เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 89 หึงไปเรื่อย

ทั้งสองคนมาถึงที่สวนน้ำ หนานกงเฉินก็จอดรถที่ลานจอดรถแล้วมองไปรอบๆ สายตาก็ตกไปที่คนที่สะกดรอยตามแล้วมุมปากเขาก็ขยับขึ้น แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร
คุณย่าก็ยังคงเหมือนเดิม ชอบให้คนมาสะกดรอยตามเขา
“คุณยิ้มอะไร” ไป๋มู่ชิงถามอย่างไม่เข้าใจ
“ไม่มีอะไร ไปกันเถอะ” หนานกงเฉินล็อคประตูรถแล้วเดินตรงเข้าไปที่ประตูสวนน้ำ
ไป๋มู่ชิงก็ไม่ได้ถามอะไรต่อมาก เธอรีบเดินตามไปแล้วคล้องแขนเขาไว้
เมื่อเดินผ่านร้านขนมหวาน หนานกงเฉินก็หยุดก้าวขาแล้วใช้คางชี้ไปทางร้านขนมหวาน “อยากกินไหม?”
ไป๋มู่ชิงคิดไปคิดมาแล้วยิ้มตอบว่า “ถ้าคุณเป็นคนซื้อให้ฉัน ฉันก็กินได้”
“ฝืนใจขนาดนี้เลย?” เขาใช้นิ้วแตะไปที่คางของเธอแล้วยิ้ม “งั้นไม่ต้องกินดีกว่า”
พูดจบก็ปล่อยเธอแล้วเดินต่อไป
ไป๋มู่ชิงมองตามที่แผ่นหลังของเขาที่เดินจากไปแล้วมองบนอย่างไม่สบอารมณ์ คิดว่าเขาจะไปต่อแถวซื้อให้เธอสะอีก เฮ้อ คิดไปเองอีกละ!
แต่กลับหนานกงเฉิน ก็คาดหวังมากไม่ได้เพราะเขาเป็นคนที่เชิดหยิ่งขนาดนี้คงแก้นิสัยได้ยาก
หลังจากที่คิดได้แล้ว ใบหน้าเธอก็เผยรอยยิ้มออกมาอีกครั้งแล้วก้าวขาเดินตามเข้าไป
เมื่อหนานกงเฉินเห็นว่าเธอไม่กินจริงๆ สีหน้าก็ประหลาดใจเล็กน้อยแต่เขาก็ไม่ได้กลับไปซื้อให้เธอแต่กลับเดินไปกับเธอไปทางริมทะเล
ไป๋ยิ่งอันได้รับรูปภาพจากนักสืบ เธอโกรธจนลุกขึ้นจากโซฟาแล้ววิ่งขึ้นไปชั้นบนตรงเข้าไปในห้องนอนของคุณแม่
ซูวยาหยงที่กำลังเลือกเครื่องประดับอยู่หน้าโต๊ะแต่งหน้าพอเธอโผล่เข้ามาในห้องก็ตกใจเล็กน้อย พอเห็นเธอเข้ามาก็เอ่ยอย่างอารมณ์เสียว่า “ทำอะไรบ้าบอเนี่ย ฉันตกใจหมด”
“คุณแม่ ดูนังหน้าไม่อายนี่สิ” ไป๋ยิ่งอันยื่นโทรศัพท์ไปที่หน้าซูวยาหยงแล้วพูดอย่างอารมณ์เสียว่า “ก็ว่าล่ะมันเอาแต่ยืดยื้อ ไม่สลับเปลี่ยนตัวกับหนูสักที”
ซูวยาหยงมองกวาดไปที่รูป หนานกงเฉินจับมือชิดไหล่กับไป๋มู่ชิงดูสนิทสนมกันมากเลย ถึงแม้จะโมโหแต่ก็ไม่ได้เผยอารมณ์ออกมาอย่างไป๋ยิ่งอันกลับปลอบใจเธอว่า “ช่างมันเถอะ ตอนนี้มันจะเป็นยังไงกับหนานกงเฉิน พอถึงเวลาที่มันควรจะไป ก็ต้องไปอยู่ดี”
“หนูว่ามันต้องหลงรักหนานกงเฉินแล้วแน่ๆ ถึงเวลาอาจจะรักมากกว่าด้วยซ้ำแล้วอาจจะทำใจที่จะไปจากเขาไม่ได้แล้วก็ไม่สนใจน้องชายของตัวเองด้วย” เพราะไป๋ยิ่งอันกังวลเรื่องนี้เลยให้คนไปสะกดรอยตามไป๋มู่ชิง ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะดีกันได้ขนาดนี้
“วางใจเถอะ ฉันรู้นิสัยของมันดี มันไม่มีทางทิ้งคนในครอบครัวไว้หรอก” ซูวยาหยงส่องกระจกไปมา พอใจสักที
“คุณแม่……”
“พอแล้ว” ซูวยาหยงพูดแทรกขึ้นแล้วหันหลังไปจ้องมองเธอไว้ “เรื่องพวกนี้แกไม่ต้องคิดมากหรอก แกแค่ไปฝึกตัวเองให้ดี เลียนแบบเสียง ท่าทาง ความชอบต่างๆ แกต้องฝึกไปทีละนิด ไม่งั้นพอได้เข้าไปในบ้านตระกูลหนานแล้ว ถ้าเขาจับได้คนทั้งบ้านจะซวยตามแกไปด้วย”
พอนึกถึงเรื่องนี้ ไป๋ยิ่งอันก็ขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด เพื่ออนาคตถึงจะยากลำบากแค่ไหนเธอก็ต้องทน
“ไว้ใจเถอะค่ะ หนูจะตั้งใจฝึกเอง”
“อย่าลืมล่ะว่าหนานกงเฉินเป็นคนฉลาดมาก” ซูวยาหยงย้ำเตือนขึ้น
“คุณแม่คะ ถ้าคุณแม่ให้หนูเลียนแบบคุณหญิงหรือว่าคุณหนูคนไหนมันเป็นเรื่องที่ง่ายมาก แต่ให้เรียนแบบยัยเฉิ่มอย่างงั้นมันยากจริงๆ” ถึงรู้ว่าตัวเองไม่มีทางเลือก แต่เธอก็อดที่จะพูดระบายไม่ได้ “คุณแม่ว่าเธอเป็นลูกสาวของตระกูลไป๋เราจริงหรือเปล่า? ทำไมไม่มีภาพลักษณ์คุณหนูเลยสักนิด?”
“ถ้าไม่ใช่ ตอนนั้นนังผู้หญิงนั่นก็คงไม่พาเธอมาหรอก” ซูวยาหยงพูดอย่างเยือกเย็นแล้วยกมือขึ้นตบบ่าลูกสาวเบาๆ “พอแล้ว ไม่ต้องบ่นอะไรแล้ว ใครให้ลูกไม่แต่งไปตั้งแต่แรกล่ะ?”
“หนู……” ไป๋ยิ่งอันไม่รู้จะพูดอะไรต่อแล้วพูดอย่าหงุดหงิดขึ้นอีกว่า “ช่างเถอะ จะพูดอะไรตอนนี้ก็สายไปแล้ว หนูออกไปเที่ยวเล่นดีกว่า”
“แกจะออกไป?” ซูวยาหยงขมวดคิ้ว
ไป๋ยิ่งอันรู้ว่าเธอกำลังกังวลอะไรอยู่แล้วรีบอธิบายว่า “คุณแม่วางใจเถอะค่ะ หนูจะปลอมตัวดีๆ จะหลีกเลี่ยงการพบหน้ากับคนในตระกูลหนานกง”
ไป๋ยิ่งอันพูดจบก็หันหลังเดินตรงออกไปที่ห้องของตัวเอง
เพื่อที่จะทำให้ตัวเองกลายเป็นไป๋มู่ชิง ไป๋ยิ่งอันที่ไว้ผมสั้นมาเกือบยี่สิบปีก็ต้องแอบไว้ผมให้ยาวขึ้นกว่าเดิมแถมยังไป แถมยังไปจี้ขี้แมลงวันตรงหางตาออกอีก แล้วยังต้องบังคับให้ตัวเองเลียนแบบท่าทางความเคยชินของไป๋มู่ชิงอีก
ในระยะเวลานี้ เธอเรียนไปเยอะมากจนหงุดหงิดจะตายอยู่แล้ว
การออกนอกบ้านครั้งนี้เป็นไปได้อย่างราบรื่น ทั้งสองเที่ยวเล่นในสวนน้ำจากนั้นก็ไปทานดินเนอร์ด้วยกัน พอทานอาหารเสร็จก็ขอไปเดินช้อปปิ้งด้วย
พอตกดึกประมาณสามทุ่มกว่า ไป๋มู่ชิงก็รู้สึกว่าขาทั้งสองข้างเหนื่อยจนเดินไม่ไหว แล้วแอบมองไปที่หนานกงเฉินก็สังเกตุเห็นเขาขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดอยู่
ถึงจะไม่อยากพลาดโอกาสดีๆที่ได้อยู่กับเขาสองต่อสอง แต่ก็จะทำให้คุณชายลำบากไม่ได้ เธอก็เลยเอ่ยไปว่าไปเถอะเรากลับกันเถอะ”
เขาที่เอาแต่ใจแต่ไม่ได้เป็นคนเอ่ยกลับก่อนนั้นทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจมาก
“แน่ใจหรอ” หนานกงเฉินก้มหน้าลงมามองเธอ
“แน่ใจสิ” ไป๋มู่ชิงพยักหน้าให้
หนานกงเฉินไม่ชอบการเดินช้อปปิ้งนี้สักเท่าไหร่ พอได้ยินเธอเอ่ยขึ้นอย่างนั้นก็รีบหันหลังเดินออกไปที่ลานจอดรถ
หนานกงเฉินไปเอารถจากที่ร้านจอดรถแล้วไป๋มู่ชิงก็ยืนรอหน้าประตู
ข้างๆร้านอาหารเป็นร้านขายของเกี่ยวกับแม่ลูกแล้วกำลังทำโปรโมชั่นลดราคาพอดี ไป๋มู่ชิงเลยอดไม่ได้ที่จะเดินก้าวไปดูของเล่นน่ารักๆของเด็ก
ถ้าไม่ใช่เพราะออกมาพร้อมกับหนานกงเฉิน เธอคงเข้าไปดูให้สมใจ แต่นี่เธอก็ทำได้แค่ยืนมองอยู่ข้างนอกไกลๆ
หนานกงเฉินขับรถแล่นออกมาก็เห็นเธอมองไปที่ร้านอย่างหลงไหล เขาทอดมองไปที่เธอสักพักแล้วกดแตรเรียก แต่ไป๋มู่ชิงกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไร
ที่นี่เป็นตลาดที่ครึกครื้นเอาแต่กดแตรก็ไม่ดี หนานกงเฉินก็เลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นโทรหาเธอ เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังไป๋มู่ชิงถึงดึงสติกลับมาได้แล้วได้ยินว่าเป็นเสียงเรียกเข้าเฉพาะของหนานกงเฉินก็เลยรู้ว่าเป็นเกิดอะไรขึ้น
เธอหันกลับไปก็เห็นว่ารถของหนานกงเฉินจอดอยู่ที่ลานจอดชั่วคราว
บ้าจริง มาเหม่ออะไรตอนนี้เนี่ย
เธอรีบเดินตรงไปที่รถของหนานกงเฉิน พอเปิดประตูนั่งเข้าไปก็พูดอย่างรู้สึกผิดว่า “ขอโทษนะ เมื่อกี้ฉันมองไม่เห็นคุณ”
หนานกงเฉินกวาดมองไปที่ร้านแม่ลูกนั้นแล้วมองไปที่เธอ “เธอสนใจร้านแบบนั้นหรอ?”
ไป๋มู่ชิงใจเต้นแรงไป ไม่คิดว่าเขาจะสังเกตุเห็น
“แน่นอน ฉันชอบเด็กอยู่แล้ว” เธอยิ้มแล้วทอดมองไปในตาของเขาแล้วพูดว่า “งั้นเราก็……”
คำพูดของเธอยังอยู่ในคอ แต่สีหน้าของหนานกงเฉินก็เข้มขึ้นเลยรีบเปลี่ยนประเด็นว่า “ช่างเถอะ รู้ว่าคุณไม่ตกลงหรอก”
“ในเมื่อรู้ว่าไม่ตกลงก็ไม่ต้องพูดขึ้นอีก” หนานกงเฉินพูด
“รู้แล้ว” ไป๋มู่ชิงตอบรับแล้วหันหน้ากลับไป
เขาก็ยังคงดื้อด้านอย่างนั้น ไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนข้อให้เลย ไป๋มู่ชิงยิ้มอย่างขมขื่นในใจ
หนานกงเฉินรู้สึกถึงความหม่นหมองของเธอ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรแค่แล่นรถออกไปทางกลับบ้าน
อารมณ์ที่ดีๆแต่กลับถูกทำลายเพียงเพราะคำพูดคำเดียวของหนานกงเฉิน ไป๋มู่ชิงเริ่มรู้สึกกังวลเกี่ยวกับอนาคตของตัวเองกับลูกแล้ว
เมื่อกลับถึงบ้าน ไป๋มู่ชิงก็กลับห้องไปอาบน้ำ อยู่ๆก็รู้สึกหิวเธอกำลังจะไปถามหนานกงเฉินว่าจะกินอะไรมื้อดึกไหม แต่ก็ได้ยินเสียงรถดังขึ้นทางประตู
เธอรีบเดินก้าวไปที่ระเบียงแล้วมองลงไปก็เห็นรถของหนานกงเฉินหายออกจากหน้าประตูไป
เมื่อกี้เขาบอกว่าเหนื่อยไม่ใช่หรอ? แต่ทำไมถึงออกไปตอนนี้?
แต่หนานกงเฉินจะไปที่ไหนไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวเธออยู่แล้ว เธอก็คุมเขาไม่ได้ด้วยไม่ว่าเขาจะออกไปทำอะไรก็ตาม
ไป๋มู่ชิงเดินออกจากระเบียงแล้วมาหาของกินที่ห้องครัวชั้นหนึ่งแล้วก็ได้พบกับพี่เหอที่ออกจากห้องของคุณหญิงมาพอดี พอเห็นไป๋มู่ชิงกำลังหาของกินก็เลยถามขึ้นอย่างเป็นห่วงว่า “คุณหญิงน้อยหิวหรอคะ? เดี๋ยวดิฉันทำอาหารมื้อดึกให้ค่ะ”
ไป๋มู่ชิงสะดุ้งตกใจไปแล้วหันกลับไปส่ายหน้า “ไม่ต้องก็ได้ ฉันแค่มาหาคุกกี้กินก็พอแล้ว”
หลังจากที่เธอท้อง ท่าทางของพี่เหอที่มีต่อเธอก็ดีขึ้นมาเหมือนกับท่าทางของคุณหญิง แต่ว่าทำงานในบ้านตระกูลหนานกงมากี่สิบปีแล้ว เธอก็ยังรู้สึกกลัวอยู่
“คุกกี้ไม่มีสารอาหารอะไร เดี๋ยวดิฉันทำบะหมี่ไข่ให้กินนะคะ” พี่เหอพูดไปพร้อมนำวัตถุดิบออกมาจากตู้เย็นเพื่อที่จะทำบะหมี่
เมื่อไป๋มู่ชิงเห็นอย่างนั้นก็เลยพูดขอบคุณแกไป
บะหมี่ไข่ทำเสร็จได้อย่างรวดเร็ว ไป๋มู่ชิงยืนมองข้างๆ อยู่ๆเธอก็เลยถามขึ้นว่า “พี่เหอคะ ดึกขนาดนี้แล้วคุณชายไปไหนหรอคะ?”
“บอกว่ามีเพื่อนกลับมาจากต่างประเทศน่ะค่ะ”
“เพื่อน?”
พี่เหอเงยหน้าขึ้นมองเธอด้วยน้ำเสียงทางการ “คุณชายดูแลบริษัทหนานกงที่ใหญ่ขนาดนี้ ออกไปบ้างก็ปกติไม่ใช่หรอคะ?”
“เปล่าค่ะ หนูหมายความว่า……คุณชายก็มีเพื่อนด้วย” ไป๋มู่ชิงยิ้มแห้งๆ
เธอจำได้ว่ามือถือส่วนตัวของเขาไม่เคยดังเลย แล้วก็ไม่เคยได้ยินเขาพูดถึงเพื่อนคนไหนด้วย เธอนึกว่าเขาเป็นแค่หุ่นยนต์ที่ทำงานหาเงินไปวันๆ นอกจากทำงานแล้วก็ทำงานอีก
คำพูดของเธอทำให้พี่เหอนิ่งเงียบไป ผ่านไปคู่หนึ่งค่อยพูดขึ้นว่า “คุณชายไม่มีเพื่อนตั้งแต่เด็ก นอกจากคนนี้……”
พี่เหอไม่ได้พูดต่อ แค่ตักอาหารในหม้อขึ้นมา “คุณหญิงน้อยไปรอข้างนอกเถอะค่ะ เดี๋ยวดิฉันยกไปเสิร์ฟ”
ถึงไป๋มู่ชิงอยากจะฟังเธอพูดต่อ แต่ดูเหมือนว่าพี่เหอไม่อยากพูดถึงประเด็นนี้อีก ก็เลยต้องถอดใจไป
พี่เหอเป็นคนที่ทำอะไรได้เด็ดขาดมาก ไม่ได้เป็นคนพูดมากปากโป้ง วันนี้พูดกับเธอขนาดนี้ถือว่าแปลกมากแล้ว
ไป๋มู่ชิงเดินไปนั่งลงที่โต๊ะอาหาร พี่เหอก็ยกบะหมี่ที่ต้มเสร็จมาให้เธอแล้วพูดว่า “คุณหญิงน้อยทานเสร็จก็วางถ้วยไว้ตรงนี้ได้เลยค่ะแล้วรีบไปพักผ่อนเลยค่ะ”
“พี่ก็ไปพักผ่อนได้แล้ว” ไป๋มู่ชิงตอบกลับแกไป เมื่อเห็นแกเดินออกจากห้องอาหารไปค่อยก้มหน้าลงไปกินบะหมี่
เมื่อกินบะหมี่เสร็จแล้วกลับถึงห้องนอน เธอนอนอยู่บนเตียงแต่ยังไงก็นอนไม่หลับ
ในหัวคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปหมด จนรู้สึกปวดหัว เมื่อเงยหน้าขึ้นมองเวลา นี่ก็ตีสองแล้ว แต่หนานกงเฉินก็ยังไม่กลับมา
ไม่รู้ว่าคนที่เป็นเพื่อนกับเขาได้เป็นคนยังไง? คืนนี้จะดื่มเหล้าหรือเปล่า? จะเมาหรือเปล่า?จะกลับมาหรือเปล่า……?
คำถามท่วมหัวไปหมดแล้วก็กังวลไปด้วย จนทำให้เธอนอนไม่หลับ
ในเวลาเดียวกันที่ผับหรูแห่งหนึ่ง หนานกงเฉินกับเฉียวซือเหิงกำลังดื่มเหล้ากันอยู่ ทั้งสองคนมาเพื่อที่จะรำลึกความหลังไม่ใช่เพื่อดื่ม เลยจิบดื่มเพียงเล็กน้อย
หนานกงเฉินมองไปที่นาฬิกาก็มีความคิดที่จะแยกย้ายกลับ แต่ประตูก็ถูกเปิดออกโดยหญิงสาวคนหนึ่ง ผู้หญิงคนนี้หน้าตาดูสวย หุ่นก็ดูดีมาก พอเดินเข้ามาก็ส่งสายตาอย่างมีเลศนัยให้กับหนานกงเฉิน “คุณชายเฉิน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ”
ตามมาด้วยผู้หญิงคนนั้นก็ใช้เรียวขาอันยาวก้าวมานั่งลงข้างตัวเฉียวซือเหิงแล้วเอนตัวไปจุมพิตที่ปากเขาด้วยริมฝีปากสีแดง แล้วทั้งสองก็จูบกันอย่างดูดดื่ม
หนานกงเฉินกอดอกแล้วเอนตัวไปพิงโซฟากวาดมองทั้งสอง “ยังแอบคบกันอยู่หรอ?”
“อย่าพูดให้มันน่ารังเกียจขนาดนั้นสิ คุณชายเฉิน” เธอผลักออกจากเฉียวซือเหิงแล้วพูด จากนั้นก็ถอนหายใจ “คุณชายก็ยังมองฉันแบบนี้อยู่ดี เสียใจจังเลย”
“ผมคิดว่าคุณหนูฟางถูกภรรยาของคุณชายเฉียวฉีกเลาะไปแล้ว” หนานกงเฉินพูดอย่างเสียดสีใส่เธอ คนที่ทำลายครอบครัวของคนอื่น เขาเกลียดที่สุด
พอพูดถึงภรรยา สีหน้าของเฉียวซือเหิงก็ไม่สบอารมณ์จากนั้นก็ยิ้มขึ้นแล้วกอดฟางมี่ข้างกายให้แน่นขึ้น
ฟางมี่ก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วแฝงด้วยความสะใจ “คุณชายเฉียวกลับมาครั้งนี้เพื่อที่จะมาทำเรื่องหย่ากับซูซี่”
หนานกงเฉินไม่ได้สนใจเขาอีก เพราะได้ยินเรื่องระหว่างเฉียวซือเหิงกับซูซี่มามากแล้ว ก็แค่คู่รักคู่แค้นกันเหมือนในละคร
เขาลุกขึ้นจากโซฟา “พวกคุณคุยกันไปเถอะ เดี๋ยวผมขอกลับก่อน”
“ได้ ไว้เจอกัน” เฉียวซือเหิงพูดยิ้มๆ “ถึงเวลาพาสะใภ้ออกมาให้พวกเราเห็นหน้าด้วย”
เฉียวซือเหิงพูดจบ ฟางมี่ก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้น “ใช่สิ……ตอนฉันอยู่ต่างประเทศก็ได้ยินคุณชายเฉียวบอกว่าคุณชายเฉินแต่งงานกับภรรยาใหม่ แถมยัง……” เธอไม่กล้าพูดว่า’อยู่รอดมาได้อย่างมหัศจรรย์’ เธอลังเลครู่หนึ่งค่อยพูดว่า “ฉันสงสัยมากเลยว่าเธอหน้าตาเป็นยังไง ครั้งหน้าคุณชาอย่าลืมพามาให้เราดูด้วยนะคะ”
หนานกงเฉินตอบอย่างยิ้มๆ “เพื่อที่จะได้ไม่เสียเวลา รอให้ผมเจอเธอคนนั้นแล้วค่อยว่ากัน”
ชีวิตคู่ระหว่างเขากับคุณหนูไป๋จะยาวนานแค่ไหน เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันแล้วจะพามาให้พวกเขารู้จักทำไม?
ฟางมี่เป็นคนที่กล้าทำทุกอย่าง กล้าพูดทุกอย่าง เมื่อได้ยินเขาพูดคำนี้ก็รีบถามกลับไปว่า “หมายความว่าคุณชายเฉิน อีกหน่อยก็จะแต่งงานอีก?”
“อาจจะ” หนานกงเฉินชี้ไปทางห้องน้ำ “ผมไปเข้าห้องน้ำก่อน”
หนานกงเฉินเพิ่งลุกจากไป โทรศัพท์บนโต๊ะที่เขาวางไว้ก็ดังขึ้น ฟางมี่ยื่นคอไปดูแล้วถามอย่างยิ้มๆว่า “คุณชายเฉียว คุณคิดว่าจะเป็นใคร?”
“ดึกขนาดนี้แล้ว นอกจากเมียจะใครอีก?” ขณะพูดคำพูดนี้ เฉียวซือเหิงก็หันไปมองโทรศัพท์ของตัวเองด้วยเหมือนกัน
เขาก็เป็นคนที่มีครอบครัวเหมือนกัน แต่ไม่ว่าจะดึกแค่ไหนโทรศัพท์เขาก็ไม่เคยดัง ซูซี่ยิ่งไม่เคยถามว่าเขาอยู่กับใคร ในสายตาของซูซี่ เขาโปร่งใสยิ่งกว่าอากาศสะอีก
ฟางมี่มองไปทางห้องน้ำแล้วมองกลับไปที่โทรศัพท์ของหนานกงเฉินเอาแต่ดังเลยยื่นมือไปเลื่อนรับโทรศัพท์แล้วนำโทรศัพท์มาแนบหูเอ่ยทักทายขึ้น
เมื่อไป๋มู่ชิงได้ยินเสียงจากโทรศัพท์ก็ยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วเอาโทรศัพท์มาเช็คให้แน่ใจอีกรอบ ก็ไม่ได้โทรผิดนี่
“คือ……ฉันหาคุณชายเฉิน” ไป๋มู่ชิงพูดอย่างติดขัด นี่มันอะไรกันแน่? ดึกดื่นขนาดนี้แล้วทำไมผู้หญิงถึงมารับสาย?
ไป๋มู่ชิงใจสันวูบไป เพื่อนของหนานกงเฉินไม่ใช่ผู้หญิงคนนี้หรอกมั้ง?
“คุณชายเฉินหรอ……เขาเพิ่งทำธุระเสร็จตอนนี้กำลังอาบน้ำอยู่ คุณมีอะไรหรือเปล่าคะ?” ฟางมี่ตั้งใจจับโทรศัพท์ออกห่างแล้วตะโกนไปทางกำแพงว่า “คุณชายเฉินคะคุณอาบเสร็จหรือยัง มีคนโทรหาคุณ “พอพูดเสร็จก็นำโทรศัพท์กลับมาแนบหูเหมือนเดิม “คุณผู้หญิงรอสักครู่นะคะ คุณชายบอกว่าจะอาบเสร็จแล้ว”
“เอ่อ คุณคือ……เพื่อนของเขา?” ความหึงในใจของไป๋มู่ชิงเอ่อล้นออกมา
“ใช่ค่ะ ฉันเพิ่งกลับจากต่างประเทศ” ฟางมี่ยิ้มอย่างมีเลศนัย “คุณไม่ใช่คนรักของคุณชายเฉินใช่ไหม? ฉันจะบอกความลับกับคุณนะคะ ท่าทางของคุณชายดูเก่งขึ้นมากเลย สะใจฉันมาก……”
“นังหน้าไม่อาย!” ไป๋มู่ชิงทนฟังไม่ได้แล้วพูดแทรกขึ้นแล้วตัดสายโทรศัพท์
ฟางมี่ยังอยากพูดอีกตั้งหลายคำ แต่เมื่อโทรศัพท์ถูกตัดสายไปเธอก็เลยต้องวางสาย
เฉียวซือเหิงที่ดูอยู่ข้างๆยิ้มขึ้น “นี่เธอจะทำให้พวกเขาทะเลาะกันหรอ?”
“ทำลายความรู้สึกของคนอื่นฉันถนัดที่สุด” ฟางมี่ยิ้มอย่างได้ใจด้วยใบหน้าไม่อย่าแส “แต่ว่าฉันคิดว่าเธอคงเฉิ่มเหมือนภริยาคุณเลย”
เธอเพิ่งพูดจบ ใบหน้าอันหล่อเหล่าของเฉียวซือเหิงก็เข้มขึ้นมาเพิ่งรู้ว่าเธอสะกิดจึดเดือดของเขา เลยรีบหุบปากไป
ขณะเดียวกันหนานกงเฉินก็ออกมาจากห้องน้ำแล้วมองไปที่โทรศัพท์ตัวเอง “ใครโทรมา?”
“ภรรยามาโทรมาเช็คไง” เฉียวซือเหิงพูดด้วยสีหน้าเยาะเย้ย “ไม่คิดเลยว่าคนอย่างคุณชายเฉินก็จะมีวันที่โดนเช็คแบบนี้เหมือนกัน ช่างน่าสงสารเลือกเกิน”
หนานกงเฉินไม่รู้สึกอะไร แค่มองพลางไปที่เฉียวซือเหิงไปแล้วยิ้ม “ผู้ชายที่ไม่มีภรรยาคอยเช็คนิสิน่าสงสารมากกว่ามั้ง?”
“ถ้าพูดอย่างนี้……ก็หมายความว่าคุณชายเฉินเป็นผู้ชายที่มีความสุขสินะ” ฟางมี่ยิ้มอ่อนลุกขึ้นแล้วยกแก้วเหล้าขึ้น “ฉันยังไม่ได้ชนแก้วกับคุณชายเฉินเลย ยังไงก็ต้องรอให้ดื่มกับฉันก่อนแล้วค่อยไป……อ๊าย……!”
อยู่ดีดีขาเธอก็พลิก ร่างกายก็เอนเข้าไปทางหนานกงเฉิน ลิปสีแดงที่ริมฝีปากก็จูบลงที่เสื้อเชิ้ตสีขาวเขา
“ขอโทษนะคะ ส้นสูงสูงเกินไป” เธอเอนซบอยู่ที่หน้าอกของหนานกงเฉินอย่างเขินอาย แล้วสะใจกับผลงานที่ตัวเองทำ
ฟางมี่เป็นผู้หญิงยังไงหนานกงเฉินรู้ดี แล้วก็รู้ว่าเธอตั้งใจด้วย แต่แค่ไม่เข้าใจว่าเธอต้องการอะไรกันแน่ ก็เลยไม่ได้ใส่ใจการกระทำเธอมาก แค่ผลักเธอลงด้วยสีหน้าขยะแขยง “ผมไม่ดื่มเหล้าแล้ว ผมต้องขับรถกลับ”
พูดจบ ก็หันไปทางเฉียวซือเหิงที่สีหน้าไม่ค่อยดีนัก แล้วทำท่าทางว่าเดี๋ยวค่อยโทรคุย จากนั้นก็เดินออกจากห้องไป
ทีแรกแค่จะโทรเพราะเป็นห่วงหนานกงเฉิน รู้ว่าเขาไม่เป็นไรตัวเองก็จะได้นอนหลับสักที แต่ไม่คิดว่าจะมีผู้หญิงมารับสายแถมยังพูดคำพูดที่ไม่อายปากอย่างนั้น
จนทำให้ไป๋มู่ชิงนอนไม่หลับลืมตาจนถึงเช้าเพราะแค่หลับตาลงก็จะนึกถึงภาพที่หนานกงเฉินนอนอยู่บนเตียงกับผู้หญิง
เธอส่ายหัวไปมาแล้วกำลังจะเอาหูฟังขึ้นมาอุดหูเพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่คิดแต่เรื่องนี้ แล้วนอกหน้าต่างก็มีเสียงดังรถขึ้น
เธอลุกขึ้นมานั่งบนเตียงแล้วเดินเท้าเปล่าไปที่หน้าต่างข้างระเบียงแล้วเปิดผ้าม่านมองออกไป เป็นรถของหนานกงเฉิน เวลานี้นอกจากเขาจะขับรถกลับมาก็คงไม่มีใครอีก
หนานกงเฉินจอดรถที่หน้าประตูบ้านใหญ่ พอลงจากรถก็รีบก้าวเดินขึ้นมา
เขาไม่ได้กลับห้องตัวเองแต่กลับยืนนิ่งอยู่ที่หน้าห้องของไป๋มู่ชิง เขาเปิดประตูออกช้าๆให้เห็นช่องเล็กๆ เมื่อเห็นว่าเธอยังไม่ได้นอนเลยผลักประตูเข้าไป
“ทำไมดึกขนาดนี้แล้วยังไม่นอน?” หนานกงเฉินยืนอยู่ตรงกลางห้องนอนแล้วยิ้มให้ไป๋มู่ชิง “ไม่ใช่ว่ากำลังรอผม?”
ไป๋มู่ชิงมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วสายตาก็หยุดลงที่รอยริมฝีปากสีแดงที่คอเสื้อเขา เธอเบี่ยงหน้าหนี “เปล่า ฉันแค่ตื่นมาเข้าห้องน้ำ”
“จริงหรอ?” หนานกงเฉินเดินก้าวเข้ามายืนอยู่ต่อหน้าเธอแล้วมองไปที่เธอ “ทำไมผมดูหน้าคุณไม่รู้สึกง่วงเลยล่ะ ไม่ได้นอนเลยหรอ?”
เขามองออก ไป๋มู่ชิงก็ไม่อยากแกล้งต่อพร้อมจ้องมองเขาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “ฉันคิดว่าคุณจะกลับมาพรุ่งนี้สะอีก”
“ใช่หรอ? ก็กำลังหึงนี่” หนานกงเฉินใช้นิ้วมือยกคางของเธอขึ้น “ผมคิดว่าการที่มีคนหึงตัวเองเป็นเรื่องที่มีความสุขมาก”
พูดจบเขาก็ก้มลงไปจุมพิตเธอ แต่ไป๋มู่ชิงกลับเบี่ยงหน้าหนีการจูบของเขา “ผู้หญิงที่หึงคุณคงมีเยอะจนเท่ารถสิบล้อแล้วมั้ง?”
หนานกงเฉินจูบกับอากาศแล้วก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วตามไปจุมพิตที่ริมฝีปากเธออีก แต่ไป๋มู่ชิงกลับผลักตัวเขาออกแล้วก้าวถอยหลังไป “ฉันไม่ชอบลิ้มลองรสลิปสติกของผู้หญิงคนอื่นหรอก คุณควรจะทำความสะอาดตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วค่อยมาแต่ฉัน”
สีหน้าเขาเปลี่ยนไปทันทีแล้วขมวดคิ้วเข้ม “หมายความว่ายังไง?”
“คุณว่ายังไงล่ะ?” ถึงจะรู้ว่าเขาเป็นผู้ชายที่ตัวเองคุมไม่ได้ ถึงเขาจะมีผู้หญิงคนอื่นข้างนอกก็ไม่กล้าถาม แต่เธอไม่ชอบเลยท่าทางของเขาที่ทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วก็ไม่ชอบการถูกโกหกด้วย
ถึงเขาจะพูดเสียดสีเธอเหมือนวันปกติบอกว่าเธอไม่มีสิทธิ์ไปยุ่งเรื่องของเขา อย่างน้อยเธอก็แค่เสียใจก็จะไม่ดูถูกเขาเหมือนตอนนี้
“ไป๋ยิ่งอันคุณพูดให้เข้าใจหน่อย?”
“ขอโทษ ฉันไม่ควรจะไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของคุณ คุณชายไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วนอนเถอะค่ะ ฉันก็จะนอนแล้ว” ไป๋มู่ชิงพูดประโยคนี้กับเขาด้วยอารมณ์ปกติจากนั้นก็หันหลังเดินไปทางบนเตียง
แต่เธอเพิ่งก้าวขาหันไป หนานกงเฉินก็ดึงแขนเธอกลับมา

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset