เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 76 ทิ้งเขาไว้คนเดียว

เหอเฟิงถูกตามเข้ามาห้องทำงานของหนานกงเฉิน แต่เช้า
ขณะเดินผ่านแผนกเลขาฯ เหอเฟิงโน้มตัวข้างหูเลขาเฉินแล้วพูดหยอกล้อว่า: “ยอดดวงใจ รู้ไหมว่าคุณชายเฉินเรียกผมมามีเรื่องอะไร?”
เลขาเฉินไม่ชอบใจและมองเขาตาขวาง แววตาไม่พอใจ: “ประธานเหอกรุณาสำรวมด้วยค่ะ”
“เด็กน้อย อย่าเสแสร้งหน่อยเลย” ประธานเหอกรอกตามองบนอย่างขัดใจ เขาคิดไม่ตกว่า ทำไมพนักงานแผนกเลขาของประธานคณะกรรมการบริหารแต่ละคนเหมือนร่างไร้วิญญาณ ไม่เข้าใจคารมอะไรเลย? ช่างแตกต่างจากพนักงานหญิงในแผนกเขาอย่างสิ้นเชิง
“ประธานเหอ เชิญค่ะ” เลขาเฉินผายมือเป็นการเชิญเขา สีหน้ายังคงนิ่งไร้อารมณ์
ยังไม่พูดถึงว่าเธอเกลียดคนที่ประจบรองประธานกรรมการบริหารเซิ่งขึ้นตำแหน่งคนนี้มากแค่ไหน ต่อให้เป็นรองประธานกรรมการบริหารเซิ่งมาเอง เธอก็ไม่กล้าเกี้ยวพาราสีอย่างเปิดเผยหรอก
ถ้าอยากจะทำงานแผนกเลขาของประธานกรรมการบริหารเกิน3เดือน ก่อนอื่นต้องฝึกนิ่งเป็นเหมือนร่างไร้วิญญาณ เรื่องนี้เธอรู้ตั้งแต่เข้างานวันแรกแล้ว
เมื่อจีบเลขาเหล่านี้ไม่สำเร็จ เหอเฟิงก็หมุนตัวเข้าห้องทำงานของหนานกงเฉินอย่างไม่สบอารมณ์
ยืนอยู่หน้าประตูห้องทำงาน เขาจัดสูทที่สวมอยู่ให้เข้าที่อย่างเคยชิน ปรับสีหน้าให้ดี เคาะประตู แล้วเดินเข้าไป
เมื่ออยู่ต่อหน้าหนานกงเฉิน สีหน้าปรับเป็นเอาการเอางานขึ้นทันที เปลี่ยนเป็นสีหน้าสำรวมไม่ขัดตาแล้วพูดว่า: “คุณชายเฉิน ท่านต้องการพบผม?”
หนานกงเฉินกำลังตอบอีเมล์อยู่ฉบับหนึ่ง พูดโดยไม่เงยหน้า: “จริงๆ แล้วคุณไม่ต้องมาหาผมที่นี่หรอก ไปติดต่อส่งมอบงานที่แผนกบุคคลและบัญชีได้เลย”
“คุณชายเฉิน……หมายความว่ายังไงครับ?” เหอเฟิงรู้สึกใจไม่ดี
หนานกงเฉินเขียนอีเมล์ต่อ หลังจากส่งอีเมล์เรียบร้อยแล้วจึงเงยหน้าขึ้น จับแฟ้มที่วางอยู่บนโต๊ะโยนใส่เขาด้วยความโมโห แล้วพูดเสียงเย็นว่า: “คุณดูสิ่งที่คุณทำเองแล้วกัน!”
เหอเฟิงตกใจกับความโกรธที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันของเขา มองแฟ้มที่หล่นบนพื้น แล้วมองเขา แล้วจึงก้มหยิบแฟ้มจากพื้นขึ้นมาเปิดดู
เมื่อเปิดหน้าแรกเห็นข้อมูลของคุณยายจู เขารู้ทันทีว่าเรื่องอะไร เพียงแต่เรื่องนี้ผ่านไปตั้งนานแล้ว ทำไมจู่จจู่หนานกงเฉินจึงพูดถึงเรื่องนี้ และยังโกรธเขามากขนาดนี้ด้วย
เขารู้ดีว่าตอนตัวเองรับผิดชอบเรื่องนี้มีข้อผิดพลาดอยู่ เพื่อให้ภารกิจสำเร็จไวเป็นเหตุทำให้คุณยายคนนั้นถูกบีบจนต้องกระโดดตึก ในตอนนั้นเขาไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องใหญ่อะไร อีกอย่างค่าชดเชยที่หนานกงกรุ๊ปจ่ายให้ตระกูลจูนั้นสามารถซื้อชีวิตคนได้10ชีวิตเลยทีเดียว
ตอนนั้นเขาไม่ได้รายงานเรื่องนี้กับหนานกงเฉิน เพราะรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องที่จำเป็น อีกเหตุผลหนึ่งคือกลัวว่าตนจะถูกตำหนิว่าทำงานไม่ดี กระทบต่อการเลื่อนตำแหน่งของเขา ตอนแรกคิดว่าเรื่องนี้คงผ่านไปแบบนี้ ไม่คิดเลยว่าผ่านไปตั้งหลายปียังถูกขุดขึ้นมาอีก
เขาแอบชำเลืองมองหนานกงเฉินแวบหนึ่ง แล้วพูดอย่างระมัดระวัง: “คุณชายเฉิน เรื่องนี้ตอนนั้นผมวางแผนไม่รอบคอบ แต่หลังจากนั้นผมจัดการเรื่องนี้ไปแล้ว คนของตระกูลจูได้รับเงินชดเชยไปก็ไม่เคยมาวุ่ยวายกับพวกเราอีก ดังนั้น……”
“ดังนั้นคุณจึงมารายงานผมว่าทุกอย่างจัดการเรียบร้อยแล้ว ด้วยใจที่ไม่รู้สึกผิดต่อศีลธรรมใดๆ เลยใช่ไหม?” หนานกงเฉินขัดขึ้น
“คนที่ตายแล้วไม่สามารถฟื้นขึ้นมาใหม่ได้ อีกอย่าง……ตอนนั้นผมไม่ได้ตั้งใจ”
“ตอนนั้นไม่ได้ตั้งใจ?”
เหอเฟิงถูกประโยคนี้โจมตีจนเกิดความรู้สึกผิด ความจริงแล้วตอนนั้นเขาตั้งใจ เพราะเจ้าของบ้านสวนจูคือคุณยายจู เป็นตายร้ายดียังไงคุณยายจูก็ไม่ยอมขายบ้าน เขาคิดว่าแค่กำจัดเธอทิ้งตัวเองจึงจะเสร็จสิ้นภารกิจตามเวลาที่กำหนด จึงร่วมมือกับลูกชายที่ไม่เอาไหนของเธอจัดการเธอ
แต่ว่า……ต่อให้เป็นการกระทำโดยตั้งใจ ก็ทำเพื่อจะได้ซื้อบ้านสวนจูให้เขาได้โดยเร็วที่สุด คงไม่ไล่เขาออกด้วยเหตุผลนี้หรอกนะ?
“คุณออกไปได้แล้ว” หนานกงเฉินหลับตาลงครู่หนึ่ง แล้วพูดอย่างไม่แยแส
สอบสวนเรื่องนี้ตอนนี้มีประโยชน์อะไร? คนก็ตายไปแล้ว
เขาไม่อยากจะคิดเลยว่า ตอนนั้นถ้าจูจูรูว่าคนในครอบครัวที่เธอรักมากที่สุดตายเพราะเขา จะยังรักเขา และตามเขากลับมาที่เมืองซีไหม?
สีหน้าของเหอเฟิงเปลี่ยนไปทันที พูดอย่างติดๆ ขัดๆ ว่า: “คุณชายเฉิน……คุณหมายความว่ายังไง? คงไม่ไล่ผมออกจากหนานกงกรุ๊ปเพราะเรื่องนี้ใช่ไหมครับ?”
“หากไม่เห็นแก่หน้าของคุณลุง ผมไม่อยากแม้แต่จะพบคุณในวันนี้ด้วยซ้ำ” หนานกงเฉินพูดเสียงแข็ง ปิดด้วยคำว่า: “ไปสะ–!”
เหอเฟิงรู้นิสัยของหนานกงเฉินดี เรื่องที่เขาติดสินใจไปแล้วยากที่จะเปลี่ยนใจ และไม่ชอบฟังคำแก้ตัวจากลูกน้อง ตอนนี้ไม่ว่าตนจะพูดอะไรก็ไม่มีประโยชน์แล้ว
วิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้คือรีบหายตัวไปจากที่นี่ แล้วไปขอร้องให้รองประธานกรรมการบริหารเซิ่งช่วยออกหน้าแทน วิธีนี้อาจมีโอกาสพลิกผลลัพธ์ได้บ้าง
เหอเฟิงดึงประตูเปิดออกแล้วเดินออกไป เห็นเหล่าเลขาสาวนั่งมองเขาอยู่ อีกครั้ง ที่พวกเธอได้เจอกับความเด็ดขาดเย็นชาของหนานกงเฉิน
ประธานเหอเป็นถึงหลานแท้ๆ ของรองประธานกรรมการบริหารเซิ่ง เป็นเจ้าหน้าที่ระดับบริหารที่บริษัทได้บ่มเพาะมานานหลายปี กลับถูกไล่ออกโดยไม่ฟังข้อแก้ตัวใดๆ
ดังคาด เหอเฟิงเพิ่งก้าวขาออกไป รองประธานกรรมการบริหารเซิ่ง เซิ่งตงหยางก็รีบตามหลังเข้ามาขอร้อง
แต่หนานกงเฉินเดาไว้อยู่แล้วว่าเขาต้องมา จึงกำชับเลขาไว้ก่อนหน้านี้ให้แจ้งเขาว่า ถ้าจะมาคุยเรื่องเหอเฟิงก็ไม่ต้องเข้ามา ความหมายชัดเจนมาก ไม่ว่าใครจะมาช่วยพูดก็ไม่มีประโยชน์
ไม่มีใครทราบสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้หนานกงเฉินโกรธมากขนาดนี้ รวมถึงตัวเหอเฟิงเองก็ไม่อาจรู้สาเหตุได้
เลขาเหยียนเคาะประตูหนึ่งครั้ง ก่อนเดินเข้าไปคุยกับหนานกงเฉิน: “คุณชายเฉิน รองประธานกรรมการบริหารเซิ่งบอกว่า เรื่องของประธานเหอแล้วแต่คุณจัดการเลยค่ะ”
“อืม” หนานกงเฉินตอบรับ เขารู้ดีว่าเรื่องนี้คุณลุงต้องไม่พอใจแน่ แต่ก็ไม่กระทบต่อการตัดสินใจในครั้งนี้ของเขา
“คืนนี้ยังมีกำหนดการอะไรอีกไหม? ถ้าไม่มีผมจะกลับบ้านแล้ว” หนานกงเฉินปิดสมุดลง
“คุณชายเฉิน คุณลืมหรอคะวันนี้มีงานเลี้ยงวันเกิดของนายกเทศมนตรีเฝิง ท่านได้เรียนเชิญให้คุณไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิด” เลขาเหยียนกล่าว
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ไม่ว่าจะงานใหญ่เล็กคนอื่นๆ ก็จะร่อนจดหมายเชิญมายังหนานกงกรุ๊ป แต่จะให้คนอื่นไปแทน ตั้งแต่หนานกงเฉินถูกเปิดเผยตัว เมื่อมีคนส่งการ์ดเชิญมาก็จะระบุเป็นชื่อของหนานกงเฉิน เรียนเชิญเขาด้วยความจริงใจ
แม้ว่างานส่วนใหญ่หนานกงเฉินจะให้เซิ่งเคอไปแทน แต่งานเลี้ยงคืนนี้เจ้าของงานเป็นถึงนายกเทศมนตรีเมืองซี และยังจัดเป็นงานเลี้ยงการกุศลเพื่อบังหน้าอีก
เมื่อนายกเทศมนตรีระบุชื่อมา ต่อให้เขาไม่อยากไปแค่ไหนก็ไม่อาจปฏิเสธได้
หนานกงเฉินใช้ความคิดครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า: “ได้ ผมทราบแล้ว”
“คุณชายเฉิน คุณจะพานายหญิงน้อยออกงานหรือว่าคู่ออกงานคนอื่นคะ?” เลขาเหยียนถามอย่างนอบน้อม แววตาที่จริงจังแฝงความคาดหวังอยู่เล็กน้อย
หนานกงเฉินไตร่ตรองครู่หนึ่ง ตอบเธอว่า: “คุณช่วยติดต่อนายหญิงน้อยแทนผม แล้วพาเธอไปเลือกชุดเพื่อออกงานด้วย”
แม้ว่าเขาจะไม่อยากออกงานกับไป๋มู่ชิง แต่ถ้าไม่พาภรรยาออกงาน และพาหญิงอื่นไปก็จะถูกผู้อื่นครหาอีก เพราะคนข้างนอกไม่มีใครเห็นงามกับการแต่งงานของเขาอยู่แล้ว
“ค่ะ ดิฉันจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” ความคาดหวังเล็กๆ ในใจหายไป เลขาเหยียนพยักหน้าแล้วเดินออกไป
ไป๋มู่ชิงที่เพิ่งตื่นจากนอนกลางวัน ใจอยากไปเยี่ยมเสี่ยวลี่มากๆ คิดหาเหตุผลดีดีที่จะไปขออนุญาตพี่เหอเพื่อออกจากบ้านไม่ได้มาครึ่งวันแล้ว
กลับเป็นพี่เหอ ที่มาเคาะห้องเธอก่อน ยังไม่ทันที่เธอจะขออนุญาตออกจากบ้านก็ได้รับแจ้งว่าเธอจะต้องไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของนายกเทศมนตรีกับหนานกงเฉินในคืนนี้
ไปร่วมงานเลี้ยงกับหนานกงเฉิน? เธอเงยหน้าขึ้นมองนาฬิหาบนผนังห้อง ตอนนี้ก็ห้าโมงกว่าแล้ว ดูท่าวันนี้ก็อดเจอเสี่ยวลี่อีก
“นายหญิงน้อย เลขาเหยียนรอพาคุณไปเลือกชุดราตรีอยู่ชั้นล่าง คุณรีบลงไปเถอะ” พี่เหอกล่าว
“เอ่อ……ต้องไปจริงๆ ใช่ไหมคะ?” แค่จินตนาการถึงการเสแสร้งรูปแบบต่างๆ พิธีการต่างๆ ไป๋มู่ชิงก็รู้สึกเบื่อ หนานกงเฉินก็ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าเธอรับมือกับสถานการณ์พวกนั้นไม่ได้
“นี่เป็นครั้งแรกที่คุณชายใหญ่ไปร่วมงานเลี้ยง คุณเป็นภรรยาเขายังไงก็ต้องอยู่เคียงข้างเขา” ตั้งแต่รู้ว่าเธอตั้งครรภ์ พี่เหอปฏิบัติต่อเธอดีขึ้น180องศาตามคุณผู้หญิง พูดด้วยรอยยิ้ม: “ตอนนี้คุณชายใหญ่เป็นที่หมายปองของหญิงสาวทั้งเมืองซี คนอยากออกงานคู่เขามากมายจนนับไม่ถ้วน นายหญิงน้อยจะปล่อยให้โอกาสที่ดีขนาดนี้ไปตกอยู่ในมือผู้หญิงอื่นหรอคะ?”
พี่เหอพูดมามีเหตุผลมาก สามีที่ฮอตขนาดนี้ถ้าไม่ดูแลให้ดีอาจถูกแย่งไปได้ ดังนั้นเธอจึงฝืนใจตัวเองสักนิด ยึดครองตำแหน่งคู่ออกงานของเขาให้จงได้
ก่อนออกจากบ้าน พี่เหอกำชับว่า: “นายหญิงน้อย พึงจำไว้ว่าตัวเองเป็นหญิงมีครรภ์ ห้ามดื่มแอลกอฮอล์นะคะ”
“สบายใจเถอะค่ะ ดิฉันจะระวังให้มากขึ้น” ไป๋มู่ชิงพูดจบจึงเดินออกจากห้องนอนไปยังชั้นล่าง
ไป๋มู่ชิงไปตามเลขาเหยียน มาถึงห้างฯ หรูที่เคยมาซื้อเสื้อผ้ากับหนานกงเฉินคราวที่แล้ว เห็นได้ชัดว่าเลขาเหยียนคุ้นเคยกับที่นี่มาก ตรงไปยังร้านสั่งจองชุดสำหรับร่วมงานเลี้ยงที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง
เจ้าของร้านต้อนรับทั้งสองคนอย่างกระตือรือร้น มองไปมู่ชิงด้วยสายตาสงสัย
เลขาเหยียนยิ้มบางๆ: “ท่านนี้เป็นภรรยาของคุณชายเฉิน รบกวนคุณช่วยแนะนำชุดราตรีที่เหมาะกับเธอสักสองสามชุด อืม……เอาแบบไม่หรูหราเกิน เรียบง่ายแต่ดูสวยสง่าก็พอค่ะ”
หนานกงเฉินไม่ชอบผู้หญิงที่จัดจ้านเกินไป เรื่องนี้เธอรู้ดี
พูดจบเธอก็พูดกับไป๋มู่ชิงว่า: นายหญิงน้อย คุณเองก็เดินดูสักหน่อย ลองดูว่ามีแบบที่ชอบไหม สามารถหยิบไปลองก่อนได้
“ได้ค่ะ” ไป๋มู่ชิงไม่มีความรู้ในการเลือกชุดราตรีเลย แต่ว่าในฐานะนายหญิงน้อยตระกูลหนานกงถ้าไม่ออกความเห็นเลยก็เป็นเรื่องที่น่าขายหน้าเหมือนกัน คิดได้ดังนั้น ก็แสร้งทำเป็นเลือกดูชุดราตรีที่ถูกแขวนไว้บนราว
แน่นอนว่า สุดท้ายเธอก็เลือกแบบที่ทางเจ้าของร้านแนะนำ
จากประสบการณ์คราวที่แล้ว รอบนี้เป็นตายร้ายดียังไงเธอก็ไม่เลือกชุดสีขาวอีก แต่เลือกชุดสีเขียวมรกตยาวประมาณเข่ามาชุดหนึ่ง
ขนาดของชุดพอดีกับตัวเธอ ดูบริสุทธิ์สดใส เป็นแบบที่เลขาเหยียนคิดเอาไว้ เลขาเหยียนชอบทันทีที่เห็น ยิ้มบางๆ : “ชุดนี้เลยค่ะ คุณชายเฉินต้องชอบแน่ๆ”
ไป๋มู่ชิงพยักหน้า ตัวเธอเองก็ชอบเหมือนกัน
“นายหญิงน้อย นี่เป็นรองเท้าเข้าชุดค่ะ” เจ้าของร้านหยิบรองเท้าส้นสูงเปิดหน้าประดับพลอยเทียมสูงประมาณ12ซม.ออกจากกล่องแล้ววางข้างขาเธอ: “นายหญิงน้อยขาเล็กน่ารัก เบอร์6 น่าจะใส่ได้พอดี”
เมื่อไป๋มู่ชิงเห็นรองเท้าคู่นั้น ดึงขาไปข้างหลังทันที: “ไม่ล่ะ ฉันไม่อยากใส่ส้นสูง”
เจ้าของร้านและเลขาเหยียนมองหน้ากัน เลขาเหยียนจึงถามขึ้นอย่างสงสัย: “ทำไมล่ะคะ?”
“เพราะว่า……ฉันใส่ส้นสูงไม่เป็น”
“แต่ว่าชุดราตรีไม่ใส่คู่กับส้นสูงจะไม่เข้ากันนะคะ อีกอย่างสาวๆ ที่ไปร่วมงานล้วนใส่ส้นสูงกันทุกคน” เจ้าของร้านกล่าว
“ดิฉันขอรองเท้าส้นเตี้ยดีกว่านะคะ” ไป๋มู่ชิงหัวเราะเหอๆ แล้วรีบพูดเสริม: “เกิดไปหกล้มในงานจะน่าอายมากกว่าค่ะ จริงไหมคะ?”
เจ้าของร้านจึงไปหารองเท้าส้นตึกมาให้เธอคู่หนึ่งอย่างเสียไม่ได้ แม้จะสูงเล็กน้อย แต่ก็ดีกว่าคู่ก่อนหน้านี้มากๆ
รองเท้าส้นตึกใส่แล้วไม่สวยจริงด้วย แต่เพื่อลูกน้อยของเธอ ก็คงต้องยอมอดทนใส่คู่นี้ไปก่อน
เลขาเหยียนพาไป๋มู่ชิงมาเจอหนานกงเฉิน ยังไม่ทันที่หนานกงเฉินจะแสดงความคิดเห็นสีหน้าเธอรู้สึกผิดขึ้นมาทันที ได้แต่ยืนเงียบๆ อยู่ข้างๆ
หนานกงเฉินกวาดสายตาดูไป๋มู่ชิง รวมๆ แล้วก็ไม่เลวทีเดียว ผมลอนประบ่า แต่งหน้าอ่อนๆ เรียบง่ายแต่ดูสวยสง่า แต่ว่า……”
เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย ถามขึ้นว่า: “ไม่มีรองเท้าคู่อื่นให้เลือกแล้วหรอ?”
เลขาเหยียนก้มหน้าลงเล็กน้อย ยังคงนิ่งเงียบ
ไป๋มู่ชิงรีบพูดขึ้นว่า: “ฉันชอบรุ่นนี้เองค่ะ รองเท้าที่ส้นสูงไปฉันกลัวจะหกล้มหน่ะ”
“มีผมอยู่ยังกลัวว่าจะหกล้ม?”
“เรื่องนี้มันไม่แน่นอนสักหน่อย ถ้าล้มขึ้นมาจริงๆ ตระกูลหนานกงก็ต้องเสียหน้าเพราะฉันอีก ดังนั้น……” เธอยิ้มอย่างรู้สึกสำนึก: “เพื่อความปลอดภัย ให้ฉันใส่คู่นี้เถอะนะ”
หนานกงเฉินไม่พูดอะไรอีก
จริงๆ แล้วเขาก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ก็แค่ไปร่วมงานเลี้ยง ไม่ได้ไปอวดคู่ออกงานสักหน่อย แต่ถ้าจะอวดกันจริงๆ รูปลักษณ์อย่างคุณหนูคนโตตระกูลไป๋อย่างเธอจะไปสู้นางแบบนักแสดงที่มาร่วมงานได้ยังไง
หนานกงเฉินไม่จำเป็นต้องมีหญิงงามมาเสริมบารมีตัวเองหรอก!
เมื่อดูเวลาก็ใกล้เวลางานแล้ว จึงยืนขึ้น หยิบสูทที่วางอยู่บนเก้าอี้แล้วพูดว่า: “ไปเถอะ เราไปกันตอนนี้เลย”
เมื่อเห็นหนานกงเฉินหยุดวิจารณ์รองเท้าของเธอ ไป๋มู่ชิงรู้สึกโล่งใจ เดิมตามเขาออกจากบริษัทไป
งานเลี้ยงของนายกเทศมนตรีเฝิงจัดในโรงแรมฮวาหวานที่มีชื่อเสียงของเมืองซี เมื่อทั้งสองมาถึงโรงแรม แขกในงานก็มากันเกือบครบแล้ว
หนานกงเฉินมาร่วมงานด้วยตัวเอง นายกเทศมนตรีเฝิงดีใจจนไม่หุบยิ้มเลย พูดจายกยอทั้งสองครู่หนึ่งแล้วจึงให้พนักงานต้อนรับพาทั้งสองเข้างาน
เมื่อเข้าไปในงานไป๋มู่ชิงรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที ตระกูลหลินเป็นตระกูลที่มีหน้ามีตาในเมืองซี ในสถานการณ์แบบนี้หลินอันหนานต้องมาแน่ๆ เดี๋ยวถ้าเจอกันจะทำยังไง?
เธอกวาดสายตาไปรอบๆ งาน โชคดีไม่เห็นเงาของเขา
ไม่เห็นหลินอันหนาน แต่กลับเห็นคุณพ่อและแม่รองแทน พอทั้งสองเห็นพวกเขา ก็รีบเดินเข้ามาหาทันที
พ่อแม่คู่นี้ ไป๋มู่ชิงไม่อยากเจอหน้าสักนิด แต่ในสถานการณ์ตรงหน้านอกจากรับมือกับพวกเขาก็ไม่มีวิธีอื่นอีก
ต่อหน้าหนานกงเฉิน ทั้งสองคนมีมารยาทมาก ยิ้มจนแก้มปริแล้วกล่าวทักทาย: “คุณชายเฉิน ไม่เจอกันนานเลย แล้วก็ยิ่งอัน ช่วงนี้ไม่ได้กลับมากินข้าวที่บ้านเลยนะ”
ไป๋มู่ชิงยิ้มตอบอย่างเสแสร้ง: “ช่วงนี้ยุ่งๆ ค่ะ ฉันจะกลับไปวันหลังนะคะ”
“ดี ดี อย่าลืมพาคุณชายเฉินมาด้วยกันล่ะ”
“ผมจะลองจัดเวลากลับไปนะครับ” หนานกงเฉินไม่ได้อยากคุยกับพวกเขาสักนิด โอบตัวไป๋มู่ชิงแล้วเดินไปอีกทางหนึ่ง
หนานกงเฉินถูกกลุ่มคนรุมล้อมตีสนิท น่าจะเพราะอากาศในนี้ไม่ถ่ายเท ไป๋มู่ชิงรู้สึกอยากอาเจียน เพื่อไม่อาเจียนต่อหน้าหนานกงเฉิน เธอตัดสินใจออกไปสูดอากาศหายใจนอกโรงแรม
เมื่อเธอเดินออกมานอกโรงแรม เจอผู่เหลียนเหยาในชุดทำงานนั่งเล่นมือถืออยู่บนแปลงดอกไม้ด้านข้างอย่างบังเอิญ เธอเดินไปหาอย่างประหลาดใจ ประเมินเธอแล้วพูดว่า: “เหลียนเหยา? ทำไมเธออยู่ที่นี่ล่ะ?”
ผู่เหลียนเหยาได้ยินคนเรียกเธอ จึงรีบเงยหน้าขึ้น
“พี่สะใภ้? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?” เธอมองไป๋มู่ชิงด้วยสีหน้าประหลาดใจเช่นกัน
“ฉันมาร่วมงานเลี้ยงของนายกเทศมนตรืเฝิงกับคุณชายใหญ่น่ะ”
“พี่ชายมาร่วมงานเลี้ยง?” ความประหลาดใจบนใบหน้าทวีความรุนแรงมากขึ้น: “ปกติแล้วพี่ชายไม่ร่วมงานเลี้ยงไม่ใช่หรอ? ทำไมจู่จู่วันนี้ถึงโผล่มาร่วมงานเลี้ยงของนายกเทศมนตรีเฝิงได้ล่ะ?”
ปกติหนานกงเฉินไม่เคยเข้าร่วมงานเลี้ยงเลยหรอ? เรื่องนี้ไป๋มํ่ชิงไม่เคยรู้มาก่อนเลย
เธอยิ้มพลางยักไหล่ พูดว่า: “น่าจะเป็นเพราะว่าท่านนายกฯเฝิงหน้าใหญ่กว่าคนอื่นๆ มั้ง”
“ฉันก็คิดเหมือนกัน”
ไป๋มู่ชิงสังเกตเธออีกรอบ: “จริงสิ ทำไมเธออยู่ที่นี่ล่ะ รอคนหรอ?”
“ไม่ใช่อยู่แล้ว วันนี้เป็นเลี้ยงการกุศลที่จัดโดยตระกูลนายกเทศมนตรีเฝิง ท่านนายกฯเฝิงกลัวว่าจะมีเหตุอะไรเกิดขึ้น จึงสั่งการให้พวกเรามาสแตนบาย” ผู่เหลียนเหยาชี้ไปยังรถฉุกเฉินที่จอดอยู่ไม่ไกลเป็นรถจากโรงพยาบาลหงเอินพอดี
เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องขึ้นในงานเลี้ยง นายกฯท่านนี้ ก็วางแผนรัดกุมดีนะ
“ทำไมเธอไม่เข้าไปในงานล่ะ?” ผู่เหลียนเหยาถามขึ้น
ไป๋มู่ชิงยิ้ม: “ฉันรู้สึกว่าข้างในอึดอัด จึงออกมาสูดอากาศหายใจสักหน่อย”
ผู่เหลียนเหยาพยักหน้า แล้วถามต่อว่า: “จริงสิ ฉันได้รับขนมรสบ๊วยกับของฝากที่เธอซื้อให้แล้ว ขอบคุณนะ”
“ขอบคุณอะไรกัน ตอนแรกจะเอาไปให้เอง แต่ก็ยังหาโอกาสไปไม่ได้เลย”
“เอาไปให้ที่โรงพยาบาลโดยเฉพาะหรอ? ไม่เห็นต้องลำบากขนาดนั้นเลย” ผู่เหลียนเหยาพูดด้วยความรู้สึกขอบคุณ: “เธอมีใจคิดถึงกันขนาดนี้ ฉันก็ดีใจมากแล้ว จะกล้าให้เธอมาส่งของด้วยตัวเองอีกได้ยังไง”
“ก็ไม่ใช่ว่าจะเอาของไปให้เธอโดยเฉพาะหรอก สองสามวันนี้ฉันแพลนว่าจะไปเยี่ยมคนไข้ที่โรงพยาบาลหงเอินคนนึงน่ะ”
“ใครหรอ? เพื่อนเธอหรอ? ชื่ออะไร เผื่อฉันจะได้ช่วยดูแลอีกแรง”
“ขอบคุณนะ ชื่อเสี่ยวลี่ สองสามวันก่อนเพิ่งผ่าตัดบายพาสหัวใจไป”
“เสี่ยวลี่ เด็กผู้ชายที่ผ่าตัดหัวใจสองสามวันก่อนหรอ?” ผู่เหลียนเหยาประหลาดใจ
ไป๋มู่ชิงไม่คิดว่าผู้เหลียนเหยารู้จักเสี่ยวลี่ ยิ้มแล้วตอบว่า: “ใช่ๆ เธอก็รู้จักเขาหรอ?”
“แน่นอนฉันรู้สิ เด็กคนนี้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลของพวกเรามาระยะนึงแล้ว ระหว่างที่รักษาในโรงพยาบาลก็ค้างค่ารักษาอยู่บ่อยๆ จนคุณหมอต่างพากันปวดหัว แต่ว่าเขาเสียชีวิตขณะผ่าตัดเมื่อสองสามวันก่อนแล้วนะ เธอไม่รู้หรอ?” ผู่เหลียนเหยามองเธออย่างประหลาดใจ เห็นอาการตกใจของเธอ จึงรีบถามต่อ: “เธอไม่รู้จริงๆ หรอ? ความเสี่ยงจากการผ่าตัดของเด็กคนนั้นสูงมาก จริงๆ ไม่ควรผ่าตัดด้วยซ้ำ สุดท้ายพอเข้าห้องผ่าตัดไปก็ไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย”
ไป๋มู่ชิงจ้องเธอด้วยอาการตกใจ ครู่ใหญ่จึงถามเสียงสั่นว่า: “เธอว่าอะไรนะ? เสี่ยวลี่ตายแล้วหรอ?”
จ้าวเฟยหยางบอกเธอว่า การผ่าตัดของเสี่ยวลี่ราบรื่นมาก อีกไม่นานก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วนี่
“ใช่สิ……” ผู่เหลียนเหยาเห็นน้ำตาที่ไหลลงมาบนหน้าของเธอ สีหน้าของเธอก็สลดตามไปด้วย จับมือเธอไว้: “พี่สะใภ้ เธอโอเคไหม?”
ไป๋มู่ชิงไม่ได้ตอบเธอ ยังคงช็อคอยู่
ครู่หนึ่ง เธอลุกขึ้นยืนอย่างกระทันหัน ตรงดิ่งไปยังจุดเรียกรถแท็กซี่นอกโรงแรม
“เฮ้ พี่สะใภ้ เธอเป็นอะไรน่ะ? แล้วเธอจะไปไหน?” ผู่เหลียนเหยาวิ่งตามเธอไป ดึงมือเธอไว้: “งานเลี้ยงเพิ่งเริ่มนะ เธอไปตอนนี้แล้วพี่ชายจะทำยังไง? พี่สะใภ้……”
ตอนนี้ในใจและในสายตาของไป๋มู่ชิงมีแค่ข่าวการตายของเสี่ยวลี่ ไม่มีใจไปสนใจว่าหนานกงเฉินจะทำยังไงหรอก ตอนนี้เธอแค่อยากเจอจ้าวเฟยหยางให้เร็วที่สุด ถามเขาด้วยตัวเองว่าการผ่าตัดของเสี่ยวลี่สำเร็จไหม
เธอโบกมือเรียกรถแท็กซี่คันนึง แล้วขึ้นไปนั่งพร้อมให้คนขับไปส่งเธอที่โรงพยาบาลหงเอิน
หลังรถออกไปไม่นาน ไป๋มู่ชิงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าถ้าเสี่ยวลี่ตายไปแล้วจริงๆ ตอนนี้เธอไปโรงพยาบาลหงเอินก็ไม่มีประโยชน์ เพราะผ่านมาหลายวันแล้ว เธอจึงให้คนขับขับไปยังที่พักใหม่ของพวกเด็กๆ
ตอนนี้เด็กๆ อาศัยอยู่ในตึกที่สร้างใหม่ เป็นไปตามที่จ้าวเฟยหยางบอก ชั้นบนและล่างโปร่งแสงและกว้างมาก เป็นที่พักที่ดีเลยทีเดียว
ตอนเธอไปถึง จ้าวเฟยหยางและหยวนกุยกำลังดูแลเด็กๆ ทานข้าว เมื่อเห็นไป๋มู่ชิงในชุดราตรี แต่สภาพมอมแมม ทั้งสองเข้าใจทันทีว่าเธอมาด้วยเหตุผลอะไร
จ้าวเฟยหยางส่งสายตาให้หยวนกุย แล้วพูดกับเธอ: “ให้ฉันไปอธิบายกับเธอแล้วกัน” พูดจบก็ลุกขึ้นเดินไปหาไป๋มู่ชิง
เดินตามจ้าวเฟยหยางจนถึงหน้าประตู ไป๋มู่ชิงรีบหันกลับมา จ้องเขาแล้วถามอย่างคาดคั้น: “ทำไมต้องโกหกฉันว่าการผ่าตัดของเสี่ยวลี่ราบรื่นดี”
จ้าวเฟยหยางสูดหายใจเข้าเบาๆ ยิ้มอย่างขมขื่นแล้วพูดว่า: “จะเพราะอะไรล่ะ ไม่อยากให้เธอผิดหวังเสียใจ ไม่อยากรบกวนทริปวันหยุดของเธอไง”
“เสี่ยวลี่กับทริปวันหยุดอันไหนสำคัญมากกว่าคุณแยกแยะไม่ได้หรอ? ไป๋มู่ชิงโกรธ: “ถ้าคุณบอกฉันว่าการผ่าตัดของเสี่ยวลี่ล้มเหลว ฉันจะต้องรีบกลับมาแน่ๆ”
“รีบกลับมาแล้วยังไงหรอ? นอกจากเศร้าโศกก็คือเสียใจ” จ้าวเฟยหยางก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งแล้วตบบ่าเธอเบาๆ : “พอเถอะ มู่ชิง ผมรู้ว่าเธอรักเสี่ยวลี่มาก รู้ว่าเธอเสียใจมาก แต่อาการของเสี่ยวลี่ก็เห็นๆ กันอยู่ พวกเราก็รู้อยู่แล้วว่าผลลัพธ์จะเป็นแบบนี้”
“เป็นเพราะฉัน……” จู่จู่น้ำตาของไป๋มู่ชิงก็ไหลลงมา ร้องไห้อย่างเจ็บปวด: “ฉันเป็นคนเสนอให้เสี่ยวลี่ผ่าตัดเอง ถ้าเสี่ยวลี่ไม่เข้ารับการผ่าตัดก็ไม่จากไปไวขนาดนี้ ฉันผิดเอง……”
ในตอนนั้นธอคิดเพียงแค่ว่ายังไงก็ต้องผ่าตัด นี่เป็นทางออกเดียว ไม่คิดเลยว่าการผ่าตัดครั้งนี้เป็นการส่งเสี่ยวลี่ให้ไปอยู่อีกโลกหนึ่ง
จ้าวเฟยหยางรู้ว่าเธอจะเสียใจ เธอจะโทษตัวเอง จึงปิดบังการตายของเสี่ยวลี่ไว้ไม่บอกเธอ
ตบบ่าเธอด้วยฝ่ามือเบาๆ อีกครั้งแล้วพูดปลอบ: “อาการของเสี่ยวลี่ถ้าไม่ผ่าตัด หมอก็บอกว่าจะมีชีวิตอยู่ไม่พ้นเดือนนี้ ดังนั้นเธออย่าโทษตัวเองเลย เธอทำแบบนี้ก็เพราะหวังดีต่อเสี่ยวลี่”
“แต่ว่าถ้าไม่ผ่าตัด อย่างน้อยเขาก็อยู่ต่อได้อีกหนึ่งเดือน……”
“แต่เป็นหนึ่งเดือนที่มีชีวิตอยู่อย่างทรมานนะ พวกเราพยายามแล้ว ทำเต็มที่แล้ว เชื่อว่าเสี่ยวลี่จะต้องรับรู้ได้ถึงความหวังดีของพวกเราในอีกภพภูมินึงแน่นอน”
คำปลอบโยนของจ้าวเฟยหยางไม่ช่วยให้ไป๋มู่ชิงรู้สึกดีขึ้นเท่าไหร่ เรื่องการจากไปของเสี่ยวลี่เป็นเรื่องจริง และเธอเป็นต้นคิดที่ให้เสี่ยวลี่รับการผ่าตัด ยากมากที่เธอจะไม่รู้สึกโทษตัวเอง
น้ำตาหลั่งไหลลงมามากกว่าเดิม เธอร้องไห้หนักกว่าเดิม

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset