เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 073 พลังขั้นก่อเกิดขั้นที่ห้า

ตอนที่ 073 พลังขั้นก่อเกิดขั้นที่ห้า
 

การนั่งสมาธิที่มีพลังวิญญาณวนเวียนท่ามกลางห้องใต้หลังคา เยี่ยจงก็ค่อยๆสูดลมหายใจคำหนึ่ง ในเวลานั้นพลังวิญญาณฟ้าดินอันเข้มข้นก็ได้ถูกดูดซึมเข้าสู่ภายในเส้นลมปราณของตน จากนั้นก็ได้ค่อยๆไหลเวียนขึ้นมาไปทั่วทั้งร่างกาย

 

เป็นชัดเจนว่า ในชั้นห้องใต้หลังคาของบ้านพักหลังนี้ถือเป็นจุดฝึกปรือที่ดีที่สุดจุดหนึ่ง รวมทั้งทางด้านหน้าที่มีพลังวิญญาณดั่งสายธารอันเข้มข้นแผ่ออกมา จนกระทั่งรวมตัวขึ้นสู่ห้องใต้หลังคาแห่งนี้ ทำให้ผู้ฝึกปรือสามารถมีสภาวะจิตใจที่แน่วแน่ในการฝึกปรือ

 

ถึงแม้เยี่ยจงจะฝึกฝนวิชาลมปราณเพลงกระบี่หกสุสาน จึงไม่จำเป็นที่จะต้องใช้พลังวิญญาณฟ้าดินเหล่านี้มากมายนัก แต่ว่าสิ่งเหล่านี้ ยังคงมีดีกว่าไม่มี

 

จากนั้นก็พลิกมือคราหนึ่ง ก้านไม้วิญญาณม่วงทั้งสองก้านที่ปกคลุมด้วยกลิ่นหอมหวนของโอสถแผ่ออกมาอย่างหนาแน่นก็ปรากฏออกมาอยู่ฝ่ามือของเยี่ยจง เพียงแต่ว่าหลังจากที่มองไปที่ก้านไม้วิญญาณม่วงนี้แล้ว เยี่ยจงก็มิได้นำพวกมันมาฝึกในทันที แต่นำเอาพวกมันใส่ไว้ด้านในกล่องหยกชิ้นหนึ่ง หลังจากนั้นก็วางไว้ที่บริเวณด้านหน้าที่ไม่ไกลมากนักของตนเอง แล้วค่อยยื่นมือออกมาค่อยๆทำเป็นสัญลักษณ์ พลังภายในของกระบี่หกสุสานค่อยๆไหลเวียนออกมา

 

หลังจากที่พลังกระบี่หกสุสานได้ไหลเวียนแล้ว ภายในจิตใจของร่างกายเยี่ยจงก็ราวกับเปลี่ยนเป็นสายลมหอบหนึ่งก็มิปาน พลังวิญญาณฟ้าดินก็ได้ค่อยๆแปรเป็นอากาศธาตุสายแล้วสายเล่าเข้าสู่บนร่างของเยี่ยจง จากนั้นฝ่ามือของเยี่ยจงก็สับเปลี่ยนไปมาอย่างเบาๆ จากนั้นก็พลังนับไม่ถ้วนก็รวมตัวกันเข้าสู่ภายในกายของเยี่ยจง

 

เยี่ยจงเริ่มจากการเป็นขยะผู้หนึ่งที่อะไรก็ไม่เป็น จนได้ฝึกปรือวิชาลมปราณกระบี่หกสุสาน มาจนถึงระดับในตอนนี้ ก็ใช้การฝึกฝนในระยะเวลาเพียงแค่สามเดือนเท่านั้นเอง ในช่วงระยะเวลาสามเดือนมานี้ เยี่ยจงก็ได้มาถึงระดับที่คนปกติธรรมดาใช้เวลาฝึกฝนแรมปีก็ใช่ว่าจะสามารถเข้าถึงระดับที่สูงเช่นนี้ ระดับความเร็วเช่นนี้ ไม่อาจเรียกได้ว่าไม่เร็ว

 

เพียงแต่ว่า ต่อให้วิชาทั้งหมดที่เยี่ยจงฝึกปรือมาจะถือได้ว่าเป็นวิชาลมปราณเซียนโบราณก็ตาม แต่ว่ากับความเร็วในการฝึกปรือเช่นนี้ มีแต่จะทำให้พลังลมปราณของเยี่ยจงที่แผ่ออกมามีความเจ็บปวดส่วนหนึ่งแฝงไว้หรือไม่ก็เป็นเหมือนดั่งโรคชนิดหนึ่งแฝงตัวเอาไว้

 

ดังนั้น ในตอนก่อนที่จะทะลวงเข้าสู่พลังขั้นก่อเกิดขั้นที่ห้า”ทงหยงชิ” เยี่ยจงจะต้องทำในตอนนี้ ก็คือการจัดการกับความเจ็บปวดแฝงจำนวนมากเหล่านี้

 

จากนั้นเยี่ยจงก็ได้ค่อยๆหมุนเวียนฝ่ามือ พลังฟ้าดินสายหนึ่งก็ราวกับเหมือนไอน้ำอันเข้มข้นก็มิปาน รวมตัวกันอยู่รวมกายของเขาแล้วก็เข้ารู้ลมปราณของเขา ล้างไขกระดูกลมปราณภายในกายของเขาทุกอณูของผิวหนัง

 

เวลา ค่อยๆไหลเวียนผ่านเลยไป

 

ท่ามกลางห้องใต้หลังคาอีกแห่งหนึ่งนอกเหนือจากนั้นหวังโม่ที่กำลังฝึกปรืออยู่จู่ๆก็วอกแวกขึ้นมา นั้นเป็นเพราะว่าเขาสังเกตเห็นว่า พลังวิญญาณของทั่วทั้งท่ามกลางบ้านพักในตอนนี้ต่างก็เคลื่อนไหวราวกับพายุคลั่งขึ้นมาก็มิปาน และจากนั้นก็มุ่งรวมตัวกันเข้าหาบริเวณที่เยี่ยจงฝึกปรืออยู่ ทำให้หวังโม่ที่เห็นฉากเบื้องหน้าต้องสิ่งมหัศจรรย์เช่นนี้ หลังจากนั้นก็ส่ายศีรษะไปมา เขาก็ไม่ทราบว่าพี่น้องผู้นี้ของตนเองฝึกปรืออันใด เพียงแต่ว่าเมื่อเห็นเขาเป็นเช่นนี้ สมควรที่จะกำลังฝึกปรืออยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญอยู่ก็เป็นได้ ?

 

หลังจากที่ครุ่นคิดใคร่ครวญแล้ว หวังโม่ที่ได้วางมือจากการฝึกปรือ ขยับกายคราหนึ่ง ก็มายังบริเวณด้านหน้าของห้องใต้หลังคาที่เยี่ยจงกำลังฝึกปรืออยู่ มือไพล่หลังเอาไว้ เป็นที่แน่นอนว่าเขาไม่อาจให้ผู้ใดเข้ามารบกวนเยี่ยจงในเวลาอันสำคัญเช่นนี้

 

…………

 

ภายในห้องใต้หลังคา พลังฟ้าดินกำลังทะลวงเข้าสู่ลมปราณภายในกาย เยี่ยจงรู้สึกได้ว่าพลังลมปราณภายในที่ไหลเวียนมานั้นให้ความสบายในแบบหนึ่ง กล่าวโดยทั่วไป ยอดฝีมือในขั้นก่อเกิดทั้งเก้า ไม่อาจที่จะใช้วิธีเก็บกักพลังวิญญาณฟ้าดินไว้ภายในร่างได้ เพียงแต่ว่า ภายในร่างกายเยี่ยจงในตอนนี้ได้แปรเป็นพลังโจวเทียนตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้น เขาถึงแม้จะเพียงแค่ควบคุมพลังฟ้าดินเหล่านี้ให้ทะลวงเข้าสู่เนื้อหนังร่างกาย แต่ว่าภายใต้การไหลเวียนของพลังโจวเทียนด้วยตนเอง จึงได้ทำให้พลังวิญญาณฟ้าดินเหล่านี้แล้วแบ่งส่วนที่บริสุทธิ์กลุ่มหนึ่งเหลือไว้ภายในร่างกายเยี่ยจง การฝึกปรือเช่นนี้ในตอนนี้กล่าวได้ว่า หากว่าไม่มีส่วนดีใดๆ แต่ว่าวันข้างหน้าก็ช่วยทำให้สามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นลมปราณก่อฟ้าได้ และไม่แน่ว่าส่วนที่ดีเพียงแค่ยังไม่แสดงให้เห็นเท่านั้น

 

“ ปุ “

 

หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน เยี่ยจงก็อ้าปากขึ้น กระอักโลหิตสีดำออกมาคำหนึ่ง เพียงแต่ว่าตัวของเขาทั้งคนนั้นก็ได้เปลี่ยนเป็นสดใสขึ้นมา โลหิตสีดำสดที่กระอักออกมาคำนี้ เป็นเพราะเขาสิ่งที่หลงเหลือจากการแข็งขืนฝึกปรือ ตอนนี้เมื่อได้คายโลหิตเสียเหล่านี้ออกมา กล่าวได้ว่าการฝึกปรือของเยี่ยจงในวันข้างหน้า ถือได้ว่ามีประโยชน์อย่างมาก

 

และในเวลาเดียวกัน เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังของขั้นก่อเกิดขั้นที่ห้า(ทงหยงชี)ภายในจิตใจของเยี่ยจงก็รู้สึกถึงการปรากฏของความก้าวหน้าสายหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงชนิดนี้นับได้ว่าดีเยี่ยมอย่างมาก ทำให้เยี่ยจงเข้าใจได้อย่างชัดเจน ว่าในเวลานี้ ตนเองสมควรเริ่มที่จะทะลวงเข้าสู่ขั้นก่อเกิดขั้นที่ห้าแล้ว

 

“ เปรี้ยง “

 

เยี่ยจงยกมือตบคราหนึ่ง ก้านไม้วิญญาณม่วงชิ้นที่หนึ่งก็กระโดดขึ้นมา จากนั้นก็ร่วงหล่นลงสู่บนฝ่ามือของเยี่ยจง ถูกเขากัดเข้าไปภายในปาก

 

เมื่อก้านไม้วิญญาณม่วงได้เข้าสู่ภายในปาก ทันใดนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นพลังวิญญาณอันบริสุทธิ์ เข้าสู่ลมปราณของเขานับไม่ถ้วน

 

เยี่ยจงเริ่มที่จะค่อยๆขยับมือตามความทรงจำเปลี่ยนไปมาเรื่อยๆ จากการเคลื่อนไหวของเขา โอสถบริสุทธิ์เหล่านี้ได้เริ่มรวมตัวกันเข้าสู่ลมปราณภายในร่างของเขา ในเวลาไม่นานก็ปกคลุมไปด้วยแสงสีเขียวไปทั่ว และได้เริ่มเกิดการเคลื่อนไหวของลึกลับแบบหนึ่งขึ้นมา แล้วก็ค่อยๆไหลเวียนออกมาจากลมปราณภายในร่างออกมา

 

“ นี้คือวิชาพลังกระบี่หกสุสาน ที่แท้การมีอยู่ของมันคืออันใดกัน ? แล้วหกเทพเซียนคืออันใดกัน ? “

 

การเคลื่อนไหวอันลึกลับเช่นนี้ ยิ่งทำให้ภายในดวงตาของเยี่ยจงในเวลานี้สามารถแยกออกมาว่าที่แต่เกิดอันใดขึ้นได้ เขารู้แต่เพียงว่า การเคลื่อนไหวเช่นนี้หากมีความเกี่ยวพันกับการฝึกปรือแล้ว สมควรที่จะเป็นในแนวทางที่ดีอย่างมาก

 

ต่อมา เยี่ยจงก็ได้นำก้านไม้วิญญาณม่วงอีกชิ้นเข้าไปภายในปาก จากนั้นสองมือได้ได้ทำสัญญาลักษณ์ต่อไป ก้านไม้วิญญาณม่วงก็ได้แปรเป็นพลังวิญญาณรวมตัวกันเพิ่มขึ้นเข้าสู่ลมปราณของเขา

 

“ เพล้ง เพล้ง เพล้ง “

 

ความจริงตอนที่อยู่ในขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่(หยงจิงชิ)ก็ถือได้ว่ามีเสถียรภาพในระดับหนึ่ง ในตอนนี้ราวกับมีพลังอันมหาศาลชนิดหนึ่งที่ไร้รูปลักษณ์กำลังไหลเวียนไปทั่ว และเพิ่มมากขึ้นจำนวนหลายเท่าตัวในทันที รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาสายหนึ่ง ทั่วทั้งบนล่างของร่างกายของเยี่ยจงถูกอัดแน่นอยู่เป็นจำนวนมาก จนทำให้พลังภายในเลือดลมของเขาปะทุไหลเวียนออกมา

 

“ หยู “

 

เยี่ยจงกัดฟันอดทนอย่างยากลำบาก สองมือจดจำเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดยั้ง เยี่ยจงทราบดีว่า ขอเพียงผ่านพ้นด้านนี้ไปได้ เช่นนั้นตนเองก็เป็นเหมือนดั่งเข้าสู่วิถีของขั้นก่อเกิดขั้นที่ห้าแล้ว

 

…………

 

เวลาไหลเวียนผ่านเลยไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตา การฝึกฝีมือก็ได้ผ่านไปถึงครึ่งเดือนแล้ว ในครึ่งเดือนมานี้ ตั้งแต่เริ่มหวังโม่ก็ยังอยู่อย่างสงบ พอท้ายที่สุดแล้วก็เปลี่ยนเป็นกังวลอยู่หลายส่วนขึ้นมา เหม่อมองพลังวิญญาณฟ้าดินในตอนนี้ที่ไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่รวมตัวกันเข้าสู่ห้องใต้หลังคา นัยน์ตาของเขาปกคลุมไปด้วยความเป็นห่วงเหลือคณา

 

จากที่เขาคาดเดา เยี่ยจงสมควรเก็บตัวฝึกปรือในระยะเวลาที่ช่วงหนึ่ง แต่ว่ากับการฝึกปรือที่นานถึงขนาดนี้ ถือได้ว่าเป็นเรื่องดีแล้วงั้นหรือ ?

 

“ ตูมตาม “

 

ในช่วงเวลาที่หวังโม่อดไม่ได้คิดที่จะเข้าไปตรวจสอบดู ท่ามกลางห้องใต้หลังคา จู่ๆก็มีเสียงทุ่มต่ำดังกังวานออกมา หวังโม่กรอกตาไปมา ในครั้งนี้เขาถึงกับอดไม่ได้ ขยับกายคราหนึ่ง ก็ได้ขึ้นมาอยู่บนห้องใต้หลังคา

 

ท่ามกลางห้องใต้หลังคา ประจวบกับเยี่ยจงกำลังเปิดเปลือกตาขึ้นมา ก็พบกับเงาร่างของหวังโม่ เขาจึงยิ้มแล้วกล่าวออกมา “ หวังโม่ หลายวันมานี้ขอบใจเจ้ามากแล้ว “

 

” เจ้าสำเร็จแล้ว ? ” หวังโม่มองไปที่พื้นที่มีเลือดคั่งสีดำอยู่ ยังมีบนร่างตอนนี้ของเยี่ยจงได้แผ่รังสีกดดันออกมาอย่างเข้มข้น จนอดไม่ได้ที่จต้องเอ่ยปากถาม

 

” สำเร็จแล้ว ข้าในตอนนี้อยู่ในขั้นก่อเกิดขั้นที่ห้า(ทงหยงชิ)แล้ว ทว่า นี้มันอาจจะยังไม่พอ เพียงแต่ว่าก็คงต้องหยุดอยู่ในจุดนี้ก่อนละนะ ” เยี่ยจงส่ายศีรษะแล้วถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง ด้วยความรู้สึกต่างๆนานา

 

ในช่วงวันเวลาที่ฝึกปรืออยู่นั้น เขารู้สึกได้ว่าไม่เลวเลย หากตอนนี้มีทรัพยากรในการฝึกยุทธ์อย่างเพียงพอแล้วละก็ เขาคงจะสามารถทะลวงขีดจำกัดจนไปถึงขั้นก่อเกิดขั้นที่หก

 

แต่ว่า วิชากระบี่หกสุสานก็มีจุดที่ยุ่งยากอยู่ ในส่วนนี้ก็ปรากฏให้เห็นแล้วในตอนนี้

 

ต้องการที่จะทะลวงเข้าสู่ขั้นก่อเกิดขั้นที่หก ยังต้องการของอีกสิ่ง สิ่งนั้นก็คือดอกหยินหยาง ดอกหยินหยาง จะเกิดอยู่ในบริเวณท่ามกลางวิญญาณฟ้าดินที่มีการเปลี่ยนแปลงของหยินหยาง ดูดกลืนความบริสุทธิ์ในเวลากลางวัน กลางคืนรับแสงจากพระจันทร์ ร้อยปีถึงจะออกดอกเพียงกลีบเดียว พันปีถึงจะเกิดดอกหนึ่ง

 

เกี่ยวกับของสิ่งนี้ เยี่ยจงนับได้ว่ามีความคุ้นเคยอยู่ นั้นก็เพราะว่าชาติก่อนเขาก็นับได้ว่าเคยเข้าร่วมแย่งชิงดอกหยินหยางอยู่คราหนึ่ง แต่ว่าเวลานั้นเขาเองก็ต้องจ่ายออกไปด้วยหลายสิ่งที่มากมายอยู่ไม่น้อยเพื่อที่จะได้ดอกหยินหยางมาไว้ในมือ และตอนนี้ การที่จะเข้าสู่ขั้นก่อเกิดขั้นที่หกยังต้องใช้ดอกหยินหยางอีก ในข้อนี้ จึงทำให้เยี่ยจงรู้สึกท้อแท้อยู่บ้าง ยังไม่ทราบว่าสะสมวิญญาณที่พึ่งได้มาจากหลีฝาน จะเพียงพอหรือไม่

 

“ พลังขั้นก่อเกิด ……… ขั้นที่ห้า ? “ เยี่ยจงสูดลมหายใจด้วยความท้อแท้ หวังโม่ก็หน้าแปรเปลี่ยนเป็นตกใจ ถึงแม้ว่าเขาจะทราบว่าพี่น้องของเขาผู้นี้มีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอย่างมากในเวลาอันสั่น แต่ว่าเขาก็คิดไม่ถึง ว่าเขาจะร้ายกาจได้จนถึงขั้นนี้ เก็บตัวเพียงแค่ครึ่งเดือน ก็สามารถที่จะเข้าสู่ขั้นก่อเกิดขั้นที่ห้าแล้ว หากศิษย์พี่อื่นๆอีกหลายคนที่อยู่สาขาในได้ทราบแล้วละก็ ไม่ทราบว่าจะมีผู้คนมากมายเท่าไหร่ที่จะเอาหัวโขกกับเต้าหู้ตายไปเสียจะดีกว่า ต้องทราบว่า ผู้ใดที่สามารถเข้าสู่พลังยุทธ์ถึงขั้นนี้ ไม่ทราบว่าต้องสิ้นเปลืองวันเวลาอันยากลำบากถึงกี่ปีกัน ?

 

เมื่อพบเห็นอารมณ์ของหวังโม่ เยี่ยจงก็หัวเราะออกมาแล้วกล่าว “ ดีมาก หวังโม่ วิชาล้างไขกระดูกก่อฟ้าน่าจะส่งกลับมาแล้วกระมั่ง ? ของสิ่งถือได้ว่าเป็นสิ่งที่มาจากตำนานก่อฟ้าเลยก็ว่าได้ ขอเพียงเจ้าฝึกฝนของสิ่งนี้ ข้าคิดว่า กับการเข้าสู่ระดับขั้นต่อไป อย่างมากก็ใช้เวลาหนึ่งเดือน ก็จะสามารถเข้าสู่ขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่ได้ “

 

เยี่ยจงตอนนี้ก็มองออกถึงพลังฝีมือของหวังโม่ เห็นได้ชัดว่าในหนึ่งเดือนมานี้เขาได้พยายามมากถึงเพียงไร ทว่าวิชาลมปราณที่เขาฝึกปรือมาก่อนหน้าก็ช่างอยู่ในระดับที่ต่ำจนเกินไป ผลลัพธ์จึงมิได้ดีเท่าที่ควร

 

“ สิ่งของนั้นได้ถูกส่งกลับมาแล้ว “ หวังโม่พลิกมืออยู่คราหนึ่งนำคัมภีร์สมุดทองคำออกมา ยื่นให้แก่เยี่ยจง “ ในเมื่อเจ้าก็ไม่ได้เอ่ยปาก ข้าก็ไม่ได้เริ่มที่จะฝึกปรือของสิ่งนี้ อีกทั้งยัง หลายวันมานี้ดูเหมือนจะมีเด็กสายหลายคนมาขอพบเจ้าถึงหน้าประตูเชียวนะ แต่ว่าก็ถูกข้าไล่กลับไป “

 

” เด็กผู้หญิง ? ” เยี่ยจงขมวดคิ้วไปมา แต่ก็นึกไม่ออกว่าตนเองไปสร้างความยุ่งยากอันใด ต่อมาหลังจากที่เขาส่ายศีรษะแล้ว ทันใดนั้นก็ดูคัมภีร์ล้างไขกระดูกก่อฟ้าอยู่สักพัก จากนั้นก็ยินยันถึงแนวทางการปรือฝน จึงค่อยนำสมุดทองคำให้แก่หวังโม่ แน่นอนว่าเยี่ยจงก็ไม่อาจที่จะหันไปฝึกปรือวิชาลมปราณล้างไขกระดูกก่อฟ้าได้ ทว่าแต่ยังยังทราบถึงแนวทางการฝึกวิชาลมปราณล้างไขกระดูกได้ เพราะตามปกติเขาเองก็ยังสามารถเข้าสู่การไหลเวียนลมปราณกระบี่หกสุสานให้สูงยิ่งขึ้นได้อยู่แล้ว

 

” ต่อจากนี้พวกเราจะทำอย่างไร ? ” หลังจากที่ได้รับวิชายุทธ์ล้างไขกระดูกก่อฟ้ามาหวังโม่ก็เอ่ยปากถาม

 

“ เจ้าสมควรที่จะไปเก็บตัวฝึกปรือแล้ว สถานที่แห่งนี้นับว่าไม่เลว ฝึกปรือให้ดีดีละ หลังจากที่ฝึกปรือทักษะยุทธ์ที่ข้าได้มาจากตำหนักทักษะยุทธ์ก่อนหน้าเรียบร้อยแล้ว น่าจะออกจากสำนักอีกครั้ง เจ้าดูแลตัวเองให้ดีละ “ เยี่ยจงยิ้มขึ้นมา ตนเองจำเป็นที่จะต้องฝึกปรือดัชนีเพลิงดาราคล้อยนี้ จากนั้นก็ต้องไปตามหาดอกหยินหยาง หลังจากที่ครุ่นคิดแล้ว เยี่ยจงก็รู้สึกปวดหัวอยู่เล็กน้อยสายหนึ่ง

 

หวังโม่พยักหน้าอยู่หลายครา ต่อมาจากนั้นก็ถอยจากไป เยี่ยจงก็ไม่กล่าวมากความอันใดอีก และเพียงแต่นำวิชายุทธ์ของดัชนีเพลิงดาราคล้อยออกมา เริ่มต้นที่จะศึกษาขึ้นมา

 

และในเวลาเดียวกัน ในบริเวณส่วนหนึ่งของบ้านพักที่มีไอความเย็นธาตุหยินแผ่ออกมา ทันใดนั้นท่ามกลางไอความเย็นเยียบก็มีเสียงดังออกมา “ เพียงแค่เยี่ยจงแค่คนเดียว ก็มีความกล้าบังอาจถึงเพียงนี้ หาที่ตาย “

.

.

.

.

 

 

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset