เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ – ตอนที่ 482 คนสองคนที่รักกัน

ที่โรงพยาบาล ซูย้าวพาซีซีมาเยี่ยมลี่เจิ้ง

ลี่เจิ้งนั่งอยู่บนเตียงโดยที่ไม่ขยับ แม้แต่กะพริบตาก็ยังไม่เป็น นั่งซื่ออยู่อย่างนั้น และซีซีก็ไม่พูดไม่จา นั่งเอียงหัวมองเขาอยู่ข้างเตียง ทั้งสองจ้องตากันไปมา ถ้าไม่ใช่ซูย้าวพูดอะไรละก็ เด็กสองคนนี้ สามารถอยู่แบบนี้ได้ทั้งวัน

เธอรู้สึกว่าที่เธอตัดสินใจพาซีซีมาคนเดียวเป็นการตัดสินใจที่ผิดจริงๆ

เพราะฉะนั้น วันรุ่งขึ้น เธอเลยพาเตียวเตียวมาด้วย

ถึงแม้ซีซีจะไม่พูดเลย แต่เตียวเตียวกลับพูดไม่หยุด นั่งพูดอยู่ข้างเตียงไม่หยุดไม่หย่อนมีเรื่องให้พูดอยู่เสมอ

เขายังดึงมือของซูย้าวแล้วพูด“คุณน้าครับ ผมเคยเห็นพี่ชายคนนี้มาก่อนนะครับ!”

“ฮะ?”ซูย้าวมองเขาด้วยสายตาสงสัย

“จริงนะครับ ผมเคยเห็นเขา พวกเรายังเคยกินเค้กด้วยกันเลยครับ!”

ระหว่างที่เตียวเตียวกำลังพูดอยู่นั้น ลี่เฉินซีก็เดินเข้ามาจากด้านนอกแล้วพูดต่อ“ใช่ครับ ตอนที่คุณกลับมาเมืองAใหม่ๆ ตอนนั้นภัตตาคารหลิงเตี่ยนเปิดร้านวันแรก ผมได้พาเจิ้งเอ๋อไปทานข้าวที่ร้าน เลยได้พบเตียวเตียวโดยบังเอิญ”

“ไม่เพียงแค่นี้นะครับ ผมยังเห็นมีคนใส่ของอะไรลงในอาหารของพี่ชายด้วยครับ!”เตียวเตียวเงยหน้าขึ้นมาพูด

“ใส่ของ?ใส่อะไร?เครื่องปรุงหรอ?”มือใหญ่ของลี่เฉินซีลูบจับหัวของเด็กเบาๆทีหนึ่ง

เตียวเตียวส่ายหัว“ไม่เหมือนเครื่องปรุงนะครับ เรียกว่าอะไรนะ……เป็นตัวอักษรอังกฤษ ผมลืมไปแล้วครับ แต่ว่าดูเหมือนว่าจะเป็นความลับ แต่ผมไปแอบได้ยินมา!”

แอบฟัง?!

คำพูดคำเดียว ปลุกต่อมความสงสัยของลี่เฉินซีกับซูย้าวขึ้นทันที ทั้งสองมองมาที่เตียวเตียวพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

ซูย้าวรีบนั่งลงแล้วจับแขนทั้งสองข้างของเด็กไว้“เตียวเตียวจ้า เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก หนูต้องพูดความจริงกับน้านะครับ ห้ามโกหกนะ”

“สำคัญ?”เตียวเตียวขมวดคิ้ว

เธอก็ถามต่อ“หนูแน่ใจนะว่าเห็นคนใส่ของอะไรบางอย่างลงในอาหารของเจิ้งเอ๋อ?”

“ผมไม่เห็นครับ แต่ว่าได้ยินที่ผู้หญิงสองคนคุยกัน พวกเธอยังคุยกันว่าห้ามให้ใครรู้เด็ดขาด ยาอะไรสักอย่าง……”เตียวเตียวพูด

ลี่เฉินซีก้มลงมามองหน้าเขา“เรื่องนี้เกิดตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ก็ครั้งนั้นที่ผมได้พบพี่ชายไงครับ ตอนที่เขาทานเค้กเป็นเพื่อนผม!”เด็กพูด

ก็คือวันเกิดร้านวันแรกของภัตตาคารหลิงเตี่ยน

หลังจากนี้ไม่กี่วัน ลี่เจิ้งก็‘เกิดเรื่องไม่คาดคิด’จากนั้นก็หลับไม่ได้สติเลย

และผู้หญิงสองคนที่เตียวเตียวพูดถึง หรือว่าจะเป็น……

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ?คุณอา คุณน้า เรื่องนี้สำคัญมากเลยหรอครับ?”เตียวเตียวถาม

ลี่เฉินซีลุกขึ้นแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆทีหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องถามเด็กต่ออีกแล้ว แทบจะแน่ใจได้100%แล้ว ว่าใครคือผู้ที่คิดปองร้ายลี่เจิ้งมาตลอด ก็แค่ขาดหลักฐาน และผู้ที่อยู่เบื่องหลังเรื่องนี้

ซูย้าวเห็นเขาลำบากใจ เลยคิดทบทวนอยู่หลายรอบแล้วพูด“เตียวเตียวเพิ่งจะห้าขวบ คำพูดของเด็กอาจจะเชื่อไม่ได้หมดหรอกนะคะ อีกอย่าง ตอนนี้เจิ้งเอ๋อก็เป็นแบบนี้แล้ว สืบสาวราวเรื่องต่อก็ไม่ช่วยอะไรหรอกนะคะ”

เธอก็แค่อยากจะปลอบใจเขา แต่เตียวเตียวกลับรีบอธิบาย“ผมไม่ได้พูดโกหกนะครับ!ที่ผมพูดเป็นความจริงหมด!คุณน้าครับ คุณน้าต้องเชื่อผมนะครับ!”

เธอก้มหน้าลงอย่างกลั้นยิ้มไม่ไหว มองหน้าเด็กแล้วยิ้ม“คุณน้ารู้ครับ ว่าเตียวเตียวเป็นเด็กดีที่สุด ไม่เคยโกหกใครเลยครับ!”

แล้วอุ้มเด็กขึ้นมากลับไปที่ข้างเตียงอีกครั้งแล้วมองลี่เจิ้งที่ยังคงนอนเหมือนเจ้าชายนิทราเช่นเคย เธอปล่อยเตียวเตียวนั่งลงที่ข้างลูกสาวที่นั่งอยู่ แล้วพูดขึ้นต่อ“พวกหนูสองคนยังเด็กมาก ไม่เข้าใจความซับซ้อนในโลกของผู้ใหญ่ แต่ว่าเตียวเตียวจ้า เรื่องนี้ ต่อจากนี้ห้ามพูดให้ใครฟังอีกเป็นอันขาดรู้มั้ย?”

เตียวเตียวมองหน้าเธอด้วยท่าทางมึนงง แต่ก็พยักหน้ารับปากในที่สุด

ลี่เฉินซีเดินมาข้างกายเธอ จับไหล่ของเธอแล้วก้มหน้า“เมื่อคืนคงไม่หลับเลยใช่มั้ย?”

เธอรู้สึกประหลาดใจ“คุณรู้ได้ยังไงคะ?”

“ไม่ใช่แค่เมื่อคืน ช่วงนี้ คุณคงหลับไม่สนิททุกคืนเลยใช่มั้ย?”เขาพูดอย่างเรียบง่าย ดวงตาที่อ่อนโยนเต็มไปด้วยความห่วงใย

ซูย้าวยิ้มเบาๆทีหนึ่งอย่างไร้เรี่ยวแรง นึกถึงอาการของเจิ้งเอ๋อแล้ว เธอจะนอนหลับได้ยังไง?

เขาดึงเธอลุกขึ้นมา“เป็นแบบนี้ไปตลอดก็ไม่ได้นะ เอาอย่างนี้มั้ย ให้ผมนอนเป็นเพื่อนคุณสักพักเป็นไง?”

“……”

ซูย้าวมองเขาด้วยสายตาตกใจอึ้ง หัวเราะออกมาอย่างอดใจไม่ไหว“นี่มันเวลาไหนแล้ว คุณยังมีกจิตกะใจเล่นอีก……”

“แล้วเวลาไหนล่ะ?”เขายักคิ้วแล้วยิ้มอย่างร้ายๆ ยื่นแขนยาวดึงเธอไปกอดเอาไว้จนแน่น แล้วกระซิบที่ข้างหูของเธอ“เรื่องที่เตียวเตียวพูดเมื่อกี้ ปล่อยให้ผมจัดการเถอะนะ ใช้เวลาไม่นานหรอก ผมจะให้คำตอบที่น่าพอใจกับคุณแน่นอน”

ซูย้าวรู้สึกอึ้งนิดๆ จากนั้นก็พูด“คุณนี่มันกล้ารับปากไปมั่วมากเลยนะ คุณรู้หรอว่าคำตอบที่น่าพอใจที่ฉันต้องการคืออะไร?”

สายตาที่ลี่เฉินซีมองเธอยิ่งลึกซึ้ง“ผมรู้”

ความนิ่งสงบของเขา และความรู้สึกน่าเชื่อถือ แน่วแน่ของเขา ทำให้ซูย้าวพูดไม่ออกทันที นอกจากถูกเขากอดเอาไว้อย่างนั้นแล้ว เธอก็ลืมปฏิกิริยาที่ควรมีไปแล้ว

เลยไม่ทันได้สังเกตสีหน้าการเปลี่ยนแปลงเล็กๆของลี่เจิ้งที่นอนอยู่บนเตียงมาตลอด

ตอนเย็น เธอพาเด็กสองคนกลับไปที่โรงแรม

ระหว่างทางรถติด เตียวเตียวเอียงหัวไปทางนอกกระจก มองผู้คนที่ยืนอยู่บนถนนเป็นคู่ๆ ก็หันมามองซูย้าวอย่างไม่รู้ตัวแล้วจู่ๆก็พูดขึ้นมา“คุณน้าครับ คุณน้ากับคุณอากำลังคบกันหรอครับ?”

คำพูดเดียว เกือบทำให้ซูย้าวที่กำลังเปิดฝาขวดน้ำออกมาดื่มสำลักน้ำออกมา อดไอขึ้นหลายทีไม่ได้ ถึงถาม“ทำไมถามแบบนี้ล่ะจ้า?”

“ก็รู้สึกคุณอารักคุณน้ามากเลยครับ!และอีกอย่าง ระหว่างคุณน้ากับเขาก็มีพี่ชายและซีซีด้วย เมื่อก่อน คุณน้าสองคนเป็นสามีภรรยากันใช่มั้ยครับ?”เตียวเตียวเอียงหัวมามองเธอ ใบหน้าดูเป็นเด็กน้อยไร้เดียงสา

ไม่นึกเลยว่าเด็กสมัยนี้จะรู้อะไรมากขนาดนี้

เธอสูดหายใจลึกๆทีหนึ่งแล้วพยักหน้า“อืม เมื่อก่อนเราเคยเป็นสามีภรรยากัน แต่ว่าตอนนี้หย่ากันแล้ว เพราะฉะนั้น ตอนนี้ คุณน้ากับคุณอา เราไม่มีความสัมพันธ์ใดๆแล้ว พวกเราถือได้ว่าเป็นแค่……”

คิดอยู่หลายรอบ ก็นึกไม่ออกว่าจะใช้คำอะไรมาแทนความสัมพันธ์ของระหว่างเธอกับเขา

เพื่อน?

เหมือนว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาเกินเลยไปกว่าคำว่าเพื่อนไปตั้งนานแล้ว

คู่รัก?

แต่ไม่เคยตกลงฐานะอย่างเป็นทางการ และเขาก็มีคู่หมั้นอยู่แล้ว จะเรียกว่าคู่รักก็คงไม่ได้!

ระหว่างที่ซูย้าวกำลังคิดหาคำที่เหมาะสมมาเปรียบเปรยความสัมพันธ์ของทั้งสอง จู่ๆ เตียวเตียวก็พูดคำตอบแทนเธอ——

“นั้นตอนนี้ พวกน้าก็คือคนสองคนที่รักกันใช่มั้ยครับ?”

ซูย้าวไอค่อกแค่กขึ้นอีกครั้งแล้วเม้มปากอย่างเก้อเขิน“ทำไม จู่ๆหนูถึงสนใจอยากรู้เรื่องนี้ขึ้นมาครับ?”

“เพราะว่า ตอนที่พี่ชายเห็นพวกน้าอยู่ด้วยกัน เขาก็จะยิ้มไงครับ!”

“……”

ซูย้าวอึ้งไปหลายวิ หันไปมองเตียวเตียวด้วยสายตาตกใจ สมองชะงักไปทันที แม้กระทั่งลืมไปว่าถนนที่ติดอยู่โล่งแล้ว จนเสียงบีบแตรรถจากคันหลังดังมา เธอถึงจู่ๆได้สติกลับมาแล้วรีบสตาร์ทรถจากไปอย่างรวดเร็ว

ขับรถไปด้วยแล้วมองหน้าเด็กไปด้วย“เตียวเตียว เมื่อกี้ หนูพูดว่าอะไรนะ?”

“อะไรครับ?”เด็กยังมึนงงอยู่ ครู่หนึ่งแล้วเหมือนนึกขึ้นได้ เลยพูด“ก็คือผมเห็นตอนคุณน้ากับคุณอากอดกันแล้ว พี่ชายมองพวกน้าก็ยิ้มไงครับ!”

พี่ชาย?

หรือว่าที่เขาพูดคือลี่เจิ้ง?

จู่ๆ ซูย้าวก็รู้สึกหัวใจหยุดเต้น ลี่เจิ้งเขายิ้มจริงๆหรอ?ทั้งๆที่อยู่ในสภาพเจ้าชายนิทรา กลับมีปฏิกิริยาความรู้สึกเหมือนคนปกติ?

เธอจำเป็นต้องพิสูจน์คำตอบนี้ให้ได้โดยเร็ว เธอกลับรถปากทางข้างหน้าโดยตรง แล้วขับกลับมาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง

ตอนที่พาเด็กสองคนขึ้นลิฟต์ไปนั้น ได้พบกับลี่เฉินซีที่กำลังจะนั่งลิฟต์ลงไปพอดี ทุกคนเจอกันที่หน้าลิฟต์โดยไม่ได้นัดหมาย

“แล้วคุณทำไมกลับมาอีกล่ะ?มีอะไรหรอครับ?”เขาถาม

ซูย้าวไม่ได้ตอบ แต่เข้าไปดึงมือลี่เฉินซีแล้วพูด“คุณมากับฉันหน่อย……”

แทบจะไม่เคยเห็นเธอมีปฏิกิริยาที่รุนแรงแบบนี้มาก่อน ลี่เฉินซีก็รู้สึกมึนงง ปล่อยให้เธอดึงแขนตัวเองขึ้นไปชั้นบนอย่างเร่งรีบ เข้าไปในห้องผู้ป่วย

ลี่เจิ้งก็เหมือนก่อนหน้าที่เห็น นอนอยู่บนเตียงสีหน้าดูซิดเซียวไร้ความรู้สึก

“มีอะไรกันแน่ครับ?”เขาถาม

ซูย้าวลากเขามาที่ข้างเตียง ในที่ที่สายตาเด็กมองเห็นได้แล้วกอดลี่เฉินซีไว้ ทั้งสองคนกอดกันจนแน่น เธอซกอยู่ในอกของผู้ชายแล้วหลับตา

หรือเตียวเตียวอาจจะดูผิดไป เรื่องแบบนี้ เธอไม่น่าจะเชื่อได้เลย

แต่เธอเป็นแม่คนนะ

ถึงความเป็นไปได้จะน้อยมากๆ เธอก็อยากลองดู ถึงจะรู้ว่านี่เป็นวิธีที่หลอกตัวเองก็ตาม

“ขอโทษนะคะ”เธอพูดแล้วค่อยๆปล่อยมือออกจากเขา

ระหว่างที่ยกมือเช็ดน้ำตา สายตาเหลือบเห็นหน้าของลี่เจิ้ง แล้วหยุดชะงักในพริบตาเดียว

เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ

เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ

เธอเป็นสาวใบ้ เมื่ออายุ19ปีก็ถูกแม่เลี้ยงและพี่สาวบังคับแต่งงานกับเขาโดยการขาย ภายใต้การแต่งงานที่หรูหราได้ซ่อนแผนร้ายอันน่าทึ่งไว้….

Comment

Options

not work with dark mode
Reset