เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์ – ตอนที่ 371 – อาสี่ลาลับ, รับภาระครอบครัว

ตอนที่ 371 อาสี่ลาลับ, รับภาระครอบครัว

ขณะที่เย่ว์หยางต้องการกลับไปยังทวีปมังกรทะยาน พอย่างเท้าออกมาจากหอทงเทียน เขาตั้งใจจะเทเลพอร์ตตรงไปที่วังเทียนหลัว

ในตอนแรก นักรบจากสมาคมนักรบเห็นว่าเย่ว์หยางกำลังลงมาจากหอทงเทียนชั้นหก พวกเขาต้องการจัดพิธีต้อนรับ ขณะเดียวกันก็ถือโอกาสล้วงถามข้อมูลหอทงเทียนชั้นที่หกจากเขา

เย่ว์หยางไม่มีเวลาจะยุ่งเกี่ยวกับพวกเขา ขณะที่เขาล้วงนามบัตรยื่นให้เขาและรีบเดินจากไปหลังจากบอกพวกเขาว่ามีธุระด่วน

พวกนักรบมองดูเย่ว์หยางด้วยความรู้สึกภูมิใจและเป็นเกียรติ

แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้จักเย่ว์หยางเป็นการส่วนตัว แต่ทุกคนในทวีปมังกรทะยานล้วนเคยได้ยินชื่อเสียงเลื่องลือของไตตันซึ่งก็คือคุณชายสามแห่งตระกูลเย่ว์นั่นเอง

การบุกปราสาทตระกูลเย่ว์ถึงสองครั้งสองครา ได้ฆ่านักสู้ปราณก่อกำเนิดไปถึงสามคน, ไล่ตามพวกเผ่าปีศาจบูรพากระทั่งถึงการรุกรานของวังมาร, เอาชนะกลุ่มนักสู้พันธมิตรเจ็ดดาว, สู้กับซุ่นเทียน, สังหารบิดาตัวปลอม… เกียรติคุณที่กล้าหาญเหล่านี้แพร่กระจายไปอย่างกว้างขวางในหมู่นักผจญภัยและนักรบถูกบันทึกไว้เป็นพงศาวดาร ในสถาบันที่เขาศึกษา การต่อสู้ของเย่ว์หยางถูกอาจารย์ผู้สอนยกให้เป็นกรณีศึกษา วิธีการอัญเชิญของเขา, การฝึกฝน, สัตว์อสูร, ทักษะและทุกสิ่งทุกอย่างถูกยกให้เป็นแบบแผนสำหรับนักรบทั่วโลกให้ปฏิบัติตาม อสูรสายพฤกษาที่อ่อนแอและอสูรรูปแบบพิเศษที่มีทักษะน่าสมเพชไร้ประโยชน์เหล่านั้นทั้งแหล่ได้กอบกู้ชื่อเสียงให้พวกมันภายใต้อิทธิพลของเย่ว์หยาง

ทักษะการต่อสู้ที่ต่ำที่สุดในโลกอย่างค้อนทุบศิลาและวิชามีดเหล็กสับที่นักผจญภัยเหยียดหยามที่จะฝึก ทุกอย่างได้รับการปรับปรุง

ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากคำพูดของเย่ว์หยาง

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่นักเรียนคนหนึ่งจากชั้นเรียนมรณะของสถาบันฉางชุนเฉิงไปเยี่ยมเย่ว์หยางที่ปราสาทตระกูลเย่ว์ เขาถามว่า “ทักษะต่อสู้ชนิดใดดีที่สุด?”

จากนั้นคำตอบของเย่ว์หยางก็คือ “ทักษะต่อสู้ที่ดีที่สุดก็คือทักษะต่อสู้ที่สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ ดาบพายุทะเลทรายขององค์ชายสือจินบางทีก็ไม่แข็งแกร่งไปกว่ามีดเหล็กสับ วิชาค้อนสายฟ้าของจ้าวสายฟ้า บางทีก็ไม่ดีไปกว่าวิชาค้อนบดศิลา วิชาต่อสู้ควรได้รับปรับปรุงแก้ไข สิ่งที่สำคัญก็คือผู้ใช้ต้องรู้จักยืดหยุ่นในการใช้ มีดเหล็กสับที่ใช้ออกโดยนักสู้ปราณก่อกำเนิด กับ ดาบพายุทะเลทรายที่ถูกใช้โดยนักสู้ระดับ 2 อย่างไหนทรงพลังมากกว่า? ไม่มีวิชาต่อสู้ที่กระจอก คงมีแต่นักรบที่กระจอกมากกว่า, ในทำนองเดียวกัน ไม่มีสัตว์อสูรที่ต่ำทราม คงมีแต่เจ้านายที่ต่ำทราม.. แค่ฝึกหนักและมีความสามารถเพียงพอ แม้แต่ผู้ฝึกวิชาดาบเหล็กสับหรือนักรบที่ทำสัญญากับอสูรที่มีพลังน่าสมเพช ก็ยังสามารถกลายเป็นนักสู้ระดับ 6 ได้ หรืออาจจะสูงกว่านั้นก็ได้”

เย่ว์หยางพูดเช่นนี้ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้นักเรียน

เขากลัวว่านักเรียนหัวกะทิในชั้นเรียนมรณะจะทะเยอทะยานและกังวลต่อการบรรลุผลสำเร็จมากเกินไป ดังนั้นเขาจึงใช้คำพูดที่รุนแรงอย่างนั้น

คำพูดของเขาถูกนักเรียนชั้นเรียนมรณะผู้นั้นนำไปเผยแพร่ขยายผล และไม่เพียงแต่สถาบันฉางชุนเฉิงเท่านั้น แม้แต่สถาบันที่เหลือทั่วทวีปมังกรทะยานก็ยังอ้างอิงคำพูดของเขามาใช้สอนนักเรียนของพวกตน

นักเรียนหัวกะทิในชั้นเรียนมรณะล้วนแต่มีพื้นฐานอย่างดีด้วยการสั่งสอนจากอาจารย์ดีๆ อยู่แล้ว อาทิ อาจารย์จิ้งจอกเฒ่า, อาจารย์ตาเหยี่ยวและแม่เฒ่าอู่เถิง พวกเขาจะกลายเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องในอนาคตแน่นอน ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด อย่างน้อยพวกเขาจะได้เป็นนักสู้ระดับ 6

แน่นอนว่า เย่ว์หยางสามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่า ถ้าพวกเขาฝึกฝนมากพอ พวกเขาจะกลายเป็นนักสู้ระดับ 6 ได้แน่นอน

อย่างไรก็ตาม การใช้ทฤษฎีเดียวกันกับคนอื่นๆ ไม่อาจส่งผลที่คล้ายกันได้

สำหรับคนที่มีศักยภาพน้อย ถ้าพวกเขาเรียนรู้วิชาดาบเหล็กสับ หรือทำสัญญากับสัตว์อสูรทักษะน้อยนิด อย่างนั้นอนาคตของพวกเขาอาจจะมืดมัว.. พวกเขาอาจกลายเป็นคนที่ไร้ประโยชน์ อาจต้องทำงานหนักกว่าคนอื่นๆ พันเท่า เหมือนอย่างเซียนนักพรตที่ฝึกฝนมานานหลายสิบปี เพื่อเปลี่ยนชะตาชีวิตตนเอง

คงเป็นไปไม่ได้ที่สถานการณ์แบบเดียวกันจะทำให้ทำคนได้เป็นนักสู้ระดับ 6 แต่คำพูดและการกระทำของเย่ว์หยางสามารถเปลี่ยนการฝึกฝนแย่ๆ ในทวีปมังกรทะยานได้

อย่างน้อยเมื่อมีการทำสัญญากับสัตว์อสูร ผู้คนจะไม่เอาแต่ตัวเลือกยอดนิยม เช่นอสูรสายวิหค หรืออสูรสัตว์ร้าย

เมื่อนางพญาดอกหนามมงกุฏทองกลับมาปรากฏในโลกได้ภายใต้การดูแลของเย่ว์หยางและเกือบเอาชนะจ้าวอัคนีผู้คงกระพันได้ เมื่อนักรบพฤกษาของเย่ว์ปิงเปล่งประกายบนเวทีประลองสุดยอดร้อยโรงเรียน นักรบชาวทวีปมังกรทะยานไม่กล้าดูแคลนอสูรสายพฤกษาอีกต่อไป แม้แต่ญาติพี่น้องตระกูลเย่ว์ก็ยังไม่เห็นความจริงว่าอสูรสายพฤกษานั้นมิได้อ่อนแอ ตอนนี้พวกเขาได้เห็นความจริงแล้วว่าอสูรพฤกษานั้นแข็งแกร่งกว่าอสูรสายวิหคและอสูรสัตว์ร้ายเสียอีก

ในทำนองเดียวกัน ในกรณีอสูรสายแมลง เมื่อตั๊กแตนมัจจุราชที่สามารถสังหารมังกรยักษ์ได้ มันพิสูจน์ให้ผู้คนเห็นแล้วว่า มันเป็นอสูรสายแมลงที่แข็งแกร่งขนาดไหน

ขณะที่เย่ว์หยางไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอกบ่อยนัก เขาไม่รู้ว่าในทวีปมังกรทะยาน ตัวเขานั้นมีชื่อเสียงมากมายขนาดไหน

อาจกล่าวได้ว่าแม้แต่ชื่อเสียงของสามกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างจุนอู๋โหย่ว ก็ยังจะมีชื่อเสียงน้อยกว่าเมื่อเทียบกับเย่ว์หยาง บางคนอาจไม่รู้ว่าใครคือกษัตริย์ของแต่ละประเทศ แต่เกือบทุกคนจะรู้ว่าใครคือคุณชายสามแห่งตระกูลเย่ว์

เย่ว์หยางเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดเมื่ออายุเพียงยี่สิบปี เป็นคุณชายสามแห่งตระกูลเย่ว์ที่เหลือเชื่อ อาจเป็นแรงบันดาลใจให้คนหมู่มาก โดยเฉพาะผู้เยาว์รุ่นหลัง

ตัวอย่างเช่น คำพูดที่คุณชายสามตระกูลเย่ว์ได้ถ่ายทอดความจริงให้กับคนทั่วไปว่า ถ้าท่านพยายามอย่างหนัก ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้

ดังนั้น ต่อให้เย่ว์หยางต้องการ ก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่บังคับตนเองไม่ให้มีชื่อเสียง

หลังจากเทเลพอร์ตเข้าวัง เย่ว์หยางแสดงตัวต่อหน้าทหารยามเฝ้าวังว่าเป็นคุณชายสามแห่งตระกูลเย่ว์และขออนุญาตจักรพรรดิเทียนหลัวเข้ามิติลวงเพื่อพบกับแม่สี่ พวกทหารยามพากันตื่นเต้นดีใจ

“อะไรนะ?”

หลังจากตะลึงในตอนแรก ทุกคนยืดตัวตรงแสดงความเคารพ ขณะที่ขุนพลนำทหารยามคารวะทักทายเย่ว์หยาง

ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะเย่ว์หยาง ราชันย์ฟ้าบูรพาและฟ้าปัจจิมและนักสู้อื่นๆ ของเทียนหลัวคงไม่อาจกลับออกมาจากเส้นทางผ่านโบราณได้ อย่าว่าแต่เขายังช่วยเหลือขุนพลเฒ่าหม่าสิงคงและทหารอีกสามพันคน หรือช่วยนักเรียนในศึกประลองสุดยอดร้อยโรงเรียนที่เกาะก้วนจวิน และยังไม่ต้องพูดเรื่องที่พวกเขาได้เห็นเขาผลักดันพวกอาณาจักรสือจิน, นิกายบรรพตขจีและนิกายเจดีย์ราชสีห์ออกไป และยังมีความจริงที่ว่าเขาเป็นคู่หมั้นของเจ้าเมืองโล่วฮัว แค่นี้ก็เพียงพอแก่การให้พวกเขาเคารพนับถือแล้ว

เจ้าเมืองโล่วฮัวคือความภาคภูมิใจของอาณาจักรเทียนหลัว ถ้าไม่ใช่เพราะนางไม่สนใจในราชบัลลังก์ นางอาจกลายเป็นจักรพรรดินีคนต่อไปก็ได้

สิ่งที่ทำให้ชาวอาณาจักรเทียนหลัวภูมิใจก็คือ เจ้าเมืองโล่วฮัวได้ยกระดับกลายเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดแล้ว

นี่คือประกาศอย่างเป็นทางการที่ทำโดยจักรพรรดินีราตรี หนึ่งในราชองครักษ์พิทักษ์ฟ้า และนี่คือคำประกาศของนาง “ลูกหลานชาวเทียนหลัวทั้งหลาย! เรามีข่าวดีจะแจ้งให้พวกท่านได้ทราบไว้ วันนี้ เรามีนักสู้ปราณก่อกำเนิดอยู่ร่วมกับเราที่นี่ ทั้งยังมีคุณสมบัติได้เป็นส่วนหนึ่งขององครักษ์พิทักษ์ฟ้า โล่วฮัวของพวกเราที่อยู่ตรงนี้กลายเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดคนหนึ่งแล้ว โดยการฝึกหนักด้วยตัวนางเองและการสนับสนุนช่วยเหลือของคู่หมั้นนาง คุณชายสามแห่งตระกูลเย่ว์ นางคือนักสู้ปราณก่อกำเนิดอายุเยาว์ที่สุดคนที่สองในประวัติศาสตร์ของทวีปมังกรทะยาน

พอประกาศไปได้สามวัน ทำให้ข่าวนี้โด่งดังแพร่กระจายอย่างกว้างขวาง มีการเฉลิมฉลองทั่วอาณาจักรราวกับวันชาติของเทียนหลัว

แม้ว่านางจะไม่เหนือธรรมดาเหมือนเย่ว์หยาง แต่ในฐานะสตรีคนหนึ่ง เจ้าเมืองโล่วฮัวเหนือกว่าคนที่ทรงพลังคนอื่นๆ อีกหลายคนได้ยกระดับกลายเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิด พรสวรรค์ที่โดดเด่นแบบนี้มีแค่เพียงหนึ่งในล้านแน่นอน

ทั่วทั้งทวีปมังกรทะยานจะมีผู้ทรงพลังอำนาจอยู่เท่าใดกัน?

และมีนักรบเท่าใดกันที่ได้แต่ดูนักสู้ปราณก่อกำเนิดแล้วได้แต่ทอดถอนใจ

คำตอบคือนับไม่ถ้วน!

พวกเขาอาจโดดเด่นในบางพื้นที่, มีอัจฉริยภาพน่าตระหนก หรือฝึกฝนอบรมมาเป็นร้อยปี แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถกลายเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิด ในขณะที่พวกเขาเปลี่ยนจากเยาว์วัยกลายเป็นผู้เฒ่าผมขาว

แม้ว่าเจ้าเมืองโล่วฮัวจะมิได้มีพลังพอๆ กับคุณชายสามตระกูลเย่ว์ แต่สำหรับสตรีอายุเยาว์วัยที่กลายเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดได้อย่างยิ่งใหญ่ถือเป็นปรากฏการณ์มหัศจรรย์ในทวีปมังกรทะยานแน่นอน

จักรพรรดิของเทียนหลัว หัวซิ่วรี่ไม่ได้มาพบเย่ว์หยาง แต่จัดการให้เขาไปรอที่อุทยานหลวง ขณะที่ส่งแม่สี่และเย่ว์ซวงออกจากมิติลวงและไปพบกันที่นั่น เย่ว์หยางไม่เข้าใจ ทำไมหัวซิวรี่จึงไม่ต้องการพบเขา? ตรงกันข้ามกับจุนอู๋โหย่วที่มักจะพบกับเขาเสมอ ทั้งสองพระองค์ต่างก็เป็นจักรพรรดิ ทำไมถึงแตกต่างอย่างมากมาย? เป็นไปได้ว่าไหมว่า หัวซิ่วรี่มีบางอย่างต้องการปิดบังเขา?

ผู้คนทั่วไปคิดว่าทักษะของเย่ว์หยางก็คือทักษะลวงซึ่งทำให้เขาค้นพบความลับของคนรอบตัวในระยะที่กำหนด

เย่ว์หยางสงสัยอย่างจริงจังว่าหัวซิ่วรี่คงเป็นสตรีแน่ เพราะเมื่อเขาติดอยู่ในมิติลวงของจักรพรรดินีราตรีโดยบังเอิญครั้งก่อน เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเล็กน้อย แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ได้ให้ความสนใจมากกว่านั้น และหลังจากนั้น เขาไม่ได้ถือโอกาสมากขึ้นเพื่อพบจักรพรรดิหัวซิ่วรี่ผู้ทำตัวไม่โดดเด่นโดยเฉพาะเจาะจง

พอได้ยินเสียงฝีเท้า เย่ว์หยางหยุดความคิดของเขาไว้

เขาหมุนตัวไปและช้อนตามองดู

แม่สี่อยู่ในชุดขาวเรียบง่าย ขณะที่นางจูงหนูน้อยเย่ว์ซวงเดินมาหาเย่ว์หยาง

พอเห็นเย่ว์หยางเท่านั้น เย่ว์ซวงก็เบะปากและน้ำตาไหลพราก จากนั้น จากนั้นเธอโผเข้าอ้อมกอดเย่ว์หยางและร้องไห้อย่างเศร้าโศก

“อย่าร้องเลยนะ, คนดี, อย่าร้อง!” เย่ว์หยางปลอบโยนเธอ

“ซานเอ๋อ, ซานเอ๋อลูกแม่, เจ้าเติบใหญ่แล้ว” แม่สี่พูดขณะที่มองจ้องเย่ว์หยางด้วยน้ำคลอเบ้าอยู่นาน นางกัดริมฝีปากพยายามกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลต่อหน้าเย่ว์หยาง เพียงแค่นั้นก็ทำให้เย่ว์หยางสังเกตได้ว่าแม่สี่สวมชุดขาวไว้ทุกข์ ด้วยความตกใจ เขาถามว่า “แม่สี่, เกิดอะไรขึ้น?”

“อาสี่ของเจ้า…จากไปแล้ว!” แม่สี่หลับตาพร้อมกับหลั่งน้ำตา

“ว่าไงนะ?” เย่ว์หยางตกใจที่ได้ทราบข่าว แม้ว่าอาสี่อาจจะยังไม่ดีขึ้นหลังจากกินยาที่เขาปรุงให้พิเศษ แต่พิษในร่างของเขาไม่น่าจะแย่ลงได้ เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้ยังไง… เป็นไปได้ว่าพิษในตัวอาสี่เกิดการเปลี่ยนแปลงหลังจากที่เขาไปที่วิหารเทพจักรพรรดิอวี้? เป็นไปได้ไหมว่ายาที่เขาทำภายใต้คำแนะนำของสาวกิเลนจะไม่เป็นผล? แต่อาการของอาสี่ไม่ได้แย่ลงหลังจากที่เขาไปวิหารเทพจักรพรรดิอวี้ ทำไมไม่มีใครแจ้งเขา? ตอนแรกเย่ว์หยางต้องการหาส่วนผสมของยาที่ดีที่สุดในหอทงเทียนชั้นที่หกปรุงเป็นยาบัวดินต้านพิษตามคำแนะนำของสาวกิเลน แต่มันสายเกินไปแล้ว ตอนนี้อาสี่เสียชีวิตแล้ว

“ซานเอ๋อ, อย่าคิดเรื่องนั้นมากจนเกินไป อาสี่ของเจ้าและแม่นางเฟิงเตรียมใจไว้ก่อนแล้ว ไม่ใช่ความผิดของเจ้า” แม่สี่เกรงว่าเย่ว์หยางจะฟุ้งซ่านและรู้สึกผิด ดังนั้นนางสวมกอดเขาเบาๆ เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น “เมื่อเจ้าอยู่ในวิหารเทพจักรพรรดิอวี้ มีนักสู้ปราณก่อกำเนิดสองคนพาตัวอาสี่ของเจ้าและแม่นางเฟิงมาที่นี่ ขู่กรรโชกว่าจะฆ่าพวกเขาและลูกของแม่นางเฟิง ถ้าเราไม่บอกพวกเขาถึงวิธีขึ้นบันไดสวรรค์ องครักษ์พิทักษ์ฟ้าจากต้าเซี่ยและเทียนหลัวก็พยายามช่วยพวกเขา แต่ไม่มีประโยชน์ เพราะศัตรูทั้งคู่แข็งแกร่งเกินไป”

“พวกเขาเรียกว่าซุ่นเทียนและประมุขนิกายพันปีศาจใช่ไหม?” เย่ว์หยางถามขณะที่เขารู้สึกว่า มีเพียงสองคนนั้นที่มีพลังพอจะต่อต้านองครักษ์พิทักษ์ฟ้าจากสองอาณาจักรได้

“ไม่ใช่, ข้าได้ยินว่าพวกเขาเป็นบริวารของกษัตริย์เฮย์อวี้ซึ่งเคยเป็นขุนพลเทพของจักรพรรดิอวี้เมื่อหกพันปีก่อน มีแต่จักรพรรดินีราตรีและจื่อจุนเท่านั้นถึงจะสู้กับพวกเขาได้ แต่พวกเขากลับมาไม่ทันเวลา ข้าไม่รู้วิธีเข้าแดนสวรรค์มากนัก ข้ารู้แต่ว่าครั้งหนึ่งพี่สาวของข้าแกะสลักหินไว้ที่หุบเขาภมร ดังนั้นข้าจึงบอกความลับนี้เพื่อแลกกับความเป็นความตายของอาสี่เจ้าและแม่นางเฟิง อย่างไรก็ตาม อาสี่ของเจ้าและแม่นางเฟิงปฏิเสธการมอบความลับให้กับนักสู้ปราณก่อกำเนิดทั้งสองคน แม่นางเฟิงยอมผ่าท้องตนเองให้กำเนิดทารกหญิงคนหนึ่งและตนเองก็ตายไป จากนั้นอาสี่ของเจ้าก็ตายตามนางไปหลังจากนั้นไม่นาน.. ซานเอ๋อ, ซานเอ๋อ ตอนนี้พวกเขา, เจ้า, อาสี่เจ้าไม่มีทางกลับมาได้อีกแล้ว เขาจะไม่กลับมาตลอดกาล!” แม่สี่กอดเย่ว์หยางร้องไห้ น้ำตาไหลพรากไม่หยุดจนไหล่ของเย่ว์หยางชุ่มไปด้วยน้ำตา

“แม่สี่…” เย่ว์หยางรู้สึกผิดอย่างมากที่เขาไม่ได้ช่วยอาสี่อย่างดีที่สุด

เขามักคิดว่า ยังพอมีเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพราะมันเป็นยาพิษกำเริบช้า

แม้ว่าสถานการณ์จะดูมืดมน แต่ด้วยการสอนของสาวกิเลนที่ทำให้ทักษะปรุงยาของเขาก้าวหน้า เย่ว์หยางคิดว่าเขาสามารถรักษาอาสี่และแม่นางเฟิงช้าๆ หลังจากที่เขาได้ส่วนผสมของยาที่ดีที่สุด เขาคิดว่าจะจัดการธุระของตนเองก่อน เสริมพลังให้ตนเองก่อนยกระดับความสามารถในการปรุงยาของเขา คาดไม่ถึงว่าอาสี่ที่ปฏิบัติกับเขาเหมือนเป็นบุตรตนเอง ไม่อาจรอเขาได้และด่วนสิ้นชีวิตจากไป แม้ว่าเย่ว์หยางจะเป็นคนจากโลกอื่นก็ตาม แต่เขาก็รู้สึกขอบคุณต่ออาสี่ที่อุปถัมภ์เขา

ถ้าอาสี่ไม่ได้ขวนขวายหาซื้อยาปลุกพลังอสูรให้สหายผู้น่าสงสาร เขาคงไม่ต้องพิษแน่

แม้หลังจากเหตุการณ์นั้น อาสี่ในฐานะบิดาบุญธรรมก็ไม่เคยเรียกร้องอะไรกับเย่ว์หยางที่ประสบความสำเร็จเลย เขายังปฏิเสธความช่วยเหลือจากเย่ว์หยางและไม่ยอมให้เย่ว์หยางได้ดูแลเขาใกล้ๆ ขณะที่เขากลัวว่าจะมีผลกระทบต่ออนาคตของบุตรชายของเขา

ตัวไหมจวนจนตายใยจึงสิ้น เทียนไขเผาไส้มลายสิ้นทุกราตรีจึงเหือดหาย

ความรู้สึกนี้วาบขึ้นมาในความคิดของเย่ว์หยาง

แม้ว่าบทกวีของหลี่ซังอิ่นจะใช้บรรยายถึงความรักอมตะของเขา แต่ก็ยังนำมาใช้ได้กับเรื่องของเครือญาติได้เช่นกัน

อาสี่เป็นบุตรกตัญญู เป็นสามีที่น่ารักและเป็นบิดาที่น่ารักเคารพ ไม่ว่าจะมีต่อสหายผู้น่าสงสารในอดีตหรือเย่ว์หยางในบัดนี้ แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าบุตรบุญธรรมของเขาเป็นคนที่แตกต่างกันสองคน

“แม่สี่, ข้าจะแก้แค้นให้อาสี่และแม่นางเฟิง ข้าจะตัดหัวขุนพลเทพของจักรพรรดอวี้และบริวารเขาให้ได้ “ เย่ว์หยางเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ ตอนแรกเขาไม่ต้องการจะพัวพันเรื่องขุนพลเทพจักรพรรดิอวี้เลย แต่เนื่องจากว่าเขาเป็นฝ่ายหาเรื่องยุ่งยากให้เย่ว์หยาง เขาจะต้องกำจัดขุนพลเทพให้ได้ไม่ว่าเขาจะทรงพลังอำนาจแค่ไหนก็ตาม

“เด็กโง่, ทั้งอาสี่ของเจ้าและข้าแค่เพียงต้องการให้เจ้ามีชีวิตอย่างสงบสุข ไม่ได้จมอยู่กับความคิดแก้แค้น… ตอนนี้เจ้าเป็นบุรุษเพียงคนเดียวในครอบครัวของเรา และเจ้าจะต้องคอยชี้นำน้องสาวของเจ้า ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า เจ้าคิดสิว่าเราจะอยู่กันอย่างไร? และข้าจะมีหน้าไปพบพี่สาวข้าได้ยังไง? สัญญากับข้าสิ เจ้าจะไม่ล้างแค้น มิฉะนั้นอาสี่ของเจ้าคงตายตาไม่หลับ ความปรารถนาสุดท้ายของเขา เขาเตือนเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ให้เจ้าล้างแค้น ซานเอ๋อ, เจ้าเชื่อข้าสักครั้งได้ไหม?” ตรงกันข้ามกับเย่ว์หยาง แม่สี่ไม่ต้องการให้เขาล้างแค้น แม้ว่านางจะอยู่ในอาการเศร้าโศก แต่นางก็ยังมีเหตุผลพอที่จะรู้ว่าเป็นเรื่องยากมากสำหรับเย่ว์หยาง หากจะฆ่านักสู้ปราณก่อกำเนิดทั้งสองคน ขนาดองครักษ์พิทักษ์ฟ้าก็ยังสู้พวกเขาไม่ได้ แน่นอนว่า นางตัดสินใจไม่ล้างแค้น และเลือกยอมให้ตนเองเจ็บปวดเพื่อให้เย่ว์หยางและเย่ว์ซวงใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย อย่างน้อยก็ในตอนนี้

“แม่สี่, อย่าร้องไห้เลยนะ ข้าเชื่อฟังท่านแล้ว” เย่ว์หยางเห็นด้วยแต่เพียงภายนอก แต่เขาเพียงแต่เก็บความโกรธแค้นไว้ในใจ

ในที่สุดแม่สี่ก็หยุดร้องไห้หลังจากผ่านไปสักครู่

พอเหนื่อยจากการร้องไห้ เย่ว์ซวงก็หลับอยู่ในอ้อมแขนเย่ว์หยาง คราบน้ำตายังปรากฏอยู่บนใบหน้า เย่ว์หยางเห็นแล้วรู้สึกเจ็บปวดใจ

ถ้าเขามีความเด็ดเดี่ยวมากกว่านี้ เธออาจไม่ต้องสูญเสียบิดาก็ได้

ตอนแรกอาสี่ก็เป็นเหมือนกับบุคคลที่มีอยู่ในเกมสำหรับเย่ว์หยาง แต่ตอนนี้เย่ว์หยางรู้สึกเจ็บช้ำที่เขาตายคล้ายกับสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป เมื่อเขาเห็นแม่สี่ร้องไห้คร่ำครวญ และเย่ว์ซวงมีน้ำตานองหน้า เย่ว์หยางไม่อาจรักษาความเยือกเย็นทำเหมือนกับว่าเขาเป็นคนมาจากโลกอื่นได้อีกต่อไป

เย่ว์หยางรู้สึกว่าในทวีปมังกรทะยาน บ้านน้อยในเมืองไป๋ฉือคือบ้านที่สองของเขา

แม้ว่าเขาจะมาจากโลกอื่น แต่คนรอบๆ ตัวเขาก็เป็นเหมือนกับครอบครัวสำหรับเขา

เขาไม่ต้องการให้เหตุการณ์ผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับอาสี่ต้องเกิดขึ้นอีกครั้ง.. ความรับผิดชอบในการปกป้องแม่สี่, เย่ว์ซวงและเย่ว์ปิงในตอนนี้เป็นของเขาแล้ว ต้องรับผิดชอบในฐานะลูกผู้ชายคนหนึ่ง ทันใดนั้นเย่ว์หยางรู้สึกเติบใหญ่ขึ้น เขารู้สึกว่าความรับผิดชอบที่อาสี่เหลือไว้ เขาจะต้องเป็นคนแบกรับเอาไว้

เขาเองก็รู้สึกได้เหมือนครั้งล่าสุด แต่จนกระทั่งอาสี่ตายจากไป ปล่อยให้เขาเป็นบุรุษคนเดียวในครอบครัวที่สี่ เขาถึงเข้าใจความหมายของความรับผิดชอบที่แท้จริง

มุมมองความคิดของเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเหตุให้เย่ว์หยางเข้าใจลึกซึ้งในเรื่องที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน

เขารู้สึกว่าเขาเติบโตขึ้นทันที …. ตอนนี้เขาเป็นผู้ใหญ่จริงๆ แล้ว มีเพียงตอนนี้ที่เขาสามารถเรียกตนเองได้ว่าลูกผู้ชายที่แท้จริง

แม้ว่าจะไม่มีความแตกต่างใดๆ เมื่อสังเกตดูจากด้านนอก แต่มุมมองความคิดเย่ว์หยางเปลี่ยนแปลงไปมาก ทำให้ความคิดของเขามีความก้าวหน้า

สภาพพลังใจของเขายกระดับใหม่ทั้งหมด

 

**************

Long Live Summons เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์

Long Live Summons เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์

LLS, Triệu Hoán Vạn Tuế, Zhaohuan Wansui, 召唤万岁
Score 7.6
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2010 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Long Live Summons เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์ ทวีปมังกรทะยานคือโลกแห่งการอัญเชิญ คุณจะกลายเป็นคนแข็งแกร่งได้ ถ้าเพียงแต่คุณเป็นผู้อัญเชิญ! ยิ่วหยางเด็กนักเรียนมัธยมปลายธรรมดาถูกส่งเข้ามาในโลกนี้อย่างฉับพลันทัน ด่วน เมื่อเขาฟื้นขึ้นกลับได้พบใบหน้าของหลายคนที่เต็มไปด้วยความห่วงใย และพบว่าเขาเป็นตัวตนของอีกคนหนึ่ง กลับกลายเป็นว่าเขาเป็นบุตรที่ไม่เอาไหนของตระกูลยิ่ว จนถึงกับโดดน้ำตายเพราะถูกปฏิเสธการหมั้น อีกทั้งไม่สามารถจะทำพันธสัญญากับคัมภีร์อัญเชิญได้ แต่ยิ่วหยางกลับประสบความสำเร็จทำสัญญากับคัมภีร์ ส่วนเรื่องราวจะเป็นเช่นไรต่อไป ขอเชิญติดตามดูครับ ความจริงในการแปลครั้งนี้มาจากแรงบันดาลใจที่ไม่ได้จะเป็นนักเขียนนักแปล หรอกครับ เกิดจากการอ่านมันฮัวการ์ตูนของจีนแล้วชอบ พยายามหาดูที่แปลเป็นอังกฤษ ก็แปลกันไปได้น้อยนิด แต่พอดูฉบับนิยายรู้สึกว่าเขาแปลไปได้เยอะ จึงลองเข้าอ่าน แต่เพราะความที่ภาษาไม่แข็งแรง จึงต้องดูไป เปิดดิคฯ ไปใช้โปรแกรมแปลช่วยบ้าง มีความรู้สึกว่าอ่านไม่ต่อเนื่อง จึงคิดว่าน่าจะแปลข้อมูลเก็บไว้ในเว็บๆ หนึ่งแล้วค่อยอ่านเป็นตอนๆ ให้ต่อเนื่องไปเลยดีกว่า แล้วก็นึกถึงที่นี่

Comment

Options

not work with dark mode
Reset