เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 043 อับอาย

ตอนที่ 043 อับอาย

 

ใบไม้ที่อย่างตรงพื้นที่ว่างเปล่าทางด้านหน้า เงาร่างของเยี่ยจงทั้งสี่ก็ค่อยๆก้าวเดินออกมา จนกระทั่งสีหน้าเซียงฉียวี่และพวกทั้งสามอยู่ในอาการตกใจอยู่หลายส่วน แต่ว่าสีหน้าของเยี่ยจงยังคงสงบนิ่งไม่ที่เปรียบ เห็นได้ชัดว่าฉากทางด้านหน้านี้มองในมุมของพวกเขา ไม่ได้มีแรงกดดันเลยซักนิด

 

เขายังคงก้าวเดินออกไปอย่างช้าๆ เสียงเดินของเท้าเยี่ยจงนั้นราวกับกระทบถูกหัวใจเหล่าผู้คนก็มิปาน กระทั่งทำให้พวกเขาสายตาของแต่ละคนแทบหลุดลอยออกมา

 

“ เยี่ยจง เจ้าอย่าคิดว่าสามารถจัดการข้าได้แล้ว จะสามารถเอาพวกเราทุกคนลงได้นะ “ เจียงเล่อกรอกตาไปมาเหม่อมองไปทางเยี่ยจง นัยน์ตาประกอบด้วยความเกรงกลัวและรู้สึกผิดอยู่บ้าง “ พวกข้ามีคนมากมายขนาดนี้ในที่แห่งนี้ จะจัดการกับเจ้า ก็ง่ายเหมือนดั่งเหยียบแมลงให้ตายตัวหนึ่งเท่านั้น “

 

“ งั้นหรือ ? พ่ายแพ้ภายใต้มือข้างเดียวยังกล้าพูดออกมาอีก เจ้าไม่กลัวผู้คนจะหัวเราะเยาะเจ้าหรือยังไง “ เยี่ยจงเริ่มเดินเข้าไปต่อ จากนั้นเขาก็ยิ้มออกมา มุมปากในตอนนี้ปรากฏรอยยิ้มสายหนึ่งออกมา เหล่ายอดฝีมือของโรงฝึกยุทธ์ชิหวินเมื่อเห็นการพูดที่เรียบง่ายอีกทั้งยังยิ้มได้เช่นนี้ ต่างก็รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย

 

“ ทว่า เจ้าในตอนนี้คาดเดาได้แล้วว่าข้าคือใคร อย่างน้อยก็คงรู้แล้วว่าข้าเคยจัดการกับเรื่องราวอะไรมาบ้างแล้วสินะ ? “ เยี่ยจงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ คุณชายคงฮู่ ม่อฝานหลงพวกเขาต่างก็เอาข้าไปลง พวกเจ้าคงมิใช่คิดว่าคนแค่นี้จะสามารถพึ่งพามาทำอะไรได้หรอกนะ ? “

 

“ ดูเหมือนว่า เจ้ายังถือว่ามีความมั่นใจในตัวเองเสียเหลือเกิน “ ในช่วงเวลาที่เจียงเล่อยังอยู่ในสีหน้าที่ดูไม่ได้ น้ำเสียงที่กล่าวออกมานั้นยังคงมีหลายส่วนที่แสดงถึงความหวาดกลัวอยู่ ก็พบเห็นเหม็งซีค่อยๆก้าวเดินออกมาภายในกลุ่มคน บนใบหน้าของเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยความชั่วร้ายอีกทั้งยังมีแรงกดดันมากมายปรากฏออกมา ในช่วงเวลาที่เยี่ยจงจ้องมองไป นัยน์ตาเงาวับก็ทอประกายประหลาดใจออกมา

 

เยี่ยจงเหม่อมองไปที่เหม็งซีผู้นี้ ยิ้มออกมาแล้วกล่าว “ ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นผู้นำกลุ่มของโรงฝึกยุทธ์ชิหวินในครั้งนี้สินะ ? แล้วนายน้อยหนิงหวีของพวกเจ้าละ ? เขาไม่อยู่ที่นี้หรือ ? “

 

“ หากว่าพี่ใหญ่อยู่ที่นี้แล้วละก็ การก่อการของเจ้าในที่แห่งนี้จะทำได้สำเร็จงั้นหรือ ? “ เจียงเล่อกัดฟันกรอดกล่าวออกมา

 

“ งั้นหรือ ? เช่นนั้นข้าก็สมควรที่จะต้องดูแลเขาเป็นพิเศษสินะ “ เยี่ยจงกล่าวเสียงดังกังวาน “ ทว่าในตอนนี้สิ่งที่พวกเจ้าสมควรที่จะเป็นห่วงนั้นไม่ใช่ข้า แต่สมควรที่จะเป็นการเตรียมตัวอย่างไรถึงจะจัดการกับสนามทางด้านหน้านี้ ? หรือในความเห็นส่วนตัวของข้า พวกเราสองฝ่ายมาจับมือสงบศึก จากนั้นพวกเจ้าก็จากไปอย่างว่าง่าย เช่นนี้พวกเราต่างก็สามารถเก็บเรี่ยวแรงเอาไว้ มิใช่ดีหรอกหรือ ? “

 

“ ฝันไปเถอะ “ เหม็งซีหัวเราะเย็นชา

 

“ งั้นหรือ ? เช่นนั้นก็ช่างน่าเสียดาย…… “ เยี่ยจงถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง จากนั้นเขาก็เพิ่มความเร็วในการก้าวเท้าออกไป อีกทั้งในครั้งนี้ หากมองความเคลื่อนไหวของเขาดีๆ เขานั้นก็ได้ค่อยๆรีดเร่งพลังของกระบี่หกสุสานหมุนวนออกมาแล้ว กำลังภายในของเขาก่อนหน้าที่เหมือนกับกำลังจำศีลอยู่ ในตอนนี้ได้แปรเปลี่ยนราวกับคมมีดที่แหลมคมก็มิปานแผ่ออกมา คมกล้าจนถึงที่สุด

 

“ เชอะ สุราคารวะไม่ชอบกลับชอบสุราจับกรอก เยี่ยจง เจ้าคงมิใช่จะสามารถพึ่งพาพวกเจ้าเพียงไม่กี่คนได้ ก็จะสามารถที่จะล้มพวกเราทั้งหมดในที่นี้ลงได้หรอกนะ ? จากที่จ้องมองการเคลื่อนไหวของเยี่ยจง ใบหน้าเจียงเล่อก็เปลี่ยนเป็นสีดำ แต่ก็ยังคงกัดฟันกล่าวออกมาต่อ “ ต่อให้เป็นซ่งเซ้าเฉิง ซร่งเทียนมายังที่แห่งนี้ก็ใช่ว่าจะสามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้ การเลือกรสชาติอาหารของเจ้ามิใช่เกินเลยไปหลายส่วนหรอกหรือ “

 

“ เจ้าผิดแล้ว ข้านั้นไม่ได้สนใจที่จะให้พวกเขาทั้งสามคนลงมือเลย ………. “ เยี่ยจงหัวเราะดังๆ ทว่าท่ามกลางเสียงหัวเราะก็ได้แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายความน่าหวาดกลัวอยู่ “ จัดการขยะอย่างพวกเจ้าเหล่านี้ ข้าคนเดียวก็เกินพอ “

 

หลังจากกล่าวจบ เยี่ยจงก็ก้าวไปบริเวณทางด้านหน้าหนึ่งก้าวออกไปอีกครา ร่างกายของเขาพวกสู้รบอย่างสุดขีด ในตอนนี้ราวกับคลื่นทะเลซัดเข้ามาก็มิปาน มุ่งไปบริเวณทางด้านหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง เห็นได้ชัดว่า เยี่ยจงในตอนนี้นั้นไม่มีอารมณ์ที่จะกล่าวมากความกับเหล่ายอดฝีมือของโรงฝึกยุทธ์ชิหวินเหล่านี้อีกต่อไป อีกทั้งยังเตรียมพร้อมลงมือราวกับสายฟ้าฟาดเข้าใจกลางกลุ่มคนของพวกเขา

 

เผชิญหน้ากับเยี่ยจงที่มีแรงกดดันอันน่าหวาดกลัว เหล่ายอดฝีมือของโรงฝึกยุทธ์ชิหวินแต่ละคนต่างก็กรอกตาไปมาไม่หยุด เยี่ยจงในตอนนี้มีแค่เพียงคนเดียว แต่ว่าบรรยากาศที่แผ่ออกมาจากร่างของเขา นั้นทำให้หัวใจเต้นรัวแรงอยู่ไม่น้อย กระทั่งคุณชายคงฮู่ ม่อฝานหลงยังเอาคนประเภทนี้ไม่ลง คนเหล่านี้จะสามารถเป็นคู่ต่อสู้ได้หรือ ?

 

นี้ยังคงมีเรื่องราวในวันก่อนที่เกิดขึ้นที่จวนท่านเจ้าเมือง เรื่องราวเหล่านั้นก่อนหน้านี้ยังมิได้ถูกเผยแผ่ออกมา ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วละก็ เหล่ายอดฝีมือของโรงฝึกยุทธ์ชิหวินเหล่านี้ในตอนนี้คาดว่าแม้ก็ทั่งความกล้าที่จะยืนเผชิญหน้ากับเขาก็ยังต้องหายไป

 

จากที่พบว่าการเคลื่อนไหวของเยี่ยจงที่ดูเหมือนธรรมดารูปแบบหนึ่ง ราวกับมีบางอย่างที่คล้ายประมาณความสง่าและกดดันพวกว่า สีหน้าเหม็งซีได้เปลี่ยนเป็นดุร้าย แล้วก็กล่าวออกมาทันที “ เยี่ยจง เจ้าอย่าได้เกินไป พวกเราโรงฝึกยุทธ์ชิหวินและเจ้าไม่ได้มีบุญคุณความแค้นแต่อย่างไรกันมาก่อน เจ้าอย่าได้รังแกผู้คนจนเกินไป เหลือทางเลือกสายหนึ่งให้ผู้คน วันหน้ายังสู้หน้ากันติด “

 

“ ระหว่างพวกเรานั้นไม่ได้มีบุญคุณความแค้นที่ลึกล้ำมากนัก ทว่า พวกเราหมายปองในสิ่งเดียวกัน ก็ไม่อาจที่จะไม่ขัดแย้งกันได้ ใช่หรือไม่ ? “ เยี่ยจงหัวเราะดังๆกล่าวออกมา

 

“ เจ้า “

 

หลังจากเงียบงัน เหม็งซียังคงไร้คำพูดจะกล่าว การแย่งชิงสมบัติท่ามกลางที่แห่งนี้ ความจริงก็มิใช่เรื่องที่ผิดอันใด มีแต่เพียงแข็งแกร่งและอ่อนแอ ใครมีฝีมือแข็งแกร่ง ผู้นั้นก็สามารถได้รับผลประโยชน์มากที่สุด ในข้อนี้ถือว่าไม่มีอันใดผิดเลย

 

“ เยี่ยจง ถึงแม้ฝีมือของเจ้าจะมิได้อ่อนแอแต่อย่างไร ทว่า พี่ใหญ่ของพวกเรานั้นก็มิเกรงกลัวเจ้าหรอกนะ “

 

“ หากว่าเขาอยู่ในที่แห่งนี้แล้วละก็ คนที่ตายนั้นจะเป็นเจ้า “

 

“ น่าเสียดาย ที่เขามิได้อยู่ในที่แห่งนี้ ใช่หรือไม่ ? “

 

เยี่ยจงหัวเราะฮาฮา ในตอนนี้มิได้มีอารมณ์พูดสิ่งที่ไร้สาระกับพวกเขาต่อไปแล้ว อีกทั้งยังเริ่มเข้าใกล้เรื่อยๆ ร่างกายในตอนนี้ราวกับได้หายไป เงาร่างในตอนนี้ราวกับเงาแสงก็มิปาน พุ่งตรงเข้าไปบริเวณทางด้านหน้า หลังจากนั้น ฝ่ามือและฝ่าเท้าของเขาก็เข้าประทับลึกลงไปดุจสายลมมุ่งตรงไปบริเวณทางด้านหน้าเข้าไป

 

“ เช่งเช่งเช่ง “

 

เหล่ายอดฝีมือของโรงฝึกยุทธ์ชิหวินความจริงต่างก็มีปฏิกิริยากลับมา เพียงแต่ว่า เหล่ายอดฝีมือเหล่านี้อย่างมากก็มีความสามารถเพียงแค่ขั้นก่อเกิดขั้นที่สามเท่านั้น เด็กน้อยเหล่านี้เปรียบได้เหมือนกับเด็กน้อยของตระกูลเยี่ยที่โชคร้ายเหมือนกัน เกือบทั้งหมดแทบจะไม่สามารถช่วงชิงโอกาสโต้กลับ ก็ถูกเยี่ยจงซัดกระเด็น พ่นเลือดคำโตล่าถอยไป

 

ดังนั้น ในบริเวณที่เยี่ยจงอยู่ เหล่ายอดฝีมือของโรงฝึกยุทธ์ชิหวินก็เหมือนพลทหารที่ตกจากหลังม้า จากนั้นก็วิ่งออกไปอย่างช้าๆเหล่านั้น ต่างก็ต้องกระอักเลือดออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ต่อให้ในตอนนี้มียอดฝีมืออยู่เกือบร้อยคน แต่ว่าไม่ยังไม่อาจที่จะทำอะไรได้

 

เซียงฉียวี่และพวกทั้งสามสาวที่อยู่ด้านหลังจ้องเขม็งไปยังฉากเบื้องหน้า ถึงแม้พวกนางจะเคยเห็นความร้ายกาจของเยี่ยจงไปแล้วก็ตาม แต่ว่าพวกนางก่อนหน้าที่คาดคิดว่าเหล่าศิษย์ของตระกูลเยี่ยก็ชังไร้น้ำยาเสียเหลือเกิน แต่ว่าคิดไม่ถึงว่า เหล่ายอดฝีมือของโรงฝึกยุทธ์ชิหวินกลุ่มนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าเยี่ยจงก็ยังถือว่าเป็นพวกไร้น้ำยาเช่นเดียวกัน

 

“ เยี่ยจง เจ้าหาที่ตาย “

 

สีบนใบหน้าของเหม็งซีที่เริ่มดูอ่อนเลยจ้องมองไปยังฉากเบื้องหน้า ใบหน้าที่ดูชั่วร้ายในตอนนี้เต็มไปด้วยความไม่เชื่อในสิ่งตนมองเห็น เห็นได้ชัดว่าเขาก็คิดไม่ถึงว่า พลังฝีมือของเยี่ยจงจะร้ายกาจได้ถึงเพียงนี้ ราวกับเจอภูตผีตอนกลางวันแสกๆ เลือดลมที่ราวกับจะปะทุภายในร่างกายเริ่มถึงจุดเดือด จากนั้นก็พบว่าเขาใช้ออกด้วยฝ่ามือคราหนึ่ง ขวานศึกด้ามหนึ่งก็ปรากฏบนมือ เขาสะบัดมือขวาไปมา ขวานศึกในมือก็ได้ทอประกายสว่างคมกล้าออกมา พุ่งเข้าหาบริเวณที่เยี่ยจงอยู่

 

“ ศาสตราวุธระดับล่าง “

 

เยี่ยจงพบว่าเหล่าหมาแมวเหล่านี้ได้เริ่มที่จะนำศาสตราวุธออกมาใช้กันแล้ว ภายใจใจก็ปรากฏความหมองมนสายหนึ่ง ในครั้งนี้ที่เขามาต่อยตีก็พวกมีศาสตราวุธระดับสูงเป็นเป้าหมาย ถ้าหากว่าในตอนที่เข้าสู่อารามก่อฟ้าตามที่ล้ำลือเข้าสู่วงล้อมการแย่งชิงแล้วละก็ พบว่าทุกๆคนต่างก็มีศาสตราวุธสาดส่องประกายออกมา เช่นนั้นคงถูกอื่นสาดแสงจนตนเองตาบอดได้

 

แต่ว่า หลังจากที่ถอนหายใจไปแล้วหลายที เยี่ยจงในตอนนี้ก็จ้องมองเหม็งซีด้วยสายตาอาฆาต ดวงตาค่อยๆทอประกายเย็นเยียบ จากนั้นก็พบว่าบนฝ่ามือของเขาได้รีดเร่งพลังของกระบี่ตราประทับอาชูร่าออกมาแล้ว ตราประทับกระบี่ยังคงมีสีเลือด รังสีฆ่าฟันแผ่พุ่งออกมาในทันที

 

“ กระบี่ตราประทับอาชูร่า “

 

มีเสียงดังเฮ้อเบาๆออกมาจากจิตใจ ร่างกายของเยี่ยจงก็สว่างขึ้นมาในทันที ทั้งไม่ถอยหรือมุ่งหน้าเข้าไป จากนั้นเพียงใช้ออกด้วยฝ่ามืออันดุดันเข้าโจมตี ในบริเวณทางด้านหน้านี้ ไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถหลบการปะทะได้เลย

 

“ เปรี้ยง “

 

ในวินาทีที่ขวานได้ฟาดฟันปะทะนั้นเอง ก็มีเสียงของการเข้าปะทะดังอูอูดังออกมาอย่างช้าๆ จนกระทั่งทำให้ใบไม้ที่อยู่ตามพื้นลอยขึ้นมาจากพื้นราวกับกำลังเต้นรำอยู่ อีกทั้งในระหว่างการโจมตีของทั้งสองยังได้ทำให้บริเวณส่วนหนึ่ง เกิดรอยแตกแยกออกมาสายหนึ่ง ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าจะเรื่องอะไรเช่นนี้ขึ้น อดไม่ได้ที่จะทำให้ผู้คนตกอยู่ความตะลึงลาน

 

“ ตูม ตาม “

 

ขวานศึกอันใหญ่โตตอนนี้ราวกับกำลังปะทุออกมา ร่างกายของเหม็งซีกระตุกคราหนึ่ง นำพาใบหน้าอันชั่วร้ายถอยกลับไปยังบริเวณด้านหลัง ในระหว่างที่ถึงพื้น ร่างกายของเขาก็สั่นเทาคราหนึ่ง กระอักเลือดสดๆออกมา สีหน้าได้เปลี่ยนเป็นสีขาวในทันที เห็นได้ชัด ในตอนที่เข้าปะทะกับเยี่ยจง เขานั้นก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่ตลอดมา

 

“ เป็นไปได้อย่างไร ? “

 

เหม็งซีเหม่อมองไปที่ร่างของเยี่ยจงด้วยอาการสั่นเทาเป็นครั้งคราว ใบหน้าแสดงถึงไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น เขาสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน พลังฝีมือของเยี่ยจงและเขานั้นอยู่ในขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่เช่นเดียวกัน แต่ว่า ปริมาณกำลังภายในที่มากมายของเยี่ย อย่างน้อยๆก็มากกว่าของเขาอยู่หลายเท่า เรื่องเช่นนี้ เป็นไปได้อย่างไรกัน ?

 

ถึงแม้เยี่ยจงผู้นี้จะมีพลังฝีมืออยู่แค่ขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่ แต่ในตอนที่เขาแสดงถึงพลังในการต่อสู้ออกมา ต่อให้เป็นยอดฝีมือที่มีพลังฝีมืออยู่ในขั้นก่อเกิดขั้นที่ห้าก็ยังไม่อาจจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ ?

 

เด็กน้อยผู้นี้ เป็นไปได้ว่าได้ฝึกปรือพลังลมปราณเสริมพลังกายของลัทธิแห่งดวงดาวหรือ ?

 

ความคิดเหล่านี้ได้ปรากฏออกมาภายในจิตใจ จนทำให้นัยน์ตาของเหม็งซีเต็มไปด้วยความอิจฉาและความเกลียดชัง

 

เจียงเล่อกัดไปที่เล็บมือของตนเองมองไปทางด้านเหม็งซีที่พ่ายแพ้เพียงกระบวนท่าเดียว สีหน้าของเขากลับกลายเป็นยิ่งขาดซีดกว่าเดิม เขาสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน หากเป็นตอนที่ลงมือกับตนเองนั้น เยี่ยจงใช้ออกด้วยความสามารถเช่นนี้แล้วละก็ เกรงว่าเขาคงไม่ใช่เพียงแค่นิ้วมือหักเพียงสองนิ้วอย่างง่ายดายเช่นนั้น

 

“ จงไสหัวไป ในตอนที่ข้ายังอารมณ์ดีอยู่ “ เยี่ยจงโบกมือไปมาอย่างไม่คิดอะไร กล่าวออกมาเสียงดังกังวาน ถึงแม้ว่าตามนิสัยของเขาจะมิได้ชมชอบปล่อยเสือเข้าป่าก็ตามที แต่ว่าในบางเวลาก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น เขาก็ไม่ลงมือฆ่าอยู่ดี ในที่สุด ทั้งสองฝ่ายก็มีการสูญเสียเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มิอาจสามารถเรียกได้ว่ามีความแค้นลึกล้ำแต่อย่างไร

 

เหม็งซีและเจียงเล่อสบตากันคราหนึ่ง สีหน้ามีอยู่หลายส่วนที่ไม่น่าดู เพียงแต่ว่าหลังจากนี้ สายตาของทั้งสองราวกับกำลังสื่อว่าให้ถอยกลับไปตั้งหลักในตอนนี้ แม้แต่พวกเขาทั้งสองคนก็ยังต้องพ่ายแพ้ไปแล้ว ในตอนนี้ต่อให้คนทั้งหมดลงมือพร้อมกันแล้วจะเป็นเช่นไร ? อาจจะเป็นอย่างที่เยี่ยจงกล่าวออกมาก็ได้ ในตอนที่เขายังไม่มีกระจิตกระใจลงมือสังหาร หากว่าต้องปะทะกับดาวคู่อริเช่นนี้อีกแล้วละก็ เช่นนั้นต่อไปเกรงว่าพวกเขาจะทนทานรับผลที่เกิดขึ้นไม่ไหว

 

“ เยี่ยจง ครั้งนี้พวกเราจะจดจำเอาไว้ แต่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้จะไม่จบแค่นี้แน่นอน พี่ใหญ่ของพวกเราจะช่วยกลับมาให้ความเป็นธรรมเอง “ เหม็งซีจ้องมองไปทางเยี่ยจงจากนั้น ก็ได้ร้องเสียงเชอะเย็นเยียบ จากนั้นก็สะบัดมือคราหนึ่ง นำพาเหล่ากลุ่มพลทหารที่พ่ายแพ้ ถอยจากไปอย่างรวดเร็ว

 

หลังจากที่เห็นว่าพวกเขาจากไปแล้ว เยี่ยจงก็ยิ้มออกมา แล้วค่อยมุ่งหน้าเขย่ามือกับเซียงฉียวี่และพวกทั้งสามสาว คนทั้งสี่จ้องมองไปที่บริเวณด้านบนของศาลาสดับฟัง

.

.

.

.

 

 

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset