เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 063 พักผ่อนชั่วคราว

ตอนที่ 063 พักผ่อนชั่วคราว

 

“ ตูม “

 

ความรุนแรงที่ปะทุออกมาอย่างไร้ที่เปรียบประทับเข้าใส่ร่างของเยี่ยจง ใบหน้าอ้วนกลมของชายชรายิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย และจากนั้นก็สะบัดฝ่าเท้าออกมาหนึ่งก้าว ร่างกายราวกับหอกหลุดจากแหล่งก็มิปาน ได้พุ่งทะลุทะลวงเข้าไปหาบริเวณที่เยี่ยจงอยู่ เขากวาดมือขวาออกคราหนึ่ง แสงสีเงินสายหนึ่งก็ส่องสว่างปรากฏอยู่บนฝ่ามือ บรรยากาศเต็มไปด้วยพลังหยินอันเย็นเยียบไร้ที่เปรียบ ทันใดนั้นก็ปรากฏอยู่เต็มท้องนภา

 

เยี่ยจงหนาวสั่นจนถึงขนกระดูกในทันที ในขณะนั้นอย่างน้อยเขาก็ต้องเคลื่อนไหวด้วยตนเองสักครา กำลังภายในของวิชากระบี่หกสุสานก็ได้หมุนวนออกมาอย่างบ้าคลั่ง และในเวลาเดียว ลมปราณโจวเทียนก็ได้ไหลเวียนด้วยตัวเอง เลือดลมทั่วทั้งร่างกายของเขาพลุ่งพล่านขึ้นมา กำลังภายในทั้งปวงได้รวมตัวกันอย่างแข็งแกร่งในตอนนี้

 

พลังกระบี่ตราประทับอาชูร่าได้เคลื่อนไหวอัดแน่นไปที่ฝ่ามือของเยี่ยจงอย่างเร็วที่สุด และในครั้งนี้ ความจริงที่กระบี่ตราประทับมีอยู่หลายส่วนที่ครอบคลุมได้ถึงชั้นที่ห้าแม้จะไม่ชัดเจนก็ตาม แม้ว่า ก่อนหน้านี้ในช่วงเวลาที่สังหารม่อฝานหลง เยี่ยจงถึงแม้จะต้องจ่ายไปด้วยราคาที่แน่นอน แต่ว่าก็ทำให้เขารับรู้ได้ถึงในส่วนที่ดีส่วนหนึ่ง อย่างน้อยก่อนหน้าเขาก็ยังคงไม่สามารถที่จะใช้ออกด้วยพลังประบี่ตราประทับออกมาได้จนถึงขั้นนี้อย่างง่ายดาย

 

แขนที่ถูกหล่อหลอมเข้ากับกระบี่ตราประทับอาชูร่า นัยน์ตาของเยี่ยจงแสดงความเยือกเย็นขึ้นมา เพียงแต่ว่าการจ้องมองของราวกับจะกินเลือดกินเนื้อก็มิปาน อีกทั้งการมาของชายชราหน้าอ้วนกลม จะสามารถใช้พลังได้ถึงระดับใด

 

“ ผู้อาวุโสฉาหยี่ เห็นแก่หน้าของข้าผู้เฒ่า เรื่องครานี้ก็ขอให้ผ่านเลยไปได้หรือไม่ ? “

 

เพียงแต่ว่า ในตอนที่ทั้งสองผ่านได้แลกเปลี่ยนฝีมือกันทันใดนั้นเอง ท่ามกลางสนาม ก็มีเสียงอันดุดันดังขึ้นมา และจากนั้นเขาก็พบว่าบริเวณทางด้านหลังของเยี่ยจง มีเงาแสงสายหนึ่งบินทะลวงออกมาอย่างรวดเร็ว และจากนั้นเงาแสงก็ใช้ออกด้วยฝ่าตบออกไปเบาๆ ก็ทำให้ผู้อาวุโสฉาหยี่ที่มีใบหน้าอ้วนกลมต้องรั้งฝ่ามือกลับมาด้วยความจำใจ

 

“ เปรี้ยง “

 

บริเวณที่ฝ่ามือของทั้งสองฝ่ายปะทะกัน ฝุ่นดินบนพื้นดินก็ได้แตกกระจายออกไปอย่างวุ่นวายเป็นสายๆ และเงาร่างของทั้งสองในตอนนี้ก็เคลื่อนไหวอีกครา และจากนั้นก็ได้ถอยหลังไปหลายก้าวในเวลาเดียวกัน

 

เมื่อพบเห็นฉากเบื้องหน้า นัยน์ตาของเยี่ยจงก็ทอประกายขึ้นมา ทันใดนั้นเอง พลังกระบี่ตราประทับอาชูร่าบริเวณฝ่ามือของเขาก็ได้สูญหายไป ตอนนี้เมื่อมีผู้อาวุโสท่านอื่นของลัทธิแห่งดวงดาวแห่งนี้ช่วยออกหน้าแล้ว เช่นนี้เรื่องในวันนี้ ดูเหมือนจะไม่อาจที่จะต่อยตีกันต่อไปได้

 

ท่ามกลางสนามเมื่อฝุ่นควันค่อยๆหายไป และจากนั้นผู้คนถึงมองได้อย่างชัดเจน ตอนนี้ได้ปรากฏร่างของคนผู้หนึ่งที่สวมชุดฝึกยุทธ์สีเขียวอ่อน เป็นชายชราที่มีใบหน้าเป็นสง่า เขาในตอนนี้ได้ค่อยๆประสานมือ ยิ้มออกมาให้เห็นเล็กน้อยให้กับผู้อาวุโสฉาหยี่ที่อยู่ตรงกันข้าม

 

“ เจ้าผีเฒ่าเฉินหยวน วันนี้เจ้าต้องการที่จะแตกหักกับข้างั้นหรือ ? “ ผู้อาวุโสฉาหยี่จ้องมองไปยังบุคคลที่ปรากฏออกมา นัยน์ตาทอประกายลึกซึ้งสายหนึ่ง และจากนั้นก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

 

“ เหอะ เหอะ ผู้อาวุโสฉาหยี่ก็พูดเล่นไปแล้ว ข้าน้อยผู้แซ่เฉินมีหรือที่จะกล้าแตกหักกับท่าน กลับกัน ข้าน้อยผู้แซ่เฉินกลับได้ช่วยท่านเอาไว้ ต้องทราบว่า ข้าท่านต่างก็เป็นผู้อาวุโสของสาขานอกก็แล้วไป และเพื่อนตัวน้อยเยี่ยจงผู้นี้อย่างน้อยก็ยังเป็นถึงศิษย์สายในของสาขาในอีกด้วย หากท่านลงมือต่อเขาแล้ว เกรงว่าผลที่จะตามมาท่านคงจะรับไว้ไม่ไหว ? “ ผู้อาวุโสเฉิยหยวนกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้มมองไปทางด้านผู้อาวุโสฉาหยี่ เหมือนกับการพูดจาทีเล่นทีจริงอยู่หลายส่วน

 

ผู้อาวุโสฉาหยี่เงียบงันไร้คำจะกล่าว ใบหน้าอ้วนกลมก็ได้แสดงถึงความลังเลออกมา ในเวลาต่อมา เขาก็ร้องเฮอะออกมาคำหนึ่งอย่างเย็นชา จ้องมองไปทางด้านเยี่ยจงอย่างเยือกเย็น

 

“ เด็กน้อย ครั้งนี้มีเจ้าผีเฒ่าเฉินหยวนออกหน้าให้กับเจ้า ถือว่าเจ้าโชคดีอยู่ไม่น้อย เพียงแต่ว่าหากในครั้งหน้าเจ้าตกอยู่ในน้ำมือผู้เฒ่าเช่นข้าแล้วละก็ ข้าผู้เฒ่าจะให้เจ้าตายก็ไม่สมหวัง “

 

เสียงร้องเฮอะอย่างเย็นชาดังออกมา ผู้อาวุโสฉาหยี่ก็ได้กวาดตาไปยังฉู่หวินที่ตอนนี้แสดงใบหน้าความไม่พอใจอยู่ ตวาดออกมาดังก้องว่า “ ไป “

 

“ แต่ว่า อาจารย์ …… “ ใบหน้าของฉู่หวินบ่งบอกว่าไม่ยอมรับ เหตุใดถึงได้จากไปในลักษณะนี้ หากเป็นเช่นนี้แล้วละก็ ในวันนี้เขาคงต้องขายขี้หน้าอย่างใหญ่หลวงแล้ว

 

“ ไม่มีอะไรแต่ว่าหรือไม่แต่ว่าแล้ว วันนี้เจ้าผีเฒ่าแซ่เฉินออกหน้า อาจารย์ก็เอาเขาไม่ลงเหมือนกัน เพียงแต่ว่าขอเพียงยังอยู่ในลัทธิแห่งดวงดาวแห่งนี้ เจ้ายังกลัวไม่มีโอกาสอีกหรือ ? “ เสียงหัวเราะเย็นชาหลุดออกมา ฉาหยี่หันหน้ากลับไปมองเยี่ยจงอีกครั้ง จากก็โบกมือคราหนึ่ง นำพาฉู่หวินลอยเหินจากไปอย่างรวดเร็ว

 

เยี่ยจงเหม่อมองเงาร่างของทั้งสองจากไป นัยน์ตาทอประกายเย็นเยียบออกมาสายหนึ่ง เรื่องราวในวันนี้ถือได้ว่าถูกผู้อาวุโสเฉินหยวนจัดการให้ไปเป็นที่เรียบร้อยไป แต่ว่าเยี่ยจงก็ทราบดีว่า เรื่องในวันนี้คงไม่จบลงง่ายดายเช่นนี้อย่างแน่นอน

 

ก่อนหน้านี้ตนเองก็ช่างอ่อนแอเสียเหลือเกิน หากว่าตน้องมีพลังยุทธ์อยู่ในขั้นก่อเกิดขั้นที่ห้า และแม้กระทั่งมีพลังฝีมือถึงขั้นก่อเกิดขั้นที่หกแล้วละก็ เยี่ยจงเชื่อว่า ต่อให้เป็นเจ้าผีเฒ่าฉาหยี่ที่มีพลังฝีมืออยู่ในขั้นก่อเกิดขั้นที่เจ็ด เช่นนั้นจะเป็นไร ?

 

ฝึกปรือ นี้ได้กลายเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดที่ต้องกระทำโดยเร็วในวันนี้ให้สำเร็จ การอยู่ภายในลัทธิแห่งดวงดาวแห่งนี้ แฝงไว้ด้วยความวุ่นวายทั้งชัดเจนและเก็บซ้อน ทั้งยังดูเหมือนจะมีมากกว่าในโรงฝึกยุทธ์เฟยหงส์อีก หากว่ายังไม่มีพลังฝีมือและการสนับสนุนอย่างเพียงพอแล้วละก็ เช่นนั้นก็อาจจะถูกผู้คนกลืนกินไปในคำเดียวก็ยังไม่อาจทราบว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น ตอนนี้ตนเองอยู่ในลัทธิแห่งดวงดาวแห่งนี้ยังไม่มีการสนับสนุนอันใด ดังนั้น สมควรที่จะต้องมีพลังฝีมืออย่างเพียงพอในการปกป้องตนเอง

 

หลังจากที่สายตาได้ทอประกายแรงกล้าออกมา เยี่ยจงก็ได้ถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง จากนั้นก็เก็บซ้อนรังสีฆ่าฟันภายในดวงตาของตนเองที่มากมายจนหายไปในที่สุด และจากนั้นเขาก็หันกายไป มุ่งหน้าไปหาผู้อาวุโสเฉินหยวนที่ไมรู้ที่มารู้ที่ไปแล้วก็โค้งคำนับแล้วกล่าว “ ศิษย์เยี่ยจง ขอขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยแก้ไขปัญหา “

 

“ เหอะ เหอะ เจ้าก็คือเยี่ยจงตามที่ล้ำลือกันสินะ ? ไม่เลว ยังมีศิษย์คนใดที่มีความอาจหาญกล้าเป็นปรปักษ์ต่อผู้อาวุโสท่านหนึ่งกัน ? ทั้งยังเป็นถึงผู้อาวุโสสาขานอก ทั้งยังมีพลังฝีมืออยู่ในขั้นก่อเกิดขั้นที่เจ็ดแล้ว ความใจกล้าและพลังใจของเจ้าสามารถทำให้ผู้คนตกใจได้อย่างมาก “ ผู้อาวุโสเฉินหยวนกล่าวเยินยออยู่หลายส่วนและมองไปที่เยี่ยจง แม้ว่าเขาจะไม่ทราบว่าเยี่ยจงเพราะเหตุใดถึงได้เป็นปรปักษ์กับฉาหยี่ แต่ว่าได้ชื่อว่าเป็นถึงหนึ่งในยอดยุทธ์ หากมิใช่เมื่อพบพานอ่อนกว่าก็ปล่อยวาง พบเจอแข็งแกร่งก็ถอยหลบ เช่นนั้นความสำเร็จของเขาคงได้รับมากมายอยู่

 

“ ผู้อาวุโสให้เกียรติเกินไปแล้ว ศิษย์ยังคงไม่เข้าใจ ในสถานการณ์เช่นนั้น ไม่ถอยเช่นนั้นยังมีโอกาสรอดอีกสาย ถ้าถอยก็คงจะมีแต่หนทางสู่ความตายสถานเดียว “ เยี่ยจงหัวเราะแล้วกล่าวตอบ

 

“ หนูน้อยครานี้ได้ลากสมบัติกลับมาแล้ว “ เฉินหยวนยิ้มและพยักหน้าออกมาเล็กน้อย ค่อยหันกลับมามองดูสายตาของซูหยี่อยู่คราหนึ่ง ค่อยยิ้มแล้วกล่าว “ ข้าผู้ข้านามว่าเฉินหยวน เป็นผู้อาวุโสสาขานอก เจ้าโดยปกติอยู่ภายในลัทธิหากเกิดเรื่องแล้วละก็ สามารถที่จะมาหาข้าได้ “

 

พูดไปแล้ว จากนั้นเฉินหยวนยังมองไปที่ซูหยี่อย่างลึกซึ้งคราหนึ่ง จากนั้นก็โค้งตัวเบาๆอยู่หลายคราแล้วหลายกายแยกจากไป

 

เมื่อสายตาของเยี่ยจงได้พบเห็นฉากเบื้องหน้า จนทำให้เขาครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย ดูเหมือนว่าสถานะของศิษย์พี่หญิงซูหยี่ผู้นี้จะมีความเป็นมาที่ไม่ธรรมดาซะแล้ว

 

“ ศิษย์พี่หญิงซูหยี่ ขอบคุณ “ หลังจากที่เยี่ยจงครุ่นคิดแล้วเสร็จ ก็ค่อยเอ่ยปากกล่าวออกมา

 

“ ความจริงเรื่องนี้สมควรที่จะให้ข้าไกล่เกลี่ย คนที่ต้องกล่าวขอบคุณสมควรเป็นข้าจึงจะถูกต้อง “ ซูหยี่ถอนหายใจออกมาคำหนึ่งด้วยความไม่นำพา นางมองเห็นการรวมตัวของกลุ่มคนในตอนนี้ที่อยู่ทั่วทั้งสี่ทิศ มิอาจไม่ส่ายศีรษะแล้วกล่าว “ สถานการณ์ในตอนนี้ เจ้าคงจะไปตำหนักโอสถไม่ได้แล้วละ ข้าจะพาเจ้ากลับไปยังสาขาในก่อน มีคนผู้หนึ่งต้องการที่จะพบเจ้า “

 

หลังจากเงียบงัน นัยน์ตาของเยี่ยจงก็ทอประกายคราหนึ่ง จากนั้นจึงค่อยพยักหน้าไปมา หากว่าเขาเดาไม่ผิดแล้วละก็ บุคคลที่ต้องการพบตนเองในตอนนี้ สมควรที่จะเป็นบุคคลใหญ่ของลัทธิแห่งดวงดาวที่ชักนำตนเองมาจนถึงจุดๆนี้ ? เพียงแต่ว่าไม่ทราบว่า บุคคลใหญ่ท่านนี้จะมีความเป็นมาอย่างไร

 

ในการนำทางของซูหยี่ ทั้งสองคนก็ได้ออกมาจากสนามเขาดาราที่มีผู้คนหลั่งไหลมากมายในตอนนี้ และได้มุ่งหน้ามายังบริเวณส่วนลึกของเขาดารา เมื่อพวกเขาได้เข้ามายังส่วนลึก ตำหนักอันใหญ่โตเกินว่าที่คิดไว้ปรากฏอยู่ตรงหน้าของทั้งสองคนในตอนนี้

 

บริเวณตอนนี้และบริเวณเมื่อครู่ถือเป็นสถานที่ที่ไม่มีอันใดบ่งบอกอย่างชัดเจน แต่ว่าก็ให้บรรยากาศของความลี้ลับส่วนหนึ่ง กระทั่งทำให้เยี่ยจงในตอนนี้ยังอดไม่ได้ที่จะต้องตกใจ

 

“ สาขาในและสาขานอก แม้จะไม่มีความแตกต่างอันใดที่เห็นได้ชัด เพียงแต่ว่า ในส่วนของตำหนักกลางแห่งนี้มีแต่เพียงพวกเราเหล่าศิษย์สายในและผู้อาวุโสของสาขาในจึงจะสามารถเข้ามาได้ “ ซูหยี่ชี้ไปยังตำหนักขนาดใหญ่โตที่อยู่ด้านหน้าแล้วเอ่ยปากกล่าวออกมา

 

“ แล้วสถานที่ที่พกวเราต้องไปตอนนี้ ก็คือตำหนักกองทัพของสาขาใน

 

…………

 

ตำหนักกองทัพตั้งอยู่บริเวณจุดศูนย์กลางของบริเวณส่วนปลาย ตำหนักใหญ่แห่งนี้มีลักษณะการตกแต่งที่โบราณ เพียงแต่ว่าภายนอกของตำหนักใหญ่ให้ความรู้สึกของสีเลือดชนิดหนึ่งอย่างรุนแรง ทำให้เมื่อมีคนเข้ามาใกล้ ต้องหวาดกลัวอย่างมากก็บรรยากาศการฆ่าฟันที่ส่งออกมาจากใจกลางตำหนักใหญ่

 

เยี่ยจงหรี่นัยน์ตาลงเล็กน้อย ทันทีหลังจากที่ได้ทำความเข้าใจอยู่หลายส่วน เมื่อตนเองต้องเข้าพบบุคคลใหญ่โตของลัทธิดวงดาว สมควรเป็นเจ้าตำหนักกองทัพแห่งนี้เป็นจัดการ ดังนั้น มีแต่เพียงบุคคลเช่นนี้ หลังจากที่ได้ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นที่ตำหนักของท่านเจ้าเมือง ถึงได้ค่อยมีความสนใจต่อตนเอง แน่นอนว่า ความจริงก็เป็นตัวบ่งชี้ บุคคลใหญ่โตผู้นี้มีสายตาที่ไม่เลวเลยทีเดียว

 

เมื่อได้ผ่านระเบียงทางเดินสายยาวภายในตำหนักกองทัพ ทั่วทั้งตำหนักขนาดใหญ่มีความเงียบโล่งสบาย อีกทั้งเรียกได้ว่าไม่อาจพบเห็นผู้คนได้ก็มิปาน แต่ว่าเยี่ยจงก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า ตอนนี้อยู่ในตำหนักกองทัพเสาบ้านอยู่นับไม่ถ้วนตั้งอยู่ ต่างก็รู้สึกได้ถึงสายตาอันเย็นเยียบเงียบสงบมองมาที่ตนเองและซูหยี่ทั้งสองคน หากมิใช่ว่าทั้งสองคนเป็นศิษย์สายในแล้วละก็ อาจจะถูกเก็บกวาดแล้วก็เป็นได้ เช่นนั้นเยี่ยจงยิ่งสามารถที่จะยืนยันได้แล้ว ถึงแม้จะเป็นการบุกรุกของศิษย์สายในของลัทธิแห่งดวงดาว ต่างก็สามารถถูกฆ่าสังหารได้เช่นเดียวกัน

 

หลังจากที่ช่วงเวลาผ่านไปเพียงหนึ่งกาน้ำชาเดือด ทั้งสองคนได้มาถึงยังบริเวณใจกลางของห้องโถงใหญ่ของตำหนักกองทัพ ห้องโถงใหญ่ตั้งได้ด้วยเก้าอี้มีที่วางแขนเรียงรายไว้สองข้างทาง บนบริเวณใจกลางด้านบนสุดนั้นเอง ตอนนี้ตั้งไว้ด้วยที่นั่งจ้าวตำหนักขนาดใหญ่ตั้งอยู่

 

และทางด้านที่นั่งจ้าวตำหนัก เวลานี้ได้นั่งไว้ด้วยชายหนุ่มผู้หนึ่งที่มีอายุประมาณสามสิบปีเป็นชายวัยกลางคนกำลังกุมมืออยู่ ที่ด้านหลังที่นั่งจ้าวตำหนักก็พบเห็นสิ่งของส่วนเหล่าแขวนไว้อยู่บนกำแพง

 

เยี่ยจงกวาดตามองเข้าไป ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ สิ่งที่แขวนอยู่บนกำแพงสมควรที่จะเป็นทักษะยุทธ์ที่ไม่สมบูรณ์ถูกผู้คนแกะสลักไปด้านบนอยู่หนึ่งชุด อีกทั้งยังมิเป็นทักษะยุทธ์ในระดับที่ไม่ต่ำอีกด้วย เพียงแต่ว่า ทักษะยุทธ์ที่ไม่สมบูรณ์เช่นนี้มีเพียงแต่ต้องทราบความหมายหยิบยืม ถ้าต้องกรนำไปฝึกปรือแล้ว เป็นสิ่งที่ไม่สามารถจะกระทำได้

 

แต่ว่าชายวัยกลางคนผู้นี้ที่แสดงใบหน้าสงบนิ่งจ้องมองไปทางด้านทักษะยุทธ์ที่ไม่สมบูรณ์ คงจะมองออกถึงบางสิ่ง

 

เยี่ยจงจ้องมองอยู่สักพักบนร่างของบุคคลผู้นี้ เขามีร่างกายที่สูงใหญ่ ยังสูงกว่าเยี่ยจงหนึ่งช่วงศีรษะ บนร่างกายสวมไว้ด้วยชุดฝึกยุทธสีทองเปลวชุดหนึ่ง บริเวณกลางเอวแขวนไว้ด้วยป้ายหยกเนื้อดี บนตัวป้ายหยกได้ส่งพลังปราณกระจายเคลื่อนไหวออกมาอย่างดุดัน สีหน้าของเขาแสดงถึงความอบอุ่นอย่างมาก ถ้ามองแต่เพียงภายนอกแล้วละก็ ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนทราบและกระจ่างชัด เมื่อตอนที่เขายังหนุ่มน่าจะเป็นชายที่เป็นวีรบุรุษผู้หนึ่ง

 

และสิ่งเหล่านี้ก็มิได้สำคัญอันใด สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เยี่ยจงไม่อาจที่จะรับรู้ได้ว่า ชายหนุ่มเบื้องหน้าสายตาที่แท้มีพลังฝีมืออยู่ขั้นอะไร

 

ภายในสายของเยี่ยจง ชายหนุ่มวัยกลางคนผู้นี้ราวกับเป็นสายธารที่หนาวเย็นแต่อบอุ่นก็มิปาน ล้ำลึกเกินคาดเดา ไม่อาจที่จะมองบุคคลผู้นี้ออกได้ เพียงแค่ข้อนี้ก็ทำให้เยี่ยจงทราบอย่างกระจ่างชัด บุคคลเช่นนี้แน่นอนว่าต้องมีพลังที่เกินกว่าขั้นก่อเกินทั้งเก้าไปแล้ว อาจจะไปจนถึงดินแดนที่สองของพลังยุทธ์ พลังยุทธ์ขั้นก่อฟ้า แต่ว่าถึงแม้เขาจะอยู่ในขั้นพลังลมปราณยุทธ์ในขั้นก่อฟ้าแล้วก็ตาม พลังปราณแดนธรรมดาและพลังปราณแดนเทพในระดับใดนั้น ข้อนี้เยี่ยจงก็ไม่อาจที่จะมองออกได้

 

แต่ว่า ไม่ต้องสงสัยเลยว่า บุคคลเช่นนี้ แข็งแกร่งอย่างมาก

.

.

.

.

 

 

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset