เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ – ตอนที่ 241 ผู้หญิงใจร้าย

บทที่ 241 ผู้หญิงใจร้าย

ยากเย็นมากที่กว่าจะชนะได้ในชั้นศาล เย็นวันนั้นหลินโม่ป่ายจึงขออาสาเป็นเจ้าภาพเลี้ยงมื้ออาหารค่ำให้กับทุกคน

และซูย้าวผู้ไม่ค่อยมีกะจิตกะใจจะทำอะไร เห็นได้ชัดเจนว่าเธอมีเรื่องกลัดกลุ้มในใจ แต่ก็พยายามฝืนยิ้ม

ให้กับทุกคน

ระหว่างนั้นเธอได้ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ เมื่อออกจากห้องอาหารก็มายืนรับลมเย็นๆข้างถนนด้านนอก ในหัวสมองมีแต่ใบหน้าน้อยๆของเจิ้งเอ๋อวนเวียนอยู่อย่างนั้น

แม้ว่าตอนนี้รูปคดีเหมือนว่าเธอจะได้เปรียบ แต่ว่าการพิจารณาคดีในชั้นศาลจะมีขึ้นอีกครั้งสิบวันหลังจากนี้ ไม่รู้ว่าทางทนายฝ่ายตรงข้ามจะค้นพบ ‘หลักฐาน’เพิ่มเติมหรือเปล่า แล้วจะมาไม้ไหนใช้วิธีใดในการแก้ต่างในชั้นศาล……

และสิ่งที่เธอกังวลที่สุด ก็คือการที่เธอตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีลักพาตัว ถึงแม้ว่าตอนนี้ทางตำรวจจะยังไม่ได้ดำเนินมาตรการใดๆกับเธอ แต่ว่าลูกศรต่างพุ่งเป้ามาที่ตัวเธอ คดีนี้ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว ย่อมต้องเป็นปัญหา

ไม่รู้ว่าจะมีผลกระทบต่อการฟ้องร้องคดีสิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูกในตอนนี้หรือเปล่า

จิตใจเธอพะวักพะวง ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรถึงจะดี…..

“กำลังคิดเรื่องเจิ้งเอ๋ออยู่ใช่ไหม”

เสียงหลินโม่ป่ายจู่ๆได้ดังขึ้น เธอจึงได้หันหลังมา และก็เห็นถึงใบหน้าที่อบอุ่นของเขา

เขาเดินเข้ามาใกล้ มายืนอยู่ข้างถนนข้างๆเธอ แล้วยื่นหน้ารับลมพัดโชยมายามค่ำคืน สัมผัสถึงความเย็นสบายที่หาได้ยาก “ยังมีเวลาอีกสิบวัน ระหว่างนี้หลินเวยจะยังช่วยคุณรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติมที่เป็นประโยชน์ ส่วนเรื่องคดีลักพาตัว คุณไม่ต้องเป็นห่วง คุณแค่ถูกคนอื่นปรักปรำใส่ร้าย หัวหน้าหลี่จะต้องสืบหาความจริงได้อย่างแน่นอน”

หลินโม่ป่ายอาศัยเส้นสายแอบติดต่อกับหลี่เจิ้นแม้ว่าเขาจะไม่เปิดเผยรายละเอียดของขั้นตอนการดำเนินการของรูปคดี แต่จากการสังเกตสีหน้า ท่าทาง การพูดการจาแล้ว ก็สามารถเดาได้ว่า ทางตำรวจได้คลายความสงสัยที่มีต่อซูย้าวลงไปไม่น้อย

นี่ถือเป็นสัญญาณที่ดี ไม่เช่นนั้นคงไม่รอนานจนขนาดนี้ ก็ยังไม่มีการดำเนินมาตรการใดๆกับเธอ

ซูย้าวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ คนที่เข้าใจเธอที่สุด ยังคงเป็นหลินโม่ป่ายเสมอ

เธอใช้ภาษามือสื่อหนึ่งประโยคออกมา ‘ขอบคุณนะ’

แต่กลับทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจ “ทำไมต้องเกรงใจผมขนาดนี้ ต่อให้ในฐานะเพื่อน หากเกิดเรื่อง การช่วยเหลือกันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ อย่าคิดมากสิ!”

เพราะหลินโม่ป่ายเข้าใจเธอ แล้วก็ยิ่งเข้าใจว่าในใจเธอกำลังคิดอะไร เวลานี้เธอคิดแต่เรื่องร้ายๆของตัวเอง วันๆกังวลแต่เรื่องสิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูก และลูกที่อยู่ในครรภ์อีกคน

สำหรับเรื่องรักๆใคร่ๆของหนุ่มสาว เธอแทบไม่มีเวลาให้นึกถึง

เขาย่อมไม่ฝืนบังคับจิตใจใครในตอนนี้ ย่อมปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ถ้าหากมีวาสนาต่อกัน ย่อมไม่มีวันแคล้วคลาด ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนในเวลานี้

ซูย้าวยิ้มจากใจ และพยักหน้าให้เขา แววตาเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ

“ส่วนเรื่องของคดีอย่าเป็นกังวลมากเลยนะหลินเวยมีความสามารถ จะต้องช่วยคุณเรียกร้องสิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูกได้อย่างแน่นอน วางใจนะ!” เขาปลอบโยนขึ้นอีกครั้ง

แต่แววตาของซู้าวกลับเลื่อนลอย และใบ้ด้วยภาษามือขึ้น “โม่ป่าย คุณคิดว่าฉันโลภมากเกินไปหรือเปล่า”

หลินโม่ป่ายขมวดคิ้ว

“ทำไมถึงพูดแบบนี้ล่ะ”

เธอยกมือมาลูบหน้าท้องที่ป่องของตัวเอง โดยที่สายตามองไปยังถนนที่จราจรหนาคับคั่ง “ฉันได้ลูกมาคนหนึ่งแล้ว แต่ฉันก็ยังอยากได้เจิ้งเอ๋อมาดูแลอีก ทำแบบนี้ เกินไปหรือเปล่า!”

เธอต้องการให้ลูกทั้งสองคนอยู่ภายใต้การดูแลของเธอ

ไม่ว่าจะเป็นลูกที่ยังไม่ได้ลืมตาดูโลก หรือเจิ้งเอ๋อก็ตาม

นี่คือธรรมชาติ นี่คือสัญชาตญาณของความเป็นแม่

ตราบใดไม่สิ้นหนทาง เธอย่อมต้องการได้เลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองคืนมา สิบเดือนในการตั้งครรภ์ เสี่ยงชีวิตเพื่อคลอดลูกตัวน้อยออกมา ลูกคือดวงใจของแม่ทุกคน แล้วจะตัดดวงใจดวงนี้ออกไปได้อย่างไร!

หลินโม่ป่ายสายตาจดจ่อ จ้องมองเธอ สองมือจับที่ไหล่ของเธอ ให้เธอประสานตากับตัวเอง และพูดทีละคำทีละประโยคด้วยความจริงจัง

“ฟังไว้นะ คุณไม่ได้โลภมาก และก็ไม่ได้ทำเกินไป ลี่เจิ้งเป็นลูกของคุณ คุณทุ่มเททุกอย่างเพื่อคลอดลูกออกมา และหลายปีมานี้ คุณก็ไม่เคยทิ้งลูกไปไหน มองจากจุดนี้ เขาก็คือชีวิตของคุณ คุณไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจคำพูดที่ทำให้บั่นทอนจิตใจจนต้องทิ้งลูกในไส้ของตัวเองไป!”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ใบหน้าของเธอซึมเล็กน้อย จากนั้นก้มหน้าก้มตาลง เพื่อเก็บซ่อนดวงตาที่ซับซ้อน

ก็คงจะอย่างนั้นมั้ง!

อันที่จริง เธอก็วางใจเช่นกัน หากต้องปล่อยลูกไปอยู่กับลี่เฉินซี

ไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็เป็นพ่อของลูก เพียงแต่เมื่อคิดถึงเรื่องที่เขาอาจจะลงเอยกับหานฉ่ายหลิง อย่างนั้นแล้วด้วยนิสัยของผู้หญิงคนนั้น ลี่เจิ้งก็อาจจะตกในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง!

หลินโม่ป่ายกุมมือเธอแล้วพูดขึ้น “เอาน่ะ อย่าคิดมากไปเลย! คุณไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่จำเป็นต้องมาโทษตัวเอง!”

ซูย้าวเงยหน้าขึ้นมองเขา แล้วก็ฝืนยิ้มให้ จากนั้นก็เดินตามเขาเข้าไปที่ห้องอาหาร

แต่อีกฟากหนึ่งของเมือง ณ บ้านตระกูลหาน

หานฉ่ายหลิงนั่งอยู่บนโซฟาในห้อง และเธอก็ไม่ได้ไปเข้าร่วมขึ้นศาลในวันนี้ มีแต่เลขาฯที่คอยกลับมารายงานสถานการณ์ให้ฟังและรับรู้จากโพสต์ประกาศในเวยป๋อ เธอเปิดอ่านดูจากโทรศัพท์ เธอทำการรีเฟรชเวยป๋อครั้งแล้วครั้งเล่า

ทำให้ในใจของเธอรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดี

จึงได้วางโทรศัพท์ลง แล้วมองไปที่ด้านนอกหน้าต่างด้วยสายตาที่หดหู่ สิทธิ์ในการเลี้ยงดูลี่เจิ้ง ตระกูลลี่ย่อมไม่ปล่อยให้ตกเป็นของซูย้าวแน่ๆ

แต่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในตอนนี้ คือลูกที่อยู่ในท้องของซูย้าวต่างหาก

ตราบใดที่เด็กในท้องนั่นยังมีตัวตนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ไม่ว่าสิทธิ์ในการเลี้ยงดูจะตกเป็นของใคร อย่างไรก็ตามนั่นคือภัยเงียบที่ซ่อนอยู่

เธอเข้าใจลี่เฉินซีเป็นอย่างดี เขาย่อมไม่ปล่อยให้ลูกของตัวเองไปอยู่ที่อื่นโดยไม่มีข่าวคราว และทำให้เขาไม่ได้ทำหน้าที่พ่อที่ดี

เมื่อใดที่ลูกคนที่สองที่อยู่ในท้องของซูย้าวถือกำเนิด ก็หมายความว่าลี่เฉินซีกับคนใบ้คนนี้ ก็ยากที่จะตัดความสัมพันธ์กันได้ลงในชาตินี้!

สำหรับเธอแล้ว นั่นเปรียบเสมือนฝันร้าย

และจะไม่มีวันปล่อยให้ฝันร้ายนี้กลายเป็นจริง ถึงจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เธอจึงได้ลุกขึ้นไปหยิบโทรศัพท์สำรองที่อยู่ในลิ้นชัก หลังจากที่เปิดเครื่องแล้ว ก็ได้โทรหาใครบางคน

“เตรียมตัวไว้ มีเรื่องบางอย่างที่ต้องให้พวกคุณไปจัดการ…..”

แววตาดำขลับของหานฉ่ายหลิงประกายแสงแห่งความเจ้าเล่ห์ ในตอนนี้สมองกำลังผุดแผนการใหญ่ขึ้น

……

หลังจากที่พวกเขาทานอาหารเย็นกันเสร็จแล้ว พวกเขาก็ไปต่อกันที่ร้านคาราโอเกะอีก โม่หว่านหว่านดูเหมือนจะมีความสุขมาก จึงดื่มลงไปไม่ใช่น้อย เมื่องานเลี้ยงสิ้นสุดลง ร่างกายถึงกับหมุนติ้วๆ โซซัดโซเซจนแทบเดินไม่ไหว

หลินโม่ป่ายอาสาเป็นคนส่งเธอกลับ ส่วนหลินเวยกับคนอื่นๆก็ทยอยกันกลับ เมื่อซูย้าวได้ล่ำลากับทุกคนแล้ว เธอก็ได้เรียกรถแท็กซี่กลับคอนโดฯเช่นกัน

เรื่องการหย่าร้างของเธอ เธอยังไม่ได้บอกกล่าวให้อานโล๋ได้ทราบ ข่าวคราวจึงยังไปไม่ถึงบ้านพักคนชรา บวกกับเหตุผลที่มารดาไม่ค่อยได้ใช้อินเทอร์เน็ต เธอจึงต้องการที่ปิดบังเรื่องนี้ไปสักพัก

จนกว่าปัญหาเรื่องสิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูกคลี่คลายลง แล้วค่อยบอกความจริงให้กับคุณแม่ได้ทราบ

เมื่อกลับไปถึงคอนโดฯ ก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืน

ซูย้าวที่ดื่มไปสองสามแก้ว และตอนนี้ฤทธิ์แอลกอฮอล์ก็ยังคงทำงานอยู่ ยังมีอาการเมาศีรษะเล็กน้อย แต่ทว่าไม่ได้ส่งผลต่อสายตาแต่อย่างใด เมื่อลงจากรถก็เห็นร่างที่สูงใหญ่ยืนรออยู่หน้าคอนโดฯ

ลี่เฉินซียืนอยู่ตรงนั้นท่ามกลางความมืดมิด ร่างสูงยาวก็กลมกลืนไปกับแสงแห่งความมืดนั้น แต่สายตาที่เย็นชากลับสว่างเจิดจ้าราวกับดวงดาวที่ส่องแสง

เมื่อเห็นเธอกลับมาแล้ว เขาจึงโยนบุหรี่ที่ยังเหลืออีกครึ่งมวนในมือทิ้งไป จากนั้นใช้ปลายเท้าขยี้ไฟดับ “พักคนเดียว จะกลับบ้านดึกแค่ไหนก็ได้อย่างนั้นเหรอ”

คำพูดที่ตำหนิติเตียนเล็กน้อย ทำให้ซูย้าวเลิกคิ้วอย่างไม่พอใจ พวกเขาหย่ากันแล้ว อย่างมากก็เป็นแค่อดีตภรรยา เขาไม่ไปดูแลแฟนเก่าที่เพิ่งจะถูกลักพาตัว มาที่นี่มาตำหนิเธอเพื่ออะไร!

เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกับร่างที่สูงใหญ่ของชายหนุ่ม ซูย้าวจึงได้เดินผ่านไป แล้วหยิบกุญแจออกมาไขประตู ลี่เฉินซีก็เดินตามเธอเข้าไปในคอนโดฯด้วย

เธอที่กำลังคิดอยากเปลี่ยนรองเท้า แต่แขนของเธอถูกดึงด้วยพละกำลังอันแข็งแกร่งของชายหนุ่ม ขณะเดียวกันเสียงทุ้มต่ำของเขาก็ดังขึ้นอีกครั้ง “นี่คุณอยากได้สิทธิ์ในการเลี้ยงดูเจิ้งเอ๋อจากผมมากขนาดนั้นเลยเหรอ ซูย้าว ทำไม เจิ้งเอ๋อเป็นลูกของคุณก็จริง แต่ก็เป็นลูกของผมด้วยนะ!”

ลี่เฉินซีเกรี้ยวโกรธจนดวงตาเย็นชาน่ากลัว ผู้หญิงคนนี้ช่างใจร้ายจริงๆ หลังจากหย่าขาดจากเขาอย่างไม่เหลือเยื่อใยแล้ว ยังต้องการจะพรากลูกชายไปอีก ต้องการจะพรากลูกทั้งสองคนไปจากเขา!

โดยไม่หลงเหลืออะไรไว้ให้กับเขาสักอย่าง เห็นเขาเป็นปีศาจหรืออย่างไร ไม่แม้แต่จะคิดลังเล ยอมควักเงินจำนวนมหาศาลเพื่อจ้างทนายความที่เก่งกาจ มาต่อสู้กับเขาในชั้นศาล ผู้หญิงคนนี้…..

หรือว่า ไม่เคยคิดถึงความรู้สึกของเขาเลยหรืออย่างไร!”

เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ

เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ

เธอเป็นสาวใบ้ เมื่ออายุ19ปีก็ถูกแม่เลี้ยงและพี่สาวบังคับแต่งงานกับเขาโดยการขาย ภายใต้การแต่งงานที่หรูหราได้ซ่อนแผนร้ายอันน่าทึ่งไว้….

Comment

Options

not work with dark mode
Reset