เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 99 ข้อแลกเปลี่ยน

“นี่……คุณชายเฉิน……” ซูวยาหยงรีบวิ่งขึ้นไปขวางทางเขาไว้พร้อมเอ่ยด้วยสีหน้ารีบร้อน “คุณชายเฉินกลับไปเถอะค่ะ ยิ่งอันอารมณ์ไม่ดีเธอแค่อยากออกไปเที่ยวเล่นเท่านั้น เธอ……”
หนานกงเฉินมองเธอด้วยสีหน้าเยือกเย็น “ถึงจะออกไปเที่ยวเล่นแต่ก็ควรทำแท้งให้ผมก่อน”
ซูวยาหยงหมดคำพูด ไม่รู้จะพูดยังไงต่อ
ไป๋มู่ชิงยืนต่อแถวกำลังผ่านจุดตรวจจากนั้นเธอก็เปิดเครื่องโทรศัพท์ ทีแรกเธอแค่อยากรู้ว่าคนของตระกูลหนานกงตามหาเธอขนาดไหน แต่ก็มีสายเรียกเข้าของเหยาเหม่ยเด้งขึ้นมา
ทันทีเธอกดรับสายไป เหยาเหม่ยพูดขึ้นด้วยเสียงสะอึกสะอื้น “นี่เธอเปิดเครื่องสักที ฉันโทรหาเธอจนนิ้วฉันจะหักแล้ว ฉัน……”
“ทำไมเหรอ? เกิดอะไรขึ้น?” ไป๋มู่ชิงพูดแทรกเสียงเธอ
“หนานกงเฉินเขาเลวมาก! เขาไม่ใช่คนแล้ว! เขาบอกว่าถ้าฉันไม่ยอมบอกว่าเธออยู่ที่ไหนเขาจะ……จะ……”
“เธอบอกเขาแล้วเหรอ?”
“อือ……”เหยาเหม่ยพยักหน้าอย่างรู้สึกขอโทษนะฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันขอโทษ……”
ไป๋มู่ชิงยืนอึ้งไป แล้วรีบวางสายมองไปที่แถวที่เธอต่ออยู่ ยังเหลืออีกสองคนก็จะถึงตาเธอแล้ว ขอแค่ผ่านจุดตรวจแล้วขึ้นเครื่องไป หวังว่าเขาจะมาไม่ทัน
ไป๋มู่ชิงหลับตาลง แล้วก็ภาวนาในใจ แต่พอหันหลังไปแล้วมองทะลุผู้คนเธอก็เห็นหนานกงเฉินกำลังก้าวเดินตรงมาที่เธอพร้อมสายตาที่เยือกเย็นจองมาที่เธอ
แน่นอน เขาเห็นตัวเธอแล้ว เขาให้ความรู้สึกที่ว่าจะจับตัวเธอกลับไปให้ได้
เธอรีบมองไปที่จุดตรวจแล้วหันมองไปที่หนานกงเฉิน ถึงแม้ตอนนี้เธอจะผ่านจุดตรวจไปได้แต่ก็ไม่รอดพ้นน้ำมือของเขาอยู่ดี เพราะฉะนั้น เธอก็ไม่หวังว่าจุดตรวจนี้จะทำให้เธอรอดไปได้ แต่เป็น……
ณ เวลานั้นเธอก็ไม่รู้ว่าเธอจะทำตยังไงดีเพราะเขาเดินผ่านผู้คนมาทางเธอแล้ว
ด้วยสถานการณ์ที่เร่งด่วนเธอเลยเลือกเดินทะลุผู้คนไปฝั่งขวาแล้ววิ่งหนีเขา
พอหนานกงเฉินเห็นเธอวิ่งหนีก็รีบวิ่งตามขึ้นไปพร้อมสั่งเสียงเข้มว่า “ไป๋ยิ่งอันหยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
ไป๋มู่ชิงไม่สนคำสั่งเขา เป็นเพราะตัวเธอเล็กเลยสามารถเบียดกับผู้คนในสนามบินแล้ววิ่งไปที่ประตูทางออกได้ง่าย แต่หนานกงเฉินเป็นผู้ชายก็ไม่สะดวกมากนักที่จะเบียดเสียดกับผู้คน รอเขาฝ่าผู้คนออกมา ไป๋มู่ชิงก็วิ่งออกประตูด้านข้างไปแล้ว
“ไป๋ยิ่งอันเธอได้ยินหรือเปล่า? หยุดเดี๋ยวนี้!” หนานกงเฉินโกรธจนเร่งก้าวขาให้เร็วกว่าเดิมแล้ววิ่งตามไป
พอวิ่งออกประตูด้านข้างไปก็จะเป็นสะพานที่เชื่อมไปยังอาคารผู้โดยสาร แต่นี่เป็นสะพานที่สร้างขึ้นใหม่ พอไป๋มู่ชิงวิ่งถึงครึ่งทางก็เพิ่งรู้ว่าวิ่งต่อไปไม่ได้เพราะมันเป็นทางตัน ก็แสดงว่าเธอ………เธอจะหนีไม่รอดแล้ว
เธอถูกบังคับให้หยุดวิ่ง แล้วหันมองไปมองหนานกงเฉินที่กำลังวิ่งตามตัวเธออย่างหอบเหนื่อย
หนานกงเฉินก็หยุดก้าวขาเหมือนกัน แต่เมื่อเทียบกับอาการหอบเหนื่อยของเธอเขากลับไม่มีเลย แถมยังดูดีเหมือนสุภาพบุรุษ
“ทำไม? ไม่วิ่งต่อล่ะเ?” เขายิ้มมุมปาก รอยยิ้มแฝงด้วยความเยาะเย้ย
เขาเดินก้าวมาช้าๆ ไป๋มู่ชิงก็ถอยก้าวไปอย่างไม่รู้ตัวแล้วชนเข้ากับเสาพร้อมมองเขาด้วยสายตาเกรงกลัว “คุณอย่าเข้ามา”
หนานกงเฉินแบมือให้อย่างไม่แยแส “ผมไม่ก้าวไปก็ได้ แต่คุณต้องเดินมาหาผม”
“คุณอย่าบังคับฉัน” ไป๋มู่ชิงมองไปที่ท่าทางประกาศชัยชนะของเขาจนน้ำตาเอ่อล้นขึ้นขอบตา “ถ้าคุณยังบังคับฉันอีก……ฉันจะกระโดดลงไป!” เธอใช้นิ้วชี้ไปที่นอกรางกั้นของสะพาน
ซูวยาหยงที่วิ่งตามมาด้วยพอดียินเธอบอกว่าจะกระโดดลงไปก็รีบตะโกนขึ้นอย่างเป็นห่วงว่า “อย่านะลูก อย่าใจร้อนนะ มีอะไรเราคุยกันได้……!”
ถ้าเธอกระโดดลงไปแบบนี้แล้วเกิดพิการไม่ก็ตายยิ่งอันทำยังไงล่ะ?
เธอมองไปที่คนข้างหน้าทั้งสองแล้วรู้สึกปวดใจ ทำไมคนข้างกายเธอถึงได้อำมหิตเลือดเย็นขนาดนี้? ทำไมเธอไม่ได่พบกับคนที่จริงใจบ้าง?
เธอตะคอกใส่พวกเขาด้วยความหมดหวัง “พวกคุณหยุดบังคับฉันเถอะ! ไซหัวไปซะ!”
“ยิ่งอัน ลูกอย่าทำอย่างนี้เลย ลูกใจเย็นหน่อย……” ซูวยาหยงเดินไปที่ข้างตัวหนานกงเฉินพร้อมเอ่ยด้วยสีหน้าน่าสงสาร “คุณชายเฉินคะ ขอร้องคุณให้พายิ่งอันกลับมาอย่างปลอดภัย ฉันมีลูกสาวคนเดียว ขอร้อง……”
หนานกงเฉินมองไปที่ไป๋มู่ชิงที่กำลังร้องไห้อย่างเจ็บปวด คิ้วก็ขมวดเป็นปม เขามองออกว่าเธอหมดหวังสิ้นหวังแค่ไหนแต่เขาจะตามใจให้เธอหาสักที่เราหลบซ่อนตัวเองไว้ไม่ได้ เขาให้โอกาสเธอไม่ได้จริงๆ
เขาก้าวเดินไปข้างหน้าก้าวเล็กๆพร้อมมองเธอด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “งั้นเธอจะเอายังไง?”
“ฉัน……” ไป๋มู่ชิงสะอึกสะอื้นไปพร้อมเช็ดน้ำตาบนใบหน้าไปด้วย “ฉันจะเก็บเด็กคนนี้ไว้ ถึงฉันต้องใช้ชีวิตฉันเข้าแลกในการดูแลเขาก็ตาม”
“คุณไม่รักษาสัญญา?”
“ใช่ ฉันไม่รักษาสัญญา” ไป๋มู่ชิงพูด เธอไม่สนหรอกว่าจะรักษาหรือไม่รักษาสัญญานี้ ในใจเธอคิดแค่ว่าจะเก็บชีวิตเด็กคนนี้เอาไว้ เธอจ้องไปที่เขาด้วยสายตาที่มุ่งมั่นกว่าเดิม “ถ้าคุณจะบังคับให้ฉันทำแท้งจริงๆ ฉันก็จะกระโดดลงไปจากที่นี่”
“ไม่นะ อย่ากระโดดนะ” ซูวยาหยงรีบเอ่ยขึ้นอย่างรีบรน
สีหน้าของหนานกงเฉินเข้มขึ้น “คุณขู่ผมเหรอ?”
“ใช่ ฉันขู่คุณ” ไป๋มู่ชิงไม่เหลืออะไรแล้ว
“งั้นก็ลองดูว่าคุณจะขู่ผมได้หรือเปล่า” หนานกงเฉินพูดในลำคอ “ถ้าภายใน 10 วิคุณยังไม่กระโดด งั้นก็กลับไปทำแท้งกับผมที่โรงพยาบาล”
“คุณ……” ไป๋มู่ชิงหมดหวังจนต้องสูดหายใจเข้าลึกๆ
ผู้ชายคนนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน เธอไม่ใช่คู่แข่งเขาแน่
“ยิ่งอัน ทำแท้งดีๆตามที่คุณชายเฉินบอกเถอะ นะ เชื่อฟังแม่นะ” ซูวยาหยงโน้ทน้าวหนานกงเฉินไม่ได้แล้วมาพูดกับไป๋มู่ชิงแทน “ยิ่งอัน นั่นเป็นชีวิตเด็กคนนึงเลยนะ เธอจะคิดว่าพนันสักตั้งไม่ได้นะ ถ้าเขาคลอดออกมาแล้วตายล่ะ? เธอสมควรเหรอ?”
ไป๋มู่ชิงฟังไม่เข้าหูกับสิ่งที่ซูวยาหยงพูดหรอก เพราะเธอรู้ดีว่าทั้งหมดที่ซูวยาหยงพูดมาก็เพื่อไป๋ยิ่งอันเท่านั้น เพื่อเธอเท่านั้น!
แถมน้ำตาแห่งความตกใจบนหน้าเธอคงไม่มีแม้แต่ซักหยดที่ไหลเพื่อลูกเลี้ยงคนนี้หรอก
เธอจ้องมองไปที่หนานกงเฉิน เห็นว่าเขาอาปากนับเลขอย่างใจดำเยือกเย็น” สิบ เก้า แปด……”
เธอจับราวกั้นไว้แน่นจนรู้สึกได้ยินเสียงกระดูก ในใจก็เต้นสั่นรัวไปหมด แต่ตัวเลขที่เขานับยิ่งเข้าใกล้ทุกที “……สี่ สาม สอง……”
เมื่อเขานับเลขหนึ่งออกมา ไป๋มู่ชิงก็กั้นใจแล้วกระโดดข้ามราวกั้นออกไป
“อ๊าย! ไม่นะ!” ซูวยาหยงกรีดร้องอย่าตกใจ
ไป๋มู่ชิงหลับตาลงร่างกายก็พุ่งลงไปข้างล่าง แต่เมื่อเธอคิดว่าตัวเธอจะตกลงไปข้างล่างแล้วถูกรถชนข้อมือกับแน่นขึ้นมาแล้วร่างกายก็นิ่งอยู่กลางอากาศยังนั้น
เธอเงยหน้าขึ้นมองหนานกงเฉินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยน้ำตา “หนานกงเฉิน คุณให้ฉันเลือกเอง คุณไม่รักษาคำพูด”
“สำหรับคุณ ผมต้องรักษาด้วยเหรอ?” หนานกงเฉินจับข้อมือเธอแน่นขึ้น
เธอใช้มืออีกข้างพยายามจะแกะมือเขาออกให้เขาปล่อยมือจนถึงขั้นแคะมือเขาจนเลือดไหล แต่เสียดายที่ฝ่ามือเค้าจับแน่นเหมือนติดกาวไว้ไม่ว่าเธอจะพยายามแกะยังไงก็แกะไม่ออก
เธอต้องรวบรวมความกล้าแค่ไหนกว่าจะกล้ากระโดดลงมา แต่เขากลับขโมยโอกาสที่เธอจะได้เป็นอิสระไป ทำไมเขาถึงเลือดเย็นหน้าด้านขนาดนี้?
“แน่จริงคุณก็ปล่อยฉันสิ……” เธอมองเขาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา
หนานกงเฉินไม่ได้ปล่อยมือเธอแตกกลับใช้แรงดึงเธอขึ้นมาจากราวกั้นสะพาน ไป๋มู่ชิงร้องขึ้นก่อนล้มลงไปในอ้อมกอดเขา
เขาจับข้อมือเธอไว้แล้วอีกข้างก็โอบเอวเธอแล้วกอดเธอไว้อย่างนั้นจากข้างหลังแน่นๆ ใบหน้าอันหล่อเหลาวางอยู่ที่ไหลเธอพร้อมพูดเสียงต่ำข้างหูเธอว่า “เธอชนะแล้ว……”
ใช่ เธอชนะแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่มีผู้หญิงคนอื่นมาบังคับจนเขาแพ้
เพราะเขาไม่อยากให้เธอตาย เพราะมีคนเคยพูดกับเขาว่าถ้าคุณรู้สึกแคร์ใครสักคนเมื่อไหร่ ก็แสดงว่าคุณแพ้เธอแล้ว แต่ก่อนเขาแพ้ให้กับผู้หญิงที่ชื่อว่าคุณหนูจู และตอนนี้ เขาก็แพ้ให้กับคนตรงหน้าอีกครั้ง
เขาไม่รู้ว่าทำแบบนี้ถูกหรือเปล่า แต่ไม่ว่าจะถูกหรือผิด เขาก็จะดื้อดึงแบบนี้ต่อไป
พอไป๋มู่ชิงได้ยินสิ่งที่เขาพูดแล้วรู้สึกได้ว่าริมฝีปากเค้ากำลังเอ่ยพูดอยู่ที่ข้างหู เธอตกใจจนหยุดร้องไห้ เธอหูฝาดหรือเปล่า? เธอกำลังฝันหรือเปล่า? ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าหนานกงเฉินกำลังกอด กำลังจูบ แล้วยอมแพ้กับเธอ?
เธอเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาขึ้นมองเขาช้าๆ เพื่อที่จะสังเกตสีหน้าที่เขาแสดงออกมา
“นายตกลงที่จะให้ฉันเก็บเด็กคนนี้ไว้แล้ว?” ไป๋มู่ชิงถามเขาเสียงเบา
“คุณขู่ผมถึงขั้นนี้แล้ว ผมยังมีสิทธิ์พูดอะไรอีกหรอ?” หนานกงเฉินมองก้มลงมาบนใบหน้าเธอ เขาที่เพิ่งได้สติก็ค่อยๆเปลี่ยนสีหน้าให้เย็นชาเหมือนเดิม
“ขอบคุณนะ……” น้ำตาเอ่อล้นออกมาจากตาเธอมากกว่าเดิม ครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพราะเสียใจ ไม่ได้เป็นเพราะกังวลใจ แต่เป็นเพราะดีใจกับตื้นตันต่างหาก
เธอไม่เคยคาดหวังเลยว่าหนานกงเฉินจะตอบตกลงให้เธอคลอดเด็กคนนี้ ทั้งตอนที่เด็กยังปกติ ไม่กล้าคาดหวัง ยิ่งตอนนี้ที่ปกติก็ยิ่งไม่กล้าคาดหวังมากกว่าเดิม ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายเขาก็ยอมตกลง เป็นเพราะเขา ผู้ชายที่เธอใจดำเลือดเย็นคนนี้
“ไปเถอะ กลับไปกับผม” หนานกงเฉินมองกวาดไปที่ผู้คนที่มามุงดูพร้อมอบไหล่เธอเข้ามาใกล้
ไป๋มู่ชิงยืนอยู่อย่างนั้นไม่กล้าขยับแถมยังใช้มืออีกข้างจับราวกั้นไว้
พอหนานกงเฉินรู้สึกถึงความผิดปกติของเธอเลยหันไปมองเธอ “เป็นอะไร?”
“คุณกำลังโกหกฉันหรือเปล่า?” ไป๋มู่ชิงถามขึ้นอย่างระมัดระวัง
เธอเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาเคยบอกว่ากับผู้หญิงที่ไม่รักษาคำพูดแบบเธอ เขาก็ไม่จำเป็นต้องรักษา ไม่ใช่เพราะว่าเขาจะหลอกเธอกลับไปแล้วบังคับเธอให้ไปโรงพยาบาลหรอ? จากนิสัยของเขา เรื่องแบบนี้เขาทำได้แน่นอน
หนานกงเฉินหันไปยิ้มกับเธออย่างมีเลศนัย “ถึงจะใช่ เธอยังมีโอกาสโต้ตอบอีกหรอ?”
“ฉัน……”
“คุณชอบพนันไม่ใช่หรอ? งั้นครั้งนี้ก็มามาพนันกันสิผมอาจจะไม่ได้โกหกคุณก็ได้” หนานกงเฉินโอบกอดเธอเข้าใหม่อีกครั้งแล้วเดินตรงไปทางลานจอดรถของสนามบิน
มองตามหลังพวกเขาที่เดินออกจากสนามบินไป ไป๋ยิ่งอันโกรธจนกระทืบเท้าอยู่กับที่ “คุณแม่เห็นหรือยังคะ หนูบอกแล้วว่านังนี่มันกำลังเล่นตลกกับเรา พวกเราโดนมันหลอกครั้งแล้วครั้งเล่า”
ซูวยาหยงก็มองไปทางประตูด้วยสีหน้าครุ่นคิดจนคู่หนึ่งค่อยเอ่ยขึ้นมาว่า “นี่เป็นเกมส์ ไม่ถึงวินาทีสุดท้ายไม่รู้หรอกว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ”
เธอไม่คิดว่าไป๋มู่ชิงกำลังเล่นตลกกับเธอหรอกเพราะภาพที่เธอกระโดดลงไปเมื่อกี้มันไม่ได้แสดงละคร อีกแค่นิดเดียว ถ้าหนานกงเฉินไม่ได้จับข้อมือเธอไว้ เธอก็ตกลงไปแล้วแล้วแผนของเธอทั้งหมดก็จะล้มเหลวไม่เป็นท่า
“ถ้านังนั่นตั้งใจล่ะก็ ช่างร้ายกาจมาก”
ซูวยาหยงมองไปที่เธอ “นี่ยิ่งอัน ถึงเธอจะตั้งใจก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรอ? เธออาจจะรู้แล้วว่าเราวางแผนไว้ที่นู้นหมดแล้วเลยให้หนานกงเฉินมาแสดงละครให้เราดู ถ้าจะลงเล่นเกมส์ ก็อย่าว่าคนอื่นว่าเลวเลย เพราะเราก็ไม่ใช่คนดีเหมือนกัน”
“ถ้ารู้อย่างนี้ก็น่าจะจองตั๋วตั้งแต่เช้าให้เธอไป” ไป๋ยิ่งอันพูดอย่างโกรธเคือง
“บนโลกนี้ไม่มีคำว่าถ้ารู้อย่างนี้หรอก” ซูวยาหยงสายหน้าพร้อมตบบ่าเธอเบาเบา “ไม่เป็นไร เรารอโอกาศหน้าแล้วกัน”
“ยังจะรออีกหรอคะ?” ไป๋ยิ่งอันหงุดหงิด
“ไม่งั้นจะให้ทำยังไง?” ซูวยาหยงมองเธอตาขวาง “แม่บอกกับแกกี่ครั้งแล้ว ใจร้อนมันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นหรอก แล้วนี่ก็เป็นเรื่องใหญ่ด้วย นิสัยแกเป็นนี้ ถ้าได้เข้าไปตระกูลหนานกงจริงแกจะอยู่ได้สักกี่วันเชียว?
หลังจากที่โดนคุณแม่สั่งสอนไปพักหนึ่ง ไป๋ยิ่งอันก็หุบปากสักที
นั่งอยู่บนรถของหนานกงเฉิน ไป๋มู่ชิงยังไงก็หาท่านั่งที่สบายที่สุดไม่ได้เหมือนกับว่าเบาะนั่งมีอะไรบางอย่างวางอยู่จนนั่งไม่สบาย
เธอแอบมองไปที่หนานกงเฉิน แล้วนึกถึงเหตุการณ์ที่เขากอดเธอจากข้างหลังกับรอยจูบบนคอเธอด้วย ทำไมเขาต้องทำอย่างนั้น? ทำไม?
มือก็ยกขึ้นไปสัมผัสรอยจูบที่เขาให้อย่างไม่รู้ตัว เธอแอบสูดหายใจเข้า ผู้ชายคนนี้ยิ่งอยู่ยิ่งมองไม่ทะลุแล้วสิ
หนานกงเฉินรู้สึกได้ว่าเธออึดอัดเลยหันไปมองเธอ “เธอกำลังกลัวอะไร? ความกล้าที่กล้ากระโดดลงสะพานได้ไปไหนแล้วล่ะ?”
“ฉัน……” ไป๋มู่ชิงมองไปที่สีหน้าปกติของเขาแล้วเอ่ย “ฉันมีชีวิตรอดยังยากการตายไปเลย”
หนานกงเฉินขยับริมฝีปากขึ้น “ถ้าเธอดื้อดึงจะคลอดเด็กคนนี้แล้วก็มันก็ลำบากกว่าการตายนั่นแหละ”
ไป๋มู่ชิงยิ้มอย่างข่มขืน สิ่งที่เธอกลัวไม่ใช่สิ่งนี้หรอก
ไม่รอเธอพูดอะไรต่อรถก็แล่นเข้าไปในบ้านตระกูลหนานกงแล้ว ไป๋มู่ชิงรีบยืดตัวขึ้นตรง สีหน้าก็เริ่มตึงเครียดขึ้นมา
เธอไม่รู้ว่าหนานกงเฉินโกหกเธอหรือเปล่า ถึงแม้หนานกงเฉินจะยอมแพ้ แต่คุณหญิงล่ะ? ด่านคุณหญิงยังเป็นด่านสำคัญอีกด่านหนึ่ง
ด้วยความกลัวในใจจนทำให้เธอนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นหลังจากที่รถหยุดลงและเธอไม่คิดจะเปิดประตูลงไป
หนานกงเฉินหันไปมองเธอแล้วสังเกตุเห็นความกลัวในสายตาเธอ แต่เขาก็เพียงแต่พูดด้วยน้ำเสียงสั่งว่า “ลงรถ”
ไป๋มู่ชิงขยับตัวสักทีแล้วเปิดประตูลงไปอย่างขืนใจตัวเองแล้วเดินตามหลังเขาเข้าไปในบ้าน
ตอนที่พวกเขาเดินเข้าไป คุณหญิงกำลังนั่งอยู่บนโซฟาด้วยสีหน้าตึงเครียด แล้วพี่เหอก็กำลังนวดขมับให้คุณหญิงอยู่
พอเห็นพวกเขาเดินเข้ามา พี่เหอก็ก้มลงไปบอกกับคุณหญิงว่า “คุณหญิงคะ คุณชายกับคุณหญิงน้อยกลับมาแล้วค่ะ”
พอคุณหญิงได้ยินที่พี่เหอพูด ก็ลืมตาขึ้นช้าๆสายตาก็จ้องมองไปที่ไป๋มู่ชิงพร้อมกวาดมองเธอแล้วหยุดสายตาที่ท้องน้อยเธอแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ทำแท้งหรือยัง?”
ไป๋มู่ชิงสายหน้าแล้วเดินไปต่อหน้าท่านด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “ขอโทษค่ะ คุณย่า หนูทำใจไม่ได้จริงๆ”
“ทำใจไม่ได้ก็ต้องทำ ใครให้โชคชะตาเป็นแบบนี้ล่ะ?” คุณหญิงยืดตัวขึ้นมามองเธอ “เฉินก็พูดถูก ถ้าเด็กผิดปกติแล้วยังคลอดออกมาอีก เด็กก็ต้องทุกข์ทรมานพวกเราก็ต้องทุกข์ทรมานเจ็บปวดไปด้วย รีบตัดสินใจเถอะก่อนที่มันจะสาย”
ไป๋มู่ชิงเดินไปคุกเข่าลงต่อหน้าคุณหญิงพร้อมวางมือบนเข่าทั้งสองข้างด้วยสีหน้ามุ่งมั่น “คุณย่าคะ หนูอยากพนันอีกรอบ หนูอยากให้โอกาสเขามีชีวิตอีกครั้ง บางที……เขาอาจจะไม่ได้เลวร้ายเหมือนที่เราคิดก็ได้นะคะ”
สีหน้าของคุณหญิงตึงขึ้นมาพร้อมเหวี่ยงมือไปตบหน้าเธอแล้วกัดฟันพูด “ฉันบอกให้ทำแท้ง!”
ถึงแม้แรงที่ท่านตบจะไม่ได้หนักแล้วไป๋มู่ชิงไม่ได้รู้สึกเจ็บมาก แต่น้ำตาของเธอก็ไหลลงมา เธอรู้ว่าคุณหญิงจะไม่ยอมให้เธอเก็บเด็กคนนี้ไว้ อาจจะเพราะ ท่านอาจจะเป็นด่านที่มีอุปสรรคแล้วยากกว่าด่านของหนานกงเฉินก็ได้
คุณหญิงเห็นว่าเธอไม่ตอบอะไรเลยหันมองไปทางหนานกงเฉิน “แล้วแกล่ะ? ทำไมไม่พาตัวเธอไปที่โรงพยาบาลก่อนแล้วค่อยกลับมา?”
หนานกงเฉินมองไปที่ไป๋มู่ชิงที่กำลังคุกเข่าอยู่แล้วเอ่ยว่า “คุณย่าครับ ในเมื่อคุณหมอบอกว่าเด็กอาจจะไม่ได้ผิดปกติร้อยเปอร์เซ็นต์งั้ นก็เก็บไว้เถอะครับ”
ไป๋มู่ชิงเงยหน้าขึ้นมองหน้าเขาอย่างประหลาดใจ เธอไม่ได้หูฝาดใช่ไหม? ผู้ชายคนนี้กำลังช่วยเธอเหรอ?
เธอคิดว่าเขาจะราดน้ำมันใส่กองไฟเพิ่มจนทำให้คุณหญิงบังคับเธอทำแท้ง เพราะว่าตั้งแต่ต้นเขาไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะเก็บเด็กคนนี้ไว้
คุณหญิงเองก็คาดไม่ถึงเหมือนกันว่าหนานกงเฉินจะพูดแบบนี้ออกมาพร้อมครุ่นคิดไป “เฉิน……แกพูดอะไรนะ? แกเองไม่ใช่หรอที่อยากจะให้เอาเด็กนี้ออก? ทำไมตอนนี้……ถึงยอมตกลงที่จะเก็บเด็กไว้?”
ตอนที่เด็กยังไม่ตรวจพบความผิดปกติ เขาบังคับไป๋มู่ชิงทำแท้งจนเกือบจะบีบผลักเธอตกตึก นี่ผ่านไปแค่เดือนเดียว เขากลับเปลี่ยนความคิดแล้ว? แถมยังเปลี่ยนแปลงขนาดนี้เลย?
เป็นเพราะอะไรกันนะถึงทำให้เขาเปลี่ยน?เพราะเธอหรอ……?
คุณหญิงมองไป๋มู่ชิงด้วยสายตาตกใจ ท่านไม่คิดเลยว่าผู้หญิงคนนี้จะมีผลกระทบกับหนานกงเฉินมากขนาดนี้
“ใช่ครับ” หนานกงเฉินก้มลงไปพยุงตัวไป๋มู่ชิงขึ้นพร้อมเอ่ยว่า “ผมตัดสินใจแล้วครับ ก่อนที่ผมจะอายุครบ 30 ผมจะเก็บทายาทไว้ให้ตระกูลหนานกง ไม่ว่าเขาจะปกติหรือผิดปกติ ยังไงตระกูลหนานกงก็ต้องมีคนมารับช่วงต่อ”
เขายิ้มอย่างมีเลศนัย “นี่เป็นสิ่งที่คุณย่าหวังมาตลอดไม่ใช่เหรอครับ? ตอนนี้ผมทำให้แล้ว”
เปลี่ยนมาเป็นคุณหญิงเองที่กั้นน้ำตาให้ไหลไม่ได้ ท่านใช้มือตบไปที่แขนของหนานกงเฉินเบาเบา “นี่แกทำไมต้องพูดให้มันน่ารังเกียจขนาดนี้? ด้วยอะไรก่อนอายุ 30 จะเหลือทายาทไว้ให้ตระกูลหนานกง? พูดอย่างกับแกจะมีอายุรอดไม่เกิน 30 อย่างนั้นแหละ”
คุณหญิงใช้ทิชชู่เช็ดน้ำตาบนใบหน้าพร้อมเอ่ยว่า “ไม่ได้ ถ้าเราจะคลอดเราก็ต้องคลอดเด็กที่แข็งแรง ไม่งั้นก็รอไปอีกสักปีสองปีค่อยคลอด เพราะยังไงแกก็ยังหนุ่มอยู่”
หนานกงเฉินกอดคุณหญิงพร้อมตบบ่าเบาๆ “คุณย่า อย่าร้องไห้สิครับ”
“เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ฉันจะไม่ร้อนได้ยังไง?”
“คุณย่าครับ เด็กโตขนาดนี้แล้ว ถ้าจะทำแท้งก็ใจดำไปหน่อย”
ไทำไมตอนนั้นที่แกบังคับให้ยิ่งอันทำแท้งถึงไม่คิดว่าใจดำล่ะ? เฉิน แกนี่นะ แกบ้าไปแล้วหรอ?” เมื่อคุณหญิงพูดจบก็เงยหน้าขึ้นจ้องมองเขา “แกจะให้เด็กคลอดจริงๆใช่ไหม”
หนานกงเฉินรู้สึกแปลกๆ ดูจากสีหน้าคุณหญิงเขาก็รู้แล้วว่าท่านกำลังคิดอะไรอยู่
“อือ” เขาพยักหน้าตอบรับ
ในที่สุด คุณหญิงก็พยักหน้าอย่างไม่เต็มใจพร้อมเงยหน้าพูดกับเขาว่า “ได้ แกตามฉันเข้ามา”
พูดจบท่านก็เดินตรงไปที่ห้องนอนของท่าน
หนานกงเฉินมองไปที่ไป๋มู่ชิง เขารู้สึกได้ว่าเธอกำลังกังวลอะไรอยู่ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมากก็เดินตามหลังคุณหญิงไป
เขาเดินตามคุณหญิงเข้ามาในห้องนอนพร้อมนั่งลงตรงโซฟาตรงข้ามท่านพร้อมเอ่ยขึ้นว่า “คุณย่าครับ ผมสงสัย คุณย่าจะเอาเรื่องนี้อะไรมาแลกเปลี่ยนกับผมครับ”
คุณหญิงยืดตัวขึ้น จะเอาเรื่องแบบนี้มาแลกเปลี่ยนกับเขาก็ไม่ดีเท่าไหร่นัก แต่ถ้าเมื่อกี้ไม่โดนเขาสะกิดใจ ท่านก็ไม่อยากทำแบบนี้หรอก
เมื่อกี้หนานกงเฉินพูดถึงเรื่องอายุ 30 เรื่องนี้แทงใจดำท่านมากจนทำให้ท่านไม่เห็นความสำคัญเรื่องนี้ไม่ได้แล้ว
ไม่ว่าเรื่องเหล่านี้จะจริงหรือไม่ แต่กันไว้ยังไงก็ดีกว่า
คุณหญิงรับแก้วน้ำชาที่พี่เหอยื่นให้มาพร้อมจองไปที่เขาว่า “ฉันรู้ว่าแกไม่ได้ตั้งใจไปหาผู้หญิงคนนั้น ใช่ไหม?”
หนานกงเฉินเดาได้ว่าท่านจะพูดเรื่องนี้เลยไม่ได้ประหลาดใจอะไรมากก่อนจะพูดอย่างกลบเกลื่อนว่า “คุณย่ารู้ได้ยังไงว่าผมไม่ตั้งใจ?”
“ด้วยความสามารถของแก แค่หาคนแค่นี้ไม่ยากหรอกมั้ง? ถ้าแกตั้งใจหาจริงทำไมจนตอนนี้ยังหาไม่เจอล่ะ?”
“คุณย่าครับ คุณย่าพิจารณาความสามารถผมสูงเกินไป” หนานกงเฉินหลบสายตาท่าน ยังไงก็ไม่อยากยอมรับว่าตัวเองไม่ได้ตั้งใจหา
ความจริงคุณหญิงก็พูดถูกด้วยอำนาจความสามารถของเขาถ้าตั้งใจหาดีดีจะหาไม่เจอได้ยังไง แค่เขาเดินเฉยบนถนนยังมีผู้หญิงเข้าหาเลย
เขาไม่ได้หาต่อ ไม่คิดที่จะหาด้วยซ้ำ ถึงแต่จะเป็นคู่ครองที่ฟ้าลิขิตไว้ก็เถอะ
ผู้หญิงคนนั้นเคยจากเขาไปเพราะความกลัว ถ้าเขาหาเธอกลับมาคงทำให้เธอเกลียดตัวเองมากกว่าเดิม แล้วถ้าเธอหายตัวไปอีกครั้งล่ะ
ในเมื่อเธอไม่อยากอยู่กับเขาขนาดนี้ งั้นก็ปล่อยเธอไปดีกว่า จะบังคับทำไม
“ถ้าแกไม่มีความสามารถนี้ งั้นเรื่องนี้ฉันจัดการเองมฉันไปหาเอง”
“คุณย่าครับ……”
“แต่แกต้องรับปากฉันก่อน” คุณหญิงพูดแทรกขึ้น “ถ้าฉันหาตัวผู้หญิงคนนั้นกลับมาได้แกก็ต้องทำตามที่ฉันกับอาจารย์หวังบอกแล้วแต่งเธอเข้ามา”
“ไม่ได้” พอหนานกงเฉินได้ยินท่านพูดอย่างนั้นก็รีบปฏิเสธ
“ทำไมไม่ได้?” คุณหญิงถามกลับเสียงเข้ม
“เพราะว่า……” หนานกงเฉินลังเลก่อนจะบอกว่า “ผมมีภรรยาแล้ว เธอกำลังท้องอยู่ จะให้ผมแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นได้ยังไง?”
“รอจนกว่าเด็กคลอดไม่ว่าจะปกติหรือผิดปกติยังไงก็เป็นเชื้อสายของตระกูลหนานกงเรา เราจะรับผิดชอบ แต่ไป๋ยิ่งอัน……ถึงเวลาฉันจะจัดการเอง แกไม่ต้องเป็นห่วง”

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset