เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 73 ตามหาเธอทั้งคืน

“คุณชายเฉินเขา……เมื่อวานกินอาหารพื้นเมืองเลยท้องเสียค่ะ” ไป๋มู่ชิงตอบพลางหัวเราะ
“คุณชายเฉินกินอาหารพื้นเมืองในตลาดหรอคะ?” สีหน้าของเลขาเหยียนถูกแทนที่ด้วยความประหลาดใจอย่างหนัก เธอฟังไม่ผิดใช่ไหม?
“ใช่ค่ะ” ไป๋มู่ชิงพยักหน้า
เลขาเหยียนประหลาดใจอยู่พักใหญ่ กว่าจะดึงสติกลับมาได้จึงพยักหน้า: “ก็ได้ค่ะ คุณให้คุณชายเฉินพักผ่อนให้หายดีนะคะ ฝากแจ้งเขาว่าเรื่องตึกดิฉันจะจัดการให้เองค่ะ”
“ได้ค่ะ รบกวนเลขาเหยียนด้วยนะคะ”
หลังจากเลขาเหยียนจากไป ไป๋มู่ชิงปิดประตูแล้วเดินเข้าไปในห้อง หนานกงเฉินกลับไปที่เตียงแล้ว เขาขดตัวอยู่ในผ้าห่ม จ้องเธอด้วยสีหน้าไม่พอใจ
หัวเราะก็หัวเราะไปแล้ว แกล้งก็แกล้งไปแล้ว ไป๋มู่ชิงเดินไปรินน้ำอุ่น แล้วหยิบยาจากกล่องยายื่นให้เขา: “กินยาเถอะ รับรองว่าหายทันพรุ่งนี้แน่นอน”
“ฉันต้องการหายวันนี้” หนานกงเฉินพูดอย่างหงุดหงิด
เขาต้องการหายวันนี้? เอาอีกแล้ว นิสัยเผด็จการไร้เหตุผล ไป๋มู่ชิงกรอกตามองบนอย่างจนคำพูด เธอยังอยากให้เขาหายภายใน1นาทีเลย แต่จะเป็นไปได้ยังไง?
“ซื้อยาอะไรมาบ้าง? เอาให้ผมดูให้หมด” หนานกงเฉินพูดต่อ
ไป๋มู่ชิงจึงหยิบถุงใส่ยาแล้วเดินไปหาเขา ข้างในนอกจากยาช่วยย่อย ยาแก้ท้องเสีย ยังมียาแก้อักเสบอีก หนานกงเฉินเปิดกล่องยาทั้งหมด แกะยาออกแล้วกลืนทั้งหมดลง ตามด้วยน้ำอุ่น
ทั้งหมดนี้ผ่านไปไวจนไป๋มู่ชิงไม่สามารถห้ามทัน เธอจ้องเขาแล้วพูดด้วยเสียงต่ำ: “คุณบ้าไปแล้วหรอ กินแบบนี้ระวังเป็นพิษนะ”
หนานกงเฉินวางแก้วลงบนโต๊ะ เอนตัวลง ซุกตัวลงในผ้าห่ม ชายตามองเธอแล้วพูดว่า: “เธอออกไปเดินเล่นตามอัธยาศัยได้แล้ว ห้ามมากวนผมก่อนเที่ยง”
ไป๋มู่ชิงเมื่อโดนไล่ จึงพยักหน้ารับ แล้วออกจากห้องนอนของเขาไป
แม้ว่าหนานกงเฉินจะให้ไป๋มู่ชิงออกไปเดินเล่นเอง แต่ไป๋มู่ชิงก็เป็นห่วงเขา จึงอยู่ในโรงแรม
ตลอดเช้าวันนั้น ไป๋มู่ชิงนอกจากแอบเข้าไปดูอาการของหนานกงเฉินหลายรอบ ก็คือนั่งเล่นเกมส์มือถือบนเก้าอี้ในสวน
จนใกล้ๆ เที่ยง เธอจึงกลับไปต้มโจ๊กรสเกลือที่ครัวชั้น1 พอดูเวลา ก็เริ่มสับสนว่าควรปลุกหนานกงเฉินให้ตื่นมากินมื้อเที่ยงไหม
ไม่ได้กินมื้อเช้า ตอนนี้ต้องหิวมากแน่ๆ
เธอยังคิดไม่ตกว่าควรปลุกไหม เริ่มมีเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยดังมาจากบันไดชั้นบน ตามมาด้วยเงาของหนานกงเฉินปรากฏอยู่ตรงหน้าเธอ
หนานกงเฉินที่อยู่ตรงหน้าเธอสวมสูทเข้ารูป สวมรองเท้าหนังขัดเงา ไม่ได้อยู่ในสภาพแย่เหมือนเมื่อเช้า และยังฟื้นตัวเป็นคนแข็งแรงสดใสเหมือนปกติ
“ไม่ถ่ายท้องแล้วหรอ?” ไป๋มู่ชิงเงยหน้ามองเขาเดินลงมาจากชั้นบน ถามด้วยรอยยิ้ม
หนานกงเฉินมองเธอด้วยสายตาไม่พอใจ พูดประชดว่า: “ทำให้เธอผิดหวังสินะ?”
“ไม่ใช่สักหน่อย” ไป๋มู่ชิงตอบ “ดูเหมือนยาพวกนั้นได้ผลดีเลยนะ”
เห็นเขาเดินตรงไปที่ประตู เธอจึงรีบไปดึงแขนเขาไว้: “อย่าเพิ่งไปสิ ฉันทำโจ๊กรสเกลือไว้ กินก่อนออกไปเถอะ”
เธอพาหนานกงเฉินไปยังโต๊ะอาหารพลางพูดว่า: “ไม่สบายท้องก็อย่าไปกินอาหารโรงแรมเลย กินของรสจืดบำรุงกระเพาะดีกว่า”
หนานกงเฉินตื่นมาเพราะหิว แม้จะหิวมาก แต่ไม่อยากกินอาหารเลย กินอาหารมันๆ เลี่ยนๆ ไม่ลงแน่นอน เมื่อได้ยินไป๋มู่ชิงทำโจ๊กไว้ จึงเดินตามเธอกลับมา
ตอนนี้นอกจากกินโจ๊กจืดๆ ก็กินอย่างอื่นไม่ลงเหมือนกัน
ไป๋มู่ชิงตักโจ๊กให้เขาถ้วยหนึ่ง และของตัวเองอีกถ้วยหนึ่งแล้วนั่งกินตรงข้ามเขา
“เดี๋ยวคุณจะไปไหน? ตึกใหม่หรอ?” เธอถาม
หนานกงเฉินตอบ’อืม’เบาๆ
“สะดวกพาฉันไปด้วยไหม?” จู่จู่ไป๋มู่ชิงก็ถามขึ้น เธออยู่ในโรงแรมมาครึ่งวันเช้าแล้ว ไม่อยากอยู่โรงแรมต่อในช่วงบ่ายแล้วจริงๆ
“เธอบอกว่าเธอคุ้นชินกับที่นี่มากไม่ใช่หรอ? ทำไมไม่ไปเดินเล่นเองล่ะ?”
“เดินเล่นคนเดียวไม่เห็นสนุกเลย”
หนานกงเฉินก้มหน้ากินโจ๊กต่อ โดยไม่พูดอะไร
หลังกินเสร็จ ไป๋มู่ชิงวิ่งไปหยิบกระเป๋าที่ชั้นบน และตามหนานกงเฉินออกไป
หนานกงเฉินไม่ได้ตอบตกลง แต่ก็ไม่ได้ห้าม เธอเลยทึกทักว่าเขาตกลงแล้ว
ทั้งสองมาถึงออฟฟิศฝ่ายขายใจกลางตึก เลขาเหยียนเห็นทั้งสองเดินมาจึงเดินเข้าไปรับ ประเมินหนานกงเฉินแล้วถามด้วยความเป็นห่วง: “คุณชายเฉิน ได้ยินมาว่าคุณท้องเสีย ตอนนี้หายแล้วหรอคะ?”
“หายแล้ว” หนานกงเฉินตอบพลางมองไป๋มู่ชิงที่อยู่ข้างๆ ผู้หญิงคนนี้แอบยิ้มจริงๆ ด้วย
เขาคิดไม่ตก แค่ท้องเสียต้องตลกขนาดนี้? ต้องขำขนาดนี้ด้วยหรอ? อีกอย่างเธอเป็นสาเหตุด้วยนะ
เลขาเหยียนมองไป๋มู่ชิงแล้วเดิมตามหนานกงเฉินเข้าไปยังห้องทำงาน
ไป๋มู่ชิงเดินวนในห้องโถงฝ่ายขายครบ 1 รอบ ไม่อยากเป็นจุดสนใจ จึงกลับไปออฟฟิศนั่งลงบนโซฟาตัวยาว
โครงสร้างของออฟฟิศชั้นสองเป็นกระจก จากจุดที่เธออยู่สามารถมองเห็นห้องทำงานอย่างชัดเจน ตอนนี้หนานกงเฉินกำลังประชุมย่อยกับฝ่ายกฎหมาย เลขาเหยียนนั่งอยู่ฝั่งซ้ายของเขา คุยกับเขาเป็นระยะๆ
บรรยากาศราบรื่นจนทำให้คนอื่นอิจฉา ใช่ เธออิจฉาเลขาเหยียนมาตลอดสามารถอยู่ใกล้กับหนานกงเฉิน และเป็นที่ต้องการตลอดเวลา
ไม่เพียงแค่ภรรยาที่ไม่เป็นที่ชื่นชอบคนนี้เท่านั้น พนักงานหญิงในบริษัทส่วนใหญ่ก็คงอิจฉา?
ไป๋มู่ชิงเห็นหนานกงเฉินทำงานครั้งแรก คล้ายกับที่เธอจินตนาการไว้ ตั้งใจจริงจัง รับผิดชอบละเอียดรอบคอบ บุคคลิกหนานกงเฉินอย่างแท้จริง!
เนื่องจากวันนี้ตื่นเช้า ตอนบ่ายก็ไม่ได้งีบ ไป๋มู่ชิงนั่งดูนิตยสารบนโซฟา เริ่มรู้สึกง่วง
ถ้ารู้ว่าอยู่ที่นี่แล้วน่าเบื่อขนาดนี้ นอนรอที่โรงแรมดีกว่า เธอแอบรู้สึกเสียใจ เปิดนิตยสารไปอีกหลายหน้า เธอคอพับลง ทนไม่ไหวหลับไปในที่สุด
คนในห้องทำงานเล็กสามารถเห็นเหตุการณ์ด้านนอกได้เหมือนกัน เลขาเหยียนเห็นไป๋มู่ชิงหลับไป จึงขยับตัวใกล้หนานกงเฉิน กระซิบว่า: “คุณชายเฉิน นายหญิงน้อยหลับอยู่บนโซฟา”
หนานกงเฉินเงยหน้ามองไปข้างนอก เห็นไป๋มู่ชิงฟุบหลับไปบนพนักโซฟาจริง
“มีผ้าห่มไหม?” เขาถามเสียงเรียบ
“มีค่ะ” เลขาเหยียนพยักหน้า
“หยิบให้เธอผืนนึง” หนานกงเฉินพูดจบแล้ววิเคราะห์สัญญาในมือต่อ
เลขาเหยียนลุกขึ้น ไปหยิบผ้าห่มให้ไป๋มู่ชิง
หลังจบประชุมย่อย พนักงานฝ่ายกฎหมายออกจากทำงาน หนานกงเฉินปิดแฟ้มลง เงยหน้าพูดกับเลขาเหยียน: “คุณช่วยไปสืบเรื่องเรื่องนึงให้ผมหน่อย”
“เรื่องอะไรคะ คุณชายเฉิน”
“เกี่ยวกับขั้นตอนการซื้อและผลลัพธ์การซื้อขายบ้านสวนจู ผมต้องการแบบครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุด”
“บ้านสวนจู?” เลขาเหยียนประหลาดใจ ถามอย่างลังเล: “เอ่อ……คุณชายเฉิน เรื่องนี้ตอนนั้นผู้อำนวยการเหอจัดการทุกอย่างเรียบร้อยอย่างง่ายๆ และราบรื่นไม่ใช่หรอคะ? คุณอยากให้ดิฉันสืบอะไรหรอคะ?”
ท่านผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการตลาดคนปัจจุบันเหอเฟิง เป็นคนที่ท่านรองประธานเสิ่นพาเข้าหนานกงกรุ๊ปเมื่อสิบกว่าปีก่อน พอหนานกงเฉินเข้ามาในบริษัทหลัก เคยถูกย้ายมาเป็นผู้ช่วยพิเศษของประธานบริษัท และถูกย้ายไปรับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการตลาดเมื่อวามปีก่อน เพราะเขาได้เลื่อนขั้น เลขาเหยียนซึ่งเป็นหัวหน้าเลขาในตอนนั้นมีผลการทำงานที่โดดเด่นจึงได้มารับตำแหน่งผู้ช่วยพิเศษของประธานบริษัท
ช่วงซื้อบ้านสวนจูเป็นช่วงที่เหอเฟิงรับตำแหน่งผู้ช่วยพิเศษของประธานบริษัท แม้เลขาเหยียนจะพอทราบเรื่องนี้ แต่ก็ไม่เคยร่วมจัดการเรื่องนี้เลย
“คุณยังจำได้ไหมว่าตอนนั้นเหอเฟิงรายงานผลลัพธ์เรื่องนี้กับผมว่ายังไงบ้าง?”
“ฉันจำได้ว่าเขาบอกว่าได้ซื้อบ้านเดี่ยวขนาดใหญ่ในเมืองให้ตระกูลจู คนตระกูลจูดีใจมาก ความจริงไม่ใช่แบบนี้หรอคะ?”
“ใช่ บ้านหลังนั้นผมเคยไป”
“เอ่อ……แล้วยังไงหรอคะ? คุณชายเฉินอยากให้ดิฉันสืบเรื่องอะไรกันแน่คะ?”
ช่วงนี้ผมได้ยินข่าวลือมาว่าตอนนั้นที่เหอเฟิงซื้อบ้านสวนจู ได้บีบให้คุณยายของตระกูลจูเสียชีวิต” หนานกงเฉินขมวดคิ้ว ครุ่นคิด
เมื่อวานไป๋มู่ชิงพูดถึงเรื่องนี้ เขาไม่เชื่อ เพราะเรื่องนี้กับเรื่องที่เขารับรู้ต่างกันมากเกินไป
เขาจำได้ว่าตอนที่เขาซื้อบ้านสวนจู ตระกูลจูไม่มีคุณยายคนนี้อยู่แล้ว
“หรือว่าคุณยายตระกูลจูไม่ได้เสียไปตั้งนานแล้วหรอคะ?” เลขาเหยียนพูดอย่างไม่เข้าใจ
“ผมก็อยากรู้เหมือนกัน” หนานกงเฉินเบนสายตาออกจากไป๋มู่ชิง ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสายตาเย็นชา
เลขาเหยียนพยักหน้าครั้งหนึ่ง: “ดิฉันเข้าใจแล้วค่ะ คุณชายเฉิน”
“อืม ขอคำตอบเร็วที่สุด” หนานกงเฉินลุกจากเก้าอี้ เดินไปยังเก้าอี้ทำงานของตนเองเริ่มทำงานต่อ
ไป๋มู่ชิงตื่นจากภวังค์ พบว่าตัวเองหลับอยู่บนโซฟา มีผ้าห่มคลุมตัว
เธอขยี้ตา กวาดสายตามองรอบๆ เห็นหนานกงเฉินในกำแพงกระจก จึงดึงสติกลับมาได้ ที่นี่ไม่ใช่ที่บ้านและไม่ใช่โรงแรม แต่เป็นห้องทำงาน!
เธอหลับในห้องทำงานของหนานกงเฉินหรอ น่าอับอายที่สุด!
หญิงตั้งครรภ์เป็นกลุ่มคนที่ง่วงง่ายจริงๆ ถ้าเป็นเธอเมื่อก่อนไม่มีทางเลยที่จะง่วงโดยไม่สนเวลาและสถานที่? ยังหลับไปต่อหน้าคนอื่น น่าอับอายสุดๆ?
อีกอย่างวันนี้เป็นวันเปิดตึก พนักงานเข้าๆ ออกๆ เยอะมากแน่ๆ คงเห็นสภาพเธอหลับกันหมดแล้ว?
หนานกงเฉินดูเอกสารหมดไปฉบับหนึ่ง กำลังจะยกน้ำที่วางอยู่มุมโต๊ะขึ้นดื่ม เหลือบไปเห็นไป๋มู่ชิงที่ยืนตัวตรงอยู่ที่ประตู เนื่องจากเธอเพิ่งตื่น ตอนนี้เธอผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย
“ตื่นแล้วหรอ?” เขาถาม
ไป๋มู่ชิงรู้สึกเขินจนใช้นิ้วดึงชายเสื้อตัวเอง สีหน้าตำหนิอย่างชัดเจน: “ทำไมคุณไม่ปลุกฉันล่ะ?”
“ปลุกเธอทำไม? เดินไปเดินมาให้ผมรำคาญใจ?”
“แต่ว่า……ที่นี่มีคนมากมาย น่าอายจะตาย” ไป๋มู่ชิงพูดด้วยความอาย: “ฉันไม่เป็นอะไรหรอก สำคัญคือกลัวว่าคุณจะขายหน้าเอา”
“ชินแล้ว”
“หมายความว่ายังไง?” ไป๋มู่ชิงไม่เข้าใจ
“ความหมายคือ……คุณหนูใหญ่ไป๋ คุณเคยสง่างามด้วยหรอ?”
“……” ไป๋มู่ชิงหมดคำพูด เธอแย่ขนาดนั้นเลยหรอ?
แต่รู้สึกว่าเป็นเรื่องจริงนะ เมื่อก่อนตอนเจอเขามักจะอยู่ในสภาพน่าอายทุกครั้ง หลังจากอยู่ด้วยกัน คุยกันแล้วว่าจะฝึกทำตัวให้สง่างาม ผลลัพธ์คือทำได้ไม่ถึงสองนาทีก็ทำต่อไม่ไหว
หนานกงเฉินก้มหน้าทำงานต่อ ทิ้งคำพูดให้เธอ 1 ประโยค: “ถ้าเธอยังคิดทำเพื่อผมสักนิด ไปหวีผมสักหน่อยนะ”
หน้าไป๋มู่ชิงร้อนขึ้นมาทันที เอามือจับผมลอนของตน แล้วรีบหมุนตัวออกจากห้องทำงานของหนานกงเฉิน ไปยังห้องน้ำ
มองสภาพย่ำแย่ของตนในกระจก ทันใดนั้นไป๋มู่ชิงรู้สึกว่าความอดทนของหนานกงเฉินสูงมาก สภาพแบบนี้ยังไม่จับเธอโยนออกไปข้างนอกอีก
เธอเคยพูดว่า ผู้ชายที่ร้ายสุดๆ มักจะมีข้อดีอยู่นิดๆ ควรค่าแก่การชื่นชม
เมื่อกลับเข้ามาห้องทำงานอีกครั้ง เธอจัดการตัวเองจนดูดีแล้ว
“คุณชายใหญ่ เดี๋ยวพวกเราจะไปไหนหรอคะ?”
“กินข้าว”
“หลังจากนั้นล่ะ?”
“นอน”
“นอนอีกแล้วหรอ? มัน……มันไม่เสียดายเวลาไปหน่อยหรอ”
หนานกงเฉินยกเปลือกตาขึ้น จ้องไปยังเธอ: “อย่างนั้นเธอคิดว่าต้องทำยังไงล่ะ? ไปถนนขายอาหารพื้นเมืองอีกรอบ?”
“ไม่ วันนี้พวกเราไม่ไปถนนของกินพื้นเมืองแล้ว ไปถนนการค้าหนานเหมินดีไหม?
ถนนของกินพื้นเมือง? ให้ตายเธอก็ไม่กล้าพาเขาไปแล้ว ต่อให้เขากล้ากิน เธอเองก็ไม่กล้ากินอีกแล้ว ไม่ว่ายังไงของพวกนั้นก็เป็นของประเภททอด สะอาดแค่ไหนก็ไม่ควรกินบ่อยอยู่ดี
“คุณเคยไปตลาดการค้าหนานเหมินไหม?” ไป๋มู่ชิงถามต่อ
“เคยไปสองสามครั้ง”
“ไปกับใครหรอ?” ตอนแรกไป๋มู่ชิงแค่ถามไปงั้นๆ ไม่คิดเลยว่าพอเธอรู้ตัวอีกทีพบว่าตัวเองได้ผลักคุณชายใหญ่เข้าไปในห้วงแห่งความรักอีกแล้ว
ไปกับใคร? ยังต้องถามอีกหรอ?
เพื่อเป็นการดึงอารมณ์ที่ดำดิ่งของเขากลับคืนมา เธอรีบยิ้ม: “ถนนการค้าหนานเหมินมีของสวยๆ งามๆ เยอะมาก และเป็นสถานที่แนะนำของเมืองหยานด้วย นักท่องเที่ยวที่มาที่นี่ต่างก็ไปเดินเล่นกัน”
“ผมรู้”
“นั้น……คุณจะไปเดินเล่นสักหน่อยไหม?”
“มื้อเย็นวันนี้อยู่แถวนั้นพอดี กินเสร็จเธอไปเดินเล่นเองแล้วกัน” หนานกงเฉินยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย รีบชิงพูดก่อนเธอด้วยเสียงทุ้มต่ำ: “ถ้าพูดมากอีกผมจะให้คนส่งคุณกลับเมืองซีทันที”
เมื่อเขาพูดขนาดนี้ ไป๋มู่ชิงก็ไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก
มื้อเย็นวันนี้เป็นมื้อที่ทานร่วมกับผู้บริหารระดับสูงสิบกว่าท่านของบริษัท สถานที่อยู่ใกล้กับถนนการค้าหนานเหมินจริงๆ ด้วย
หนานกงเฉินไม่ค่อยอยากอาหารอยู่แล้ว และไม่ชอบบรรยากาศการทานข้าวแบบนี้ จึงทานเป็นมารยาทนิดหน่อยก็ขอตัวกลับก่อน
ไป๋มู่ชิงรู้นิสัยของเขาดี เดินตามเขาออกไปแบบไม่ได้พูดอะไร
เมื่อออกจากโรงแรม ลมทะเลพัดกระทบตัวพอดี มีความเย็นนิดๆรู้สึกสบายยิ่งนัก ไป๋มู่ชิงดึงเสื้อกันลมตัวเล็กที่สวมอยู่เล็กน้อย หันไปมองหนานกงเฉิน
เลขาเหยียนที่ตามทั้งสองออกมาไม่เห็นคนขับรถรอหน้าโรงแรม จึงรีบเดินไปโทรศัพท์ด้านข้าง
หลังวางสายเธอเดินมาหาหนานกงเฉิน รีบขอโทษขอโพย: “ขอโทษค่ะคุณชายเฉิน เสี่ยวหลินไม่คิดว่าคุณจะทานมื้อเย็นเสร็จไวขนาดนี้ จึงไปซื้อของขวัญให้แฟนที่ตลาดการค้า ตอนนี้กำลังรีบกลับมาค่ะ”
เธอก้มหน้าและพูดต่อ: “ขอโทษค่ะ เพราะฉันไม่ได้กำชับให้ดี ฉันจะให้เขาเขียนใบลาออกด้วยตัวเองหลังกลับไปเมืองซีนะคะ”
พอได้ยินลาออกด้วยตัวเอง ไป๋มู่ชิงที่เล่นมือถืออยู่นั้นเงยหน้าขึ้น ประเมินทั้งสองคน: “ไม่ใช่มั้ง? จะไล่คนออกเพราะเรื่องแค่นี้หรอ?”
เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ตอนได้ยินเธอยังไม่ใส่ใจเลย
เลขาเหยียนหันมามองเธอ ไม่พูดอะไร รอคำตอบจากหนานกงเฉิน
ไป๋มู่ชิงพูดต่ออย่างไม่กลัวตาย: “มีเจ้านายคนไหนที่เหมือนคุณ ทานอาหารไม่ถึง 20 นาทีก็ขอตัวกลับ เสี่ยวหลินเพิ่งมาเมืองหยานครั้งแรก คงคิดว่าคุณจะร่วมทานอาหารสัก 2 ชั่วโมง จึงกล้าแอบไปซื้อของขวัญให้แฟน แสดงถึงความรักที่เขามีต่อแฟน ก็ไม่ควรไล่คนออกง่ายๆ โบราณเขาว่า คนรักครอบครัวจึงจะรักที่ทำงาน รักที่ทำงานจึงรักงานที่ทำ ไม่ใช่หรอ?”
เลขาเหยียนแอบมองหนานกงเฉิน แล้วพูดว่า: “นายหญิงน้อย นี่เป็นกฎของบริษัทค่ะ”
“กฎเป็นของตาย คนเป็นสิ่งมีชีวิต เรื่องนี้คุณไม่พูดฉันไม่พูดคุณชายเฉินไม่พูดก็ไม่มีใครรู้ไม่ใช่หรอ” ไป๋มู่ชิงใช้นิ้วกระทุ้งแขนของหนานกงเฉิน: “พอเถอะ อย่าทำหน้าบึ้งเลย วิวกลางคืนออกจะสวย อย่างมากเราก็แค่ไปเดินเล่นที่ตลาดการค้าด้วยสักรอบ”
หนานกงเฉินชายตามองเธอ ที่พูดมาทั้งหมด นี่คงเป็นวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของเธอสินะ?
ที่จริงจะรอให้เสี่ยวหลินมาก็ไม่ยากอะไร แต่เขาก็ก้าวขาไปยังถนนการค้า ไป๋มู่ชิงดีใจ รีบก้าวขาตามเขาไปทันที
ไม่คิดว่าหนานกงเฉินจะยอมฟังเธอ แต่ก็ไม่รู้ว่าหลังกลับไปจะไล่เสี่ยวหลินผู้น่าสงสารออกอีกไหม?
เวลานี้เป็นช่วงที่ครึกครื้นที่สุดของถนนการค้า สองข้างทางเป็นร้านของฝากพื้นเมืองหลากหลายแบบของเมืองหยาน และนักท่องเที่ยวมากมายที่หิ้วถุงใบเล็กใบใหญ่
หนานกงเฉินไม่ชอบความวุ่นวาย อยู่สภาพไม่สนใจอะไรเหมือนเมื่อวาน แต่ไป๋มู่ชิงเมื่อเห็นบรรยากาศความครึกครื้น เลือดลมสูบฉีด อยากที่จะไปแวะให้ครบทุกร้าน จับของที่วางขายให้ครบทุกแบบ
ขณะที่เดินผ่านร้านผ้าคลุมไหล่ ไป๋มู่ชิงถามด้วยความสงสัยพลางประเมินผ้าคลุมในร้าน: “คุณชายเฉิน คุณโตมาขนาดนี้ เคยซื้อของขวัญให้คุณย่าบ้างไหม?”
ถามไปสักพักไม่ได้คำตอบ ไป๋มู่ชิงหันกลับไป พบว่าหนานกงเฉินกำลังมองไปที่ที่หนึ่งอย่างเหม่อลอย เธอมองตามสายตาของเขา ผ่านกลุ่มคน เห็นหญิงสาวคนนึงกำลังเลือกเครื่องประดับอยู่หน้าร้านขายเครื่องประดับที่ห่างออกไป
หญิงสาวหันข้างให้กับจุดที่พวกเธอยืน ผมยาวประบ่า รูปร่างสูงโปร่ง เธอก้มหน้าเลือกเครื่องประดับอย่างใจจดใจจ่อ ผมของเธอหล่นลงข้างแก้ม ปิดใบหน้าไว้ส่วนหนึ่ง
แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่มองจากมุมนี้ก็คงมีความรู้สึกคุ้นชินอยู่บ้าง
หากไม่เคยแอบดูรูปคุณหนูจูในมือถือของหนานกงเฉิน ไป๋มู่ชิงจะคิดว่าหนานกงเฉินก็เหมือนชายหนุ่มทั่วไป แค่ชอบแอบมองสาวๆ ข้างทาง
ผู้หญิงคนนี้ก็เหมือนคนที่สวรรค์ประทานมาให้หนานกงเฉินคลายความคิดถึง มาเร็ว ไปเร็ว แค่พริบตาเดียว ก็ไม่เห็นเงาเธอหน้าร้านขายเครื่องประดับอีก
หนานกงเฉินกำลังจะก้าวขาออกตามหา ไป๋มู่ชิงรีบดึงแขนเขาไว้: “คุณชายเฉิน ฉันกำลังถามคุณอยู่นะ”
หนานกงเฉินชะงักเล็กน้อย เหมือนได้สติแล้วหันหน้ามา: “อะไร?”
เขากำลังทำอะไร? ผ่านไปตั้งหลายปีแล้ว กลับมาจินตนาการว่าจะเจอเธอในถนนการค้าที่คุ้นเคยแห่งนี้? หัวเราะเยาะตัวเองในใจอย่างขมขื่น สายตา กลับอดไม่ได้ที่จะมองไปยังจุดที่หญิงสาวคนนั้นหายตัวไป
หน้าคล้ายเกินไปแล้วจริงๆ!
ไป๋มู่ชิงปั้นหน้าเหมือนตนไม่รู้เรื่องอะไร ยิ้มแล้วถามว่า: “คุณเคยซื้อของขวัญให้คุณย่าไหม?”
“ไม่เคย”
“งั้นพวกเราไปซื้อผ้าคลุมไหล่ให้ท่านดีไหม?”
“ดี” หนานกงเฉินพยักหน้า เหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ไป๋มู่ชิงดึงเขาเดินเข้าร้านขายผ้าคลุม เลือกผ้าคลุมไปด้วยสอบถามราคาไปด้วย เจ้าของร้านเมื่อทราบว่าเธอจะซื้อให้คุณย่า จึงหยิบผ้าคลุมที่สีเข้มขึ้นนิดๆ จากชั้นวางส่งให้เธอ: “คุณผู้หญิง สีแดงเลือดหมูผืนนี้ไม่เลวนะคะ เหมาะกับผู้หญิงที่มีอายุ อีกอย่างเมื่อคลุมแล้วดูสง่ามากค่ะ”
“มีส่วนลดไหมคะ?” ไป๋มู่ชิงรับมาดู แล้วรู้สึกว่าไม่เลวจริงๆ เหมาะสำหรับหญิงสูงวัยที่มีฐานะ
เจ้าของร้านยิ้มแล้วตอบว่า: “ราคาตามป้ายเลยค่ะ ราคาสูงก็จริง แต่คุณภาพสมราคาค่ะ”
ราคาสูงจริง แต่ตำแหน่งและฐานะของคุณย่า ถ้าซื้อของราคาถูกเกินไปก็ไม่เหมาะสม ซื้อราคาสูงหน่อยดีกว่า
เธอถือผ้าคลุมไหล่แล้วหันไปหาหนานกงเฉินแล้วถามว่า: “คุณชายเฉิน คุณคิดว่าเป็นยังไงบ้าง?”
แต่ว่า ด้านหลังไม่มีเงาของหนานกงเฉินอยู่ตั้งนานแล้ว เธอวางผ้าคลุมลงแล้วรีบเดินออกจากร้านไป
ไม่เจอ ยังคงไม่เจอ
สุดท้ายเขาก็ไปจนได้ คงไปหาหญิงสาวคนเมื่อกี้? ไป๋มู่ชิงสูดลมหายใจเข้าอย่างขมขื่นใจ
เมื่อกี้รั้งเขาไว้ เพราะอยากจะบอกเขาว่า คนเหล่านั้นที่เคยทิ้งเรา ต่อให้อยู่ใกล้แค่ไหนก็ไม่ควรค่าที่เราจะไปตามหาอีก
แต่เห็นกันอยู่ชัดๆ แล้ว หนานกงเฉินไม่แคร์เรื่องพวกนี้ รักผู้หญิงคนนั้นจนไม่แยกแยะถูกผิด ไม่สนใจศักดิ์ศรีแล้ว
เดินเลียบชายหาดคนเดียว ลมทะเลอันเหน็บหนาวปะทะหน้า ไป๋มู่ชิงสั่นน้อยๆ อย่างไม่รู้ตัว เมื่อกี้ยังรู้สึกว่าลมทะเลของเมืองหยานสบายกว่าที่อื่นๆ อยู่เลย ตอนนี้กลับรู้สึกเหน็บหนาวเมือนโดนมีดกรีด
ที่แท้ลมจะหนาวเหน็บหรือเย็นสบายก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ด้วย เมื่ออารมณ์ดีทุกอย่างดีหมด ลมดี วิวกลางคืนดี หนานกงเฉินยิ่งดี
หรือว่าสองวันมานี้เธอชินกับการที่มีหนานกงเฉินอยู่ข้างกายแล้ว ดังนั้นตอนนี้เธออยู่ตัวคนเดียว จึงรู้สึกโดดเดี่ยวขนาดนี้?
ไม่ เธอไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว เธอยังมีเขา……
มือเล็กๆ ลูบไปยังหน้าท้องแบนราบของตัวเองอย่างไม่รู้ตัว ไป๋มู่ชิงยิ้มอย่างขมขื่นและพึมพำว่า: “เบบี๋ แม่คิดเข้าข้างตัวเองมากไปอีกแล้วใช่ไหม?”
บทเรียนก่อนหน้านี้ยังไม่มากพอ ยังฝันหวานอยากเป็นตัวแทนของผู้หญิงคนนั้น รู้ใจซึ่งกันและกัน รักใคร่กลมเกลียวกัน
ไม่รู้จักเจียมตัวเลย……จริงๆ!
ไป๋มู่ชิงเดินกลับโรงแรมคนเดียว ตอนเธอมาถึง ไฟในห้องสว่าง แต่กลับไม่มีเงาของหนานกงเฉิน มีความผิดหวังในใจอยู่แวบหนึ่ง
นี่ก็สี่ทุ่มแล้ว เขายังไม่กลับมาอีก
เธอสูดหายใจเข้าเบาๆ โยนถุงช็อปปิ้งลงบนโซฟา หยิบเสื้อผ้าเดินเข้าห้องน้ำไป
หนานกงเฉินกลับมาถึงโรงแรมตอนเที่ยงคืน ตอนเขามาถึง ไป๋มู่ชิงที่ดูโทรทัศน์อยู่บนโซฟาของห้องนอนก็หลับไปแล้ว ร่างของเธอพิงอยู่บนที่เท้าแขนของโซฟา
เธอไม่ได้หลับลึก เพราะรอหนานกงเฉินกลับมา
ดังนั้นต่อให้หนานกงเฉินพยายามเบาฝีเท้าแค่ไหน เธอก็สะดุ้งตื่นอยู่ดี
เธอลืมตาขึ้นช้าๆ หนานกงเฉินที่อยู่ตรงหน้าถือสูทอยู่ในมือ กระดุมเสื้อถูกปลดออก2เม็ด ยังคงมีความดิบอยู่ท่านกลางความยุ่งเหยิง
ทันใดนั้นไป๋มู่ชิงลุกขึ้นจากโซฟา พลางจัดการผมและชุดกับเธอพลางพูดว่า: “คุณกลับมาแล้วหรอ”

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset