เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 018 สะสมวิญญาณที่ไม่คุ้มค่า

สะสมวิญญาณที่ไม่คุ้มค่า

 

หลังจากได้เหินจากโรงฝึกยุทธ์เฟยหงส์ เยี่ยจงก็ได้แวะเข้าไปยังกลางลานบ้านเพื่อนำของที่จำเป็นในชีวิตประจำวันออกมา จากนั้นค่อยตามซูหยี่ออกจากที่ๆเขาเคยพักมานานในเมืองเจียงโจว

 

“ ทำไม ไม่อยากจากไปหรือ “ หลังจากออกมาเมืองแล้ว ซูหยี่ก็มองไปที่เยี่ยจงที่ไม่พูดไม่จา อดไม่ได้ที่จะหัวเราะกล่าวออกมา

 

“ ไม่ใช่รู้สึกเสียดายอะไรหรอก เพียงแต่คิดว่าสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่เริ่มต้นของข้าก็แค่นั้นเอง “ เยี่ยจงยิ้มออกมา ความคิดที่แลดูมีพลังจะเปลี่ยนเป็นกลายเป็นพลังมากยิ่งขึ้น “ ต่อจากนี้ก็ขอให้ศิษย์พี่หญิงซูหยี่นำทางแล้ว “

 

“ เดินทางกันเถอะ “ หลังจากฟังที่เยี่ยจงกล่าวจบ ซูหยี่ก็พยักหน้าหลายครา จากนั้นก็มิกล่าวอะไรมากความ เพียงแต่พาเยี่ยจงไปยังสถานที่ต่อไป

 

หนึ่งคณะสองคน การเดินทางครั้งนี้เป็นไปอย่างรวดเร็ว เพียงครึ่งเดือนกว่าๆ ในที่สุดก็เข้ามาถึงทางฝั่งเจียงหนานของราชวงศ์โจว ในระหว่างการเดินทางครั้งนี้ ซูหยี่มิได้เลือกเส้นทางที่เต็มไปด้วยแสงสีเมืองใหญ่ แต่ทว่านำพาเยี่ยจงเดินทางมาตามทางขุนเขาลำเนาไพร

 

ในระยะเวลาครึ่งเดือนมานี้ เยี่ยจงรู้สึกตกใจในสิ่งที่ศิษย์หญิงซูหยี่ทำระหว่างทาง นั้นก็เพราะเยี่ยจงพบว่า ซูหยี่นั้นไม่เพียงแต่เหมือนผู้ที่ออกเดินทางอยู่บ่อยครั้ง แต่ยังสามารถรับรู้ถึงจุดอ่อนของเหล่าสัตว์ประหลาดมากมาย ดังนั้นตลอดการเดินทางมานี้ เยี่ยจงแทบจะมิได้มีโอกาสลงมือเลย แต่หากมีโอกาสจริงๆแล้วละก็ ตลอดทางก็คงไม่พบเรื่องที่น่าตกใจเช่นนี้

 

ในวันนี้ ทั้งสองได้เดินทางออกมาจากกลางป่าเขาแล้ว ซูหยี่ถอนหายใจคำโต เงยหน้าขึ้นใช้สายตามองไปทางท้องฟ้าที่ว่างเปล่าในวันนี้ แล้วกล่าวออกมาว่า “ พวกเราถึงแล้ว “

 

 

จากนั้นเยี่ยจงก็มองสำรวจไปยังรอบด้านครั้งหนึ่ง ก็พบว่าด้านหน้าไม่ไกลมากนักมีทะเลสาบแห่งใหญ่ผืนหนึ่ง พื้นที่ติดชายฝั่งของทะเลสาบนั้น มีบ้านหลังหนึ่ง ลักษณะกว้างขวาง แต่ดูทรุดโทรม ตัวอาคารของบ้านหลังนี้ฃพังลงมาครึ่งหนึ่ง ส่วนที่เหลือนั้น ต่างก็มีตะไคร่น้ำเกาะอยู่เต็มไปหมด

 

“ ถือไว้ “ ซูหยี่พลิกมือคราหนึ่ง จากนั้นก็นำแหวนจักรวานถอดออกามให้แก่เยี่ยจง

 

เยี่ยจงก็มิได้ถามอัน ยื่นมือเข้าไปหยิบ จากนั้นก็พยักหน้าหลายที

 

พบว่าเยี่ยจงให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ซูหยี่ก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นนางก็มิได้กล่าวมากความ หลังจากถอนมือกลับมาแล้ว ก็พาเยี่ยจงเดินเข้าไปยังใจกลางของบ้านที่ทรุดโทรมหลังนี้

 

พอเข้ามาถึงลานบ้านเท่านั้น เยี่ยจงก็ตรวจสอบพบว่ามีคนยอดฝีมืออยู่สองคนกำลังแอบดูพวกตนอยู่ เพียงแต่ว่าพวกเขาพบว่าผู้ที่นำหน้าอยู่นั้นคือซูหยี่ ดังนั้นก็มิได้เข้ามาขัดขวางแต่อย่างไร เป็นแต่ทำตัวเงียบเชียบถอยออกมา

 

ฉากเหล่านี้ทำให้เยี่ยจงขมวดคิ้วขึ้นมา จากนั้นก็เปล่งรังสีการฆ่าฟันออกมาเคลื่อนไหวล้อมรอบ จากนั้น รู้สึกว่าห้าพันสะสมวิญญาณนี้รู้สึกไม่ค่อยคุ้มค่าเท่าที่ควร

 

“ ฮ่า ฮ่า ที่แท้เป็นคนคุ้นเคยแม่นางซูหยี่นี้เอง หลังจากที่บอกว่าอีกหนึ่งเดือนค่อยพบกัน ตอนนี้ก็ครบกำหนดหนึ่งเดือนแล้ว เวลาไม่มากไม่น้อยเกินไป หลี่โม่วแทบจะทนรอไม่ไหว มา ! จัดที่นั่งรินน้ำชาให้แม่นางซูหยี่เร็ว “ เยี่ยจงและซูหยี่ทั้งสองคนเดินเข้ามาบริเวณกลางห้องโถงของบ้าน พบกับชายชราที่เสียงแหบพร่าเป็นคนกล่าวออกมา

 

“ หลี่เหล่า ( 李老 ตาเฒ่าหลี่ ) ข้าคิดว่าความสัมพันธ์ของพวกเรานั้นยังไม่ถึงขั้นที่เรียกว่าดีหรอกนะ พวกเรามาทำการแลกเปลี่ยนให้เสร็จสิ้นดีกว่า อนาคตคงต่อจะนี้คงจะดีไม่น้อย หากพวกเราไม่ข้องแวะต่อกัน “ ซูหยี่นั้นไม่มีแม้แต่ความเกรงใจต่อพวกเขาเลย เพียงกล่าวออกมาด้วยความเย็นชา

 

เยี่ยจงก็เงยหน้ามองไปยังพื้นที่ด้านหน้าพบว่าทางด้านหลังห้องโถงอีกฝั่งมีคนเดินออกมา เป็นชายสูงอายุ อายุประมาณห้าสิบปี มีเส้นผมสีขาวอยู่ปะปราย แต่ว่าลักษณะท่าทางยังถือว่าไม่เลว อีกทั้งร่างกายยังแผ่รังสีการฆ่าฟันออกมาเล็กน้อย บนสีหน้าของเขา แต่ก็ยังคงเผยยิ้มออกมา ดวงตาทอประกายคมกล้า อีกทั้งชุดฝึกยุทธ์สีเทาที่สวมอยู่ยังดูเก่าแก่ ทั้งยังมีกระเก็ดเลือดสีแดงติดอยู่ปะปราย

 

“ ลมปราณขั้นก่อเกิดขั้นที่สาม “

 

หลังจากที่เยี่ยจงเผยพลังฝีมือของเขาออกมานั้น ดวงตาก็ได้เปลี่ยนเป็นดุดันเพิ่มขึ้นหลายส่วน ไม่ว่าจะพูดยังไง คนที่มีฝีมือในระดับนี้ก็ยังไม่ถือว่าสามารถจัดการได้ง่ายดาย ยิ่งกว่านั้นคือแค่มองดูก็รู้ว่าเป็นคนที่ผ่านศึกมาไม่รู้กี่ร้อยศึก

 

หลังจากการปรากฏตัวของหลี่เหล่า ทางด้านซ้ายและขวาของเขาก็ปรากฏชายหนุ่มยืนอยู่ข้างละคน ทั้งสองต่างก็มีพลังอยู่ในระดับขั้นก่อเกิดขั้นที่สามเช่นเดียวกัน แต่ทว่าสิ่งเหล่านี้ก็มิได้ทำให้เยี่ยจงรู้สึกรำคาญใจมากนัก เพียงแต่เวลาในการคิ้วขมวดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็สามารถจัดการได้แล้ว ความรู้สึกตอนที่อยู่กลางสวนนั้น อย่างน้อยก็ยังสามารถรับรู้ว่ามีกี่คน อีกทั้งส่วนมากพลังฝีมือก็ไม่ถือว่าด้อย หากคนเหล่านี้ลงมือพร้อมกันแล้วละก็ คิดว่าคงจะเป็นความยุ่งยากอีกแบบหนึ่ง อีกทั้งร่างกายของคนพวกนี้ยังเหมือนผ่านศึกมานับร้อยครั้งเช่นเดียวกัน ไม่เหมือนเหล่าขยะของตระกูลเยี่ยและตระกูลซู ที่จะเอามาเปรียบเทียบได้

 

“ เหอะ ในเมื่อแม่นางซูหยี่ไม่ได้มีความสนใจที่จะสนทนาต่อแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็ทำเหมือนไม่เคยพบกันมาก่อนจะดีกว่า ทว่าตอนนี้แม่นางซูหยี่ ท่านคงต้องให้ข้าเห็นของก่อนดีหรือไม่ “ หลี่เหล่าหรี่ตามองดู พร้อมกับสำรวจเยี่ยจงไปในตัว เพียงพริบตาเดียว เขาก็หัวเราะกล่าวออกมา

 

“ ย่อมได้ “ ใบหน้าของซูหยี่ไม่ปรากฏอาการใดๆ เพียงแค่พยักหน้าตอบ ไม่มีแม้แต่รอยยิ้มที่เปรียบเสมือนดอกไม้เบ่งบานออกมาเลยซักนิด จากนั้นก็หันไปกล่าวกับเยี่ยจง “ นำของออกมาให้หลี่เหล่าซิ “

 

พบว่าซูหยี่กล่าวด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์โดยสิ้นเชิง เยี่ยจงก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็พลิกมือคราหนึ่งถอดแหวนจักรวาลออกมา ขนาดซูหยี่ยังไม่ห่วงอะไร ตนเองจะห่วงมากความไปเพื่ออะไร

 

หลี่เหล่ารับแหวนที่ถอนออกมา สายตามองสำรวจอยู่รอบหนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะ ฮ่าฮ่ากล่าวออกมา “ แม่นางซูหยี่ยังถือว่าเป็นคนที่เชื่อถือได้ หินวิญญาณเหล่านี้ถือว่าไม่น้อยเลย ทหาร ส่งแขก “

 

“ หลี่เหล่า เจ้าหลงลืมสิ่งที่เจ้าตกลงว่าจะให้ข้าแล้วหรืออย่างไร “ ซูหยี่กล่าวออกมาราวกับไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น อีกทั้งยังกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้มอีกด้วย

 

พอมองดูรอยยิ้มอันมีเสน่ห์ของซูหยี่ ราวก็สิ่งที่กล่าวมาก่อนหน้าเป็นเพียงน้ำลายกองหนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มด้วยความไม่สบอารมณ์ “ เป็นไปได้อย่างไร ที่พวกเรานัดไว้ ว่าแม่นางซูหยี่จะเป็นคนส่งมอบหินวิญญาณมา มิใช่หรือ “

 

หลังกล่าวจบ หลี่เหล่าก็ปรบมืออยู่หลายที จากนั้นก็พบคนเดินเข้ามาบริเวณทางเข้า ชายหนุ่มทั้งสองแต่งกายรัดรูปค่อยๆเดินเข้ามา ทางด้านหลังของหลี่เหล่า ก็มีอีกสองคนเดินออกมา คนกลุ่มนี้มีลักษณะที่ใกล้เคียงกัน เพียงแต่ยืนปิดล้อมห้องโถงไว้ทั้งสี่มุม อีกทั้งยังปิดตายทางหนีของเยี่ยจงและซูหยี่ไว้อีกด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้นความสามารถของคนเหล่านี้ต่างก็มีฝีมือในระดับลมปราณขั้นก่อเกิดขั้นที่สามทั้งสิ้น

 

เป็นที่ชัดเจนว่า เพื่อที่จะต่อกรกับซูหยี่ ฝ่ายตรงข้ามก็ได้เตรียมพร้อมรับมือไว้เป็นอย่างดี

 

ซูหยี่พบว่าทั้งหกคนต่างก็เป็นยอดฝีมือทั้งสิ้น อีกทั้งยังมีหลี่เหล่าที่ส่งสายตามาอย่างดุดัน กล่าวออกมาอย่างไร้อารมณ์ “ อุปนิสัยของหลี่เหล่า ก่อนหน้านี้ข้าก็พอทราบมาบ้าง แต่ว่าของเหล่านี้เป็นของๆลัทธิแห่งดวงดาว ไม่สามารถที่จะให้เอาไปได้ตามอำเภอใจ หลี่เหล่าท่านคงได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้วใช่หรือไม่ “

 

หลังจากได้ยินคำว่า ลัทธิแห่งดวงดาว แววตาของหลี่เหล่าก็ได้ขยายตัวขึ้น จากนั้นก็หัวเราะกล่าวออกมา “ ฮ่า ฮ่า แม่นางซูหยี่ชั่งมีอารมณ์ขันซะเหลือเกิน หลี่เหล่าเพียงแค่อยากลองใจแม่นางว่าต้องการที่จะทำธุรกิจกับพวกเราจริงหรือไม่เท่านั้นเอง พวกเจ้า ยังมัวทำอะไรกันอยู่ ยังไม่รีบถอยออกไป “

 

เหล่ายอดฝีมือทั้งหกพอได้ยินก็ได้ถอยห่างออกไปคนละก้าว จากนั้นก็พบว่าหลี่เหล่าได้ดึงสิ่งที่เหมือนกับผ้าออกมาผืนหนึ่ง หลังจากดึงออกมาก็พบว่ามันคือหนังแพะสีเหลือง จากนั้นก็ค่อยๆสะบัดมือคราหนึ่ง ก็เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ภายในหนังแพะผืนนี้ ไอวิญญาณได้เริ่มแผ่ออกมาวูบวาบ ไอวิญญาณเหล่าพอประกบเข้าด้วยกันแล้ว ก็ปรากฏแผนที่ออกมา

 

“ แม่นางซูหยี่ นี้คือแผนที่อารามก่อฟ้า(先天圣殿เซียนเทียนเซิ้งเตี้ยน) ไม่ผิดใช่หรือไม่ “ หลี่เหล่าอดไม่ได้ที่จะหัวเราะกล่าวออกมา

 

“ มิผิดแน่นอน “ หลังจากซูหยี่กวาดสายตามองรอบหนึ่ง ตอบเสียงดังกังวาล

 

“ ฮ่า ฮ่า อารามก่อฟ้าที่ลือกัน ก็คือสถานที่ๆมีอำนาจที่สุดในเจียงหนานเมื่อพันปีก่อน ความลับของอารามก่อฟ้าที่ลือกันนั้นก็คือ สามารถที่จะทำให้ผู้คนที่อยู่ในพลังลมปราณขั้นก่อเกิดเก้าขั้นแรก สามารถก้าวข้ามไปยังลมปราณก่อฟ้าได้ ก็คืออารามก่อฟ้าในตอนนั้น ในสมัยนั้น ถึงแม้ว่าในตอนท้ายไม่ทราบเพราะเหตุใดถึงได้หายสาบสูญไป ดูเหมือนว่า แม่นางซูหยี่ ถึงแม้จะเกิดในลัทธิแห่งดวงดาว ช้าเร็วก็สามารถก้าวไปถึงขั้นก่อฟ้าได้เอง แต่การที่ตามหาอารามก่อฟ้าที่เล่าขานกัน คงเพราะว่ามีความสนใจอยู่สินะ “ หลี่เหล่าหัวเราะฮาฮา “ ในเมื่อของชิ้นนี้เป็นของจริง ถ้างั้นของชิ้นนี้ ก็เป็นของแม่นางท่านแล้ว เยี่ยม เยี่ยม “

 

หลังจากกล่าวจบ หลี่เหล่าก็หันหลังเดินจากไป

 

ในเวลาเดียวกันกับที่หลี่เหล่ากำลังหันตัวเดินจากไปนั้นเอง รอบห้องก็ได้ปกคลุมจิตสังหาร ทันใดนั้นเยี่ยจงก็ตบเท้าไปยังพื้นที่ด้านหลังหนึ่งครา ร่างกายก็ได้พุ่งเข้าหาชายหนุ่มที่สวมอาภรรัดรูปในระยะไม่ไกลจากตนเองมากนัก ทางด้านขวามือ จากนั้นก็พลิกมือใช้ออกด้วยพลังดัชนี เล็งไปยังลำคอของคู่ต่อสู้

 

ในระหว่างที่เยี่ยจงกำลังเข่นฆ่านั้นเอง ซูหยี่ก็ตรวจพบบางอย่างที่ดูเหมือนไม่ถูกต้องอยู่หลายส่วน แต่ว่านางก็ไม่ได้ถอยหลังตามเยี่ยจงไป แต่ว่าสืบเท้ามุ่งหน้าไปยังทางที่หลี่เหล่าพึ่งออกไป

 

“ ฉัวะ – ”

 

เยี่ยจงลงมือด้วยความรวดเร็ว จนกระทั่งชายหนุ่มไม่มีแม้แต่เวลาเพียงพอที่จะตอบสนองกลับมา พลังดัชนีก็พุ่งไปยังคอหอยจนเลือดไหลรินออกมาจากลำคอ จากนั้นก็ก้าวเท้าอีกครั้งหนึ่ง กระโดดเตะกลางอากาศบนใบหน้าชายหนุ่มอีกคน จากนั้นก็ใช้มือขวาลูบไปที่แหวนจักรวาลคราหนึ่ง ก็ปรากฏกระบี่เงินยาวสีมรกตเล่มหนึ่งออกมา เพียงกระบี่เดียวก็สามารถเสียบทะลุร่างของชายคนที่สามตายได้แล้ว

 

“ ฉัวะ – ”

 

เยี่ยจงร่างลงสู่พื้น ขาข้างหนึ่งพอดีเหยียบอยู่บนหน้าอกของชายที่พึ่งโดนเตะจนสลบล้มลง หลังจากที่ร่างลงสู่พื้นเรียบร้อยแล้วนั้น ก็ใช้มือพลิกกระบี่แทงทะลุหน้าอกของชายผู้นั้นไป

 

เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งลัดนิ้วมือ เหล่าคนทั้งหกที่หลี่เหล่าพามานั้น มีสามคนที่ถูกเยี่ยจงจัดการอย่างหมดจดและรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด ในเวลานั้นเอง ชายทั้งสามคนที่มีพลังฝึกปรืออยู่ในขั้นลมปราณขั้นก่อเกิดขั้นที่สามก็ได้มีการตอบสนองกลับมา ในตอนแรกคิดไว้จะเตรียมตัวที่จะหันกายตามไปจัดการซูหยี่ในตอนแรก จากนั้นก็จ้องมองไปทางเยี่ยจง สีหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัวอยู่เต็มไปหมด

 

“ ฉัวะ – ”

 

ในบริเวณอีกด้านหนึ่ง ซูหยี่ได้ใช้ฝ่ามือกระแทกหลี่เหล่าจนลอยละลิ่ว จากนั้นก็หันหัวส่งสายตาไปทางเยี่ยจงคราหนึ่ง จากนั้นก็ปรากฏแววตาตกตะลึง บ่นพึมพำออกมา “ ความจริงที่เจ้าเด็กน้อยนี้มีความสามารถร้อยก้าวไร้พ่าย คงไม่ได้มีไว้คุยแล้วละ “

 

หลังจากกล่าวจบ สีหน้าของซูหยี่ก็เปลี่ยนเป็นเย็นชากว่าเดิม ทุกก้าวนั้นเดินตามไปยังทางที่อีกฝ่ายกำลังถอยหนี มุ่งตรงไปยังทางที่หลี่เหล่ากำลังจะไป

 

“ บุก ! “

 

หลังจากนั้นก็พบว่ายอดฝีมือที่ถอยออกมาเหลือเพียงสามคน ก็เข้าใจได้ในทันที การลงมือในวันนี้ ความแตกต่างระหว่างกำลังของทั้งสองฝ่ายนั้นถึงแม้จะไม่ต่างกันมากนัก เพียงแต่ว่าทั้งสามในตอนนี้ต่างก็ไม่กล้าจะบุกเข้าไป แต่ละคนได้แต่ปลุกปั่นความกล้า ประทุลมปราณบนร่างที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายการเกาะกลุ่มของพลังยอดฝีมือ

 

“ เสียเวลาจริงๆ “ เยี่ยจงขมวดคิ้วขึ้นมา ก้าวเท้าไปยังด้านหน้าอีกครั้ง ร่างกายก็ไปถึงด้านข้างของคนที่หนึ่ง ในตอนนั้นเองทั้งสามยังดีที่ยังตอบสนองกลับมาเร็วพอ ทั้งสามโจมตีด้วยทักษะยุทธ์โดยพร้อมเพรียง

 

เยี่ยจงพลิกมือกลับไป กระบี่แรกได้เล็งไปยังจุดชีพจรของบุคคลนั้น จากนั้นไม่ยอมเสียเวลา หมุนตัวใช้พลังโจมตีเข้ายังใจกลาง กระบี่ยาวเงินสีมรกตได้เปล่งประกายออกมา ในตอนนี้เหลืออีกเพียงสองคน พุ่งตรงไปยังคอหอย สีหน้าปั้นยากปรากฏออกมาจนล้มลงไปในที่สุด

 

จากนั้นก็พลิกมือทำทางขว้างออก กระบี่ยาวในมือได้ถูกขว้างออกไป จากนั้นก็ได้มุ่งไปตรึงอีกคนที่พยายามหลบหนีจนล้มลงกับพื้น เยี่ยจงขมวดคิ้วอีกครั้ง หันศีรษะมองไปยังซูหยี่ว่าเก็บกวาดหลี่เหล่าเรียบร้อยแล้วหรือยัง ตะโกนถามดังๆ “ ศิษย์พี่หญิงซูหยี่ ท่านคงไม่ได้คิดจะเก็บคนๆนี้ไว้ให้ข้าจัดการเองด้วยหรอกนะ หากเป็นเช่นนั้นละก็ ส่วนแบ่งก็ต้องเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว “

 

 

T/L แถมให้อีกตอนครับ ชิวๆ ไป

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset