักงาน
ไม่ช้า น้ำผลไม้ก็ถูกเสิร์ฟให้ทั้งสองคน
หนานกงเฉินกวาดสายตามองน้ำผลไม้บนโต๊ะ มองเธอแล้วพูดว่า: “มาเที่ยวบาร์แต่ไม่ดื่มเหล้า?”
“ฉัน……กลัวเมา คุณต้องแบกฉันกลับไป” ไป๋มู่ชิงหัวเราะเหอๆ
“เธอคิดมากไปแล้ว อย่างมากผมก็แค่โทรให้คนมาแบกเธอกลับไป”
“ไร้น้ำใจ คราวหน้าถ้าคุณเมาอย่ามาหาฉันนะ” ไป๋มู่ชิงพึมพำ
หนานกงเฉินทำเหมืือนไม่มีอะไรยกน้ำผลไม้ขึ้นดื่ม สายตาตกอยู่ที่นักร้องหน้าเวทีขนาดเล็ก
นั่นเป็นหญิงสาวที่เซ็กซี่และมีเสน่ห์ แต่เสียงร้องกลับหวานอย่างมีชั้นเชิง กำลังขับร้องเพลงพื้นเมืองแดนเกิดแห่งน้ำอย่างตั้งใจ เสียงเพลงอันไพเราะดึงดูดชายหนุ่มในร้านได้ไม่น้อย
ทั้งสองเดินช็อปจนเหนื่ิอย ดื่มน้ำผลไม้ ฟังเสียงเพลงที่ไพเราะขนาดนี้ก็เป็นการเสพสุขอย่างนึง
พนักงานหนุ่มคนนึงเดินเข้ามาหา อมยิ้มแล้วพูดกับที่งสองคนว่า: “รบกวนท่านทั้งสองหน่อยครับ วันนี้ร้านเราฉลองครบรอบ10ปี มีกิจกรรมฉลองวันนี้และพรุ่งนี้ ก็คือรวบรวมจูบอันหวานซึ้งของคู่รัก……”
“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณ” หนานกงเฉินตัดบท
ไป๋มู่ชิงกลับถามขึ้นด้วยความสงสัย:​ “มีรางวัลอะไรหรอคะ?”
“ทางร้านจะมีแหวนเงินคู่เป็นของขวัญ” พนักงานนำแหวนคู่ที่อยู่ในมือส่งให้ทั้งสองคน
แหวนคู่นี้ดูแล้วราคาไม่แพงอะไร แต่การออกแบบเก๋ไก๋มาก หนานกงเฉินไม่แม้แต่จะมอง ไป๋มู่ชิงเป็นผู้หญิง ย่อมสนใจของจุกจิกพวกนี้อยู่แล้ว
พนักงานพูดต่อว่า: “พวกเราจะสลักชื่อของทั้งสองท่านในแหวน เป็นแหวนคู่สำหรับคู่รักสองท่านเท่านั้น และจะจัดส่งไปยังที่พักของท่านในวันมะรืนนี้”
“การออกแบบของแหวนดูไม่เลวเลยนะ พวกเราจูบกันหน่อยนะ” ไป๋มูชิงยิ้มให้หนานกงเฉิน
หนานกงเฉินชายตามองเธอแบบไม่พอใจ แตะแว่นกันแดดบนหน้าเล็กน้อย: “อยากได้แหวนแบบไหนผมจะให้เลขาเหยียนไปสั่งทำให้เธอ”
ผู้หญิงคนนี้เดาไม่ออกหรอ บาร์เหล้าตั้งใจรวบรวมรูปของหนุ่มหล่อสาวสวยเพื่อประดับกระจกหน้าร้านให้คนชม
แม้ว่าผับบาร์แถวนี้มีเยอะมาก ทุกแห่งตกแต่งด้วยแสงไฟหลากสี ไม่มีใครสังเกตหน้าคนในรูปอยู่แล้ว แต่การติดรูปให้คนอื่นชมมันไม่ดี อีกอย่างเขาไม่ไม่ได้สนใจแหวนราคาถูกนี้เลยสักนิด
“นั้นไม่เหมือนกัน” พนักงานหนุ่มพูดต่อ: “แหวนคู่นี้เป็นแหวนที่แลกจากจูบอันหวานชื่นของทั้งคู่ และยังสลักชื่อของทั้งสองท่านด้วย ความหมายไม่ธรรมดาเลยนะครับ”
“ใช่เลย” ไป๋มู่ชิงพยักหน้าเห็นด้วย ตามด้วยคล้องแขนของหนานกงเฉินแล้วเขย่าไปมา: “พวกเราใช่ว่าจะไม่เคยจูบกันสักหน่อย แค่จูบเดียวเอง ฉันชอบแหวนคู่นี้”
เห็นหนานกงเฉินไม่ยอมใจอ่อน ไป๋มู่ชิงไม่พอใจ หันไปพูดกับพนักงานหนุ่มแบบงอนๆ: “ไม่จำเป็นต้องจูบกับแฟนตัวเองอย่างเดียวถึงนับใช่ไหม? คุณช่วยหาชายหนุ่มมาให้ฉันคนนึง เอ่อ……คนนั้นก็ได้” ชี้นิ้วไปยังหนุ่มหล่อคนนึงที่อยู่ไม่ไกล
สีหน้าของหนานกงเฉินหมองลง ไม่พอใจแล้ว
พนักงานอ้าปาก แต่ไม่รู้จะตอบเธอยังไง เป็นครั้งแรกที่เจอสถานการณ์แบบนี้ เมื่อกีี้เห็นหนุ่มสาวคู่นี้หน้าตาดีอยู่ตรงหน้า จึงมารวบรวมรูปจูบแค่นั้น ไม่คิดว่าชายหนุ่มจะไม่ให้ความร่วมมือขนาดนี้
“อันนี้……ก็ไม่ได้มีกฏว่าห้ามนะครับ แต่ว่า……”
“นั้นก็ได้นะสิ” ไป๋มู่ชิงตอบ: “ฉันว่าเขาดูใจดีออก เรื่องเล็กแค่นี้น่าจะช่วยได้อยู่แล้ว คุณช่วยฉัน……”
ไป๋มู่ชิงยังพูดไม่ทันจบ หนานกงเฉินใช้มือข้างหนึ่งล็อคแขนเธอแล้วหันตัวเธอมา มืออีกข้างนำหมวกที่เธอวางไว้ข้างโต๊ะมาใส่ให้เธอ และหันไปพูดรอดไรฟันกับพนักงานว่า: “กล้องถ่ายรูป”
พนักงานชะงักไปเล็กน้อย แต่ดึงสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว รีบตอบ’ครับ’ไปหลายคำแล้วยกกล้องถ่ายรูปที่ห้อยอยู่กลางอกขึ้นมาโฟกัสทั้งสองคน
ไป๋มู่ชิงแอบยิ้มในใจ เธอรู้อยู่แล้วว่าคนที่หวงของตัวเองมากอย่างเขาไม่มีทางยอมให้ชายอื่นจูบภรรยาตัวเองแน่นอน!
เธอใช้มือจัดหมวกบนหัวเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วหลับตา
หนานกงเฉินพรมจูบลงมา จูบเธอด้วยความรู้สึกลงโทษ และจงใจใช้ฟันกัดริมฝีปากของเธอ
“โอเค! สวย” พนักงานพูดอย่างพึงพอใจมาก ส่งหน้าจอให้ทั้งสองดู: “ดูสิครับ จูบได้ดีมากๆ เลย”
คนสองคนในรูปดูแล้วเหมือนจูบกันอย่างดูดดื่นหวานชื่น อีกอย่างหนานกงเฉินใส่แว่นกันแดด ไป๋มู่ชิงใส่หมวก ถ้าไม่เพ่งมองไม่มีทางรู้เลยว่าเป็นพวกเขา
“รบกวนกรอกที่อยู่ตรงนี้ ผมจะส่งรูปถ่ายไปให้พวกท่านด้วย ขอบคุณทั้งสองท่านอีกครั้งครับ” พนักงานชี้ไปยังสมุดคอมเม้นท์บนโต๊ะ โค้งให้ทั้งสองด้วยความรู้สึกขอบคุณ และเดินจากไปอย่างพอใจ
หลังพนักงานจากไป ไป๋มู่ชิงมองหนานกงเฉินที่สีหน้ายังคงไม่พอใจ คิดถึงฉากที่เขากัดตัวเอง มือแตะตรงจุดที่โดนกัดเมื่อครู่ รู้สึกเขินขึ้นมานิดๆ
ออกจากบาร์เหล้า ทั้งสองตรงกลับไปพักผ่อนที่โรงแรมทันที
เมื่อไป๋มู่ชิงออกจากห้องน้ำหลังอาบน้ำ พบว่าหนานกงเฉินหลับตานอนอยู่บนเตียง เงยหน้ามองนาฬิกาบนผนัง ยังไม่ทันสามทุ่มครึ่งเลย นอนไวจังเธอคิดในใจ
เมื่อครู่ตอนอาบน้ำ เธอยังคิดอยู่เลยว่าคืนนี้จะรับมือกับเขายังไงดี ตอนนี้เขาหลับไปแล้ว เธอก็รู้สึกวางใจ
ในขณะที่รู้สึกวางใจ ก็อดรู้สึกใจหายเล็กๆ เสียความรู้สึกหน่อยๆ เขาเป็นอะไร? หรือว่าอยู่ในถิ่นของรักแรกของเขาก็ไม่มีใจอยากแตะต้องตัวผู้หญิงอื่นหรอ?
รู้สึกหึงเล็กๆ ไป๋มู่ชิงเดินไปนั่งที่เตียง ใช้มือกระทุ้งเขา
หนานกงเฉินไม่ได้หลับ แต่ก็ไม่ได้ลืมตา แค่พูดเบาๆว่า: “อย่าโดนตัวผม”
“เป็นอะไร? ไม่สบายหรอ?”
“อืม”
“ไม่สบายจริงๆ หรอ?” ไป๋มู่ชิงรู้สึกร้อนใจขึ้นมา เป็นไปได้ยังไง? เขาอาการกำเริบอีกแล้วหรอ? ทำยังไงดี? ต้องเรียกรถพยาบาลไหม?
“ไม่สบายตรงไหนหรอ? ต้องส่งคุณไปโรงพยาบาลไหม?” เธอถามอย่างร้อนใจ
“ไม่สบายท้อง”
“ไม่สบายท้องหรอ? ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ?”
หนานกงเฉินลืมตาขึ้น จ้องเธอ: “กินอาหารขยะเข้าไปตั้งเยอะ จะสบายท้องได้ยังไงล่ะ?”
หมายความว่ายังไง? ไป๋มู่ชิงคิดสักครู่ แล้วเริ่มเข้าใจ เขากำลังโทษเธอที่พาเขาไปกินอาหารพื้นเมืองพวกนั้น ทำให้เขาท้องเสีย
“สำออย ฉันกินเยอะกว่าคุณ ไม่เห็นฉันเป็นอะไรเลย?” แม้ไป๋มู่ชิงจะพูดแบบนี้ แต่ก็ลุกขึ้นจากเตียงแล้วพูดว่า: “ก็ได้ ฉันไปซื้อยาช่วยย่อยมาให้แล้วกัน”
ที่ทั้งสองพักเป็นโรงแรมแบบวิลล่า แถวนี้ไม่มีร้านขายยาเลย โชคดีที่ที่นี่ห่างจากตัวเมืองไม่มากนัก เธอจึงเรียกรถไปยังร้านยาที่ใกล้ที่สุดแล้วซื้อยาช่วยย่อยและยาอื่นๆ ที่เกี่ยวกับระบบย่อยอาหารกลับมา
เมื่อเธอกลับมาถึง หนานกงเฉินก็หลับไปแล้ว
เธอเบาฝีเท้าลงอย่างไม่รู้ตัว รินน้ำอุ่นแก้วหนึ่งแล้วเดินไปหาเขาแล้วเรียกเบาๆ: “คุณชายใหญ่ คุณหลับหรือยังคะ?”
ตอนแรกเธอคิดว่าถ้าเขาหลับไปแล้วก็ช่างเถอะ ไม่คิดเลยว่าเธอเรียกเบาๆหนานกงเฉินก็ตื่นแล้ว เขาลืมตาขึ้นกวาดสายตาไปที่เธอ: “ทำไมไปนานจัง?”
“แถวนี้ไม่มีร้านยาเลย ฉันเรียกรถไปซื้อในเมือง” ไป๋มู่ชิงวางแก้วน้ำในมือลง พยุงตัวเขาขึ้น แล้วนำยาใส่ในมือเขา
หลังดูแลเขาทานยาเสร็จแล้ว มองเขาหลับไป ไป๋มู่ชิงเริ่มรู้สึกง่วง หลังจากลังเลมองเขาหลับอยู่สักพัก จึงเลิกผ้าห่มขึ้นแล้วนอนข้างตัวเขา
ชั้นบนชั้นล่างรวมๆกันมีห้องทั้งหมดสี่ห้อง แต่อากาศแบบนี้ถ้านอนคนเดียวจะรู้สึกหนาวไปหน่อย นอนข้างตัวเขาสบายกว่าเยอะ ใช่ เพราะว่าหนาว ไป๋มู่ชิงปลอบใจตัวเอง
วันรุ่งขึ้น ไป๋มู่ชิงลืมตาเห็นหนานกงเฉินใช้แขนค้ำประตูห้องน้ำ มืออีกข้างเท้าเอวไว้ สภาพเหมือนคนกำลังจะตาย
หลายวันมานี้ แค่หนานกงเฉินมีอาการผิดปกตินิดหน่อย ไป๋มู่ชิงก็จะตื่นเต้นเป็นพิเศษ กลัวอาการเขากำเริบ ตอนนี้เห็นสีหน้าทรมานของเขา เธอรีบลุกขึ้นจากเตียง รีบจนไม่ได้ใส่รองเท้าก็พุ่งตัวไปช่วยพยุงแขนอีกข้างของเขา
“คุณชายใหญ่ คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?” ไป๋มู่ชิงประเมินเขา สีหน้าเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
หนานกงเฉินชายตามองเธอ รู้สึกอายอยู่บ้างแล้วส่ายหน้า: “ไม่เป็นไร”
“นั่นคุณ……”
“ขาอ่อนแรง”
“ขาเป็นอะไร? ทำไมอยู่ดีดีขาอ่อนแรงล่ะ?”
หนานกงเฉินจนคำพูด สีหน้าดูแย่กว่าเดิม: “เพราะถ่ายท้อง”
“ห๊า……?” ไป๋มู่ชิงประหลาดใจ ถ่ายท้องจนขาอ่อนแรง? เห็นสภาพหมดแรงของเขา เธออดไม่ได้ที่จะขำ
ถ้าไม่ใช่เพราะเธอลากเขาไปกินอาหารพื้นเมืองให้ได้ เขาจะถ่ายท้องขนาดนี้หรอ? เธอยังมีหน้ามาหัวเราะอีก?
หนานกงเฉินที่แค้นจนอยากจะฆ่าเธอ ถูกเธอหัวเราะเข้า โมโหมากกว่าเดิม ชายตามองเธอแล้วกัดฟันพูดว่า: “หัวเราะพอหรือยัง?”
ไป๋มู่ชิงรีบหยุดเสียงหัวเราะ แต่ไม่สามารถเก็บรอยยิ้มบนใบหน้าได้ พยายามกลั้นเสียงหัวเราะอย่างสุดความสามารถ กระแอมเบาๆ: “ขอโทษ ฉัน……”
“เธอเป็นอะไร?” หนานกงเฉินรอให้เธอขอโทษ แม้จะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น แต่ก็พอปลอบใจตัวเองได้บ้าง
“ฉันคิดว่าไม่ใช่ความผิดของอาหารพื้นเมืองพวกนั้นหรอก เป็นเพราะคุณสำออยเกินไป” ไป๋มู่ชิงตบอกตัวเองเบาๆ: “คุณดูฉันสิ กินมาไม่รู้กี่ครั้งแล้วไม่เห็นเคยเป็นอะไรเลย”
“ไม่ใช่ผมสำออยหรอก แต่เธอถึกและหนังเหนียวเกินไปต่างหาก……” หนานกงเฉินกัดฟันพูด ยังพูดไม่จบก็รีบวิ่งเข้าห้องน้ำและปิดประตูทันที
‘ปัง’ดังขึ้น ไป๋มู่ชิงถูกขังนอกประตู
“เฮ้! ยังต่ออีกหรอ?” ไป๋มู่ชิงถามผ่านประตู แล้วหัวเราะต่อ: “คนกินตั้งเยอะแยะ ไม่เห็นเป็นอะไรเลย มีแต่เธอที่เป็น โดนผีสาวเข้าสิงแน่นอน?”
เป็นครั้งแรกที่เห็นหนานกงเฉินในสภาพไม่สู้ดีนักขนาดนี้ คิดถึงความจริงจังและความเผด็จการของเขาในแต่ละวัน แล้วดูเขาตอนนี้ เหมือนคนละคนเลย
แม้ว่าเขาในตอนนี้จะน่าสงสาร ไม่ควรกระตุ้นเขาอีก แต่โอกาสแบบนี้หาได้ยากมาก ถึงเวลาแก้แค้นแล้ว
ไป๋มู่ชิงหันหลังพิงประตูห้องน้ำ มือกอดอกแล้วชวนเขาคุย: “คุณชายใหญ่ คุณเคยอ่านหนังสือเล่มนึึงไหม ในหนังสือเขียนว่าเมื่อคุณกลัวคนคนนึงมากๆ ขอให้จินตนาการถึงตอนที่เขานั่งอยู่บนชักโครก ความกลัวก็จะหายไปทันที”
“วิธีนี้ใช้ได้ผลมากๆ เลยนะ สมัยฉันเรียนมหาวิทยาลัยก็ใช้วิธีนี้ฝ่าอุปสรรคการสัมภาษณ์งานนะ เจอผู้คุมสอบเหมือนได้เจอพี่น้องในบ้าน ขาก็หยุดสั่น พูดก็คล่องเลย” ไป๋มู่ชิงยิ้ม แล้วพูดต่อ: “สมัยเรียนฉันก็หางานพิเศษทำ ฝึกฝนตัวเอง ฉัน……”
จู่จู่ประตูห้องน้ำก็ถูกเปิดออก เงาของหนานกงเฉินปรากฏตรงหน้าอีกครั้ง สีหน้าไร้อารมณ์เหลือบมองมายังเธอ: “ถึงว่าเวลาผมเตือนหรือสั่งอะไรเธอก็ทำหูทวนลมตลอด ที่แท้ก็มีท่าไม้ตายนี่เอง……”
“วันนี้ผมจะทำให้เธอเข้าใจว่า หนานกงเฉินที่นั่งอยู่บนชักโครกก็น่ากลัวเหมือนกัน!” หนานกงเฉินพูดพลางใช้มือบีบคอเธอ ไป๋มู่ชิงกลัวจนกรี๊ดพลางถอยหนี
หนานกงเฉินกำลังจะตามไปจัดการเธอ ใช้เทปปิดปากเธอ จู่จู่เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
ไป๋มู่ชิงหยุดหนี แล้วใช้นิ้วชี้แตะริมฝีปากส่งเสียง’ชู่ว์’ไปยังหนานกงเฉิน แล้วเดินไปยังประตู
คนเคาะประตูคือเลขาเหยียน เธอกวาดสายตามองไป๋มู่ชิงในชุดนอนแล้ว โค้งตัวเล็กน้อยอย่างมีมารยาท: “อรุณสวัสดิ์นายหญิงน้อย ไม่ทราบว่าคุณชายเฉินตื่นหรือยังคะ?”
“เขาหรอ? ตื่นอะตื่นแล้ว แต่ว่า……” เธอถาม: “เลขาเหยียนมาหาเขามีเรื่องอะไรหรอ?”
“พิธีเปิดตัวตึกใหม่กำลังจะเริ่มแล้ว คุณชายเฉินแจ้งไว้เมื่อวานว่าจะไปด้วยตัวเอง”
“เรื่องนี้เองหรอ? คุณชายเฉินน่าจะไปไม่ได้แล้วล่ะ” ไป๋มู่ชิงตอบแทนหนานกงเฉินอย่างลำบากใจ
“ทำไมล่ะ?” เลขาเหยียนถามด้วยความห่วงใย: “คุณชายเฉินเป็นอะไรหรอคะ?”

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset