เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์ – ตอนที่ 39 – เกิดมาเพื่อโดนซ้อม

===============
จดหมายของเย่ว์ปิงเขียนไว้อย่างคลุมเครือ แค่เพียงระบุว่านางถูกขับออกจากกลุ่ม และตอนนี้ต้องเสร็จสิ้นการฝึกด้วยตัวนางเอง

ที่นางคลุมเครือไม่ว่าเรื่องนี้ให้ชัดแสดงว่านี่อาจมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับเย่ว์เยี่ยนบุตรลำดับ 4 ของครอบครัวสาขาที่ 2

จากจดหมาย เห็นได้ว่า คุณหนูเย่ว์ปิงรู้สึกว่านางทำอะไรก็ผิด แล้วก็โกรธ สำหรับพี่สี่ แม้ว่าเขาจะมาจากตระกูลเดียวกับนาง ไม่เพียงแค่ไม่ยอมช่วยเหลือเท่านั้น แต่กลับยุยงให้แตกแยก ชอบกระพือไฟขัดแย้ง จนในที่สุด นางก็ถูกบังคับให้ฝึกเพียงลำพัง เพราะนางถูกขับออกจากทีมทั้งที่การฝึกเกือบจะเสร็จอยู่แล้ว ในจดหมายคุณหนูเย่ว์ปิง แม้จะเตือนหญิงงามไม่ให้บอกพี่สามเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ เพื่อให้เขาไม่ต้องกังวลถึงนาง อย่างไรก็ตามหลังจากเกิดเรื่องโจรที่เขาดำ หญิงงามปฏิบัติกับเย่ว์หยางบุตรของนางเหมือนกับเป็นเสาหลักของครอบครัว ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้น นางจะไม่เก็บงำไว้จากเขา

“แม่สี่, ข้าจะไปพาน้องปิงเอ๋อกลับบ้าน แม้ว่าข้าจะเพิ่งทำสัญญากับคัมภีร์อัญเชิญ แต่ข้าน่าจะช่วยน้องปิงเอ๋อได้บ้าง”

หญิงงามไม่สงสัยคำพูดเย่ว์หยางเลย พฤติกรรมที่ผ่านมาของเขาทำให้นางสบายใจอย่างมาก นางรู้สึกว่าบุตรคนนี้โตขึ้นเป็นลูกผู้ชายเต็มตัว เขาเปลี่ยนแปลงตนเองได้แล้ว

คืนนั้นนางคิดว่า โจรภูเขาดำจะเข้าปล้นเมืองไป๋ฉือและในใจนางถึงกับตื่นเต้น อย่างไรก็ตามเขาบอกว่าจะใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดของเขาปกป้องครอบครัวเขา พอได้ฟังคำเหล่านั้นทำให้นางคลายใจได้มาก

ในที่สุดลูกสามของนางก็เติบโตแล้ว

นางเห็นด้วยกับคำขอเย่ว์หยางที่จะไปพาเย่ว์ปิงกลับ อย่างไรก็ตาม นางปฏิเสธคำขอของเขาที่คิดจะส่งตัวนางกลับไปที่ปราสาทตระกูลเย่ว์ก่อน

แม้ว่าหญิงงามจะเป็นคนมีนิสัยจิตใจเมตตา และเคยชินกับการเก็บความทุกข์ไว้กับตัวเอง นางยังถือตัว แม้จะไม่ได้พูดออกมาก็ตาม เมื่อตระกูลรู้สึกว่าสามีของนางไม่มีอนาคต พวกเขาบังคับให้ครอบครัวนางออกจากตระกูลโดยย้ายตระกูลสาขาที่สี่ออกมาจากปราสาทตระกูลเย่ว์ไปยังภูเขาที่มีเมฆหมอกปกคลุม ในที่ไกลออกไป พวกเขาเป็นต้นเหตุให้สามีของนางจมอยู่กับตำแหน่งข้าราชการชั้นผู้น้อย เป็นการทำร้ายจิดใจนางเพิ่มขึ้นไปอีก การอยู่อาศัยในเมืองไป๋ฉือไม่มีทางสงบและปลอดภัย แต่แม้เป็นอย่างนั้น ไม่ว่าได้รับการปกป้องอย่างดีจากปราสาทตระกูลเย่ว์ขนาดไหนก็ตาม ถ้าไม่ใช่ผู้อาวุโสของตระกูลขอให้นางกลับปราสาทตระกูลเยว์เป็นการส่วนตัวแล้ว นางจะไม่สมัครใจกลับไปตระกูลที่กวาดนางทิ้งเหมือนฝุ่นบนพื้นแน่นอน

สามีของนางเป็นบุตรกตัญญูและนางไม่คัดค้านการที่เขาทำงานเพื่อตระกูลเย่ว์ทั้งปี แม้จะทำให้เขายุ่งมากจนต้องอยู่ห่างจากลูกและเมียก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ในหัวใจนาง นางยึดคติอย่างหนึ่งว่านางจะมุ่งมั่นก้าวหน้าและจะไม่ยอมทนรองรับอารมณ์ของครอบครัวสาขาที่ 1 และ 2 ต่อไป

ซานเอ๋อทำสัญญากับคัมภีร์อัญเชิญได้สำเร็จเป็นความสมปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่นางรอคอยมาถึง 15 ปี ตอนนี้นางสมปรารถนาแล้ว นางไม่มีความต้องการอย่างอื่น และไม่มีแนวโน้มที่กลับปราสาทตระกูลเย่ว์ไปพบความเย็นชาและคำพูดเหน็บแนมครอบครัวนาง

สำหรับหญิงงามแล้ว ตราบใดที่บุตรชายมีความก้าวหน้าและธิดานางเป็นเด็กดี นั่นเป็นสิ่งสำคัญมากกว่าอะไรอื่น

“แม่สี่! หลังจากข้าพบน้องปิงเอ๋อแล้ว ข้าจะพานางกลับมาเลย ขณะที่ข้าไม่อยู่ ท่านกับน้องชวงเอ๋อต้องรักษาตัวเองให้ปลอดภัย หลายวันมานี้ เมืองไป๋ฉือมีเรื่องผิดปกติและไม่ดีเกิดขึ้นมากเสียด้วย” เย่ว์หยางย้ำเตือนอีกครั้ง แต่หญิงงามปกติก็ไม่ได้ออกไปที่ไหนบ่อยอยู่แล้ว นอกจากนั้นยังมีคนรับใช้ผู้ซื่อสัตย์อีก 2-3 คนคอยดูแลพวกนาง ดังนั้นคงไม่มีปัญหาอะไร ที่สำคัญที่สุดคือแม้ว่าเย่ว์หลิงจะเป็นข้าราชการผู้น้อยไม่มีอำนาจที่แท้จริง จะดีหรือร้ายก็ยังเป็นกุลบุตรของตระกูลเย่ว์ ดังนั้น แม้แต่ทหารรับจ้างที่กล้าหาญหรือโจรก็ไม่กล้ารนหาเรื่องกับตระกูลอย่างนี้แน่ ชื่อเสียงของสี่ตระกูลใหญ่ปรากฏอยู่ที่นี่และถือเป็นสิ่งป้องกันที่ดี

“ข้าเข้าใจ, ลูกสาม! เจ้าก็ต้องระวังตัวให้ดีนะ” ได้ยินคำพูดเหล่านั้น หญิงงามชุ่มชื่นใจเหมือนได้ดื่มน้ำผึ้ง

ไม่น่าเชื่อเลยว่า บุตรชายผู้เงียบขรึมผู้นี้แสดงความห่วงใยนางอย่างมาก เขาเติบโตขึ้นจริงๆ เทียบกับเมื่อก่อนแล้ว เขามีความคิดริอ่านเพิ่มขึ้นมาก

หลังจากส่งเย่ว์หยางเดินทางแล้ว หญิงงามก็ตระหนักถึงบางเรื่องได้ทันทีว่า ดูเหมือนว่าลูกสามของนางเลิกทุกข์ใจเรื่องที่คุณหนูตระกูลเสวี่ยปฏิเสธข้อเสนอแต่งงานของเขาแล้ว ตอนนี้เขาเลิกนึกถึงความเจ็บปวดนั้นแล้ว บางทีนางอาจช่วยหาผู้หญิงที่คู่ควรให้เขาอีกดีไหม?

เย่ว์หยางไม่ได้มุ่งหน้าไปที่จวนของเจ้าเมืองไป๋ฉือเพื่อขอกำลังคุ้มครองทันที เขาไม่ได้ช่วยจ่ายทองเพื่อขอให้คุ้มครอง แต่เพื่อให้รักษาความลับของเขามากกว่า

เท่าที่เป็นไปได้ เขาไม่ปรารถนาจะพบนักสู้ใดๆ จากเมืองไป๋ฉือทั้งนั้น

ตอนนี้ จอมยุทธ์ดาบทองกับเจ้าเมืองไป๋ฉือกำลังร่วมกันสืบสวนหาความจริงเหตุการณ์ที่ป่าบันเทิงถูกไฟไหม้ ราชอาณาจักรส่งหน่วยสืบสวนพิเศษมาร่วมด้วยและเย่ว์หยางไม่ต้องการให้สถานะของเขาถูกคนอื่นตรวจพบ จนเป็นเหตุให้คนพวกนั้นโกรธเขา ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนนั้นเขาได้ฝังแขนของจ้าวปีศาจฮาซินในที่ลับตาบนภูเขาดำ แต่เขาตัดสินใจเอามันออกไป หลังจากน้ำแข็งละลายหมดแล้ว แขนก็มีเลือดหยดต่อ และเลือดแต่ละหยดจะกัดกร่อนพื้นจนแม้แต่หินก็ติดไฟ

ดังนั้นตอนนี้ ในเวลากลางวัน เย่ว์หยางฝังมันไว้ใต้ดินลึกและกลางคืนก็ขุดออกมากระจายสิ่งสกปรกในเลือดปีศาจโดยใช้ปราณชั้นก่อกำเนิดช่วย

แขนของจ้าวปีศาจระดับ 8 ฮาซิน เหมาะสำหรับใช้วิวัฒนาการต้นดอกหนามของเขามากกว่าตัวมนุษย์เป็นๆ เสียอีก คงก้าวหน้าได้อย่างไม่มีปัญหาแน่นอน แต่เย่ว์หยางไม่เต็มใจยอมให้ต้นดอกหนามกินมันทั้งหมดในตอนนี้

เย่ว์หยางหวังว่าหลังจากยกระดับต้นดอกหนามขึ้นเป็นชั้นทอง โดยยืมพลังแขนของจ้าวปีศาจฮาซิน เขาสามารถวิวัฒนาการมันให้เป็นรูปมนุษย์ “นางปีศาจดอกหนาม”

เฉพาะเวลานั้นก็ค่อยให้กลืนแขนของจ้าวปีศาจฮาซินเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด

แม้ว่ากำหนดเดินทางของเขาจะล่าช้าไปอีก 2 วัน นอกจากนี้เขาต้องรีบซ่อนแขนของเจ้าปีศาจ มุ่งหน้าตรงไปยัง 2 เมืองคือ เมืองหงหลินและเฮยหยาน ตามรายทางเขากำจัดนักสู้ชั้นวีรบุรุษ ระดับ 3 ตามบัญชีล้างแค้นล่าค่าหัวไป 6 คน และโจรป่า 50 คนได้ตามไล่ล่าเขาแต่ก็กลายเป็นปุ๋ยของต้นดอกหนามในที่สุด หลังจากกินมนุษย์ไปมากกว่า 200 คน ต้นดอกหนามพ่นพิษจากแต่เดิมที่มีขนาดเล็กและอ่อนแอในที่สุดก็พัฒนาจนถึงระดับชั้นทอง

ต้นดอกหนามในปัจจุบันมีก้านหนากว่าขาของมนุษย์ สูง 5 เมตร ปกคลุมไปด้วยหนาม

กลีบดอกเดิมเริ่มค่อยๆ กลายเป็นหัวคนขนาดใหญ่ มีรูปหน้าที่ยังไม่ชัด จุดโตๆ 2 จุดดูคล้ายดวงตามนุษย์

ช่องตรงกระเพาะของมันมีฟันแหลมคมคล้ายใบมีด ตอนนี้ เมื่อมันกินคนมันสามารถกลืนได้ภายใน 10 วินาที และภายใน 2 นาที มันก็จะถูกย่อยโดยสิ้นเชิง ก้านที่หนานั้นเป็นเช่นกับเหวลึก ไม่ว่ามันจะกินคนไปมากแค่ไหน ก็ย่อมทำได้ทุกเมื่อ

หลังจากวิวัฒนาการไปเป็นชั้นทอง ระดับ 1 ดอกหนามพ่นพิษหน้ากากปีศาจก็กลายเป็น ดอกหนามพ่นพิษนัยตาเวท

ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ต้นดอกหนามจะเริ่มมีสัญชาตญาณของสัตว์บางอย่าง

ตัวอย่างเช่น ตอนนี้มันสามารถรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหว แน่นอนว่ามันไม่มีตา มันไม่ได้มองสิ่งต่างๆ โดยตรง แต่มันก็คล้ายกับงูใช้ลิ้นสัมผัสพลังงานความร้อน หรือแมงมุมใช้ขนสัมผัสความเคลื่อนไหวในอากาศซึ่งเป็นผลให้มันเหมือนกับมีตา นี่คือหนทางเข้าถึงเป้าหมายที่ยอดเยี่ยมโดยใช้วิธีการที่แตกต่างกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ต้นดอกหนามชั้นทอง เริ่มมีความรู้สึกพื้นฐานบ้างแล้ว แม้ว่ามันจะไม่สามารถคิดได้ แต่มันสามารถทำตามคำสั่งที่เย่ว์หยางมอบให้ทางกระแสจิต แม้จะอยู่ระยะไกลก็ตาม

ต้นดอกหนามพ่นพิษ นัยตาเวท ชั้นทองระดับ 1 แม้ว่ามันยังคงอยู่ในระดับ 1 แต่ความแข็งแกร่งของมันอย่างน้อยก็แข็งแกร่งกว่าชั้นเงินถึง 10 เท่า

ยิ่งไปกว่านั้น แม้เป็นอสูรชั้นทองที่อ่อนแอที่สุด ก็ยังเทียบเท่าอสูรชั้นทั่วไประดับ 4 เย่ว์หยางรู้สึกว่าต้นดอกหนามของเขานี้ได้ยกระดับโดยใช้คนเป็นๆ ในการต่อสู้ก็จะแข็งแกร่งกว่าอสูรชั้นทั่วไประดับ 4

“ตราบใดที่เจ้ายังประสบความสำเร็จได้เป็นนางปีศาจดอกหนาม แล้วข้าจะตั้งชื่อให้เจ้า”

ในใจเขา เย่ว์หยางถือว่ารู้สึกได้ถึงความสำเร็จจริงๆ

การยกระดับต้นดอกหนามจากต้นดอกหนามพ่นพิษที่เล็กและอ่อนแอขึ้นเป็นต้นดอกหนามชั้นทอง นี่คือผลสำเร็จจากการทำงานอย่างหนักของเขา

เขาไม่รู้จริงๆ ว่ามันจะเป็นอะไรเมื่อในที่มันวิวัฒนาการไปเป็นนางพญาบุปผามงกุฎทอง… สิ่งเดียวที่เย่ว์หยางมั่นใจก็คือ เมื่อต้นดอกหนามวิวัฒนาการ มันมักวิวัฒนาการไปเป็นสตรี ไม่มีบุรุษ บางทีในโลกของต้นดอกหนามมันคงแพร่พันธุ์โดยการแบ่งตัวเอง จึงไม่มีบุรุษเพศดังกล่าวมาแล้ว

แค่อีกนิด ดอกหนามชั้นทองจะสามารถวิวัฒนาการเป็นนางปีศาจดอกหนาม

เย่ว์หยางตื่นเต้นมาก และถลันเข้าไปในเขาดำที่เหมือนกำมือ

อย่างไรก็ตาม ภาพที่เขาเห็นเมื่อไปถึงสันเขาที่ฝังแขนจ้าวปีศาจฮาซินไว้ ทำให้เขาโกรธจนตัวสั่น

แขนของจ้าวปีศาจฮาซินที่ถูกฝังไว้ถูกขุดออกมา แขนปีศาจขนาดยักษ์นั้นระเบิด แขนปีศาจขนาดยักษ์ได้สัมผัสกับอากาศและที่หลุมโคลน มีหมาป่าเล็บเหล็กตัวหนึ่งนอนเกลือกกลิ้งด้วยความเจ็บปวด

บางทีหมาป่าเล็บเหล็กนี้ หลังจากตามดมกลิ่นของปีศาจ จะเพราะเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ แทนที่จะวิ่งหนีไปเหมือนสัตว์ร้ายอื่น มันตัดสินใจเป็นขโมยแทน อย่างไรก็ตาม แขนของจ้าวปีศาจไม่ใช่สิ่งที่มันควรจะได้ ก่อนที่มันจะกินเนื้อสด มันเกือบจะเสียชีวิตน้อยๆ ของมันในที่แห่งนี้แล้ว เย่ว์หยางโกรธมากเขาคว้าหมาป่าเล็บเหล็กออกมาจากหลุมโคลนที่มันขุดไว้ ปล่อยให้มันโดนความเจ็บปวดเล่นงาน

เขาไม่ได้ห่วงเรื่องที่มันขโมยกินเนื้อจ้าวปีศาจ เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่หมาป่าจะกินได้

ยิ่งไปกว่านั้น ทันทีที่มันแตะต้องเลือดของจอมปีศาจ ปากของมันทั้งหมดจะถูกไฟปีศาจแผดเผาจนไหม้เกรียม

สิ่งที่ทำให้เย่ว์หยางโกรธก็คือว่าการกระทำของเขาอาจเป็นเหตุให้ทำร้ายคนอื่นๆ หลังจากขุดแขนจ้าวปีศาจออกมา ซึ่งถ้าใครเห็นมันเข้า…

โชคดี ที่นี่เป็นพื้นที่ป่าและภูเขา คงไม่มีใครมาที่นี่ ถ้าพวกเขามา แขนของจ้าวปีศาจที่ตัวเขาพยายามเก็บไว้อย่างยากลำบากจะกลายเป็นของสะสมของคนอื่น ทำให้ความพยายามของเขาสูญเปล่า บางที นี่ยังอาจเป็นเหตุให้ถูกลอบโจมตีได้ เขาอาจถูกล้อม หรือตกไปในวงล้อมของจอมยุทธ์ดาบทองและเจ้าเมืองไป๋ฉือทันทีที่ก้าวลงจากภูเขา

“เจ้ากล้าขโมยสมบัติข้าหรือ? เจ้าคิดว่าเพราะเจ้าดูเหมือนฮุยไท่หลางผู้น่าสงสารแล้วข้าจะยกโทษให้เจ้าหรือ?” เย่ว์หยางตีหมาป่าเล็บเหล็ก

อย่างไรก็ตาม มีบางอย่างที่รู้สึกแปลก หมาป่าตัวนี้แปลกจริงๆ ทำไมตัวของมันยิ่งถูกตี ก็ยิ่งแสดงความรู้สึกที่สบายล่ะ?

เป็นไปได้ว่ามันเหมือนกับฮุยไท่หลาง เกิดมาโดนซ้อมหรือ??

ฮุยไท่หลาง (จากการ์ตูนอื่น)

Long Live Summons เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์

Long Live Summons เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์

LLS, Triệu Hoán Vạn Tuế, Zhaohuan Wansui, 召唤万岁
Score 7.6
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2010 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Long Live Summons เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์ ทวีปมังกรทะยานคือโลกแห่งการอัญเชิญ คุณจะกลายเป็นคนแข็งแกร่งได้ ถ้าเพียงแต่คุณเป็นผู้อัญเชิญ! ยิ่วหยางเด็กนักเรียนมัธยมปลายธรรมดาถูกส่งเข้ามาในโลกนี้อย่างฉับพลันทัน ด่วน เมื่อเขาฟื้นขึ้นกลับได้พบใบหน้าของหลายคนที่เต็มไปด้วยความห่วงใย และพบว่าเขาเป็นตัวตนของอีกคนหนึ่ง กลับกลายเป็นว่าเขาเป็นบุตรที่ไม่เอาไหนของตระกูลยิ่ว จนถึงกับโดดน้ำตายเพราะถูกปฏิเสธการหมั้น อีกทั้งไม่สามารถจะทำพันธสัญญากับคัมภีร์อัญเชิญได้ แต่ยิ่วหยางกลับประสบความสำเร็จทำสัญญากับคัมภีร์ ส่วนเรื่องราวจะเป็นเช่นไรต่อไป ขอเชิญติดตามดูครับ ความจริงในการแปลครั้งนี้มาจากแรงบันดาลใจที่ไม่ได้จะเป็นนักเขียนนักแปล หรอกครับ เกิดจากการอ่านมันฮัวการ์ตูนของจีนแล้วชอบ พยายามหาดูที่แปลเป็นอังกฤษ ก็แปลกันไปได้น้อยนิด แต่พอดูฉบับนิยายรู้สึกว่าเขาแปลไปได้เยอะ จึงลองเข้าอ่าน แต่เพราะความที่ภาษาไม่แข็งแรง จึงต้องดูไป เปิดดิคฯ ไปใช้โปรแกรมแปลช่วยบ้าง มีความรู้สึกว่าอ่านไม่ต่อเนื่อง จึงคิดว่าน่าจะแปลข้อมูลเก็บไว้ในเว็บๆ หนึ่งแล้วค่อยอ่านเป็นตอนๆ ให้ต่อเนื่องไปเลยดีกว่า แล้วก็นึกถึงที่นี่

Comment

Options

not work with dark mode
Reset