เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] – บทที่ 625 ความเป็นจริงที่ต้องพบเจอ

ตอนที่ 625 ความเป็นจริงที่ต้องพบเจอ

น้ำเสียงที่พูดออกมานั้นเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม

แต่หลินเป่ยเฉินไม่ได้แสดงท่าทีเดือดดาลแม้แต่น้อย

เขายิ้มกว้างและส่งบุหรี่ออกไปให้มวนหนึ่ง “พี่ใหญ่เข้าใจผิดแล้ว ความจริงข้าน้อยมีฐานะยากจนมากๆ เฮ้อ ท่านคงไม่รู้สินะว่ามารดาของข้าเสียชีวิตไปตั้งแต่ตอนที่ข้าถือกำเนิด ส่วนบิดาของข้าก็หายตัวไปนานแล้ว มิหนำซ้ำ ข้ายังติดหนี้ก้อนโตกับบุคคลที่ไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวด้วย… และเมื่อสิบวันที่แล้วนี้เอง ข้าน้อยก็ถูกเจ้าหนี้ตามมาทวงเงินจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด… ฮื่อ นับดูในผู้คนทั้งหมด คงไม่มีใครชีวิตบัดซบมากไปกว่าข้าน้อยอีกแล้ว”

เมื่อได้ยินดังนั้น เฉินเสี่ยวฮุยเจ้าหน้าที่แขนเดียวผู้รับบุหรี่ไปถือ ก็มีสีหน้าอ่อนโยนลงเล็กน้อย

“เจ้าเป็นลูกกำพร้าหรือนี่? อายุเพียงเท่านี้นับว่าโชคร้ายมากจริงๆ แต่เกรงว่าในอนาคต เจ้าคงต้องพบเจอชะตากรรมที่ยากลำบากกว่านี้อีกหลายเท่า… เอาเถิด ในเมื่อชีวิตยังไม่สิ้น ก็ต้องดิ้นกันต่อไปนั่นแหละนะ… เห็นแก่เจ้าที่มีความจริงใจ ข้าจะอนุญาตให้เจ้ายืนอยู่ตรงนี้ก็ได้ แต่ห้ามมารบกวนการทำงานของพวกข้าเด็ดขาด มิฉะนั้น จะหาว่าข้าทำรุนแรงกับเจ้าเกินไปไม่ได้”

พูดมาถึงตรงนี้ เฉินเสี่ยวฮุยก็จุดบุหรี่อัดควันเข้าปอด แต่แล้วเขากลับหยุดชะงัก เหมือนเพิ่งค้นพบเรื่องราวสำคัญบางอย่าง

เจ้าหน้าที่หนุ่มเงยหน้าขึ้นมาชำเลืองมองหลินเป่ยเฉิน ก่อนจะเด็ดปลายบุหรี่ส่วนที่ติดไฟทิ้งไป และโยนบุหรี่มวนนั้นกลับคืนมาให้ผู้เป็นเจ้าของ

“นี่เป็นของดีเกินไป ข้ารับไว้ไม่ได้”

หลังจากนั้น ไม่ว่าหลินเป่ยเฉินจะคะยั้นคะยออย่างไรก็ตาม แต่เฉินเสี่ยวฮุยก็ไม่ยอมพูดคุยกับเขาอีกเลย

มิหนำซ้ำ เจ้าหน้าที่หน้าโหดกลับทำท่าจะไล่หลินเป่ยเฉินออกไปอีกด้วย

ดังนั้น หลินเป่ยเฉินจึงเปลี่ยนไปยืนคุยกับนายทหารรักษาความปลอดภัยในบริเวณใกล้เคียงแทน และสิ่งที่เขาสงสัยอยู่ก่อนหน้านี้ก็ได้รับคำยืนยัน ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่หน้าแผลเป็นเฉินเสี่ยวฮุย รวมถึงเจ้าหน้าที่ลงทะเบียนรับผู้อพยพเข้าเมืองซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขานั้น ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลพิการ ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากสงคราม ในขณะที่เพื่อนร่วมรบของพวกเขาจำนวนมากต้องเสียชีวิตไปอย่างไม่มีทางหวนคืน

แม้อาการบาดเจ็บของทุกคนจะได้รับการรักษาจนหายดี แต่พวกเขาก็ไม่สามารถหยิบจับอาวุธกลับไปต่อสู้ในสนามรบได้อีก

ด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงถูกส่งมาทำงานด้านเอกสาร ที่ไม่ต้องใช้ร่างกายมากเกินไป

เพียงพริบตาเดียวเวลาก็ล่วงเลยผ่านถึงยามเย็น ท้องฟ้าเริ่มมืดมิดมากขึ้นเรื่อยๆ

อุณหภูมิลดลง

ถึงเฉินเสี่ยวฮุยจะสบถคำหยาบออกมาตลอดเวลา และพูดจาไม่ค่อยน่ารับฟังสักเท่าไหร่ แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องชมเชยก็คือเขาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง แม้นี่จะเลยเวลางานของพวกเขาแล้ว แต่เฉินเสี่ยวฮุยก็ยังสั่งให้ลูกน้องจุดคบเพลิงนำมาแขวนไว้บนกำแพงเมือง เพื่อส่องแสงสว่างและทำการลงทะเบียนรับผู้อพยพเข้าเมืองต่อไปไม่หยุดยั้ง

หลินเป่ยเฉินสามารถเข้าใจทุกอย่างได้เป็นอย่างดี

เจ้าหน้าที่เฉินเสี่ยวฮุยคนนี้เป็นพวกปากร้ายใจดีนั่นเอง

ยามตรวจสอบประวัติของผู้อพยพแต่ละคน เฉินเสี่ยวฮุยจะพูดคุยกับคนชราและเด็กน้อยด้วยความอ่อนโยน โดยเฉพาะบรรดาเด็กเล็กที่หวาดกลัวรอยแผลเป็นบนใบหน้าของเขา บางคนถึงกับร้องไห้ออกมา และบิดามารดาของเด็กน้อยก็เอาแต่ขอโทษเฉินเสี่ยวฮุยไม่หยุดปาก

แต่เจ้าหน้าที่หนุ่มก็ไม่ได้อารมณ์เสียแต่อย่างใด ซ้ำเขายังหยิบลูกกวาดออกมามอบให้แก่เด็กน้อยผู้นั้น ซึ่งเพียงไม่กี่อึดใจต่อมา จากเด็กน้อยที่ร้องไห้จ้าเมื่อเห็นหน้าเขาเมื่อสักครู่นี้ ก็เปลี่ยนแปลงกลายเป็นส่งเสียงหัวเราะเอิ้กอ้ากด้วยความสนุกสนาน

แม้แต่พวกของกงกงที่ไม่ชอบหน้าเฉินเสี่ยวฮุยเพราะพูดจาดูถูกคุณชายหลินของพวกเขาก่อนหน้านี้ ก็ยังต้องเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเจ้าหน้าที่แขนเดียวใหม่ทั้งหมด ซึ่งทำให้ทุกคนมองเฉินเสี่ยวฮุยด้วยแววตาที่แสดงออกถึงความเคารพมากขึ้น

กงกงไม่อยากจะนึกภาพเลยว่าถ้าเมื่อกลางวันนายน้อยไม่ห้ามปรามเอาไว้ และพวกเขาบุกเข้าไปรุมทำร้ายเฉินเสี่ยวฮุย นอกจากพวกเขาจะต้องเป็นฝ่ายอับอายเสียหน้าเองแล้ว นั่นยังถือว่าเป็นพฤติกรรมที่จะทำให้ชาวเมืองหยุนเมิ่งต้องเสื่อมเสียกันไปทั้งหมดอีกด้วย

นับว่านายน้อยก็ยังคงเป็นนายน้อยอยู่วันยังค่ำ

นายน้อยสามารถอ่านสถานการณ์ได้ทะลุปรุโปร่งตั้งแต่แรก

นายน้อยช่างมีวิสัยทัศน์กว้างไกลนัก

กงกงและพรรคพวกยิ่งมีความเคารพเลื่อมใสในตัวหลินเป่ยเฉินมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า

สุดท้าย ต้องใช้เวลาเกือบหนึ่งวันเต็มๆ กว่าที่การลงทะเบียนผู้คนนับหมื่นชีวิตจากเมืองหยุนเมิ่งจะเสร็จสิ้น เมื่อพวกเขาได้รับแผ่นป้ายประจำตัวเรียบร้อย ก็เท่ากับว่าบัดนี้ทุกคนได้กลายเป็นประชากรชาวเมืองเจาฮุยโดยสมบูรณ์

เจ้าหน้าที่เคลื่อนย้ายผู้คนมารออยู่นานแล้ว

พวกเขาพยักหน้าส่งสัญญาณ และเริ่มต้นนำขบวนผู้อพยพจากเมืองหยุนเมิ่งเดินทางตรงไปยังพื้นที่ซึ่งทางการได้จัดเตรียมไว้ให้พวกเขาลงหลักปักฐาน

“ขอบคุณใต้เท้าเฉินมากขอรับ”

“ลาก่อนขอรับใต้เท้าเฉิน”

ระหว่างที่เดินออกมา หลายคนก็หันไปโบกมืออำลาเฉินเสี่ยวฮุยจากระยะไกล

หลินเป่ยเฉินเดินย้อนกลับไปและยัดกล่องบุหรี่ใส่มือเฉินเสี่ยวฮุยพร้อมกับพูดว่า “พี่ใหญ่ วันนี้ท่านต้องทำงานหนักทั้งวัน ถือว่านี่เป็นสิ่งตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ จากชาวเมืองหยุนเมิ่งก็แล้วกันนะขอรับ แม้ว่าข้าน้อยจะเป็นบุคคลไม่เอาไหน แต่ข้าน้อยก็ชื่นชมบุคคลที่ทำงานรับใช้ประเทศชาติเป็นอย่างยิ่ง ต้องขอบอกเลยว่าท่านคือวีรบุรุษประจำใจข้าเเล้ว”

เฉินเสี่ยวฮุยทำท่าจะปฏิเสธ แต่สุดท้ายก็รับของขวัญไว้ในที่สุด

“ในเมืองเราเหลือเด็กหนุ่มที่มีจิตใจดีงามอย่างเจ้าไม่มากนัก…”

เฉินเสี่ยวฮุยยกมือตบไหล่หลินเป่ยเฉินและกล่าวว่า “สถานการณ์ในตัวเมืองมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล เจ้าต้องระมัดระวังตัวให้ดี อย่าไปมีเรื่องกับผู้ใดเด็ดขาด แค่ใช้ชีวิตของเจ้าไปด้วยความเรียบง่าย อีกไม่นานเจ้าคงถูกตามตัวให้ไปเข้าร่วมกองทัพ… และหากเจ้ามีโอกาสได้ลงสู่สนามรบจริงๆ จงตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ทำตัวให้ฉลาด อย่าได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย…”

พูดมาถึงประโยคนี้ เจ้าหน้าที่หนุ่มก็หยุดชะงักไปดื้อๆ

“ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ”

หลินเป่ยเฉินยิ้มกว้างและประสานมืออำลา

ระหว่างทางไปยังที่พักใหม่ หลินเป่ยเฉินก็ต้องขบคิดกับตนเองด้วยความประหลาดใจ

เพราะบรรยากาศมันไม่ถูกต้องเลยจริงๆ

ต่อให้เมืองหยุนเมิ่งจะเป็นเมืองเล็กๆ ชายทะเล อยู่บ้านนอก ห่างไกลความเจริญ แต่เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นมากมายตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ก็คงต้องล่วงรู้มาถึงหูประชาชนที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงบ้างไม่มากก็น้อยใช่หรือไม่?

แล้วทำไมพวกของเสี่ยวเย่ ตลอดมาจนถึงพวกของเฉินเสี่ยวฮุย และเจ้าหน้าที่ลงทะเบียนคนอื่นๆ ตอนที่ตรวจสอบประวัติของพวกเขา ถึงไม่ได้ผิดสังเกตเลยสักนิด ราวกับว่าหลินเป่ยเฉินก็เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ได้เป็นบุคคลสำคัญแต่อย่างใด

ถึงการเอาชนะชาวทะเลรอบหลังสุดนี้จะเป็นเรื่องที่ยังไม่รู้ถึงหูผู้คนในเมืองเจาฮุยก็ตาม แต่อย่างน้อยหลินเป่ยเฉินก็เป็นผู้ชนะการค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง และเป็นผู้ชนะการแข่งขันจตุรมิตรสามัคคี ซึ่งได้รับการถ่ายทอดสดไปทั่วมณฑล และนั่นหมายความผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวง ก็ต้องได้รับชมการถ่ายทอดสดบ้างเช่นกันไม่ใช่หรือ?

ด้วยเหตุนี้ หลินเป่ยเฉินจึงอดสงสัยใจไม่ได้ว่า เพราะเหตุใดทุกคนถึงไม่รู้จักเขาเลย

แบบนี้มันไม่ถูกต้องแล้วจริงๆ

นครเจาฮุยถือเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่โต

สมแล้วที่ถูกยกให้เป็นเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิเป่ยไห่

หลินเป่ยเฉินสามารถให้คำจำกัดความได้เพียงสองพยางค์ว่า…

ยิ่งใหญ่!

เส้นทางจากประตูเมืองผ่านมาเป็นระยะทางห้าลี้ได้แล้ว พวกเขายังไม่พบเจอสิ่งมีชีวิตในสายตาเลยสักตัวเดียว

สิ่งที่ทุกคนมองเห็นมีเพียงป้อมปราการ ผืนป่า ลานฝึกวิทยายุทธ์ และค่ายทหาร

บรรยากาศครอบคลุมด้วยความตึงเครียด

ปราศจากสีสันและความมีชีวิตชีวา

เมื่อผ่านบริเวณนี้ไปแล้ว ขบวนผู้อพยพก็มาถึงกำแพงเมืองชั้นใน พวกเขาจำเป็นต้องยืนต่อแถวเดินเข้าสู่กำแพงเมืองทีละคน เมื่อเดินผ่านกำแพงเมืองเข้าไปแล้ว ก็จะพบเจอกับอาคารบ้านเรือนที่ชาวเมืองใช้สำหรับอยู่อาศัย ซึ่งบ้านแทบทุกหลังก็สร้างขึ้นมาจากก้อนดินและก้อนหินเป็นส่วนใหญ่

หากให้อธิบายบรรยากาศอย่างตรงไปตรงมาก็คือ สภาพความเป็นอยู่ในสายตาพวกเขาขณะนี้ ไม่ได้ดีไปกว่าย่านชุมชนแออัดสำหรับคนยากคนจนในเมืองหยุนเมิ่งแม้แต่น้อย

เมื่อเดินลึกเข้าไปมากขึ้น คณะผู้อพยพก็พบเจอกับกำแพงเมืองชั้นในอีกหนึ่งแห่ง

“จะสร้างกำแพงเมืองซ้อนกันทำไมหลายชั้นวะเนี่ย กลัวจะมีไททันบุกมาโจมตีหรือไง”

หลินเป่ยเฉินส่งเสียงอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ

นี่คือครั้งแรกที่เด็กหนุ่มได้พบเจอการสร้างกำแพงเมืองซ้อนกำแพงเมืองเอาไว้ถึงสามชั้นเช่นนี้

บางทีสภาพความเป็นอยู่ของผู้คนที่อยู่หลังกำแพงเมืองแต่ละจุด อาจจะมีความแตกต่างกันไปก็เป็นได้ สมมุติว่าบ้านเรือนของผู้คนหลังกำแพงเมืองจุดที่แล้ว ส่วนใหญ่สร้างขึ้นมาจากก้อนดินและก้อนหินสภาพความเป็นอยู่ซอมซ่อแออัด ในทางกลับกัน สภาพความเป็นอยู่ของผู้คนหลังกำแพงเมืองชั้นในสุด อาจจะเต็มไปด้วยความสะดวกสบายและมีความศิวิไลอย่างที่พวกเขาคิดไม่ถึง…

แต่น่าเสียดายที่หลินเป่ยเฉินไม่มีโอกาสได้เห็นว่า สภาพความเป็นอยู่หลังกำแพงชั้นในสุดนั้น จะเป็นไปตามที่เขาจินตนาการหรือไม่

เพราะพื้นที่อยู่อาศัยซึ่งทางการจัดไว้ให้คณะผู้อพยพจากเมืองหยุนเมิ่งได้มาลงหลักปักฐานกันนั้น เป็นที่ดินซึ่งอยู่ระหว่างกำแพงเมืองชั้นกลางกับชั้นในสุด หลินเป่ยเฉินกวาดสายตามองรอบตัวด้วยความเหลือเชื่อ เพราะเขาพบว่าที่อยู่อาศัยของตนเองนั้นเป็นสถานที่รกร้างว่างเปล่า มีอาณาเขตกว้างขวางถึง [1]2,000 หมู่

ไม่มีบ้านคน

ไม่มีแหล่งน้ำ

ไม่มีอะไรเลยสักอย่างเดียว

เมื่อพวกของเจาโจวหยานและบรรดาพ่อค้าผู้ร่ำรวยพบเห็นที่อยู่ใหม่ของตนเอง สีหน้าของพวกเขาก็ต้องแปรเปลี่ยนไป

แต่ผู้ที่มีใบหน้าบิดเบี้ยวมากที่สุดย่อมต้องเป็นหลินเป่ยเฉิน

นี่เรียกได้ว่าเป็นชีวิตที่ตกจากสวรรค์ลงสู่นรกอย่างแท้จริง

ตอนที่เขายังอยู่ในเมืองหยุนเมิ่ง ต่อให้อยู่ภายใต้การปกครองของชาวทะเล แต่หลินเป่ยเฉินก็ยังได้อาศัยอยู่ในบ้านพักอย่างสะดวกสบาย มีสาวรับใช้คอยปรนนิบัติพัดวี มิหนำซ้ำ บนภูเขาเสี่ยวซีเขายังปลูกบ้านพักเอาไว้อีกหลายหลัง ยังไม่ต้องพูดถึงรายได้มหาศาลที่เด็กหนุ่มได้รับจากการขุดเหมืองแร่หินบูชา

แต่หลินเป่ยเฉินกลับอพยพทุกคนมาอยู่ที่นี่

แล้วดูความเป็นจริงที่เขาต้องพบเจอสิ

หลินเป่ยเฉินจะสามารถอยู่ในสถานที่รกร้างเช่นนี้ได้จริงๆ หรือ?

เซียนกระบี่มาแล้ว

เซียนกระบี่มาแล้ว

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]
Status: Ongoing
หืมมม วิชานี้น่าสนใจดี แชะ ! ติ๊งง คุณได้รับแอพพลิเคชั่นวิชากระบี่ทะลวงจันทร์ ต้องการติดตั้งหรือไม่ ! ด้วยสมาร์ทโฟนในมือของเจ้าแกะดำหลิวเป่ยเฉิน ทำให้เขาสามารถผงาดบนโลกจอมยุทธ์นี้ได้อย่างง่ายดาย…. แต่ข้าไม่เอาหรอก ใครมันจะอยากอยู่โลกแบบนี้กัน YouTube ก็ไม่มี Facebook ก็เข้าไม่ได้ ข้าขอกลับโลกเดิมไปนั่งเล่นเกมในห้องแอร์เย็น ๆ ดีกว่าโว้ยยย !!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset