เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์ – ตอนที่ 261 – ตอนที่ 241 ประมุขน้อย ก็แค่คนคุกเข่าขอความเมตตา

===============
“ฆ่า!” เย่ว์หยางชี้นิ้วไปที่ไป๋หวินเฟย เลียนแบบพฤติกรรมที่ไป๋หวินเฟยเพิ่งกระทำไปเมื่อครู่ เขาพร้อมที่จะสังหารศัตรูของเขา

ความเร็วของนางพญากระหายเลือดเร็วมาก เมื่อเย่ว์หยางออกคำสั่งนาง นางก็ไปปรากฏอยู่เหนือหัวอินทรีสายฟ้า นางปล่อยคลื่นเสียงสลายวิญญาณอีกครั้ง ท่ามกลางความมึนงง ผู้ชมมองเห็นเมดูซาผู้มีศีรษะเต็มไปด้วยงูเพลิงยกธนูทองของนาง จากนั้นนางขึ้นธนูสองดอกแล้วยิงใส่ตาของตะกวดศิลาทั้งสองดอก ตะกวดศิลาจะมีความสามารถเปลี่ยนคู่ต่อสู้ของมันให้กลายเป็นหินโดยเริ่มจากนัยน์ตา เสือดาวสายฟ้าตาม่วงเคลื่อนที่ได้เร็วดุจสายฟ้าพุ่งเข้าจู่โจมใส่นางเงือกผมทองทันที นางเงือกผมทองยิ้มเล็กน้อยขณะที่นางยกมือที่อ่อนช้อยของนางและเรียกพายุหมุนมากวาดเอาเสือดาวสายฟ้าและอสรพิษโลหะที่เลื้อยมาด้านขวาของนางลอยขึ้นไปกลางอากาศ ในอากาศปรากฏสายฟ้าสองสาย สายหนึ่งผ่าลงที่ร่างของงูโลหะ และอีกสายหนึ่งลงที่หัวของเสือดาวสายฟ้า

บนร่างของเย่ว์หยาง ทุกคนสามารถเห็นเงาร่างหนึ่ง ที่ดูคล้ายกับเขามากวิ่งออกมาจากร่างของเขา ร่างเงาเต็มไปด้วยเปลวไฟสีม่วงกระพือโหมขึ้นไปในท้องฟ้าขณะที่มันพุ่งเข้าใส่ไป๋หวินเฟย

ไป๋หวินเฟยเห็นฉากที่น่ากลัวอยู่ต่อหน้าเขา ทำให้เขาไม่กล้าเผชิญหน้ากับเงา

ทันใดนั้นเขาหลบไปซ่อนตัวอยู่หลังจ้าวมังกรทอง

เงือกผมทองเป่าหอยสังข์ของนางและเรียกพายุหมุนที่น่ากลัวครอบคลุมพื้นที่เวทีทั้งหมด เมฆหนาครึ้มปกคลุมท้องฟ้าทั้งหมดปล่อยฝนโปรยปรายลงสู่พื้น สายฟ้าอัสนีบาตแล่บแปลบปลาบอยู่เต็มท้องฟ้า

พื้นที่ทั้งหมดกลายเป็นบ่อเมื่อผ่านไป 30 วินาที

คลื่นน้ำสูงขึ้น ขณะที่ลมพัดรุนแรง

พายุหมุนจำนวนมากปรากฏดูราวกับมังกรยักษ์รวมกับมีฟ้าผ่า ทำให้เกิดพายุหมุนสายฟ้าที่ฉีกกระชากวิญญาณผู้คนได้ ผู้ชมทั้งหมดหน้าซีดเผือดทันที

ทุกคนหวาดผวาไปหมดขณะที่พวกเขาตะลึงงันมองดูภาพที่เกิดขึ้นข้างหน้า ทุกคนหวาดกลัวจนไม่ทราบว่าจะทำเช่นไร

หลังจากนั้นราวๆ หนึ่งนาที เมฆดำทะมึนและสายฟ้าก็หายไป

พายุหมุนค่อยๆ พัดช้าลง และเผยให้เห็นเสือดาวสายฟ้าและอสรพิษโลหะที่ร่างของพวกมันกลายเป็นสีดำอยู่กลางอากาศ พวกมันร่วงลงมากลางเวทีต่อสู้ที่ยังมีน้ำท่วมขัง ทำให้น้ำกระเด็นกระจาย อินทรีสายฟ้ากางปีกลอยตุ๊บป่องอยู่เหนือน้ำ ไม่มีใครรู้ว่ามันยังเป็นหรือตาย ขณะที่ตะกวดศิลาที่จมอยู่ใต้น้ำ ได้กลายเป็นตุ๊กตาหินไปนานแล้ว

นอกจากจ้าวมังกรทองที่เป็นอสูรแข็งแกร่งที่สุดและมังกร(จีน)ขาวหางดำที่ผสานร่างกับไป๋หวินเฟย อสูรของไป๋หวินเฟยทั้งหมดถูกสังหารตายคาที่จนหมด

ไป๋หวินเฟยยืนอยู่บนเวทีต่อสู้ด้วยอาการมึนงง สีหน้าของเขาขาวซีดไม่มีชีวิตชีวาราวกับซอมบี้

ที่เบื้องหน้าของเขา เย่ว์หยางที่ยังยืนแช่อยู่ในน้ำระดับเอว ก็ยังไม่ได้เคลื่อนย้ายไปจากจุดเดิมที่ยืนอยู่ ขณะที่เงาที่ดูเหมือนกับเขา ยังคงต่อสู้กับอสูรจ้าวมังกรทองอย่างดุเดือด

ทุกคนต่างก็จับจ้องอยู่กับการต่อสู้ ขณะที่พวกเขามองดูอยู่ เมดูซา นางเงือกและนาคาก็หายไปจากเวทีต่อสู้ทันที ราวกับว่าพวกเขาไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน แม้แต่อสูรลึกลับที่สองที่คลุมตัวก็ยังหายไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยเช่นกัน นักรบหลายคนรู้สึกชัดเจนได้ทันทีว่านี่อาจเป็นจุดอ่อนของคุณชายสามตระกูลเย่ว์ และว่ามีขีดจำกัดเวลาที่จะเรียกสัตว์อสูรของเขา คนอื่นๆ อาจเรียกหรือเก็บอสูรของพวกเขาได้ถึงชั่วโมง แต่อสูรของคุณชายสามตระกูลเย่ว์นี้บางทีอาจสู้ได้แค่หนึ่งนาที แน่นอนว่า หนึ่งนาทีก็เพียงพอจะกำจัดศัตรูของเขาแล้ว

ซากที่นอนอยู่บนเวทีต่อสู้ทั้งหมดเป็นข้อพิสูจน์ถึงพลังที่ไม่ธรรมดาของคุณชายสามตระกูลเย่ว์แล้ว

ในเวลาแค่นาทีเดียว อสรพิษโลหะของไป๋หวินเฟยก็กลายเป็นงูย่าง ขณะที่เสือดาวสายฟ้าก็กลายเป็นเสือย่าง ผิวของมันถูกสับฟันอย่างไร้ความปราณีด้วยมีดสายลม ตะกวดศิลาของเขาก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นหิน ขณะที่อินทรีสายฟ้าของเขาถูกนางพญากระหายเลือดใช้มีดทองฆ่ามังกรแทงเข้าที่หัวของมัน

น้ำลดลงอย่างรวดเร็ว และเมื่อร่างของนางพญาหงมาปรากฏตัวที่เบื้องหลังของเย่ว์หยาง น้ำที่ท่วมเวทีต่อสู้ก็เหลือเพียงระดับเข่า

เงาปีศาจผละออกมาจากการต่อสู้กับจ้าวมังกรทองแล้ว มันหมดกำลังความสามารถของมันแล้ว ดังนั้นมันจึงหายไปอย่างเงียบๆ

จ้าวมังกรทองลงมาอยู่ข้างๆ ไป๋หวินเฟย ร่างใหญ่โตของมันโอนเอนเล็กน้อย มันฝืนตัวยืนเหมือนไม่มีอะไร แต่ในที่สุดมันล้มลงกับพื้นเสียงดังสนั่น หลังจากดิ้นรนเป็นเวลานาน ในที่สุดมันก็ฝืนตัวเองกางปีกและพยุงตัวยืนขึ้นมาได้อีก ร่างของมันเต็มไปด้วยรอยถูกฟันและบาดแผลบอบช้ำ หนังของมันฉีกขาดอยู่หลายแห่ง ลำตัวและปีกของมันเต็มไปด้วยบาดแผล และมันดูทุกข์ทรมานมาก เลือดของมันหยดลงบนน้ำทีละหยด จากนั้นก็ไหลเป็นสายลงสู่ผิวน้ำ

แม้ว่ามันจะสู้กับปีศาจเงาและเอาชนะได้หลังจากอดทนจนถึงที่สุด แต่มันก็ได้รับบาดเจ็บหนักด้วยฝีมือของปีศาจเงา ก่อนที่ปีศาจเงาจะหายไป

ปีศาจเงาเป็นแค่เงาร่างหนึ่ง ดังนั้นมันจึงไม่ตายจากอาการบาดเจ็บ

จ้าวมังกรทองพ่ายแพ้ แต่มันก็ยังคิดว่าตัวเองชนะ

เพราะมันเป็นสัตว์อสูรตัวหนึ่ง ทุกๆ บาดแผลที่เจ็บปวดทรมานก็เท่ากับอยู่ใกล้ความตาย

ก่อนหน้านี้ นางพญาหงอสูรแพลตตินัมจะไม่ได้เข้าร่วมสู้ด้วย ถ้านางพญาหงร่วมมือกับปีศาจเงาสู้กับจ้าวมังกรทองด้วยกัน อย่างนั้นจ้าวมังกรทองก็จะแพ้อย่างรวดเร็ว แม้ว่าผู้ชมจะไม่เข้าใจว่าทำไมนางพญาหงจะไม่ยอมเข้าร่วมสู้ด้วย ทุกคนสามารถเห็นจุดจบที่เหมือนกัน

จ้าวมังกรทองซึ่งได้รับบาดเจ็บอย่างหนักจะสู้กับนางพญาหงได้ยังไงกัน นางคือนางพญากระหายเลือดอสูรแพลตตินัมที่มีมีดทองฆ่ามังกรในมือ

บางที บางทีคงเหลือแต่เพียงหนทางตายสายเดียว

พอเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเขา ไป๋หวินเฟยคุกเข่ากับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรงทันที

มือของเขาพยุงค้ำตัวเองไว้อย่างอ่อนแรง ขณะที่เขาหมอบลงกับเวทีต่อสู้

สัตว์อสูรของเขาตายเกือบหมดก็สร้างความเจ็บปวดให้เขาแล้ว

ประเมินกำลังของคู่ต่อสู้ผิดและอวดดีผิดที่ทำให้ชื่อเสียงของเขาย่อยยับอัปราชัย

ถ้าคุณชายสามตระกูลเย่ว์เป็นคนอื่น เขาผู้ยังมีจ้าวมังกรทองและมังกร(จีน)ขาวหางดำก็คงจะสู้จนถึงที่สุดแน่นอน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ เขาคุกเข่าอย่างไร้เรี่ยวแรงไม่สามารถจะสู้ต่อไปได้.. เส้นใยความคิดสุดท้ายที่จะสู้มันกระเจิดกระเจิงไปหมดเพราะภาพที่ปรากฏอยู่ข้างหน้าเขา เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ไป๋หวินเฟยรู้สึกว่าเงาแห่งความตายครอบงำอยู่เหนือจิตใจเขา

เขาหวาดหวั่นต่อความตาย หวาดหวั่นมากถึงขนาดไม่กล้าสู้กับคุณชายสามแห่งตระกูลเย่ว์ผู้น่ากลัวอีกต่อไป

เจ้าคนที่ไม่ธรรมดานั่นไม่มีใครสามารถเอาชนะเขาได้

ไป๋หวินเฟยต้องการหลบหนีไปจากที่นี้และจบการต่อสู้โดยเร็ว

“ข้าแพ้, ข้า, ข้าขอรับความพ่ายแพ้…” ถ้ามีคนบอกเมื่อสามนาทีที่แล้วว่าไป๋หวินเฟยจะคุกเข่ากับพื้นยอมรับความพ่ายแพ้ เขาคงคิดว่าคนผู้นั้นบ้าไปแล้ว ถ้าเป็นคนอื่น คงไม่มีใครเชื่อว่าคนที่หยิ่งยโสอย่างไป๋หวินเฟยจะคุกเข่ากับพื้นร้องขอความเมตตาจริงๆ

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นความจริง

เย่ว์หยางซ่อนสีหน้าความรู้สึกอยู่เบื้องหลังหน้ากากคนคู่ แต่น้ำเสียงของเขาพึงพอใจมาก มันเป็นเสียงที่ชวนให้ถูกทุบตีจริงๆ “ประมุขน้อยนิกายภูเขาหมอก อันตัวท่านใครๆ ก็รู้จักกันว่าเป็นวีรบุรุษหมายเลขหนึ่งของโลกนี้ และท่านก็ยังรู้สึกเหมือนว่าเป็นคนฉลาดที่สุดในโลก ท่านพูดอะไรอย่างนั้นอีกได้ไหม? พูดดังๆ! ข้าก็แค่สวะที่มีปัญหาในการรับฟัง ตอนนี้ข้าไม่ได้ยินท่านเลย นี่ ท่านประมุขน้อยผู้ครอบครองจ้าวมังกรทองอสูรทองระดับ 7 ที่งามสง่า เมื่อก่อนหน้านั้นท่านพูดอะไรไป? จงพูดออกมาดังๆ!”

เมื่อผู้ชมได้ยินเช่นนั้น ทุกคนรู้สึกขายหน้าแทนไป๋หวินเฟย

คนจำนวนมากคิดว่าไป๋หวินเฟยจะโกรธและพุ่งเข้าทำร้ายเย่ว์หยางยอมต่อสู้ด้วยมุ่งหมายว่า ท่านไม่ตายก็เป็นเราสิ้น

คาดไม่ถึงเลยว่า ขณะที่ผู้ชมเพ่งมองดูจนตาแทบถลนจากเบ้า ไป๋หวินเฟยกล้ำกลืนฝืนใจโขกหัวลงกับน้ำ และเมื่อเขาโขกศีรษะเสร็จแล้ว เขาตะโกนตอบดังๆ ว่า “ข้ายอมแพ้, ข้ายอมแพ้!, ท่านชนะศึกนี้”

คำตอบนี้สร้างความผิดหวังลึกๆ ให้กับผู้ชม ประมุขน้อยนิกายภูเขาหมอกทำแบบนี้ได้ยังไง? เขาไม่ได้เป็นคนขลาดเขลาไม่ใช่หรือ?

ลูกผู้ชายฆ่าได้ แต่หยามไม่ได้

เขายังมีจ้าวมังกรทอง อสูรทองระดับ 7 และมังกร(จีน)ขาวหางดำ อสูรทองระดับ 6 ทำไมเขาถึงยอมรับความพ่ายแพ้ก่อนจะเริ่มสู้เล่า? แม้ว่านักเรียนไตตันตาบอดจะไม่ใช่นักสู้ธรรมดา แต่อสูรอัญเชิญของเขาก็หายไปหมดแล้ว เขาเหลืออยู่แต่นางพญากระหายเลือดเท่านั้น ดังนั้นไป๋หวินเฟยอาจจะมีโอกาสก็ได้ แม้ว่าเขาจะแพ้ในที่สุด ความพ่ายแพ้ของเขาก็ยังถือว่ามีเกียรติ เขาคุกเข่าร้องขอความเมตตาและยอมรับความพ่ายแพ้ทั้งที่สู้กลางครันได้อย่างไร?

ไป๋หวินเฟยถูกตัวประหลาดไตตันรังแก

ตอนแรกทุกคนก็เห็นอกเห็นใจเขา แต่พอเห็นเขาร้องขอความเมตตาในตอนนี้ พวกเขาก็เลยดูถูกเขาอย่างช่วยไม่ได้

ไม่ว่าเขาจะแพ้หรือไม่ เขาก็ควรเป็นเหมือนเจ้าอ้วนไห่และเย่คงก่อนหน้านั้น เย่ปิงที่ยังเป็นสาวน้อยก็ยังแพ้ แต่ไม่มีใครรู้สึกว่าพวกเขาเป็นสวะ

มันเป็นเรื่องปกติที่ไม่อาจจะเทียบได้ในเรื่องฝีมือทักษะ พวกเขาทุกคนยังอายุน้อย ตราบใดที่พวกเขายังคงฝึกฝนอย่างหนักต่อไปในอนาคตและศึกษาเพิ่มขึ้น พวกเขาก็ยังสามารถมาแข่งขันกับคู่ต่อสู้ของเขาได้อีก อย่างไรก็ตาม ถ้ามีคนคุกเข่าร้องขอความเมตตาเพราะเห็นว่าสถานการณ์ไม่เป็นไปอย่างที่พวกเขาต้องการหลังจากการต่อสู้ผ่านไปได้ครึ่งทางนั่นเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจสุดๆ

ประมุขน้อยนิกายภูเขาหมอกผู้นี้ เขายังคงเป็นลูกผู้ชายอยู่หรือเปล่า?

ถ้าเขาไม่กล้าสู้ทั้งที่ยังมีจ้าวมังกรทอง อสูรทองระดับ 7 และมังกรขาวหางดำ เขาควรเอาหัวโขกกับเต้าหู้ตายไปซะ

พอเห็นท่าทีของไป๋หวินเฟย ผู้ชมทั้งหมดก็เริ่มปั่นป่วน

คนนับไม่ถ้วนที่ครั้งหนึ่งเคยยกย่องเทิดทูนไป๋หวินเฟยต่างพากันโกรธ พวกเขาทุกคนกลับใจชอบเย่คงและเจ้าอ้วนไห่ แล้วเอาวิธีการของพวกเขามาใช้โดยชูนิ้วกลางใส่ไป๋หวินเฟยแสดงความดูถูกอย่างที่สุด

กลับกลายเป็นว่าคนที่หยิ่งและถือดีอย่างไป๋หวินเฟยนี้ ความจริงก็เป็นแค่คนขี้ขลาดที่ชอบรังแกคนอื่น…

เมื่อผู้ชมคิดถึงเรื่องที่เขาเคยยกย่องเทิดทูนประมุขน้อยผู้นี้ในครั้งก่อนแล้ว พวกเขาแค้นแทบกระอักเลือดจริงๆ

พวกเขาจะไม่มีทางได้รู้ถึงความขลาดเขลาของเขาได้ ถ้าเขาไม่ยอมแพ้ในการต่อสู้

“ประมุขน้อย, ได้โปรดลุกขึ้น เราต้องมีจิตวิญญาณนักสู้ที่ยอมตายดีกว่ายอมรับความพ่ายแพ้” เซี่ยเชียนเริ่นกระโดดขึ้นไปบนเวที ตะโกนเสียงลั่น บางทีเขาทำแบบนั้น เพราะต้องการให้ไป๋หวินเฟยทุกข์ใจเพราะความอับอายมากกว่า มันจะลำบากยิ่งขึ้นหากเขาจะลงไปจากเวทีตอนนี้

“ยืนขึ้น! สู้กับเขาจนถึงที่สุด!” ศิษย์ของนิกายภูเขาหมอกแต่ละคนหวังว่าไป๋หวินเฟยจะลุกขึ้นยืนและสู้กับเย่ว์หยางจนถึงที่สุด มิฉะนั้น นิกายภูเขาหมอกจะยอมรับความพ่ายแพ้เช่นนี้ได้อย่างไร?

“….” มีแต่เพียงศิษย์ลึกลับที่ไม่ยอมพูดอะไร สายตาของเขาแสดงออกลางๆ ถึงการสนับสนุนการตัดสินใจของไป๋หวินเฟยที่ยอมรับความพ่ายแพ้ทันที

“บางทีเขาคิดถูกแล้วที่ทำอย่างนั้น” เฟิงชิซา, เหยียนพั่วจวินและคนอื่นที่ได้ต่อสู้กับศัตรูที่น่ากลัวมามากมายนับไม่ถ้วนรู้มากกว่าและลึกกว่านับรบตามปกติ

เฟิงชิซา, เหยียนพั่วจวินและคนอื่นๆ รู้ว่ามีโอกาสเพียงหนึ่งในร้อยที่จะเอาชนะได้ หากไป๋หวินเฟยไม่คุกเข่าและร้องขอความเมตตาเย่ว์หยาง

เขาเหมือนถูกทอดทิ้งไม่มีทางออก

เขาไม่สามารถจะสู้ต่อได้

มิฉะนั้น คนที่เย่อหยิ่งอย่างไป๋หวินเฟยจะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร เว้นแต่เขาไม่มีวิธีอย่างอื่น เขาถึงได้หมอบลงต่อหน้าศัตรู

ยิ่งไปกว่านั้น เขายังคุกเข่าต่อหน้าผู้ชมนับแสนคน นั่นต้องใช้ความกล้าแค่ไหน? ถ้าเป็นเฟิงชิซาและเหยียนพั่วจวิน พวกเขายอมตายแทนที่จะคุกเข่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุกเข่าต่อหน้าศัตรูอย่างเย่ว์หยาง

ทั้งนี้เป็นเพราะหัวใจของตัวประหลาดอย่างคุณชายสามตระกูลเย่ว์นี้ ไม่ได้สร้างจากเต้าหู้ เขาจะฉีกหน้าฝ่ายตรงข้ามจนกระทั่งโลกแตกนั่นแหละ

คุกเข่าให้เขาก็เท่ากับขอให้เขากดขี่ตนเอง

เฟิงชิซาและเหยียนพั่วจวินสังเกตว่าข้อเท้าขวาของไป๋หวินเฟยมีด้ายทองเชื่อมถึงข้อเท้าขวาเย่ว์หยาง

พวกเขาไม่เห็นว่าเย่ว์หยางเชื่อมด้ายทองนั้นเข้ากับขาขวาของไป๋หวินเฟยตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่พวกเขารู้สึกได้ทันทีว่าคงเป็นเพราะด้ายทองถึงทำให้ไป๋หวินเฟยคุกเข่าร้องขอยอมแพ้ เป็นมันแน่นอน แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าด้ายทองนี้มีไว้เพื่ออะไร แต่ต้องใช่แน่ๆ เป็นเพราะลักษณะที่ประมุขน้อยผู้หยิ่งผยอง ไป๋หวินเฟยถูกบังคับให้คุกเข่าต่อหน้ามหาชน

ทูตมังกรชังหลันวี่และองค์ชายสือจินขมวดคิ้วทั้งคู่ พวกเขาก็เพิ่งสังเกตเห็นความดำรงคงอยู่ของด้ายทองเช่นกัน

ด้ายทองเล็กๆ นี้ สามารถใช้ทำอะไรได้กันแน่?

คุณชายสามแห่งตระกูลเย่ว์ใช้มันทำให้ไป๋หวินเฟยต้องอับอายขายหน้า หรือว่าด้ายทองนี้เป็นอาวุธเทพเจ้า?

**************

Long Live Summons เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์

Long Live Summons เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์

LLS, Triệu Hoán Vạn Tuế, Zhaohuan Wansui, 召唤万岁
Score 7.6
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2010 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Long Live Summons เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์ ทวีปมังกรทะยานคือโลกแห่งการอัญเชิญ คุณจะกลายเป็นคนแข็งแกร่งได้ ถ้าเพียงแต่คุณเป็นผู้อัญเชิญ! ยิ่วหยางเด็กนักเรียนมัธยมปลายธรรมดาถูกส่งเข้ามาในโลกนี้อย่างฉับพลันทัน ด่วน เมื่อเขาฟื้นขึ้นกลับได้พบใบหน้าของหลายคนที่เต็มไปด้วยความห่วงใย และพบว่าเขาเป็นตัวตนของอีกคนหนึ่ง กลับกลายเป็นว่าเขาเป็นบุตรที่ไม่เอาไหนของตระกูลยิ่ว จนถึงกับโดดน้ำตายเพราะถูกปฏิเสธการหมั้น อีกทั้งไม่สามารถจะทำพันธสัญญากับคัมภีร์อัญเชิญได้ แต่ยิ่วหยางกลับประสบความสำเร็จทำสัญญากับคัมภีร์ ส่วนเรื่องราวจะเป็นเช่นไรต่อไป ขอเชิญติดตามดูครับ ความจริงในการแปลครั้งนี้มาจากแรงบันดาลใจที่ไม่ได้จะเป็นนักเขียนนักแปล หรอกครับ เกิดจากการอ่านมันฮัวการ์ตูนของจีนแล้วชอบ พยายามหาดูที่แปลเป็นอังกฤษ ก็แปลกันไปได้น้อยนิด แต่พอดูฉบับนิยายรู้สึกว่าเขาแปลไปได้เยอะ จึงลองเข้าอ่าน แต่เพราะความที่ภาษาไม่แข็งแรง จึงต้องดูไป เปิดดิคฯ ไปใช้โปรแกรมแปลช่วยบ้าง มีความรู้สึกว่าอ่านไม่ต่อเนื่อง จึงคิดว่าน่าจะแปลข้อมูลเก็บไว้ในเว็บๆ หนึ่งแล้วค่อยอ่านเป็นตอนๆ ให้ต่อเนื่องไปเลยดีกว่า แล้วก็นึกถึงที่นี่

Comment

Options

not work with dark mode
Reset