เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 85 หนีออกจากโรงพยาบาล

“ฉันเคยพูดไว้แล้วว่าจะไปให้ไกลจากที่นี่และจะไม่กลับมาที่เมืองซีอีกตลอดไป”
“ใครจะเชื่อคำพูดพวกนี้กัน?”ซูวยาหยงเดินอ้อมไปที่โต๊ะทำงาน หยิบเช็คขึ้นมาฉีกเป็นชิ้นๆและยิ้มเยาะว่า“ตระกูลหนานกงให้เครื่องประดับเงินทองเยอะกว่านี้อีก ยังไงก็ยังไม่ใช่ของยิ่งอันดังนั้นเช็คใบนี้ก็ถือว่าไม่จำเป็นแล้วเนาะ”
“ยาหยง”ไป๋จิ้งผิงขมวดคิ้วใส่เธอ
ซูวยาหยงยิ้มเยาะว่า“ทำไม?เจ็บใจเหรอ?กับคนนอกต้องมาเจ็บปวดใจไปทำไมกัน?
ไป๋จิ้งผิงจนปัญญาได้แต่เงียบไปและไม่พูดไม่จาอีกเลย
ซูวยาหยงหันมาพูดกับไป๋มู่ชิงว่า“เธออย่าแม้แต่จะคิดจะทำอะไรนะ พรุ่งนี้ไปโรงพยาบาลไปเอาเด็กออกกับฉัน ไม่เช่นนั้นเธอก็รอเก็บศพน้องชายเธอได้เลย ปีนี้มีเรื่องมากมาย อยากให้เขาตายก็ง่ายแค่นิดเดียว”
ไป๋มู่ชิงเงียบปากของเธอไปด้วยความทรมาน กำมือแน่นเพื่อไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมา เธอหันไปหาไป๋จิ้งผิงเพราะความหวังสุดท้ายอยู่ที่เขา
“พ่อ ต้องทำแบบนี้จริงๆเหรอ?ยังไงหนูก็ไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆเป็นแค่คนข้างถนน แต่ยังไงก็ไม่ควรทำกันแบบนี้นะ”
ถึงแม้ว่าไป๋จิ้งผิงจะโหดร้าย แต่ว่าอยู่ต่อหน้าภรรยาและลูกสาวเขาจะเป็นแบบนั้นได้อย่างไรกัน?
เขาหลับตาลงพูดว่า“งั้นก็ฟังที่แม่รองพูดไปเอาเด็กออก ไปใช้ชีวิตให้ดีๆหลังจากนั้นก็ไปแต่งงานกับคนดีๆนะ”
ความหวังอันแสนน้อยนิดก็ได้พังทลายลง
ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็ร้องไห้ออกมาและจ้องเขาพูดว่า“ยังไงคุณก็ไม่เหมาะที่จะมาเป็นพ่อของหนู นับจากวันนี้เป็นต้นไปจะไม่เรียกคุณว่า‘พ่อ’อีกต่อไปฉันไม่อยากจะเป็นคนโหดเหี้ยมแบบคุณ!”
พอพูดจบ เธอก็วิ่งออกไปจากห้องหนังสือ
ได้ยินเธอพูดแบบนี้กับพ่อแล้ว ซูวยาหยงโกรธจนจะเดินตามเธอออกไป ไป๋จิ้งผิงพูดอย่างโมโหมากว่า“พอได้แล้ว!”
ซูวยาหยงหยุดแล้วหันมาจ้องเขาด้วยสีหน้าที่โมโหว่า“ไป๋จิ้งผิงนี่คุณหมายความว่าอย่างกัน?นี่คุณยอมรับแล้วเหรอว่าตัวเองเป็นคนที่โหดเหี้ยม?”
“ถ้าในใจรู้สึกโกรธก็ให้เธอด่าออกมา จะสนใจขนาดนั้นไปทำไมกัน?ทำไมต้องบังคับให้เธอทำเรื่องแบบนั้นด้วย ต้องให้เจ็บกับทั้งสองฝ่ายเหรอถึงจะพอใจ?”
ที่ไป๋มู่ชิงพูดออกมาเมื่อกี้มันก็ถูก ถึงแม้เธอจะไม่ใช่ลูกของเขา แต่ก็ไม่ควรทำกับเธอแบบนี้
โดนไป๋จิ้งผิงว่าแบบนี้ ความเย่อหยิ่งในใจของซูวยาหยงก็หายไปแล้วครึ่งหนึ่ง แน่นอนว่าเธอไม่อยากให้ไป๋มู่ชิงเป็นแบบนั้น ถ้าอย่างนั้นไม่เพียงแต่ไป๋ยิ่งอันเป็นนายหญิงน้อยของตระกูลหนานกงไม่ได้ ทั้งตระกูลไป๋ก็ปกป้องไว้ไม่ได้
หนานกงเฉินทำงานจนถึงสามทุ่มเขาพึ่งจะกลับบ้านมา ตอนที่เดินผ่านห้องของไป๋มู่ชิงเขาก็ได้หยุดชะงัก จริงๆแล้วเขาอยากจะเข้าไปนัวเนียเธอนะ
อยู่ด้วยกันมาก็นานแล้ว เขายิ่งรู้สึกว่าหยอกเล่นกับเธอเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกสบายใจ
แต่พอเข้าคิดถึงท่าทางของเธอที่บนเตียงเมื่อคืนนั้น เขาเลยล้มเลิกความคิดที่จะเข้าไปหาเธอ ผู้หญิงคนนี้มีสิทธิอะไรที่อยากให้เขาไปเอาใจเธอ ไปทำให้เธอมีความสุข?
เขากำลังจะเดินกลับห้องของตัวเอง ทันใดนั้นเสี่ยวลวี่เดินเข้ามาพูดว่า“คุณชายใหญ่ นายหญิงน้อยกลับบ้านไปแล้ว วันนี้ยังไงก็คงไม่กลับมาแล้ว
หนานกงเฉินตกใจจนหันไปจ้องเธอว่า“อะไรนะ?กลับบ้านไปแล้ว?”
ตามที่เขารู้มาทั้งหมด เธอไม่อยากกลับบ้านเพราะเข้าไม่ได้กับน้องสาวของตัวเอง วันนี้เธอกลับไปแล้วแถมยังจะไม่กลับมาอีก
“ใช่ค่ะ พูดว่าจะกลับไปอยู่ประมาณครึ่งเดือนเธอถึงจะกลับมา”
ครึ่งเดือนดูเหมือนว่านานไปนะ
หนานกงเฉินพยักหน้าไตร่ตรองดูและพูดว่า“โอเคเข้าใจแล้ว”หลังจากนั้นก็ผลักประตูเข้าไปในห้อง
แต่ห้องที่เขาเดินไปนั้นกลับไม่ใช่ห้องของตัวเอง แต่เป็นห้องของไป๋มู่ชิง
เขาไปยืนอยู่ตรงกลางห้อง มองไปรอบๆห้องแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย สะอาดเรียบร้อยเหมือนเคย เขาไปเปิดตู้เสื้อผ้าข้าวของข้างในก็ยังอยู่เหมือนเดิม
ไม่เอาของไปเลย ดูแล้วไม่น่าจะกลับบ้านนาน แต่ในใจของยังรู้สึกว่างเปล่าอยู่เลย
นี้คงเป็นเพราะความเคยชินกับการมีเธออยู่ ดังนั้นนี่เลยคงเป็นเหตุผลที่ได้ยินว่าเธอกลับบ้านไปแล้วในใจรู้สึกว่างเปล่าขนาดนี้เหรอ?
หนานกงเฉินถอนหายใจออกมาเบาๆ ไม่ชินที่ตัวเองเป็นแบบนี้เลย
ถึงแม้ว่าไป่มู่ชิงไม่อยากจะเจอไป๋ยิ่งอันแม้แต่วินาทีเดียว แต่ว่าเพื่อชีวิตในอนาคตของหนานกงเฉิน เธอจำเป็นต้องให้ไป๋ยิ่งอันเข้าไป
ไป๋ยิ่งอันนั่งอยู่บนเตียงของเธอ ถามออกมาอย่างจริงจังว่า“ที่เธอเขียนไว้ในไดอารี่ว่าบางครั้งหนานกงเฉินจะอาการกำเริบ ทำร้ายร่างกายนี่เป็นเรื่องจริงเหรอ?”มองเธอด้วยตาที่เปล่งประกายว่า“แต่ว่าอย่ามาหลอกฉันนะ มิฉะนั้นฉันก็ช่วยอะไรเธอไม่ได้นะ”
“ฉันไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องหลอกเธอ”ไป๋มู่ชิงนั่งอิงอยู่บนเตียงก็หยิบนิตยสารมาอ่านแต่ว่าอ่านไม่เข้าหัวเลยแม้แต่ตัวเดียว”
ไป๋ยิ่อันพูดอย่างจองหองว่า“ใครจะไปรู้ว่าเธอแค่ขู่ฉันหรือเปล่า เพื่อที่จะกำจัดความคิดที่จะเข้าไปอยู่ในตระกูลหนานกง”
“ฉันเคยพูดแล้วนะ ฉันไม่ได้ไร้ยางอายแบบเธอหรอกนะ”
“เธอ……”ไป๋ยิ่งอันโกรธมาก อยากพูดให้เธอรู้สึกอับอายแต่ย้อนกลับไปคิดว่าช่วงสิบกว่าวันนี้ยังต้องพึ่งเธออยู่ เลยได้แต่อดทนไว้
เธอเลยพูดด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายว่า“งั้นปกติแล้วเขาจะอาการกำเริบตอนไหน?อาการกำเริบหนักไหม?”
“ตอนที่ร่างกายอ่อนแออาการถึงจะกำเริบ ดังนั้นเธอเลยต้องดูแลเขาให้ดีๆ ถ้าหากว่าอาการกำเริบตอนกลางคืนนั้นห้ามเปิดไฟเด็ดขาดนะเพราะไฟจะไปกระตุ้นเขา ทำให้เขาอาจจะทำร้านคนข้างกายได้”ไป๋มู่ชิงบอก
ไป๋ยิ่งอันได้ฟังเธอพูดไปแล้วนั้น ก็อึ้งไปเลย
“งั้นถ้าเขาไม่สบายล่ะต้องทำอย่างไร?”
“อยู่ดูแลเขา อย่าทำให้เขารู้สึกกลัวไม่อย่างนั้นจะทำให้เขารู้สึกทรมาน”ไป่มู่ชิงกระซิบบอกเธอแบบนั้น
“ไม่สามารถทำให้เขากลัว?นี่มันจะเป็นไปได้อย่างไร?”ไป๋ยิ่งอันพูดออกไปด้วยท่าทีที่ไม่เชื่อ“ฉันแค่ฟังที่เธอพูดก็ปวดหัวแล้ว แล้วนี่จะทำให้ไม่กลัวได้อย่างไร”
“ในเมื่อกลัวงั้นทำไมยังแต่งงานกับเขาล่ะ?”
“ฉัน……นี่มันเรื่องของฉัน”ไป๋ยิ่งอันพูดทิ้งท้ายไว้
อาการกำเริบบางครั้งก็ไม่เป็นอะไรมาก ขอเพียงแค่ไม่เป็นเหมือนที่เล่ากันมากันมาก็พอแล้ว ยิ่งกว่านั้นหนานกงเฉินไม่ได้ป่วยนั้น……ตอนที่เห็นเขาครั้งแรกเธอหลงเขา ผู้ชายที่ดีเลิศขนาดนี้ถึงจะมีข้อบกพร่องเล็กๆน้อยๆก็ไม่เป็นไร?
“ใช่แล้ว ที่พูดกันว่าหนานกงเฉินจะอยู่ได้ถึงแค่อายุสามสิบนั้นเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหก?”
“แน่นอนว่าเป็นเรื่องโกหก ฉันเคยบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”ไป๋มู่ชิงพูดออกไปอย่างอึดอัดใจ
ไป๋ยิ่งอันโดนเธอทำให้รู้สึกอึดอัดใจจนเธอโมโหและเหล่มองเธอ“เธอจะรู้สึกร้อนรนขนาดนี้ทำไม?เขาจะอยู่ถึงหรือไม่ถึงอายุสามสิบแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอ?”
พอเธอพูดจบก้หัวเราะออกมาอย่างภูมิใจว่า“แต่ก็ไม่เป็นไร ถ้าหนานกงเฉินตายไป คุณยายก็จะอยู่ได้อีกไม่นาน ถึงเวลานั้นตระกูลหนานกงก็ต้องตกเป็นของฉัน นึกแล้วก็รู้สึกดีจัง”
“ถ้าเธอมีแต่ความคิดแบบนี้ งั้นเธอก็ใจดำเกินไปแล้วหรือเปล่า”ไป๋มู่ชิงทนไม่ไหวจนต้องทิ้งนิตยสารในมือ มองเธอด้วยความโกรธว่า“หลังจากเธอเข้าไปในตระกูลหนานกง หนานกงเฉินก็จะเป็นสามีของเธอ ไม่ใช่ว่าเธอควรเอาอกเอาใจดูแลเขา ทำให้เขามีชีวิตที่ยืนยาวต่อไปหรอกเหรอ?มีที่ไหนกันยังไม่ทันจะเข้าไปก็หวังให้เขาตาย หลังจากนั้นก็จะฮุบสมบัติกัน?”
“เธอร้อนรนอะไรกันล่ะ?ฉันแค่พูดเอง”ไป๋ยิ่งอันทำตาขวางใส่เธอ“แน่นอนว่าฉันหวังให้เขาสุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาว”
“ฉันไม่อยากคุยกับเธอแล้ว เธอออกไปเถอะ”ไป๋มู่ชิงก็คุมโปงอยู่บนเตียง
ได้ยินไป๋ยิ่งอันพูดคำพูดพวกนั้นออกมามันทำให้เธอโกรธมากจริงๆ แน่นอนว่าที่ยิ่งทรมานนั้นคือต้องยกหนานกงเฉินให้ไป๋ยิ่งอันผู้หญิงที่เห็นแก่ตัวแบบนี้ดูแลเขา เธอกังวลใจมากๆ!
แต่ว่าถ้าไม่วางใจแล้วจะมีวิธีไหนอีกล่ะ?
“ที่เธอทำแบบนี้มันหมายความว่าอย่างไรกัน?ที่นี่เป็นบ้านฉันเธอยังให้ฉันออกไปอีกเหรอ?”ไป๋ยิ่งอันจ้องที่เธอด้วยความโมโห ไม่มีวิธีไหนที่จะยอมรับสีหน้าของไป๋มู่ชิงที่มีต่อเธอได้
เธออิงจากอะไร?เธอมีสิทธิคุยกับเธอแบบนี้ไหม?
แต่ว่าเธอโกรธจนปอดจะระเบิดอยู่แล้ว ไป๋มู่ชิงยังคงไม่เอาผ้าห่มออกจากหัว ยิ่งกว่านั้นคือไม่สนใจเธอ
โทรศัพท์ของไป๋มู่ชิงที่วางอยู่บนโต๊ะก็ได้ดังขึ้น เป็นเสียงเรียกเข้าขิงหนานกงเฉิน ไป๋มู่ชิงแทบจะออกมาจากในผ้าห่มทันที เธอเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ แต่กลับโดนไป๋ยิ่งันแย่งไป โทรศัพท์ก็ตกไปอยู่ในมือของเธอ
ไป๋ยิ่งอันมองไปที่ตรองหน้าจอ‘คุณชายเฉิน ’อยู่สองคำ รีบพูดเยาะเธอว่า“ทำไมพอได้ยินว่าเป็นสายของคุณชายเฉินต้องรีบขนาดนี้ด้วย?ไม่ใช่ว่าเธอรักเขาเข้าแล้วจริงหรอกเหรอ?”
“คืนโทรศัพท์ให้ฉันด้วย”ไป๋มู่ชิงยืนจ้องเธออยู่
โทรศัพ์ในมือของไป๋ยิ่งอันก็ดังไม่หยุด“ก็ถูกนะ ผู้ชายที่เลิศเลอเหมือนคุณชายเฉิน ฉันยังตกหลุมรักเขาตั้งแต่แรกเจอ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนจนแล้ว”
ในที่สุดเสียงเรียกเข้าก็ได้ดับลง แต่ว่าไม่ถึงสิบวินาทีก็ดังขึ้นมาอีกแล้ว ยังคงเป็นสายเรียกเข้าเดิม เบอร์เดิม
ในมือไป๋ยิ่งอันถือโทรศัพท์ของไป๋มู่ชิงอยู่ มีท่าทางหงุดหงิดเล็กน้อย คิดไม่ถึงเลยจริงๆว่าความสัมพันธ์ของพวกเธอสองคนจะพัฒนาไปได้ดีขนาดนี้ แต่ว่าพอกลับมาย้อนคิดดูความสัมพันธ์ของพวกเธอ สำหรับเธอแล้วก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะว่าอีกไม่นานเธอต้องไปแทนที่ไป๋มู่ชิงแล้ว
ไป๋มู่ชิงกลืนน้ำลายและจ้องเธอพูดว่า“คุณหนูไป๋ฉันจะบอกอะไรให้นะ หนานกงเฉินคือคุณชายใหญ่ที่ถูกตามใจจนเสียนิสัย เขาเป็นคนเดียวที่ไม่รับสายคนอื่นและยังไม่มีใครที่จะไม่กล้ารับสายของเขา ถ้าหากว่าเธอไม่อยากให้เขาโกรธจนมาฆ่าตระกูลไป๋ของเรา งั้นเธอก็คืนโทรศัพท์มาให้ฉัน”
พอไป๋ยิ่งอันฟังที่เธอพูดแบบนี้แล้ว ก็รู้สึกกลัวขึ้นมา ถึงแม้ถ้าหนานกงเฉินจะมาฆ่าจริงๆงั้นก้ต้องมีผลกระทบกับแผนการของพวกเธอที่วางแผนเอาไว้
เธอยอมให้โทรศัพท์กับไป๋มู่ชิงแต่โดยดี ไป๋มู่ชิงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทันที ลุกขึ้นมาจากเตียงเดินไปที่ห้องน้ำพร้อมกับกดรับสาย
พอรับสายแล้ว ได้ยินเสียงหนานกงเฉินพูดออกมาในสายทันทีว่า“ทำไมถึงพึ่งรับโทรศัพท์”
“ขอโทษที ไม่ได้ยินเสียงน่ะ”ไป๋มู่ชิงไม่สนใจไป๋ยิ่งอันที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่เธอเลย สะบัดมือและเข้าไปในห้องน้ำ
สายที่หนานกงเฉินโทรมาเขากลับไม่ได้โกรธเลย แต่กลับย้อนถามเธอว่า“ได้ยินมาว่าเธอกลับไปอยู่บ้านเหรอ?”
“ใช่แล้ว”
“เพื่อกลับไปแก้นแค้นน้องคนนั้นเหรอ?”
“คุณชายเฉิน คุณคิดว่าฉันเบื่อขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“งั้นเป็นเพราะอะไรล่ะ?เพราะว่าเรื่องเมื่อวานเหรอ?”
“เรื่องอะไรกัน?”ไป๋มู่ชิงถามกลับไป
“ถ้าไม่มีอะไรจริงๆงั้นร้องไห้ทำไม?”
“ฉัน……”ไป๋มู่ชิงพยายามจะพูดออกมา แต่ในตอนนั้นกลับไม่รู้จะต้องตอบเขาอย่างไร ที่ร้องไห้เมื่อวานนั้นเป็นเพราะว่าคิดถึงเรื่องที่ยายเสียชีวิตไป เพราะหลินอันหนานบอกกับฉันว่ายายของเธอโดนคุณชายเฉินทำร้ายจนตาย แต่ว่าวันนี้หลังจากไปถามเซิ่งเคอ ถึงแม้เธอยังคงรู้สึกสงสัยแต่ในใจกลับรู้สึกสงบสุขขึ้นมามากเลย
“ผู้หญิงแหละเนาะ ทุกเดือนมักจะมีสองสามวันที่อารมณ์ขึ้นๆลงๆ ฉันผิดไปแล้ว ฉันขอโทษ”เธอพูดด้วยความรู้สึกผิด
งั้นก็ถือว่ายังโอเค ในที่สุดหนานกงเฉินก็รู้สึกพอใจแล้วและไม่ได้โกรธเธอแล้ว
“ในเมื่อไม่ได้กลับไปแก้แค้นและไม่ใช่เพราะฉันเธอถึงออกจากบ้านไป งั้นเธออธิบายกับฉันหน่อยว่าทำไมถึงกลับไปอยู่ที่บ้าน”หนานกงเฉินพูดอีกเสริมอีกประโยคว่า“แล้วจะกลับไปอยู่บ้านทำไมไม่บอกฉันเลย ในใจของเธอฉันไม่ได้สำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ไม่ใช่”ไป๋มู่ชิงอธิบายด้วยความรู้สึกไม่ดีว่า“ฉันแค่รู้สึกว่าฉันไปจากตระกูลไป๋นานเกินไป ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่นานแล้ว คิดถึงความรู้สึกตอนที่อยู่กับพวกท่านก็เลย……กลับมา”
เหตุผลพอฟังขึ้นไหม?เธอก็ไม่รู้เหมือนกัน
แต่เธอพอดูออกว่าหนานกงเฉินไม่ได้รู้สึกดีใจเลยที่เธอกลับไปอยู่ที่บ้าน ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงไม่มีความสุข แต่ผู้ชายคนนั้นจะเอาแต่ใจตั้งแต่ไหนแต่ไร เรื่องที่เขาไม่มีความสุขคนอื่นก็อย่าหวังว่าจะไปทำอย่างมีความสุข
หนานหงเฉินเงียบไปสักพักแล้วพูดว่า“เหตุผลนี้ฟังไม่ขึ้น ดังนั้นคำสั่งของฉันคือเธอต้องกลับตระกูลหนานกงมาก่อนเย็นวันพรุ่งนี้”
“ฉันไม่กลับ”ไป๋มู่ชิงปฏิเสธเขาทันที
“เธอต้องกลับมา”หนานกงเฉินพูดอย่างแน่วแน่
“ทำไมล่ะ?”
“เพราะว่า……ตอนนี้เธอเป็นนายหญิงน้อยของตระกูลหนานกง ดังนั้นเธอต้องกลับมาอยู่ที่ตระกูลหนานกง”หนานกงเฉินพูดมาแบบนี้ แน่นอนว่าเขารับไม่ได้เพราะไม่คุ้ยเคยกับการที่ไม่มีเธอ ดังนั้นเลยสั่งให้เธอกลับไป
“ฉันไม่กลับไปแล้ว อีกไม่กี่วันฉันต้องไปเที่ยวกับแม่แล้ว ยิ่งว่านั้น……ฉันได้บอกกับคุณย่าเรียบร้อยแล้ว”
“จะไปเที่ยวที่ไหน?”
“ไปต่างประเทศ”ไป๋มู่ชิงพูดไปเรื่อย
หนานกงเฉินเงียบไปอีกรอบเลยได้แต่ยอมเธอ“โอเค งั้นถ้าเที่ยวเสร็จรีบกลับมานะ”
ไปเที่ยว?นานสุดคงจะแค่หนึ่งสัปดาห์เอง เขารอได้
“อืม”ไป๋มู่ชิงตอบเขา ในใจคิดว่าทำให้เขารู้สึกดีไปก่อน หลังจากนั้นค่อยว่ากัน
“โอเค งั้นฉันวางละ”ตอนที่หนานกงเฉินกำลังจะวางโทรศัพท์นั้นไป๋มู่ชิงเรียกเขาอย่างรีบร้อนว่า“คุณชายใหญ่ เดี๋ยวก่อน”
“ยังมีอะเรื่องอะไรอีก”
“ฉัน……”ไป๋มู่ชิงกัดริมฝีปากพูดว่า“จริงๆแล้วก็ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากบอกว่าถ้าฉันไม่อยู่แล้ว คุณต้องดูแลตัวเองดีๆนะ สูบบุหรี่ ดื่มเหล้าให้น้อยลงเลิกนอนดึกด้วย และต้องกินยาให้ตรงเวลาด้วยนะ ฉันรู้ว่ายาพวกนั้นมันขมแต่คุณจะมาทำตัวเป็นเด็แล้วไม่กินยาไม่ได้นะเข้าใจไหม?ไม่งั้นคุณย่าจะเสียใจนะ และก็……”
“นี่!”หนานกงเฉินไม่รอให้เธอพูดต่อ ทนไม่ได้ที่จะพูดขัดเธอว่า“ทำไมยิ่งฟังยิ่งรู้สึกว่าเหมือนเธอพูดสั่งเสียเลย?ไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม เลย……”
“คุณสิที่เป็นโรค!”ครั้งนี้ไป่มู่ชิงพูดขัดเขา
“ยังไงฉันก็เป็นโรคอยู่แล้ว”หนานกงเฉินไม่ไม่รู้สึกอะไรเลยเรื่องที่ตัวเองป่วย
พอได้ยินเขาพูดแบบนี้ ไป๋มู่ชิงกลับเจ็บปวดใจมาก ทนไม่ได้ที่จะพูดออกมาอย่างโมโหว่า“ยังไงสักวันอาการของคุณก็จะดีขึ้น”
“โอเค งั้นฉันวางสายได้แล้วใช่ไหม?”
“เดี๋ยวก่อน”ไป๋มู่ชิงตะโกนไป ก็เงียบไปสักพักถึงจะพูดอย่างลังเลว่า“คุณชาย ฉันของถามอะไรหน่อยได้ไหม?”
“ถามมาสิ”
“คุณเคยทำร้ายใครไหม?”ไป่มู่ชิงถามออกมาแบบนั้น รู้สึกว่าทุกอย่างหยุดนิ่งลง เงียบจนได้ยินเสียงหายใจของเขา
เธอรู้ว่านี่บุ่มบ่ามมากไปแต่เธอก็อยากรู้ความจริง ถึงแม้ว่าคำพูดของเซิ่งเคอทำให้ความสังสัยของเธอหายบ้างแต่เธอก็ยังอยากไปถามหนานกงเฉิน
พยายามพูดออกมา พูดออกมาอย่างติดๆขัดๆว่า“อย่างเช่น……ทำร้ายไปด้วยความไม่ได้ตั้งใจ”
หลังจากที่เงียบไป ในที่สุดหนานกงเฉินกฌพูดออกมาว่า“คนที่ฉันฆ่ามีเยอะนะ ทำไมกัน?เธอกลัวเหรอ?”
คำตอบของเขาทำให้ไป๋มู่ชิงหยุดหายใจไปชั่วขณะ จับโทรศัพท์ไว้อย่างแน่น ถามไปด้วยเสียงที่แหบแห้งว่า“งั้นเป็นคนแบบไหนกันนะ?”
“ไม่ว่าจะเป็นคนทำอาชีพอะไร เป็นคนแบบไหน เมื่อวันก่อนมีเถ้าแก่น้อยคนหนึ่งโดนตามหนี้จนเขาตกตึก ตอนนี้อยู่ในห้องผู้ป่วยหนัก”หนานกงเฉินพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยตนเองและพูดว่า“เป็นอย่างไร?ยิ่งกลัวฉันขึ้นมาแล้วใช่ไหม?”
ไป๋มู่ชิงอึ้งไปนานพอสมควรถึงจะสะบัดหัวตอบไปว่า“ไม่ ฉันไม่ได้กลัวคุณ แต่ฉันแค่พึ่งจะเคยได้ยินเรื่องราวความโหดร้ายของคุณ ดังนั้น……ฉันเลยรู้สึกประหลาดใจน่ะ”
“ถ้าไม่เด็ดขาดโหดร้าย ฉันจะควบคุมคนเป็นหมื่นในบริษัทได้อย่างไรกัน?”
“ฉันยังได้ยินมาว่าคุณขู่เจ้าของจนตายเพื่อจะได้ทำการเรื่องรื้อถอนใช่ไหม?”
หนานกงเฉินงงไปเลย ทันใดนั้นในหัวก็มีหน้าของคุณยายจูโผล่ขึ้นมา
ในตอนแรกที่เขาซ่อนอยู่ใต้เตียงนั้น เคยเห็นคุณยายจูไปครั้งหรือสองครั้งเพราะว่าเธอเป็นคนมีพระคุณเคยช่วยชีวิต ดังนั้นเขาเลยจำหน้าเธอได้อย่างแม่นยำ
“แล้วสรุปว่าใช่เรื่องจริงไหม?”ไป๋มู่ชิงถามต่อไปอีกหนึ่งประโยค
“ไม่จริง”หนานกงแนพูดออกมาอย่างไร้อารมณ์หลังจากนั้นก็ค่อยๆเริ่มกังวลขึ้นมา
ทำไมเขาถึงต้องปิกปิดเธอกันนะ?ทำไมถึงต้องกลัวว่าเธอจะรู้ความจริงล่ะ?หรือเป็นเพราะว่ากลัวเธอจะกลัวตัวเอง กลัวเธอห่างเหินเหรอ?
ไป๋มู่ชิงกลับไม่สนใจอะไรเลยและถามต่อว่า“ไม่มีจริงๆเหรอ?”
“ไป๋ยิ่งอันนี่เธอหมายความว่ายังไงกัน?”หนานกงเฉินโมโหขึ้นมา ยิ่งกว่านั้นไป๋มู่ชิงรู้ได้ถึงหน้านิ่วคิ้วขมวดของเขา สีหน้าที่ไม่น่ามองนั้น”
“ดูแล้วเหมือนเธอจะไม่เหมาะที่จะอยู่ร่วมกันกับคนอื่นเป็นเวลานานๆ”หนานกงเฉินพูดออกมาแบบนั้น
ได้ยินหนานกงเฉินโมโห ไป๋มู่ชิงก็ไม่กล้าถามไปลึกกว่านี้แล้วและพูดด้วยความรู้สึกผิดว่า“ฉันขอโทษ ยังไงก็รีบไปนอนพักผ่อนเถอะ”
เสียงเธอพึ่งจะเงียบลง หนานกงเฉินก็วางสายไปทันที
จริงๆเลยนะ ไปยั่วโมโหเขาอีกแล้ว ไป๋มู่ชิงทำได้แต่ถอนหายใจออกมา หันไปส่องกระจกตรงอ่างล้างมือ หนานกงเฉินพูดถูกแล้ว เธอเป็นคนที่ไม่รู้เลยว่าควรทำอะไร
ค่อยๆหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูหน้าจอที่ดับไปแล้ว ในใจของเธอรู้สึกเสียใจมากเพราะเธอยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้คุยกับเขาเลย แต่เขากลับวางสายไปแล้ว
นี่น่าจะเป็นสายสุดท้ายของเธอกับเขาแล้วใช่ไหม?
หลังจากที่ไป๋มู่ชิงเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วนั้นก็พบว่าไป๋ยิ่งอันยังอยู่ในห้องของเธอ แต่เธอก็ไม่สนใจแล้วเดินกลับไปนอนต่อบนเตียง
เช้าของวันที่สองคนใช้มาเรียกไป๋มู่ชิงตื่น เธออาบน้ำเสร็จก็ลงไปข้างล่าง ทุกคนก็นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารกันหมดแล้ว
คงจะเพราะเพื่ออยากเอาใจใส่อารมณ์ของไป๋มู่ชิง ซูวยาหยงทำสีหน้าที่ยิ้มแย้มทักทายเธอให้รีบมาทานอาหารเช้า
ไป๋มู่ชิงไม่รู้สึกอะไรเลย เพราะเธอรู้สึกไม่อยากกินอะไร
ซูวยาหยงเห็นว่าเธอไม่มาก็ไม่สนใจเธออีกเลย พี่หงที่อยู่ข้างๆเห็นว่าเธอมีสีหน้าที่ไม่ดีเลยหยิบนมสดให้เธอ
ทานอาหารเช้าเสร็จ ไป๋มู่ชิงก็ไปโรงพยาบาลแห่งหนึ่งกับซูวยาหยง
หลังจากหมอหญิงท่านหนึ่งพาทั้งสองเข้าไปแล้ว เธอหยิบแบบฟอร์มให้ไป๋มู่ชิงแล้วยิ้มว่า“คุณหนูไป๋ช่วยกรอกข้อมูลนี้ด้วยค่ะ รวมถึงโรคที่เป็นหรือยาที่แพ้ด้วยนะคะ กรอกเสร็จแล้วสามารถเข้าห้องผ่าตัดได้เลยค่ะ”
ไป๋มู่ชิงมองดูแบบฟอร์มแบบผ่านๆ ผ่านไปครู่ใหญ่ๆถึงจะค่อยๆหยิบปากกาขึ้นมาและเริ่มกรอกข้อมูล
หมอหญิงเห็นว่าเธอตัวสั่นมากเลยพูดปลอบใจเธอไปว่า“คุณหนูไป๋ไม่ต้องกลัวไปหรอกนะไม่นานก็เสร็จแล้ว ใช้ยาชา ให้เด็กกลายเป็นเลือดออกมาค่อยทำความสะอาดมดลูกแค่นั้นก็เสร็จแล้ว ที่นี่มีคนมาทำแท้งทุกวัน ทุกคนก็ไม่เป็นอันตรายอะไร”
ทำให้เด็กกลายเป็นเลือดออกมา ไป๋มู่ชิงกำปากกาไว้แน่นและตัวเธอก็ยิ่งสั่น
เสียงหัวใจเต้นของเด็กที่อยู่ในท้องเธอนั้นตอนนี้ก็เริ่มกลายเป็นทารกที่มีแขนมีขาแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าต้องทำให้เด็กกลายเป็นเลือดออกมา?ทำไมต้องโหดเหี้ยมขนาดนี้ด้วย?
เธอก็น้ำตาคลอขึ้นมาและทนไม่ได้ที่น้ำตาจะเอ่อล้นออกมา
“ช่างเถอะ งั้นฉันกรอกให้เธอเอง”ซูวยาหยงหมดความอดทน เลยหยิบปากกาออกมาจากในมือของเธอ กรอกอย่างรวดเร็วและส่งแบบฟอร์มให้กับคุณหมอ
ตึกใหญ่ในเครือของตระกูลหนานกง
หนานกงเฉินเดินเข้าไปในห้องทำงาน ผู้ช่วยเหยียนก็ตามเขาเข้ามา รับเสื้อที่เขาถอดออกไปแขวนที่ราวที่แขวนด้วยหน้าที่นอบน้อม“คุณชายเฉิน ไม่ใช่ว่าท่านให้ฉันจัดคนไปดูการเคลื่อนไหวของนายหญิงน้อยเหรอ?เมื่อกี้หน่วยสอดแนมมารายงานว่านายหญิงน้อยออกไปโรงพยาบาลปั๋วเชินกับคุณหญิงไป๋ตั้งแต่เช้า”
“โรงพยาบาลปั๋วเชิน”หนานกงเฉินที่กำลังเปิดคอมพิวเตอร์อยู่ก็หยุดชะงัก
“ใช่ค่ะ พึ่งถึงโรงพยาบาลเลย”
ทันใดนั้นหนานกงเฉินก็คิดออกว่าช่วงนี้ไป๋มู่ชิงเหมือนเดิม และยังมีเรื่องที่เธอสั่งเสียออกมาเมื่อวานอีก ในใจคิดว่าคงไม่ใช่ว่าเธอป่วยหนักหรอกใช่ไหม?
“เธอไปแผนกไหน?”เขาถาม
“แผนกสูตินรีเวชที่ชั้นสาม”
แผนกสูตินรีเวช?หนานกงเฉินก็สงสัยอีกครั้งว่าทำไมเธอต้องไปที่แผนกสุตินรีเวชกันนะ?
“คุณชายเฉิน ท่านจะไปที่นั้นไหม?”ผู้ช่วยเหยียนถามเขา
หนานกงเฉินคิดไปได้สักครู่ก็รีบหยิบเสื้อมาใส่และรีบออกไปจากห้องทำงาน
มองดูท่าทางของเขาที่จากไปอย่างรีบร้อน ผู้ช่วยเหยียนยิ้มออกมาอย่างเศร้าสลด ในใจคิดว่านายหญิงน้อยท่านนี้มีเสน่ห์ตามที่เขาคิดไว้จริงๆ มักจะทำให้ผู้ชายที่เย็นชาไร้อารมณ์คนนี้เปลี่ยนแปลงตัวเอง
หลังจากกรอกข้อมูลเสร็จ ไป๋มู่ชิงก็ถูกนำตัวไปในห้องผ่าตัด
นี่เป็นครั้งที่สองของเธอที่ต้องเข้าห้องผ่าตัด มองดูอุปกรณ์ที่เยือกเย็นพวกนั้น ในใจของเธอก็เริ่มเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง
“คุณหนูไป๋ เชิญขึ้นมานอนข้างบนเตียงด้วยค่ะ”คุณหมอชี้ไปที่เตียงผ่าตัดและพูดว่า“งั้นฉันจะให้ยาชาไปก่อน ไม่นานเดี๋ยวยาชาก็จะออกฤทธิ์แล้ว ขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลาสั้นมากเหมือนกับการนอนหลับเลย พอตื่นขึ้นมาก็ออกโรงพยาบาลได้เลย”
ไป๋มู่ชิงมองเข็มยาชาในมือของเธอ ถ้าหากว่าเธอโดนฉีดยานี้เข้าไปในร่างกาย งั้นเธอก็จะไม่มีแรงไปปกป้องลูกของเธอ จะปล่อยให้คนอื่นเอาลูกเธอออกไปที่เธอไม่ได้ทำอะไรเลยเหรอ
แต่ก็พูดได้ว่าพอตื่นขึ้นมาแล้วเธอก็จะไม่มีวันได้เจอกับลูกของเธออีกเลย!
“คุณหนูไป๋ คุณเป็นอะไร?”คุณหมอถามเธอด้วยความเป็นห่วง
ชักช้าขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่ว่าเป็นเพราะซูวยาหยงเธอโมโหใส่ไปตั้งนานแล้ว
“ฉัน……”ไป๋มู่ชิงพยายามที่จะพูดออกมา แต่เธอก็ค่อยๆถอยหลังไปและพูดว่า“ฉันขอโทษ ฉันทำแบบนี้ไม่ได้……”หลังจากนั้นเธอก็วิ่งออกไปข้างนอก
เธอทำแบบนี้ไม่ได้ เธอไม่สามารถเสียสละลูกตัวเองเพื่อช่วยชีวิตน้องชายได้หรอกนะ ชีวิตแลกชีวิตแบบนี้มันป่าเถื่อนเกินไป
ซูวยาหยงที่นั่งรอเธออยู่ที่หน้าห้องผ่าตัดก็เห็นเธอเข้า ก็ตกใจรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ แต่ก่อนที่เธอจะเห็น ไป๋มู่ชิงตรวจดูรอบๆตัวเธอเพื่อจะวิ่งหนีไป
เธอจะแขนคุณหมอด้วยความร้อนใจว่า“เกิดอะไรขึ้น?ทำไมเธอถึงหนีออกมา?”
คุณหมอได้แต่ตอบออกมาว่า“ของโทษด้วยนะคุณหญิงไป คุณหนูไป๋พูดว่าเธอไม่อยากทำ หลังจากนั้นก็วิ่งออกมา”
“จริงๆเลย!”ซูวยาหยงด่าออกมาด้วยความโกรธ ในเวลานั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไปจับตัวไป๋มู่ชิงมา ไม่มีอารมณ์มาต่อว่าคุณหมอแล้ว เธอเลยตามไปทางที่ไป๋มู่ชิงวิ่งไป
ตอนที่พึ่งมา ไป๋มู่ชิงมาด้วยสติที่เลอะเลือนตอนนี้ที่อยากจะหนีไปหาบันใดลงไปยังไงก็หาไม่เจอ
ไม่นานซูวยาหยงตามเธอมาทันแล้ว ด้านหนึ่งก็วิ่งตามมาและยังตะโกนเรียกอีกว่า“นังเด็กคนนี้!หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ!ถ้าไม่หยุดเธอจะได้เห็นดีกัน……!”
ไป๋มู่ชิงเช็ดคราบน้ำตาบนหน้า เธอรู้ว่าซูวยาหยงต้องมาเล่นงานเธอแน่ๆ เธอรู้ว่าที่เธอหนีออกมนี้ยังไงก็ต้องไปยั่วโมโหเธอแน่ๆ แต่ว่าเธอไม่มีเวลามาสนใจขนาดนั้น ถ้าให้เธอฆ่าลูกตัวเองยังไงก็ทำไม่ได้!
เธออยากจะรีบหนีออกไปจากที่นี้จะแย่!
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ ได้ยินไหม!เธอคิดว่าเธอทำแบบนี้แล้วเรื่องจะจบเหรอ?เธออย่างไร้เดียงสาไปหน่อยเลย!หยุดเดี๋ยวนี้นะ……!”
ไม่ว่าเธอจะตะโกนเรียกยังไง ไป๋มู่ชิงก็ไม่หยุดวิ่งและยังวิ่งเร็วกว่าเดิมอีก น้ำตาไหลอยู่เต็มหน้าของเธอ ข้างหน้าของเธอเบลอไปหมด ถุงแม้ว่าจะไปชนกับใครเข้าก็ทำอะไรไม่ได้
ในที่สุดเธอก็หาลิฟต์เจอแล้ว
ลิฟต์หยุกที่ชั้นนี้พอดี ประตูลิฟต์ค่อยๆเปิดออก ไป๋มู่ชิงไม่สนใจเลยว่าจะขึ้นไปหรือไม่และเธอก็รีบตรงเข้าไปเลย
พอดีว่าคนนั้นพึ่งออกมาจากลิฟต์มา สูงมากจนไม่ต้องมองก็รู้ว่าเป็นผู้ชาย ไป๋มู่ชิงไม่ได้พูดขอโทษก็ผลักเขาเข้าไปในลิฟต์
เพียงแต่ว่าคนที่ถูกชนนั้นไม่ได้หลีกทางให้เธอและยิ่งกว่านั้นเขากลับโอบร่างกายของเธอไว้
“ปล่อยนะ!ฉันบอกให้ปล่อย!ฉัน……!”ไป๋มู่ชิงใช้สองมือของเธอทุบไปที่หน้าอกของคนนั้นด้วยความรีบร้อน แต่สักพักเธอก็หยุดชะงัก
พอไม่มีน้ำตาแล้วเธอก็เห็นหน้าตาที่หล่อเหลาของหนานกงเฉินที่อุ้มเธออยู่ เป็นลมหายใจที่พิเศษของเขา
“เธอกำลังทำอะไรน่ะ?” หนานกงเฉินสังเกตเห็นน้ำตาของเธอ ไป๋มู่ชิงที่น่าสงสารและเขาก็ขมวดคิ้วใส่เธอตามความเคยชิน ไป๋มู่ชองจ้องไปที่เขาก็พูดอะไรไม่ออกไปพักใหญ่เลย ความคับแค้นใจและความกลัวนั้นกลับเป็นเสียงร้องไห้ออกมาอยู่ในอ้อมกอดของเขา

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset