เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 94 สงครามเย็น

“ฉันจะพูดอีกครั้ง ฉันไม่มีวันทำแท้ง นอกจากคุณจะฆ่าฉันตายไปพร้อมๆกับลูก!”
“คุณ……” หนานกงเฉินยื่นมือมาบีบคอเธอด้วยความโกรธ “คุณหนูไป๋ คุณขู่ผมเหรอ? คุณคิดว่าผมไม่กล้าฆ่าคุณเหรอ? ผู้หญิงพวกนั้นก็ตายไปหมดละจะยังมีคุณอีกคนเหรอ?”
“คุณ……”หน้าของไป๋มู่ชิงซีดขาวไป เขากำลังพูดอะไร? เขาจะจัดการเธอเหมือนกับผู้หญิงหกคนนั้นงั้นเหรอ? ใช่สิ ทำไมถึงไม่กล้าล่ะ? เขาคงเคยทำไปไม่น้อย?
เธอกลัวจนกลืนน้ำลายลงคอ ร่างกายขยับไปข้างหลังเรื่อยๆแล้วพยายามอ้าปากพูด “คุณบ้าไปแล้ว……”
“ผมบ้าไปแล้วก็เพราะพวกคุณไง!” ยิ่งเธอขยับถอยหนานกงเฉินก็บีบเข้าใกล้ตัวเธอจนไปถึงริมหน้าต่าง
ตัวของไป๋มู่ชิงเอนออกไปนอกหน้าต่างแล้ว ภาพในฝันก็ลอยขึ้นมา : เธอตกลงไปนอกหน้าต่าง ภายใต้สายตาที่เยือกเย็นของเขา ……
“ไม่นะ” เธอกรีดร้องอย่างหวาดกลัว” หนานกงเฉินคุณไม่มีสิทธ์มาทำแบบนี้กับฉัน! ถอยออกไปนะ!”
“นี่เป็นทางที่คุณเลือกเองไม่ใช่เหรอ?”
“ฉัน……”
ขณะที่ไป๋มู่ชิงรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะตกลงไปจากหน้าต่างก็มีเสียงของคุณหญิงดังขึ้นจากประตู “หนานกงเฉิน! แกจะทำอะไร?”
เซิ่งซินที่มากับคุณหญิงรีบวางขวดเก็บความร้อนลงแล้วเข้าไปช่วยไป๋มู่ชิงให้พ้นจากมือของหนานกงเฉิน
ขาของไป๋มู่ชิงอ่อนแรงทั้งสองข้างจนเธอเกือบจะล้มลงกับพื้น
“พี่สะใภ้เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” เซิ่งซินพยุงตัวไป๋มู่ชิงมานั่งลงบนเตียงพร้อมสำรวจมองใบหน้าที่ซีดขาวจนหายใจติดๆขัดๆของเธอ
ไป๋มู่ชิงกระดกน้ำลงไปก่อนจะพยักหน้าตอบ
หนานกงเฉินเกรงว่าจะกระทบต่ออารมณ์คุณหญิง เขาเลยไม่ทำอะไรไป๋มู่ชิงต่อแค่ยืนนิ่งอยู่ริมหน้าต่างด้วยสีหน้าหงุดหงิด
คุณหญิงที่ตกใจมากจนหายใจไม่ออกจ้องไปที่หนานกงเฉินแล้วเอ่ยอย่างโมโห “ถ้าฉันมาไม่ทันแกก็จะผลักเมียกับลูกแกลงไปใช่ไหม?”
คุณหญิงแกคิดว่าสองวันนี้หนานกงเฉินคงสงบสติได้แล้ว คงไม่วู่วามอีกแต่ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย โชคดีมากที่แกเป็นห่วงเลยรีบมาหา ไม่งั้น……
หนานกงเฉินไม่ตอบอะไร เพราะเขารู้ว่าไม่ว่าเขาจะพูดอะไรก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี
“พี่ชายทำเกินไปนะ!” เซิ่งซินโกรธจนทนไม่ไหว “พี่ผลักพี่สะใภ้ลงไป กฎหมายก็ไม่ปล่อยพี่ไว้หรอก นี่ก็เท่ากับทำร้ายทั้งตัวเองทั้งคนอื่นด้วยไม่ใช่เหรอ?”
เมื่อกี้เขาโมโหเกินไปจนลืมคิดถึงจุดนี้ไปเลย
เขาคิดไม่ถึงว่าไป๋มู่ชิงจะขัดเขา เพื่อลูกในท้องถึงขั้นจะหย่ากับเขา? เธอทำตัวแบบนี้เขาจะทนได้ยังไง?
รอทุกคนเริ่มสงบสติได้แล้ว คุณหญิงก็สูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะจ้องไปที่หนานกงเฉิน “เฉิน แกจะทำแบบนี้จริงๆใช่ไหม?”
“ผมเป็นแบบนี้ตลอด ไม่ใช่แค่วันนี้”
คุณหญิงพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นเราถอยคนละก้าว ในเมื่อแกกลัวว่าลูกจะไม่แข็งแรง แต่นี่เด็กก็สี่เดือนแล้ว รออีกครึ่งเดือนพาเขาไปตรวจอย่างละเอียดอีกรอบ ถ้าเด็กมีปัญหาจริงเราค่อยทำแท้ง แต่ถ้าหมอบอกว่าเด็กปกติดี เราก็คลอดเขาออกมา เอาแบบนี้ได้ไหม?”
หนานกงเฉินไม่เห็นด้วย แต่สถานการณ์นี้ไม่เห็นด้วยคงไม่ได้ เพราะหมอเคยบอกว่าอย่ากระทบอารมณ์กับคุณหญิงมากแกจะรับไม่ไหว
เซิ่งซินหันไปมองคุณหญิงก่อนจะหันไปมองหนานกงเฉินแล้วยิ้มอย่างเห็นด้วย “วิธีนี้ดีมากเลยค่ะ พี่ชายคะ ทำตามที่คุณย่าบอกเถอะค่ะ”
จากนั้นเธอก็หันไปพูดยิ้มๆกับไป๋มู่ชิง “พี่สะใภ้ว่ายังไงคะ?”
ไป๋มู่ชิงก็เงยหน้ามองไปที่หนานกงเฉิน ไม่เห็นว่าเขามีท่าทางที่จะต่อต้านเธอเลยพยักหน้าตอบ “ได้”
เธอรู้สึกได้ว่าลูกในท้องแข็งแรงแน่นอน เธอเชื่อว่าเด็กต้องไม่เป็นอะไร แค่หนานกงเฉินรักษาสัญญาก็วางใจแล้ว
หลังจากที่กลับมาจากโรงพยาบาลสามวันแล้ว ไป๋มู่ชิงก็เอาแต่หลบอยู่ในห้องไม่ยอมออกมา แถมกินข้าวยังให้พี่เหอยกเข้าไปให้เธอแทน
ถ้าไม่ใช่เพราะท้อง เธอคงไม่แม้แต่อยากจะกินข้าว
ในวันนี้ ซูวยาหยงแกล้งทำเป็นมาเยี่ยมเธอแล้วยังเอาอาหารเสริมมากมายมาให้เธออีก
หลังจากที่ซูวยาหยงปิดประตูลงก็กวาดสายตาไปทั่วห้องจนเห็นว่าเธออยู่ที่ระเบียงห้อง เลยก้าวเดินไปหาเธอพร้อมพูดกับเธอว่า “ได้ข่าวว่าเธอไม่ออกจากห้องมาสามวันแล้ว?”
สิ่งที่เธอสนใจไม่ใช่ทั้งเด็กในท้องหรือไป๋มู่ชิง แต่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างไป๋มู่ชิงกับตระกูลหนานกงต่างหาก
ไป๋มู่ชิงขยับร่างกายเล็กน้อยแค่เงยหน้ามองเธอครู่เดียวแล้วหันกลับไปมไม่อยากทักทายเธอด้วยซ้ำ
ซูวยาหยงก็ไม่คาดหวังว่าเธอจะทำตัวมีมารยาทขนาดไหน จ้องมองไปที่เธอพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงสั่งสอน “นี่แกไม่เข้าใจฐานะของตัวเองเหรอ ยังจำหน้าที่ของตัวเองได้หรือเปล่า? ดูฐานะตัวแกเองสิมีสิทธิ์อะไรมาโกรธงอนหนานกงเฉิน?”
พอไปยินพี่เหอบอกว่าไป๋มู่ชิงโกรธหนานกงเฉินจนไม่ออกจากห้องมาสามวันแล้ว ซูวยาหยงก็โกรธจนอยากจะบีบคอเธอตาย
ไป๋มู่ชิงก็นั่งเงียบอยู่บนเก้าอี้ไม้เหมือนเดิมพร้อมฟังคำสั่งสอนจากซูวยาหยงไปด้วย “ถึงหนานกงเฉินจะไม่อยากมีลูกนั่นก็เป็นเรื่องของเขา เขาเป็นพ่อเด็กก็ต้องมีสิทธิ์ในตัวเด็กไม่ใช่เหรอ? แกจะอะไรกันนักหนา? แก……”
“พูดพอหรือยัง?” ไป๋มู่ชิงเอ่ยตัดขึ้นอย่างไม่อยากฟัง เธอเงยหน้าขึ้นจ้องไปพร้อมพูดว่า “ถ้าคุณมาเพราะจะมาอบรมฉันล่ะก็ เชิญคุณกลับได้เลยค่ะ ฉันไม่อยากฟัง”
“แกไม่อยากฟัง?” ซูวยาหยงถูกเถียงกลับจนเธอหงุดหงิด พยายามกั้นเสียงให้เบาที่สุดไว้ “ตอนที่ฉันบอกให้แกทำแท้งทำไมแกไม่ทำ? ถ้าแกทำตั้งแต่ตอนนั้นยังจะเกิดเรื่องพวกนี้อีกไหม? แกมันทำตัวเองแท้ๆเข้าใจไหม!”
“ใช่ฉันทำตัวเองฉันยอมรับ!”
“แก……!”
ไป๋มู่ชิงยิ้มอย่างขมขื่น เธอมีแค่ความคิดเดียวเลยก็คือจะเก็บเด็กคนนี้ไว้ ถึงแม้จะให้เธอตัดสินใจอีกครั้งเธอก็จะหนีออกจากห้องผ่าตัดอยู่ดี
“แกไม่เคยนึกถึงพี่สาวแกเลยเหรอ?” ซูวยาหยงกัดฟันพูดพร้อมว่าเธออย่างโมโห “ถ้าความสัมพันธ์ระหว่างแกกับหนานกงเฉินไม่ดี ต่อไปจะให้พี่แกอยู่กับเขายังไง? แกจะให้พี่แกเข้ามาแล้วก็ทำสงครามเย็นกับเขาเหรอ?”
พูดจบ แกก็มองสำรวจไป๋มู่ชิงตั้งแต่หัวจรดเท้า “หรือแกจงใจกันแน่? ฉันเตือนแกไว้เลยนะ ถ้าถึงเวลาเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับพี่สาวแก ทุกอย่างมันเป็นเพราะแก คนในตระกูลหนานกงก็ไม่ปล่อยแกไว้แน่ ถึงตอนนั้นฉันก็โยนความผิดทุกอย่างไปที่แก บอกกับทุกคนว่าแกอยากเป็นคุณหญิงน้อยตระกูลหนานกงจนตั้งใจวางแผนแล้วแย่งแต่งงานแทนพี่สาวแกในวันแต่งงาน แกลองคิดดูดีๆว่าทำแบบนี้มีผลดีอะไรกับแกบ้าง”
ไป๋มู่ชิงหันมาจ้องเธอไว้ด้วยสายตาโกรธแค้น
แม่เลี้ยงของเธอทำอะไรแบบนี้ได้เธอไม่รู้สึกแปลกใจเลยสักนิดเลยไม่รู้สึกตกใจอะไรมากนัก
“ทำไม? แกคิดว่าฉันไม่กล้าทำเหรอ?”
“ไม่หรอก ฉันเชื่อว่าคุณกล้าทำแน่”
“เชื่อก็ดี” ซูวยาหยงเอ่ยขึ้น “เพราะฉะนั้นแกจำใส่หัวไว้เลย แกเป็นคนที่ได้แต่งเข้าตระกูลหนานกง แกก็ต้องรู้ดีว่าแกอยู่ในฐานะอะไร ไม่ว่าหนานกงเฉินจะทำอะไรแกก็ไม่มีสิทธิ์โกรธเคืองเขา แถมยังต้องตามใจเขาเอาใจเขาด้วย ผู้ชายน่ะชอบผู้หญิงที่ไม่งี่เง่า โดยเฉพาะอย่างหนานกงเฉินที่มีผู้หญิงอย่างไม่ขาดมือ!”
มีผู้หญิงไม่ขาดมือ ก็จริง เขาไม่มีวันขาดหรอก
ผู้หญิงที่เซ็กซี่อย่างคุณหนูฟาง ผู้หญิงที่ร้อนแรงอย่างคุณหนูเหอ ผู้หญิงที่หน้านิ่งสวยหรูอย่างเลขาเหยียนแถมยังมีผู้หญิงที่อ่อนโยนจนเขาหลงหัวปักหัวปำอย่างคุณหนูจูอีก
“แต่ ถ้าเขาเป็นฆาตกรที่ฆ่าคนในครอบครัวฉันล่ะ?” เธอเอ่ยอย่างเสียงเบา
ซูวยาหยงได้ยินในสิ่งที่เธอเอ่ยไม่ชัดจึงขมวดคิ้มถามเธอ “แกว่าอะไรนะ?”
ไป๋มู่ชิงดึงสติกลับมาแล้วส่ายหน้าไปมา “ไม่ว่าอะไร”
พูดเรื่องนี้กับแกแล้วจะได้อะไร? แกจะเปลี่ยนใจเพราะหนานกงเฉินเป็นศัตรูของเธองั้นเหรอ? จะคำนึงถึงความรู้สึกของเธอเหรอ? ไม่มีทางหรอก ในใจแกมีแต่เป้าหมายของตัวเองเท่านั้น!
จะให้เธอไปเอาอกเอาใจหนานกงเฉินงั้นเหรอ เธอทำไม่ได้หรอก
กี่วันนี้มา เธอรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย โล่งใจที่ว่าเธอไม่ใช่ภรรยาตัวจริงของหนานกงเฉิน โล่งใจที่ว่าสักวันเธอจะได้ออกห่างจากตัวฆาตกรอย่างหนานกงเฉินสักที
แต่พอเธอนึกได้ว่าจะต้องแยกจากลูก เธอก็ทำใจไม่ได้ ความคิดทั้งสองนี้ขัดแย้งกันในหัวเธอตีกันวุ่นไปหมด
“แกได้ยินในสิ่งที่ฉันพูดหรือเปล่า?” ซูวยาหยงถามขึ้นอย่างหงุดหงิด
“ฉันจะพยายาม” ไป๋มู่ชิงตอบแกด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
ตอนนี้เธอแค่อยากให้แกออกไปเร็วๆเลยตอบไปอย่างลอยๆ
“คำตอบที่ฉันอยากได้ไม่ใช่แค่จะพยายาม แต่ต้องทำให้ได้!”
“คุณหญิงไป๋ อย่าบังคับฉันจะดีกว่า” ไป๋มู่ชิงจ้องไปที่แก
ซูวยาหยงอารมณ์ขึ้นจนเกือบจะตบหน้าเธอ แต่ที่นี่เป็นบ้านตระกูลหนานกง แกก็กลัวว่าไป๋มู่ชิงปากมากไปฟ้อง แกเลยพยายามห้ามอารมณ์ตัวเองไว้ “แกก็อย่ามาบังคับฉันเหมือนกัน ฉันไม่รับประกันหรอกนะว่ามันจะเป็นยังไง”
“ขู่สมใจหรือยัง? วางใจแล้วกลับไปได้แล้ว” ไป๋มู่ชิงหัวเราะอย่างเสียดสี
ซูวยาหยงรู้สึกหมดอารมณ์กับเธอแต่ก่อนจะกลับก็ย้ำซ้ำๆกับเธออีกครั้งก่อนจะเดินออกจากห้องไป
หลังจากที่ซูวยาหยงกลับไป คุณหญิงก็เข้ามาพูดปลอบเธอให้เธอนึกถึงทารกในครรภ์มากๆจะเอาแต่อยู่ในห้องไม่ได้
ถึงไป๋มู่ชิงจะไม่อยากออกจากห้องมากแค่ไหน แต่เธอจะขัดคำพูดของคุณหญิงไม่ได้ก็เลยออกไปเดินเล่นในสวนดอกไม้
บ้านตระกูลหนานกงกว้างมาก กว้าจนเดินสักครึ่งวันก็ยังเดินไม่ทั่ว ไป๋มู่ชิงเดินอ้อมจากบ้านใหญ่ไปหลังบ้านแล้วเดินไปมาช้าๆในสวนดอกไม้
เดินไปอีกก็จะเป็นห้องโถงบรรพบุรุษตระกูลหนานกง หลังจากครั้งนั้นเธอไม่เคยเข้าใกล้ที่นั่นอีกเลย แล้วก็ไม่พบไม่เจออะไรที่ไม่ดีๆด้วย แต่นึกถึงทีไรก็ยังรู้สึกกลัวทุกที
ตอนนี้เธอยืมมองไปไกลๆยังรู้สึกขนลุกซู่เลย
เธอหยุดเดิน ไม่อยากเข้าไปใกล้อีกจากนั้นก็หันหลังจะเดินหนี
แต่พอเธอหันหลังไปก็รู้สึกว่าเหยียบโดนอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนตัวไปมา เธอก้มหน้าลงไปดูก็เห็นว่าเป็นสายไฟ
เธอมองกวาดไปรอบๆ สายไฟเส้นนี้เชื่อมกับไฟทางเดิน แต่เพื่อความสวยงามเป็นระเบียบของบ้าน สายไฟในบ้านก็ถูกฝั่งลงใต้ดินหมดแล้ว แต่ทำไมที่สวนถึงยังมีสายไฟเส้นนี้ได้ล่ะ?
เธอไม่รู้ว่าสายไฟเส้นนี้ได้เชื่อมกับคัตเอาท์หรือเปล่า ไม่รู้ว่ามันมาได้ยังไง แต่เรื่องแปลกๆในบ้านหนานกงนี้เยอะแยะ ถึงจะมีสายไฟนี้โผล่มาก็ไม่น่าแปลกใจอะไรมาก
เธอไม่ได้หยุดอยู่ตรงนั้นนานมากก็เดินกลับไปทางบ้านใหญ่
ในขณะที่เดินผ่านสระว่ายน้ำเธอก็พบกับพี่เหอที่เดินมาจากบ้านใหญ่ เธอลังเลครู่หนึ่งก่อนจะบอกเรื่องสายไฟที่เห็นกับพี่เหอ
เพราะสายไฟอยู่ในที่ที่สังเกตยากแล้วก็ไม่รู้ว่าต่อกับคัตเอาท์หรือเปล่าแต่เพื่อความปลอดภัยเธอเลยให้พี่เหอไปดูหน่อย
พี่เหอมองไปทางที่เธอชี้แล้วเอ่ยขึ้นว่า “วันนี้มีช่างมาซ่อมไฟทางเดินที่สวน ช่างอาจจะลืมฝั่งสายไฟมั้งคะ เดี๋ยวดิฉันจะให้ช่างไฟไปดูนะคะ”
ไป๋มู่ชิงพยักหน้ารับ มีช่างมาซ่อมไฟทางเดินนั่นเอง ก็ว่าทำไมอยู่ๆถึงมีสายไฟโผล่มาได้ ไม่มีอะไรแปลกหนิ ทั้งหมดเป็นเพราะเธอคิดมากไปเอง
พอเธอกลับไปถึงบ้านใหญ่ก็เห็นว่ารถของหนานกงเฉินจอดอยู่หน้าประตู แต่เธอก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก เธอไม่อยากรับรู้หรอกว่าเขากลับบ้านเร็วทำไมเลยเดินขึ้นห้องตัวเองไป
พอเธอเดินขึ้นถึงชั้นสอง หนานกงเฉินก็ออกจากห้องทำงาน ในมือยังถือเอกสารอยู่ ดูเหมือนจะกลับมาเอาเอกสารสินะ
ทั้งสองเดินสวนทางกันที่ทางเดินที่ไม่ได้กว้างมากนักด้วยใบหน้าที่เย็นชาห่างเหินกัน ไป๋มู่ชิงไม่แม้แต่จะมองเขาด้วยซ้ำ
ขณะที่ทั้งสองเดินสวนทางกัน หนานกงเฉินก็หยุดก้าวขาแล้วหันหลังเอ่ยตามหลังเธอไปว่า “หยุดเดี๋ยวนี้”
ไป๋มู่ชิงไม่สนใจคำสั่งเขาเธอกลับเปิดประตูห้องแล้วเดินเข้าไป
เธอคิดว่าหนานกงเฉินคงหันเดินไปแต่เขากลับตามเธอเข้ามาในห้องแล้วยังเอ่ยตามหลังเธออีกว่า “นี่คุณหมายความว่ายังไง? ชักสีหน้าใส่ผมเหรอ?”
“ขอโทษค่ะ อาจจะใช่มั้งคะ” ไป๋มู่ชิงหันกลับไปมองเขา “ตอนนี้เราต่างขัดหูขัดตากันไม่ใช่เหรอคะ ฉันอยากจะฆ่าคุณ คุณเองก็อยากจะบีบคอฉันตาย เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว จะให้ฉันแกล้งทำตัวเอาอกเอาใจคุณอีกเหรอ คุณไม่รู้สึกว่ามันปลอมกับขยะแขยงเหรอ?”
ขัดหูขัดตากัน!
หนานกงเฉินไม่ชอบคำบรรยายของเธอเลยจนคิ้วเขาขมวดเล็กน้อย “ถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมคุณถึงยังอยากคลอดลูกของผมล่ะ?
“คุณไม่เอาเขาแล้วไม่ใช่เหรอ? เพราะฉะนั้น ตอนนี้เด็กคนนี้เป็นของฉัน”
หนานกงเฉินไม่พอใจกับคำพูดของเธอแล้วก็ไม่มีเวลามาเถียงกับเธอด้วยแค่หัวเราะในคอเบาๆใส่เธอแล้วเดินออกจากห้องไป
พอหนานกงเฉินเดินออกจากห้องมาก็เจอกับผู่เหลียนเหยาที่เพิ่งเลิกงานกลับมา เขาลังเลที่จะก้าวขาแต่ก็ไม่หยุดเดินลงไปชั้นล่าง
“พี่ชายคะ……” ผู่เหลียนเหยาหันไปมองตามแผ่นหลังของเขา “พี่ชายไม่ทานข้าวเย็นที่บ้านเหรอคะ?”
“ไม่ล่ะ” หนานกงเฉินตอบกลับมา
มองตามหลังของหนานกงเฉินที่เดินหายไปตรงมุมทางเดิน ผู่เหลียนเหยาถึงยกมือขึ้นเคาะประตูห้องไป๋มู่ชิงแล้วเดินเข้าไปในห้อง
“พี่สะใภ้กับลูกเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?” ผู่เหลียนเหยาเดินยิ้มอ่อนๆไปนั่งลงข้างตัวไป๋มู่ชิง สำรวจเธอตั้งแต่บนลงล่าง “เกิดอะไรขึ้น? ทะเลาะกับพี่ชายอีกแล้วเหรอคะ?”
ไป๋มู่ชิงยิ้มอย่างขมขื่น “เธอเห็นแล้วสินะ”
“อะไรกัน เราสนิทกันขนาดนี้แล้ว” พอผู่เหลียนเหยาพูดเสร็จก็ถอนหายใจ “พี่สาวทำไมดื้อขนาดนี้? พี่ชายเป็นผู้ชายเป็นหัวหน้าครอบครัวนะ ไม่ว่าจะทำอะไรคนต่างตระกูลอย่างเราก็ต้องทนเอา ไม่งั้นจะให้ทำยังไงได้? เอาแต่ต่อต้านแบบนี้ไปเรื่อยๆก็ไม่ได้หรอก”
ไป๋มู่ชิงหัาเราะเสียงเบา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
“อารมณ์ขึ้นไม่ดีต่อลูกนะ ทำให้อารมณ์ดีเข้าไว้”
“ฉันจะพยายามนะ ขอบใจนะ”
ผู่เหลียนเหยาหยิบกล่องที่วางอยู่ขึ้นมาให้เธอ “อันนี้ซื้อให้พี่นะ มีผลดีต่อลูก”
“คืออะไรเหรอ?” ไป๋มู่ชิงรับกล่องไปแล้วหยิบขวดยาออกมาดู “หมอบอกตอนนี้เด็กแข็งแรงดี ถ้ายังกินอาหารเสริมมากไปจะไม่ค่อยดีนะ”
“นี่คือแคลเซียมต่างหาก” ผู่เหลียนเหยาพูดยิ้มๆ “หนูเป็นหมอนะ หนูก็มีความรู้เกี่ยวกับยาพวกนี้อยู่ ไม่เชื่อใจหนูเหรอ?”
“เปล่า” ไป๋มู่ชิงรับกล่องไว้พร้อมขอบคุณ “ขอบใจเธอมากนะ”
“ไม่เป็นไร” ผู่เหลียนเหยายื่นมือไปวางลงบนท้องเธอ “รอเขาคลอด หนูก็จะได้คุณอาแล้ว หนูก็ต้องเป็นห่วงเขาสิ”
พูดจบเธอก็ลุกขึ้น “เอาล่ะ เดี๋ยวหนูไปหาคุณย่าก่อนเดี๋ยวค่อยคุยกันตอนทานข้าวนะคะ”
บนโต๊ะอาหาร คุณหญิงกวาดสายตาไปที่ทุกคนแล้วเอ่ยถามขึ้น “เฉินกลับมาแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมไม่มาทานข้าว?”
“คุณย่าคะ เมื่อกี้หนูถามพี่ชายแล้วค่ะ พี่ชายบอกไม่ทานข้าวที่บ้านค่ะ” ผู่เหลียนเหยาพูด
“ไม่ทานข้าวที่บ้านอีกแล้ว” คุณหญิงพูดอย่างไม่พอใจแล้วหันไปทางเซิ่งเคอ “ที่บริษัทยุ่งขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ไม่นะครับ ช่วงนี้ไม่ค่อยยุ่งนะครับ”เซิ่งเคอส่ายหน้าไปมา
“แล้วทำไมเฉินเพิ่งกลับมาแล้วออกไปอีกล่ะ?”
“คุณย่า……ควรจะถามพี่สะใภ้นะครับ” เซิ่งเคอยิ้มๆแล้วหันไปมองไป๋มู่ชิง
คุณหญิงเลยหันมาทางไป๋มู่ชิงแทน ไป๋มู่ชิงรีบพูดขึ้น “หนูก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ เขาไม่ได้บอกอะไรหนู”
ผู่เหลียนเหยาคีบเนื้อไก่จากจานมาไว้ในถ้วยของไป๋มู่ชิงแล้วเอ่ยขึ้นว่า “พี่สะใภ้จะตามใจพี่ชายแบบนี้ไม่ได้นะคะ นิสัยเสียๆของผู้ชายก็มาจากที่เราตามใจเขาทั้งนั้น”
เซิ่งเคอได้ยินเธอพูดอย่างนี้ก็แสดงสีหน้าที่ไม่พอใจขึ้นมา “นี่ เธอพูดแบบนี้ไม่น่าฟังเลย”
“ฉันพูดผิดเหรอ?” ผู่เหลียนเหลาหันไปทางเซิ่งเคอ “ทำไมฉันต้องคอยมาที่บ้านหนานกงด้วย? ก็จะจับตานายไงล่ะ ถ้าฉันเผลอเมื่อไหร่นายคงแอบไปมีกิ๊กข้างนอกแล้วมั้ง?”
“ผมเหรอ?”
“ก็ฉันกลัวว่านายจะมีไง” ผู่เหลียนเหยาพูดต่อ “อีกอย่าง ผู้ชายที่เพอร์เฟคอย่างพี่ชาย แค่เผยหน้าต่อสาธารณะแค่ครั้งเดียวยังมีผู้หญิงมารุมตอมขนาดนั้น ถ้าไม่จับตามองดีๆเดี๋ยววันไหนมีคนมาแย่งไปล่ะ ใช่ไหมเซิ่งซิน?”
ผู่เหลียนเหยาใช้ศอกสะกิดไปที่แขนของเซิ่งซิน เซิ่งซินแค่ตอบยิ้มแห้งๆไป
“เพราะฉะนั้นพี่สะใภ้อย่างปล่อยพี่ชายเกินไปนะคะ? เดี๋ยวอีกหน่อยพี่จะลำบากนะ” เธอหันมาทางไป๋มู่ชิงอีกรอบ
ไป๋มู่ชิงแค่มองสบตาเธอไป แต่ไม่ได้พูดอะไรมากนัก
เธอรู้ว่าหนานกงเฉินดึงดูดผู้หญิงมากแค่ไหน แล้วเขาคงมีผู้หญิงไม่น้อย ไม่แน่คืนนี้อาจจะอยู่ในอ้อมกอดใครสักคน แต่เธอไม่สนใจหรอก ไม่สนใจเลยสักนิด!
คุณหญิงเห็นว่าเธอใช้ตะเกียบเขี่ยเนื้อไก่ในถ้วยจนเลาะเลยเอ่ยขึ้น “พอแล้ว ทุกคนหยุดพูดเรื่องนี้แล้วรีบทานข้าวเถอะ”
จากนั้นก็เอ่ยขึ้นอีกว่า “ตอนนี้เฉินไม่มีอารมณ์ไปหาผู้หญิงอื่นหรอก คงเป็นเพราะมีธุระเลยออกไปแน่ๆ”
“เธอนี่แหละพูดมาก” เซิ่งเคอกวาดสายตาไปทางผู่เหลียนเหยา
ผู่เหลียนเหยาทำหน้าน่าสงสาร “หนูก็ทำเพื่อพี่สะใภ้หนิ”
“ขอบใจ รีบกินเถอะ” ไป๋มู่ชิงสงบสติอารมณ์แล้วคีบเนื้อไปให้เธอ แล้วก็ก้มหน้าก้มตากินไป
กลางดึก ไป๋มู่ชิงที่นอนหลับไม่สนิท อยู่ๆก็สะดุ้งตื่นเพราะเสียงดังจากในห้อง
เธอตกใจจนตื่นแล้วนั่งอยู่บนเตียง ในความมืดสลัวเธอเห็นหนานกงเฉินเดินเข้ามาอย่างเซไปเซมาพร้อมกับกลิ่นแอลกอฮอล์
เสียงดังเมื่อกี้เป็นเพราะเขาไม่ระวังเดินไปชนกับแจกันที่หน้าประตู ดูเหมือนแจกันก็เมาเหมือนกัน
หนานกงเฉินนั่งย่องๆกับพื้นเอาแต่ก้มหน้าไม่พูดอะไรเลย
ทีแรกไป๋มู่ชิงก็ไม่อยากสนใจเขาหรอก แต่ก็เป็นห่วงร่างกายเขาไม่รู้ว่ามันกำเริบอีกหรือเปล่าเลยเอื้อมมือไปเปิดไฟหัวเตียง
ไฟหัวเตียงถูกเปิดออก ในห้องปกคลุมไปด้วยแสงสีนวลจากไฟ เธอก็นั่งอยู่บนเตียงมองเขาอยู่อย่างนั้น สังเกตดูว่าโรคกำเริบหรือเปล่าเธอถึงโล่งใจ
เพิ่งโล่งใจได้ครู่นึงก็เริ่มตึงขึ้นมาอีก เธอเห็นเลือดจากมือของเขา ดูเหมือนจะโดนแจกันที่แตกบาด เขาก็ยังคงก้มหน้าอยู่ ก้มมองมือตัวเองที่เต็มไปด้วยเลือดอย่างนิ่งเฉย
ถ้าเป็นแต่ก่อน ไป๋มู่ชิงคงรีบพุ่งเข้าไปพยุงตัวเขาขึ้นแล้วทำแผลให้เขา แต่ครั้งนี้ หลังจากที่อึ้งไปก็เหลือแต่ความไม่แยแส มือที่ดึงผ้าห่มออกเปลี่ยนทิศทางไปจับโทรศัพท์บ้านขึ้นแล้วโทรหาหมอประจำบ้านแทน
หมอประจำบ้านขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พอเห็นเลือดบนมือหนานกงเฉินก็รีบคุกเข่าลงต่อหน้าเศษแจกันที่แตกพร้อมเอนตัวไปพยุงเขาขึ้น “คุณชายเป็นยังไงบ้างครับ? ทำไมไม่ระวังขนาดนี้”
หนานกงเฉินขยับตัวแล้วจากการพยุงของคุณหมออย่างยากลำบาก
“ผมเคยเตือนคุณชายแล้วไงครับว่าคุณดื่มแอลกอฮอล์ไม่ได้ แล้วนี่ทำไม……” คุณหมอถอนหายใจยาวไม่บ่นอะไรต่อแล้วเปลี่ยนประเด็น “เลือดที่มือคุณไหล เดี๋ยวผมล้างแผลให้นะครับ”
ไป๋มู่ชิงที่นั่งนิ่งเฉยอยู่บนเตียงเอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า”คุณหมอหวง ช่วยพาคุณชายกลับห้องตัวเองด้วยนะคะ”
“ครับ” คุณหมอหวงพยุงแขนหนานกงเฉินไว้แน่น “คุณชายเดินช้าๆนะครับ ผมจะพาคุณกลับห้อง”
แต่หนานกงเฉินไม่ได้ออกจากห้องไปพร้อมกับคุณหมอกลับสลัดแขนของเขาออกแล้วพูดว่า “คุณหมอหวงกลับไปนอนเถอะ ผมจัดการเอง”
“แต่ว่าแผลของคุณชาย……”
“ออกไป!” หนานกงเฉินตะคอกใส่เขาเสียงดัง
คุณหมอหวงตกใจจนรีบเก็บมือตัวเองกลับ เขารู้นิสัยหนานกงเฉินดี ถึงจะเป็นห่วงแต่ก็ไม่กล้าขัดเขา เขาเลยหันไปขอความช่วยเหลือไป๋มู่ชิงอย่างระมัดระวัง “งั้น……ผมกลับก่อนนะครับ ฝากคุณชายด้วยนะครับ คุณหญิงน้อย”
ไป๋มู่ชิงไม่ตอบอะไร คุณหมอหวงหันหลังเดินออกไปอย่างทำตัวไม่ถูก

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset