เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 96 แอดมิตเข้าโรงพยาบาล

“ก็ได้นะ” ไป๋มู่ชิงพยักหน้ารับแล้วเปิดประตูรถออกไป
ข้างๆก็เป็นห้างชื่อดังในเมืองซี ทั้งสองเดินขึ้นไปชั้นสองแล้วผ่านร้านขายของเกี่ยวกับแม่และเด็ก ไป๋มู่ชิงหยุดเดินอย่างกะทันหัน “เหลียนเหยา ไปดูเสื้อผ้าเด็กกันเถอะ”
“ได้สิ” ผู่เหลียนเหยาคล้องแขนเธอแล้วเดินเข้าไปในร้าน หยิบชุดจากบนราวโชว์ลงมาให้ไป๋มู่ชิงดู “ดูสิ ชุดน่ารักมากเลย”
“น่ารักมาก” ไป๋มู่ชิงรับชุดไปดูอย่างมีความสุข เธอไม่รู้เลยว่าชุดเด็กตอนนี้ทำไมถึงน่ารักขนาดนี้
พนักงานเดินมาถามอย่างมีมารยาท “ไม่ทราบว่าคุณผู้หญิงจะคลอดเมื่อไหร่เหรอคะ?”
“อีกประมาณห้าเดือนน่ะ” ไป๋มู่ชิงตอบไป
ผู่เหลียนเหยาเอ่ยขึ้น “อีกห้าเดือนเลยเหรอคะ? ตอนนั้นน่าจะเป็นฤดูร้อนแล้ว ซื้อตอนนี้อาจจะเร็วไปหรือเปล่าคะ?”
“ไม่หรอกค่ะ ชุดแบบนี้เด็กใส่ได้ทุกฤดูค่ะ” พนักงานหยิบอีกชุดลงมา “ถ้าคิดว่าผ้าอาจจะหนาไป ชุดนี้จะบางกว่านิดหน่อยนะคะ แล้วราคากับคุณภาพก็ดีมากด้วยค่ะ”
จากนั้นพนักงานก็เอ่ยขึ้นอีกว่า “ดูเหมือนห้าเดือนอาจจะนานไป แต่แค่แว็บเดียวก็ผ่านไปแล้วค่ะ เสื้อผ้าเด็กต้องตากแดดฆ่าเชื้อ ซื้อเตรียมตัวไว้ก่อนจะดีกว่านะคะ”
ในมือถือชุดน่ารักๆนี้ไปพร้อมฟังพนักงานพูดไปด้วย แต่ในใจไป๋มู่ชิงกลับสั่นวูบ ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้จะได้คลอดหรือเปล่า ซื้อตอนนี้ก็เร็วไปจริงๆ
ไม่ เธอไม่ควรมีความคิดแบบนี้!
ไป๋มู่ชิงเรียกสติกลับมา เด็กในท้องต้องแข็งแรงแน่นอน รออีกไม่กี่วันผลตรวจออกมา หนานกงเฉินก็จะไม่มีข้ออ้างอะไรให้เธอไปทำแท้งอีก
ใช่ ลูกในท้องต้องไม่เป็นอะไร เธอรู้สึกได้
“พี่สะใภ้ดูตัวนี้ก็น่ารักนะคะ” ผู่เหลียนเหยาแทรกขึ้นขณะที่เธอตกอยู่ในภวังค์แล้วยื่นอีกชุดมาให้เธอ “สวยไหมคะ? ชมพูมากๆ”
“อื้อ สวยดี”
“ใช่สิ พี่รู้หรือยังคะว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย?” ผู่เหลียนเหยาถามขึ้นอย่างสงสัย
“ยังไม่รู้เลย” ไป๋มู่ชิงยื่นชุดที่เลือกไว้ให้พนักงาน “สำหรับพี่จะชายจะหญิงก็ได้ พี่ชอบหมด”
“ใช่ นี่ยุคใหม่แล้วหนิ” ผู่เหลียนเหยาถามเสียงเบา “นี่พี่ซื้อแค่ชุดสองชุดให้พอหายคันมือก็พอแล้ว ทำไมซื้อเยอะขนาดนั่นล่ะคะ?”
“ยังไงก็ต้องซื้ออยู่ดี แล้วมีแต่ชุดน่ารักทั้งนั้นเลย” ไป๋มู่ชิงหันไปพูดกับพนักงาน “สี่ชุดนี้ เช็คบิลให้ด้วยค่ะ”
ในใจลึกๆของเธอ เธอเชื่อว่าเด็กไม่เป็นอะไรแน่นอน เพื่อที่จะเพิ่มความเชื่อมั่นนี้เธอเลยซื้อทีเดียวเลยสี่ชุด
หลังจากที่ซื้อเสร็จ ทั้งสองก็ออกจากร้านแล้วเดินไปโซนเสื้อผ้าผู้หญิง
ผู่เหลียนเหยาบอกว่าเธอจะไปรับชุดที่สั่งตัดไว้เลยลากไป๋มู่ชิงไปด้วยพร้อมอธิบายกับเธอว่า “เสื้อผ้าที่นี่มีแต่แพงๆทั้งนั้น ต้องเป็นระดับไฮโซเท่านั้นถึงจะเอื้อมถึง”
“มองออกอยู่” ไป๋มู่ชิงยกถุงในมือขึ้น “แค่ชุดเล็กๆแค่นี้ยังต้องหลายพันเลย คนทั่วไปคงเข้าไม่ถึงจริงๆ แต่เพื่อลูกฉันยอมจ่าย”
“เงินแค่นี้เนี่ยนะ? วงเงินบัตรของพี่ชายไม่กำจัดนะคะ”
“ก็จริง ยังไงก็ซื้อให้ลูกเขาใส่” ไป๋มู่ชิงพูดยิ้มๆ
เธอเพิ่งพูดจบสีหน้าก็ตึงเครียดทันทีพร้อมกับหยุดก้าวขาด้วย
“เป็นอะไรคะ? พี่สะใภ้” ผู่เหลียนเหยาเห็นเธอหยุดเดินเลยหันไปถามเธอด้วยความสงสัย แต่เธอไม่ตอบอะไรเลยมองตามสายตาเธอไป
มองทะลุกระจกบานใหญ่ไปก็เห็นหนานกงเฉินนั่งบนโซฟาในร้านเสื้อผ้าผู้หญิง ในมือก็จับโทรศัพท์อยู่ไม่รู้ว่าดูอะไร
“พี่ชาย? ทำไมเขาถึงอยู่ที่นี่?” ผู่เหลียนเหยาเอ่ยอย่างประหลาดใจ
เดิมทีหนานกงเฉินนั่งดูแมกกาซีนอยู่แต่พอเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เลยรีบกวาดสายตาดูให้จบแล้วค่อยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็ดข้อความ
เป็นข้อความจากบัตรเครดิต ว่ารูดจ่ายไป หนึ่งพันหกร้อยหยวน
บัตรสำรองของเขาให้แค่ไป๋มู่ชิงคนเดียวไม่เคยให้คนอื่นอีก กับผู้หญิงคนอื่นก็ให้แค่เช็ดเท่านั้น
นอกจากครั้งก่อนที่ไป๋มู่ชิงคืนเสื้อผ้ากลับไปแล้วเขาสั่งให้เธอไปซื้อกลับมา เธอก็ไม่เคยรูดบัตรของเขาอีก จนกระทั่งวันนี้
หนานกงเฉินที่กำลังนั่งคิดสงสัยอยู่ว่าไป๋มู่ชิงซื้ออะไรไปพันกว่าหยวน เลขาเหยียนก็เดินออกมาจากห้องลองเสื้อ เธอใช่ชุดออกงานที่เซ็กซี่เดินออกมาพร้อมยืนยิ้มต่อหน้าเขา “เป็นยังไง? ชุดนี้ได้หรือเปล่า?”
หนานกงเฉินมองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้าพร้อมเก็บโทรศัพท์ลงงแล้วลุกขึ้นยืน ยื่นมือข้างที่ไม่มีแผลไปดึงดอกกุหลาบบนไหล่ของเลขาเหยียนพร้อมยิ้มอ่อน “สายมาก”
สีหน้าท่าทางนั้น อย่างกับเลขาเหยียนเป็นภรรยาเขา ดูกลมกลืนไปหมด
ไม่สิ เขาไม่เคยทำท่าทางสนิทสนมขนาดนั้นกับภรรยาตัวเอง ไป๋มู่ชิงหัวเราะเยาะในใจ
“จริงเหรอ? งั้นฉันใส่ตัวนี้แหละ” เลขาเหยียนพูดอย่างมีความสุข
“ได้สิ”
พนักงานบริการไม่พลาดโอกาศที่จะเอ่ยชม “หุ่นของแฟนคุณชายดีขนาดนี้แถมยังสวยอีก ใส่ชุดอะไรก็ดูดีหมดเลยค่ะ โดยเฉพาะชุดนี้ วันปกติก็ใส่ได้ ไปร่วมงานปาร์ตี้กับเพื่อนก็สวยมากเลยค่ะ”
ผู่เหลียนเหยาทนฟังไม่ได้เลยพูดขึ้นอย่างหงุดหงิด “พนักงานพวกนี้ก็จริงๆเลยเนี่ย พูดออกมาได้ทุกอย่างแค่อยากให้ลูกค้าซื้อ นั่นเลขาต่างหากแฟนบ้าอะไรล่ะ……นี่……พี่รอหนูด้วยสิ”
พอผู่เหลียนเหยาหันกลับมาไป๋มู่ชิงก็เดินจากไปแล้วเลยรีบเดินตามหลังเธอไป
พอตามทันไป๋มู่ชิงแล้ว ผู่เหลียนเหยาก็จับข้อมือเธอไว้ก่อนจะยิ้มแห้งๆ “พี่สะใภ้น่าจะรู้หนิคะว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นเลขาของพี่ชาย ไม่ใช่แฟนสักหน่อย อย่าเข้าใจพี่ชายผิดเลยนะคะ”
“ไม่หรอก สบายใจได้” ไป๋มู่ชิงหันมายิ้มกับเธอพร้อมกับหักห้ามความผิดหวังในใจไว้
เธอไม่ใส่ใจหรอกว่าเขาจะอยู่กับผู้หญิงคนไหน ไม่ใส่ใจความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเลขาเหยียนหรอก ไม่ใส่ใจ……
ผู่เหลียนเหยาสังเกตสีหน้าของเธอ”ดูสิ ยังไงก็สนใจอยู่ดีแล้วทำไมต้องหันหลังเดินหนีด้วย ทำไมพี่ไม่เดินเข้าไปแล้วบอกกับพนักงานที่ตาถั่วนั่นว่าพี่เป็นภรรยาของพี่ชายต่างหากล่ะ?”
ไป๋มู่ชิงยิ้มอย่างไม่แยแส “ถ้าทำอย่างนั้น เราก็พลาดของอร่อยๆสิ” พูดจบเธอก็เป็นฝ่ายคล้องแขนผู่เหลียนเหยาเอง “ไปเถอะ ไปเอาชุดเสร็จแล้วไปกินกัน ฉันหิวแล้ว”
“ได้ หนูก็หิวแล้วเหมือนกัน” ผู่เหลียนเหยาพูดยิ้มๆแล้วเดินไปทางร้านตัดชุด
พอไปรับชุดที่ชั้นสี่แล้ว ทั้งสองก็ยืนรอลิฟต์อยู่หน้าลิฟต์ ลิฟต์ใกล้มาถึงแล้วแต่พอผ่านชั้นสามประตูลิฟต์ก็เปิดออก เงาที่คุ้นเคยทั้งสองก็เดินเข้ามา
ไป๋มู่ชิงแอบถอนหายใจ ที่เธอเลือกขึ้นลิฟต์ก็เพราะไม่อยากเจอพวกเขา แต่ยังไงก็เจออยู่ดี
พอหนานกงเฉินกับเลขาเหยียนเห็นเธอสองคนสีหน้าก็ประหลาดใจเล็กน้อย สุดท้ายเลขาเหยียนก็เอ่ยทักทายอย่างมีมารยาท “คุณหญิงน้อยทำไมมาที่นี่เหมือนกันเลย?”
“มาเดินเล่นน่ะ” ไป๋มู่ชิงยิ้มอ่อนให้แต่กับหนานกงเฉินที่ยืนอยู่ข้างๆเธอไม่แม้จะชายตามองเขา
ชุดที่เลขาเหยียนกำลังใส่อยู่เป็นชุดที่เธอลองเมื่อกี้ นั่นเป็นชุดยาวสีดำสุดเซ็กซี่ เหมาะกับหุ่นของเธอจริงๆแถมยังจับคู่กับเสื้อคลุมสีแดงอีก ดูๆไปแล้วช่างหรูหราเหมือนหงส์ดำเลย
ลิฟต์ไปถึงชั้นสอง เนื่องจากมีคนเดินเข้ามาเลย ไป๋มู่ชิงเลยถูกเบียดไปยืนข้างๆเลขาเหยียน
ถึงแม้ในลิฟต์จะมีเสียงคนคุยเล่นกัน แต่บรรยากาศก็ยังอึดอัดอยู่ดี หนานกงเฉินไม่มีทางคุยกับไป๋มู่ชิงก่อนแถมยังวางแขนลงบนไหล่ของเลขาเหยียนอีกพร้อมดึงตัวเขาเข้าไปใกล้
เลขาเหยียนก็แสดงสีหน้าอึดอัดเล็กน้อย เธอรู้สึกถึงความผิดปกติระหว่างหนานกงเฉินกับไป๋มู่ชิงได้ทั้งๆที่เธอกำลังคิดคำอธิบายเกี่ยวกับท่าทางกับหนานกงเฉินอยู่ แต่หนานกงเฉินกลับราดน้ำมันเข้ากองไฟอีก เธอคงไม่ต้องอธิบายอะไรแล้วแหละเพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว
ทั้งหมดมีแค่ไม่กี่ชั้น และแล้วลิฟต์ก็หยุดลงที่ชั้นหนึ่ง ประตูเปิดออกช้าๆ ไป๋มู่ชิงเดิมอยากให้คนอื่นออกไปก่อนแต่คนข้างหลังกลับเบียดเธอให้ออกไปก่อน เหมือนเธอถูกผลักออกมายังไงอย่างนั้น
ขณะที่ทุกคนกำลังเดินออกมา พอไป๋มู่ชิงก้าวออกมาก็รู้สึกว่ามีแรงกระแทกเข้าที่เอวของเธอ
“อ้า–!” เลขาเหยียนร้องตกใจขึ้นจนเอนตัวออกไปจะทับตัวไป๋มู่ชิงจนขาของไป๋มู่ชิงพลิกแล้วร่างกายก็ไปชนกับถังขยะหน้าลิฟต์
ถังขยะไม่สูงมาก ไป๋มู่ชิงเลยชนเข้าที่ท้องน้อยฝั่งซ้ายพอดี จนเธอร้องปวดขึ้น “เจ็บ……”
เนื่องจากเลขาเหยียนใส่ส้นสูงอยู่เธอเลยรีบยันตัวเองลุกขึ้นจากตัวของไป๋มู่ชิง แต่ไป๋มู่ชิงกลับนอนเจ็บขดตัวอยู่ที่พื้น
“พี่สะใภ้เป็นอะไรไปคะ?” พอผู่เหลียนเหยาเห็นไป๋มู่ชิงนอนขดอยู่เลยรีบพุ่งเข้าไปพยุงตัวเธอขึ้นอย่างตกใจพร้อมกับตำหนิเสียงเข้มเลขาเหยียน “ทำไมเธอไม่ระวังขนาดนี้ พี่สะใภ้เป็นคนท้องนะ!”
สีหน้าของเลขาเหยียนที่ตกใจอยู่พอได้ยินว่าไป๋มู่ชิงท้องก็ยิ่งตกใจไปกว่าเดิม พร้อมพยุงตัวไป๋มู่ชิงขึ้นแล้วเอ่ยไปด้วย “ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ มีคนผลักฉันจากข้างหลัง ขอโทษจริงๆนะคะ……”
“พวกเธอหยุดขยับก่อน ฉันปวดท้อง” ไป๋มู่ชิงเอ่ยขออย่างขมวดคิ้ว
เวลานี้เธอเป็นห่วงลูกในท้องจะบ้า ไม่มีเวลามาฟังคำขอโทษหรอก
“เดี๋ยวผมเอง” หนานกงเฉินเดินผ่านผู้คนแล้วก้มลงไปอุ้มตัวไป๋มู่ชิงขึ้น
ไป๋มู่ชิงเงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมใช้มือผลักเขาออก “คุณไม่ต้องมายุ่ง”
ตอนนี้เธอรู้สึกว่าเจ็บที่ท้องไม่ลดลงเลยแถมจะขยับตัวไม่ได้
หนานกงเฉินไม่ได้สนใจการกระทำที่เอาแต่ใจของเธอแล้วอุ้มเธอขึ้นแล้วเดินออกไปทางประตู
พอผู่เหลียนเหยาใจเย็นลงก็มองตาขวางใส่เลขาเหยียนก่อนจะก้มเก็บของแล้วรีบเดินตามไป
ไป๋มู่ชิงถูกหนานกงเฉินอุ้มอยู่ เธอแอบมองไปที่หน้าที่ตึงเครียดของเขาแล้วรีบหันหน้าหนี ในเวลานี้เธอไม่กล้าเอ่ยอะไรสักคำ เกรงว่าเขาจะหงุดหงิดแล้วโยนตัวเธอคงแย่เลย
เขาก้าวออกจากห้างอย่างรวดเร็วแล้วเดินถึงที่จอดรถ
ไป๋มู่ชิงหันไปมองข้างหลังเธอไม่เห็นเงาของเลขาเหยียนเลย ในใจคิดว่าเขาจะไปอย่างนี้เลยเหรอ แล้วเลขาเหยียนของเขาล่ะ? จะทิ้งเธอไว้ที่นี่คนเดียวเหรอ?
เธอไม่คิดเลยว่าหนานกงเฉินจะเป็นห่วงเด็กในท้องเธอด้วยแถมส่งเธอไปโรงพยาบาลอีก เขาไม่อยากได้เด็กไม่ใช่เหรอ?
ผู่เหลียนเหยารีบเดินไปเปิดประตูรถให้ไป๋มู่ชิงจากนั้นก็เข้าไปนั่งข้างหลังรถด้วย
รถแล่นออกไปแล้วแล่นด้วยความเร็วสุดไปที่โรงพยาบาลหงอัน
ผู่เหลัยนเหยาจับแขนไป๋มู่ชิงไว้พร้อมสังเกตสีหน้าเธอแล้วเอ่ยอย่างเป็นห่วง “เป็นยังไงบ้าง? ยังเจ็บมากไหมคะ? เจ็บตรงไหนบอกหนูเดี๋ยวหนูเช็คอาการให้”
ไป๋มู่ชิงมองไปที่เธอแล้วส่ายหน้า “ฉันไม่เป็นอะไร”
“ดูคิ้วตัวเองสิว่าขมวดขนาดไหน ยังบอกว่าไม่เป็นไรอีก” ผู่เหลียนเหยาพูด “เมื่อกี้เลขาเหยียนตัวสูงขนาดนั้นแถมแรงผลักยังหนักอีก พี่คงเจ็มมากเลยสิท่า?”
“พอได้……โอ๊ย……” ไป๋มู่ชิงพูดไม่ทันจบก็ร้องขึ้นอย่างเจ็บ สีหน้าเธอไม่ดีมากนักเพราะยังปวดท้องมาก เธออดเป็นห่วงไม่ได้ว่าลูกจะเป็นอะไรหรือเปล่า
“พอแล้ว พี่ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ใกล้ถึงโรงพยาบาลแล้ว” ผู่เหลียนเหยาเงยหน้าขึ้นเร่ง “พี่ชายขับเร็วหน่อยสิคะ หนูกลัวว่าเด็กจะเป็นอะไรไป”
หนานกงเฉินเอาแต่เงียบตลอดทางแต่ก็เร่งความเร็วสุดทาง พอได้ยินผู่เหลียนเหยาพูดขึ้นก็เหยียบลงไปอีก
ใกล้ถึงโรงพยาบาลแล้ว หนานกงเฉินจอดรถแล้วรีบเดินอ้อมไปเปิดประตูแล้วอุ้มไป๋มู่ชิงออกมา
“รีบตามหนูมา” ผู่เหลียนเหยานำทางไปที่ห้องฉุกเฉิน
ไป๋มู่ชิงถูกวางลงบนเตียงคนไข้ เธอหลับตาแล้วก็สูดหายใจเข้าลึกๆ มีเหงื่อไหล่เต็มหน้าผากเธอ คุณหมอก็รีบตรวจเช็คอย่างเร่งด่วน เธอรู้สึกว่ามีฝ่ามือใหญ่วางลงที่หน้าผากเธอ ช่วยเช็ดเหงื่อออกอย่างเบา
เธอลืมตาขึ้นมาก็เห็นว่าหนานกงเฉินกำลังดึงมือออกจากหน้าผากเธอ เธอรู้สึกแสบจมูกแล้วเกือบร้องไห้ออกมา มีคนเป็นห่วงลูกของเธอจนเธอตื้นตันใจมาก
หนานกงเฉินจ้องมองเธอพร้อมเอ่ยเสียงเบา “ทำตัวสบายๆ เด็กไม่เป็นไรหรอก”
เมื่อเขาพูดจบคุณหมอก็เข็นไป๋มู่ชิงเข้าไปในห้องตรวจ
มองตามหลังผู้คนที่เข้าไปในห้อง หนานกงเฉินถอนหายใจช้าๆ เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาต้องเป็นห่วงขนาดนั้นตอนเห็นเธอล้มลงไป
ทั้งๆที่เขาไม่อยากได้ลูก แต่เมื่อรู้ว่าเธออาจจะแท้งก็อดเป็นห่วงไม่ได้ แถมยังส่งเธอมาโรงพยาบาลด้วยเวลาอันน้อยนิดอีก
“พี่ชายอย่ากังวลไปเลย พี่สะใภ้ต้องไม่เป็นอะไร” ผู่เหลียนเหยานั่งลงข้างเขาพร้อมเอ่ยปลอบใจ
หนานกงเฉินพยักหน้าแล้วหันไปถาม “ทำไมพวกเธอถึงอยู่ห้างจิ่งเย้?”
“พวกเรา?” ผู่เหลียนเหยาพูดยิ้มๆ “คุณย่าเอาแต่บอกให้หนูอยู่เป็นเพื่อนพี่สะใภ้มากๆ แล้ววันนี้เลิกงานเร็วเลยพาเธอไปช้อปปิ้ง พี่สะใภ้เพิ่งซื้อชุดเด็กไปก็เห็นว่าพี่กับเลขาเหยียนกำลังลองชุดอยู่ หนูคิดว่าพี่สะใภ้คงไม่อยากเจอพวกพี่เลยเลือกที่จะไปขึ้นลิฟต์แทน ถ้ารู้ว่าจะบังเอิญขนาดนี้ หนูก็คงพาพี่สะใภ้ไปบันไดเลื่อนแล้ว” พูดไปสีหน้าของเธอก็รู้สึกผิดไปด้วย
หนานกงเฉินไม่ทันฟังคำโทษตัวเองของเธอ สติยังติดกับคำพูดที่ว่าไป๋มู่ชิงเห็นเขากับเลขาเหยียนกำลังลองชุด
อยู่ๆคำพูดที่ไป๋มู่ชิงตำหนิเขาก็ผุดขึ้นมา เธอบอกว่าข้างกายเขามีผู้หญิงเยอะแถมการกระทำยังเลือดเย็นอีก แต่ทำไมตอนนี้ เขาถึงอยากอธิบายเรื่องทั้งหมดให้เธอเข้าใจ
ไม่ ทำไมเขาต้องอธิบาย? เธอมีสิทธิ์อะไรถึงไปตำหนิเขา?
เกิดมาจนตอนนี้ เพิ่งจะเคยมีผู้หญิงมาตำหนิเขาเป็นคนแรก!
หลังจากที่รอไปสักพัก ผู่เหลียนเหยาก็พูดกับหนานกงเฉิน “ถ้าพี่ชายไม่ว่างก็ไปทำธุระเถอะ เดี๋ยวหนูอยู่รอพี่สะใภ้เอง”
หนานกงเฉินมองกวาดไปที่ห้องตรวจ “ไม่เป็นไร เดี๋ยวคุณย่าจะว่าอีกว่าไม่ใส่ใจเธอ”
เขาให้เหตุผลนี้ทั้งกับผู่เหลียนเหยาทั้งกับตัวเองด้วย ผู่เหลียนเหยาเลยเงียบไม่พูดอะไรต่อ
ในขณะเดียวกันไป๋มู่ชิงก็ถูกเข็นออกมา หนานกงเฉินยืดตัวขึ้นแต่ยังนั่งอยู่อย่างนั้น แต่กลับเป็นผู่เหลียนเหยาที่ดูเป็นห่วงรีบลุกขึ้นไป มองไปที่ไป๋มู่ชิงที่กำลังนอนอยู่บนเตียง “คุณหมอเฉินคะ พี่สะใภ้ฉันเป็นยังไงบ้าง?”
คุณหมอเฉินหันไปทางไป๋มู่ชิงแล้วพูด “ไม่เป็นอะไรมาก แต่กระดูกที่อกซ้ายแตกเลือดเลยออก แต่ตอนนี้ทำแผลแล้ว”
“แล้วเด็กล่ะ? เด็กเป็นอะไรหรือเปล่า?” ผู่เหลียนเหยาถามขึ้นอีก
“ทารกในครรภ์ไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก ยังปกติดีครับ”
“โล่งอกไปที” ผู่เหลียนเหยายิ้มดีใจพร้อมกับกุมมือไป๋มู่ชิงไว้ “พี่สะใภ้ได้ยินไหมคะ? เด็กไม่เป็นอะไร”
“อื้อ ได้ยินแล้ว” ไป๋มู่ชิงยิ้มตอบเธอ แต่สายตากลับมองผ่านไปที่ข้างหลังที่หนานกงเฉินกำลังนั่งอยู่
บนใบหน้าหนานกงเฉินไม่แสดงสีหน้าอะไรเลย ไม่มีความดีใจเลย เธอคิดในใจว่าเขาคงผิดหวังมากแน่ที่ครั้งนี้เด็กก็รอดมาได้อีก
ไป๋มู่ชิงถูกนำตัวไปที่ห้องพักฟื้น หนานกงเฉินยืนก้มมองเธอด้วยสีหน้าเข้มงวด “ในเมื่อร่างกายไม่สะดวกก็อย่าออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก ถึงจะไปช้อปปิ้งก็อย่าไปที่คนเยอะๆ”
ไป๋มู่ชิงกะว่าจะหลับตาพักผ่อนสักหน่อย เธอพอได้ยินเขาเอ่ยขึ้นก็ลืมตามามองเขา “คุณชายกำลังกังวลว่าฉันจะเที่ยวเล่นจนทำคุณเสียเรื่องเหรอคะ? คุณกำลังคิดอีกใช่ไหมว่าครั้งนี้ฉันก็ตั้งใจ ตั้งใจที่จะโดนชนแล้วให้คุณพามาส่งโรงพยาบาลเพื่อที่จะทำลายเดทของคุณกับเลขาเหยียน?”
ไป๋มู่ชิงมองไปที่ใบหน้าที่เสียดสีของเขา เลยนึกขึ้นได้ว่าตัวเองพูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกไป กลิ่นอายความหึงแรงขนาดนี้ อย่าว่าแต่หนานกงเฉินเลยเธอเองก็ยังดูถูกตัวเองเลย
“ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้จะคุมคุณ คุณไปเถอะ” เธอเอ่ยไป เลขาเหยียนอาจจะรอเขาอยู่ จะอยู่ทะเลาะกันที่นี่ทำไม?
หนานกงเฉินเอ่ยขึ้น แต่ไม่ได้อธิบาย แค่พูดว่า “เพื่อที่จะไม่ให้คุณย่ากังวล ผมบอกคุณไว้เลยว่าอย่าบอกว่าได้รับบาดเจ็บ แค่บอกมาพักฟื้นก็พอ”
“ไว้ใจได้ ฉันรู้” ไป๋มู่ชิงตอบ เธอเองก็ไม่อยากให้คุณหญิงรู้ ถ้าคุณหญิงรู้ว่าเธอบาดเจ็บเดี๋ยวจะตำหนิเธออีก
หนานกงเฉินไม่ได้อยู่นานมากก็หันหลังเดินออกจากห้องไป
เขาเดินลงมาที่ลานจอดรถ ตอนเปิดประตูเขาเห็นถุงช้อปปิ้งเกลื่อนอยู่ เขาลังเลก่อนจะยื่นไปหยิบถุงมาดู หนึ่งในนั่นก็เป็นเสื้อผ้าเด็ก มีทั้งสีชมพู สีฟ้า ตัวเล็กจนเหมือนของฝากติดมือ
เขานึกถึงคำพูดของผู่เหลียนเหยาว่าไป๋มู่ชิงเพิ่งไปซื้อชุดเด็กมาแล้วยังซื้อมาหลายชุดอีก
ดูเหมือนเธอจะให้ความสำคัญกับเด็กในท้องมาก
หลังจากที่หนานกงเฉินเดินออกไป ในใจไป๋มู่ชิงกลับรู้สึกโล่งๆว่างๆ
เพื่อที่จะมองข้ามความรู้สึกนี้ไปเธอเลยหยิบโทรศัพท์เล่น
หลังจากที่หนานกงเฉินออกไปไม่นาน ผู่เหลียนเหยาก็เดินเข้ามา เธอมองกวาดไปทางประตูแล้วถามขึ้น “ทำไมพี่ชายกลับไปเร็วขนาดนี้ล่ะ? ไม่ใช่ว่ากลับไปรับผู้หญิงคนนั้นเหรอ?”
“ไม่รู้เขา” ไป๋มู่ชิงหัวเราะอย่างไม่สนใจพร้อมเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “ขอโทษนะ ที่บอกว่าจะไปกินของอร่อยๆแต่กลับทำให้เธอลำบากขนาดนี้”
“แค่พี่กับลูกไม่เป็นอะไรหนูก็สบายใจแล้ว ยังจะกินอะไรอีกล่ะ?” ผู่เหลียนเหยาพูดไปยิ้มไป แล้วเก็บรอยยิ้มเปลี่ยนมาเป็นสีหน้าหงุดหงิด “นังเลขาเหยียนนี่เล่ห์เหลี่ยมอำมหิตมาก ชนพี่แรงขนาดนั้น ดีนะที่ไม่โดนท้อง ไม่งั้นเด็กคงอันตราย”
ไป๋มู่ชิงคิดไปคิดมาแล้วยิ้มอ่อน “เธออาจจะไม่ได้ตั้งใจมั้ง?”
เธอไม่รู้หรอกว่าเลขาเหยียนตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอมาชนกันได้ยังไงเพราะคนในลิฟต์เยอะ
แต่จะก็ไม่ควรกล่าวหาคนอื่นว่าตั้งใจอย่างไม่มีหลักฐาน เพราะไม่ใช่เมียน้อยทุกคนจะมีจิตใจอำมหิตหรอก?
“จะไม่ได้ตั้งใจได้ยังไง?” ผู่เหลียนเหยายิ้มกริ่ม “ทีแรกเธอยืนอยู่ข้างพี่ชายแล้วมายืนหลังพี่ ถ้าไม่ใช่คิดอะไรไม่ดีๆ เธอจะเดินไปไกลพี่ทำไม? อีกอย่าง คนในลิฟต์เยอะแยะทำไมต้องมาชนพี่ด้วยแถมยังแรงขนาดนี้อีก”
“พี่สะใภ้……” ผู่เหลียนเหยาอยู่ๆก็กุมมือไป๋มู่ชิงไว้ด้วยสายตาเป็นห่วง “ไม่ใช่หนูจะสอนอะไรไม่ดี เราจะใจดีเมตตาเกินไปไม่ได้ เราไม่ใช่ผู้หญิงที่ยอมให้พวกนั้นทำร้ายนะ จะมัดใจพี่ชายได้หรือเปล่าขึ้นอยู่กับความพยายามของพี่นะ เข้าใจมั้ยคะ? ครั้งก่อนมีผู้หญิงมาหาหนูแล้วบอกว่าเธอท้องลูกของเซิ่งเคอ หนูเอามีดผ่าตัดมาจะผ่าดูท้องของเธอว่าท้องจริงหรือเปล่าจนเธอตกใจฉี่แทบราด แล้วก็ไม่กล้ามาหาเรื่องหนูอีกเลย”
“จริงเหรอ?” ไป๋มู่ชิงเผลอหัวเราะออกมา

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset